"นักเรียนเสิ่นเมี่ยว!" หวังเหว่ยส่งเสียงเรียกนักเรียนในปกครองของตนอีกครั้งอย่างสงสัยว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับลูกศิษย์ตัวน้อยของตนกัน เหตุใดเธอจึงดูเหมือนคนใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นกัน
"หนูขอโทษค่ะ ครู" เสิ่นเมี่ยวเอ่ยเสียงเศร้าหล่อนแสร้งก้มหน้าลงทำตัวสั่นคล้ายหวาดกลัวกับอะไรบางสิ่ง
"เธอเป็นอะไร! ครูแค่ถามว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเสิ่นหนานแค่นั้นเอง ยังไม่ได้ดุเธอเลย...แล้วทำไมเธอจะต้องตัวสั่นแบบนี้ด้วย" หวังเหว่ยขมวดคิ้วมองท่าทางหวาดกลัวเกินจริงของเด็กหญิงตรงหน้าอย่างพิจารณา
เสิ่นเมี่ยวเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตากลมโตที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง ปลายเสียงสั่นเครือเล็กน้อยราวกับกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก
"ก็...ก็เรื่องนี้หากว่าย่าของหนูรู้" เธอเริ่มพูดแต่แล้วก็เหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ที่คอทำให้พูดต่อไม่ออก ได้แต่ก้มหน้างุด มองปลายนิ้วเท้าตัวเองที่อยู่ในรองเท้าแตะคู่เก่าขยับไปมา
หวังเหว่ยถอนหายใจแผ่วเบา น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยถามต่ออย่างใจเย็น
"ย่าของเธอทำไม? ครูคิดว่าย่าของเธอน่าจะดีใจสิที่เห็นว่าหลานทำความดี" หวังเหว่ยเอ่ยตามความคิดตน
เสิ่นเมี่ยวอยากจะส่ายหน้าแรง ๆ แต่ทว่าเธอไม่อาจทำได้ดังนั้นจึงได้หลุบตามองพื้นรองเท้าแตะของตนต่อไป
ดีใจน่ะหรือ? หึ ถ้าเป็นเสิ่นหนานทำสิ ย่าคงป่าวประกาศไปทั่วหมู่บ้านแล้ว เธอคิดอย่างขมขื่นในใจ แต่สิ่งที่แสดงออกไปยังคงเป็นเด็กน้อยที่หวาดกลัว
"หนู...หนูไม่แน่ใจค่ะครู..." เสียงของเธอยังคงแผ่วเบา "บางที...ย่าอาจจะคิดว่าหนูทำเรื่องยุ่งยากให้ผู้ใหญ่..."
เธอกลั้นใจเงยหน้าขึ้นสบตาครูหวังอย่างแน่วแน่ แม้จะมีหยาดน้ำตาคลอหน่วยอยู่ก็ตาม ดวงตาคู่นั้นฉายแววของความมุ่งมั่นที่ขัดแย้งกับท่าทีหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด
"แต่...แต่หนูพูดความจริงนะคะ! หนูขอยืนยันอีกครั้ง ว่าหนูเป็นคนเจอห่อเงินนั่นจริง ๆ ในตอนนั้นหนูกลัวมาก ไม่รู้จะทำยังไง พอดีเจอคุณตำรวจเดินผ่านมาหนูก็เลยเอาไปส่งให้กับคุณตำรวจคนนั้น...เองกับมือเลยค่ะ!" น้ำเสียงของเธอหนักแน่นขึ้นในประโยคสุดท้าย ย้ำคำว่าเองกับมืออย่างชัดเจน
แววตาของครูหวังฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยที่เด็กหญิงยืนยันแบบนี้ (บางทีเด็กคนนี้อาจจะอยากให้เขารู้ว่าเป็นเธอที่เก็บได้มั้ง) เจ้าตัวคิดก่อนปล่อยผ่าน
เสิ่นเมี่ยวเห็นครูหวังนิ่งไปจึงรีบพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือมากกว่าเดิม ซึ่งคราวนี้เป็นความสั่นเครือที่เกิดจากความหวังและความกลัวระคนกัน
"คุณครู...คุณครูเชื่อหนูใช่ไหมคะ? ถ้า...ถ้าอย่างนั้น คุณครูช่วยเป็นพยานให้หนูได้ไหมคะ?"
เธอกำชายเสื้อนักเรียนเก่าต่อจากญาติผู้พี่ของตัวเองแน่น มองครูหวังด้วยแววตาอ้อนวอน
"แล้วก็...ถ้าเป็นไปได้...คุณครูช่วยตามคุณตำรวจคนที่รับห่อเงินจากหนูเมื่อวาน...ให้เขามายืนยันได้ไหมคะว่าหนูเป็นคนเอาไปให้จริง ๆ ไม่ใช่พี่เสิ่นหนาน"
งานนี้คงต้องวัดใจครูหวังแล้วละ ถ้าครูยอมช่วยตามพยานคนสำคัญมา เรื่องทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่...ฉันคงต้องหาวิธีอื่น แต่ยังไงฉันก็จะไม่ยอมให้ไอ้เสิ่นหนานนั้นได้ประโยชน์อย่างเด็ดขาด เธอคิดพลางจ้องมองปฏิกิริยาของครูประจำชั้น
หวังเหว่ยเลิกคิ้วสูงขึ้นอย่างประหลาดใจ ไม่ใช่แค่การยืนกรานแต่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้กลับกล้าเสนอให้หาพยานบุคคลมายืนยันความจริง นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กขี้กลัวหรือเด็กที่โกหกจะกล้าพูดออกมา
"เธอบอกครูได้ไหมว่าทำไมต้องพูดถึงเสิ่นหนาน จะว่าไปเขาก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้" หวังเหว่ยรู้สึกกังขาดังนั้นเจ้าตัวจึงได้เอ่ยถามออกมาทันที
"ครูคะ เอาไว้ครูทำตามที่หนูบอกครูก็จะรู้เองค่ะ เรื่องในบ้านบางครั้งหนูก็พูดมากไม่ได้ แต่หนูรับรองได้ว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้ครูก็จะเข้าใจทั้งหมดเอง" เสิ่นเมี่ยวตอบคำถามโดยไม่หลบเลี่ยงสายตาของครูที่กำลังมองเธอด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวผิดแผกจากทุกครั้ง
หวังเหว่ยถอนหายใจยาว มองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยความรู้สึกซับซ้อน แต่กระนั้นเขาก็รับปากเพราะถึงอย่างไรเสิ่นเมี่ยวก็เป็นนักเรียนของตน
"เอาละ...ครูจะลองสอบถามไปทางสถานีตำรวจดูว่าใครเป็นคนเข้ารับแจ้งเรื่องนี้เมื่อวาน แล้วจะลองเชิญเขามาที่โรงเรียนเพื่อยืนยันเรื่องนี้อีกที"
รอยยิ้มกว้างอย่างแท้จริงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นเมี่ยวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เธอฟื้นคืนสติขึ้นมา
"ขอบคุณค่ะครู!" เธอประสานมือค้อมตัวลงให้ครูตรงหน้าอย่างนอบน้อมซ้ำ ๆ ด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด
"อืม ๆ กลับบ้านไปได้แล้วและอย่าลืมทำการบ้านด้วยล่ะ" หวังเหว่ยบอกแม้จะยังรู้สึกมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเล็กน้อยก็ตาม
"ค่ะ! ลาก่อนค่ะครูหวัง" เสิ่นเมี่ยวตอบรับเสียงใสก่อนจะวิ่งออกจากห้องพักครูไปด้วยหัวใจพองโต...ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
หวังว่าแผนการของฉันจะสำเร็จไปด้วยดี เธอคิดอย่างร่าเริง พลางวิ่งไปตามโถงทางเดินและมุ่งไปทางประตูโรงเรียนด้วยหัวใจเปี่ยมสุขระคนคาดหวัง
ในระหว่างที่เธอกำลังวิ่งโดยไม่ได้มองใครอยู่นั้นเพราะใจของเธอกำลังจดจ่ออยู่กับการกลับบ้าน บ้านที่มีพ่อแม่และพี่ชายแม้ว่าบ้านหลังนั้นจะเปรียบดั่งรังงู ถ้ำหมาป่าก็ตาม
"น้องสาว!" เสียงเรียกนี้ทำให้เท้าของเสิ่นเมี่ยวชะงักงันอยู่กับที่ หัวใจดวงน้อยที่กำลังเต้นรัวด้วยความสุขและความหวัง กระตุกวูบอย่างรุนแรง
เสียงทุ้มนุ่มอันคุ้นเคยที่แฝงความอ่อนโยนนั้น... เสียงที่เธอคิดว่าจะไม่มีวันได้ยินอีกแล้วในชีวิตนี้... เสียงของพี่ชายที่เธอรักสุดหัวใจ
ราวกับต้องมนตร์สะกด ร่างเล็ก ๆ ของเธอแข็งค้างอยู่กับที่ ความร่าเริงก่อนหน้าจางหายไปทันที ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาจนจุกอก ทั้งตกใจ ดีใจเหลือล้น และไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกเพราะกลัวว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงภาพลวงตา การกระทำของเธอคล้ายเนิ่นนานราวกับเวลาทั้งโลกหยุดหมุน ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างเมื่อเธอเห็นใครคนหนึ่งห่างออกไปไม่ไกลนัก
ใต้ร่มเงาของต้นแปะก๊วยใหญ่หน้าประตูโรงเรียน ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวซีดจางแต่สะอาดสะอ้านกับกางเกงขายาวสีดำกำลังยืนโดดเด่นอยู่ตรงนั้น
ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังเจือเค้าความเยาว์วัยแต่แฝงแววสุขุมและอบอุ่นเกินตัวกำลังประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง...รอยยิ้มที่เหมือนแสงตะวันในวันที่มืดมนที่สุด รอยยิ้มที่เธอจดจำได้ทุกรายละเอียด...รอยยิ้มของเสิ่นหยวนพี่ชายบุญธรรมของเธอ
มือข้างหนึ่งของเขากำลังโบกให้เธออย่างที่ชอบทำ ดวงตาเรียวคมทอประกายอ่อนโยนและเอ็นดูอย่างเต็มเปี่ยม
"หยวนเกอ!" เสียงที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากเล็ก ๆ นั้นแทบจะไร้สุ้มเสียง มันสั่นเครือและแผ่วเบาราวกระซิบ กำแพงความอดทนและความเข้มแข็งที่เธอพยายามก่อขึ้นพังทลายลงในเสี้ยววินาที
หยาดน้ำใสเอ่อรื้นขึ้นมาในดวงตาอีกครั้ง บดบังภาพตรงหน้าจนพร่ามัว ไม่ใช่ความฝัน! หยวนเกอยังอยู่! เขายังมีชีวิต! เขายืนยิ้มรอเธออยู่ตรงนั้น
ความตื้นตันใจอย่างสุดซึ้ง ความโล่งอกอย่างมหาศาล พุ่งเข้ากระแทกหัวใจดวงน้อยอย่างรุนแรง ขาของเธอออกตัววิ่งสุดฝีเท้าพุ่งตรงไปยังร่างสูงโปร่งที่เปรียบเสมือนหลักยึดเพียงหนึ่งเดียวในความทรงจำอันแสนโหดร้ายหลังจากการลาจากของพ่อแม่
"พี่!"
เสียงตะโกนดังลั่นออกมาจากลำคอพร้อมกับน้ำตาที่ทะลักราวกับทำนบแตก ร่างเล็ก ๆ พุ่งเข้าปะทะอกของเสิ่นหยวนอย่างแรงจนเขาส่งเสียงร้อง "โอ๊ะ!" ออกมาและเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
สองแขนสั้น ๆ ของเสิ่นเมี่ยวโอบกอดรอบเอวสอบของพี่ชายไว้แน่นเท่าที่จะทำได้ พลางซบใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำมูกลงบนเสื้อของเขาอย่างไม่คิดจะอายใคร เสียงสะอื้นไห้ดังระงมจนตัวสั่นโยน
เสิ่นหยวนตกใจกับท่าทีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนของน้องสาว เขายืนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่วงแขนแข็งแรงจะโอบกอดร่างของเธอที่สั่นเทานั้นเอาไว้แน่น ลูบแผ่นหลังบางอย่างอ่อนโยนและปลอบประโลม
"เมี่ยวเมี่ยว! ใจเย็น ๆ ก่อน เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้นหรือโดนใครรังแกรีบบอกพี่มา" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตกใจระคนเป็นห่วงอย่างแท้จริง
เสิ่นเมี่ยวไม่ได้ตอบ เธอทำเพียงแค่กอดเขาแน่นขึ้นไปอีก สูดดมกลิ่นกายอันคุ้นเคย กลิ่นแดดจาง ๆ ผสมกับกลิ่นสบู่ราคาถูกที่พี่ชายใช้เป็นประจำ...กลิ่นของความจริง กลิ่นของชีวิต กลิ่นที่ยืนยันว่าทุกอย่างยังไม่สายเกินไป