Share

บทที่ 4

"พี่หยวน...ฮึก...พี่หยวน..." เธอยังคงพร่ำเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงขาดห้วงและเต็มไปด้วยแรงสะอื้นราวกับต้องการตอกย้ำความจริงข้อนี้ให้ซึมลึกเข้าไปในใจ

‘พี่ยังอยู่...พี่ยังอยู่จริง ๆ ขอบคุณ...ขอบคุณสวรรค์...’ ความรู้สึกขอบคุณระคนโล่งใจเอ่อท้นจนทำให้เธอตัวสั่น ‘ชาตินี้...ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ฉันจะปกป้องพี่กับพ่อแม่ให้ได้! พวกเหลือบไรนั่น...จะต้องไม่ได้แตะต้องพวกเราอีก!’ แววตาที่ซบอยู่กับอกพี่ชายฉายแววเด็ดเดี่ยวออกมาวูบหนึ่งก่อนจะถูกกลบด้วยหยาดน้ำตา

เสิ่นหยวนขมวดคิ้วแน่นด้วยความเป็นห่วง เขาพยายามดันตัวน้องสาวออกห่างเล็กน้อย ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าเล็กของเธออย่างเบามือ

"เมี่ยวเมี่ยว มองหน้าพี่ก่อนสิ บอกพี่ได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? ครูดุเหรอ? หรือว่า...เสิ่นหนานรังแก?" น้ำเสียงของเขาจริงจังขึ้นเล็กน้อยในประโยคสุดท้ายแววตาฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด

คำถามนั้นดึงสติของเสิ่นเมี่ยวให้กลับคืนมา เธอสูดน้ำมูกเสียงดังส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่ตายังแดงก่ำ

"เปล่าค่ะ...ไม่มีใครแกล้ง ไม่มีใครว่า...หนู...หนูแค่..." เธออึกอัก ต้องรีบหาเหตุผลดี ๆ มาอธิบายน้ำตาเหล่านี้ให้เร็วที่สุด

"หนูแค่คิดถึงพี่มากเกิน" เด็กหญิงแก้ตัวพลางแลบลิ้นน้อย ๆ ออกมา กะพริบตาปริบ ๆ พยายามปั้นหน้าให้ดูทะเล้นน่ารักมากที่สุดเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งปั่นป่วนอยู่ภายใน

เสิ่นหยวนมองใบหน้าเล็กของน้องสาวที่ยังมีคราบน้ำตาติดอยู่ ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อยนั้นแม้จะพยายามทำทะเล้นแต่ก็ยังปิดบังความรู้สึกบางอย่างไว้ไม่มิด

"จริงเหรอ...แต่ไม่ใช่ว่าเมื่อเช้าพี่ก็เพิ่งมาส่งน้องที่โรงเรียนหรือยังไง" เขาเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อเต็มร้อยนัก แต่ก็ไม่ได้คาดคั้นเอาความจริง

จังหวะนั้นเองเขาก็ย่อตัวลงงอนิ้วชี้แตะที่ปลายจมูกเล็กของเสิ่นเมี่ยวแผ่วเบาอย่างเอ็นดู "ยัยขี้แยเอ๊ย กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่เป็นห่วง"

เสิ่นเมี่ยวหัวเราะคิกคักออกมา เธอรู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อเห็นพี่ชายไม่ได้สงสัยอะไรมากไปกว่านั้น

"วันนี้เดินกลับเองไม่ไหวแล้วมั้ง ร้องไห้จนหมดแรงเลยหรือเปล่า?" เสิ่นหยวนแกล้งแหย่ก่อนจะหันหลังให้แล้วย่อตัวลงอีกครั้ง "มา ขี้เกียจเดินก็ขึ้นหลังพี่"

ดวงตาของเสิ่นเมี่ยวเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความดีใจระคนซาบซึ้ง ในชาติก่อนหลังจากพ่อแม่และพี่หยวนจากไป เธอก็ไม่เคยได้สัมผัสความอบอุ่นแบบนี้อีกเลย เธอโถมตัวขึ้นขี่หลังพี่ชายอย่างไม่ลังเล

สองแขนผอมบางโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้แน่น ซบแก้มลงบนแผ่นหลังกว้างที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยระคนอบอุ่น เสิ่นหยวนยืดตัวขึ้นรับน้ำหนักน้องสาวได้อย่างสบาย ๆ ก่อนจะเริ่มออกเดินไปตามเส้นทางลูกรังที่คุ้นเคย

แสงแดดยามบ่ายทอดเงายาว สองข้างทางเป็นทุ่งนาและบ้านเรือนกระจัดกระจาย เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม เสิ่นเมี่ยวซบหน้าอยู่กับหลังพี่ชาย หลับตาลงเพื่ออยากซึมซับความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยนี้ไว้ให้มากที่สุด

‘อ้อมกอดของพี่หยวน...ฉันจะไม่ยอมเสียมันไปอีกแล้ว’

พวกเขาเดินท่ามกลางความเงียบกันมาสักพัก จนกระทั่งเริ่มเข้าใกล้เขตบ้านของตัวเอง บรรยากาศรอบข้างก็เริ่มเปลี่ยนไป จากความเงียบสงบของชนบทกลับเริ่มได้ยินเสียงผู้คนจอแจดังมาจากข้างหน้า

"เอ๊ะ...ทำไมคนเยอะจัง" เสิ่นหยวนพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจพลางชะลอฝีเท้าของตัวเองลง

เสิ่นเมี่ยวลืมตาขึ้นมองลอดผ่านไหล่ของพี่ชายไปข้างหน้า แล้วเธอก็ต้องขมวดคิ้ว ชาวบ้านหลายคนกำลังจับกลุ่มยืนคุยกันอยู่ริมทาง

บ้างก็ชี้ไม้ชี้มือไปยังทิศทางบ้านของเธอ บ้างก็ซุบซิบกันคิกคักอย่างออกรสออกชาติ ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความสนุกสนานที่ได้เห็นเรื่องวุ่นวายของเพื่อนบ้าน

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เสียงทะเลาะวิวาทที่ดังลอดออกมาจากประตูบ้านของเธอก็ยิ่งชัดเจนขึ้น มันเป็นเสียงแหลมแสดงถึงความเกรี้ยวกราดของย่า และเสียงทุ้มต่ำที่พยายามโต้เถียงอย่างเหนื่อยหน่ายของพ่อ

หัวใจของเสิ่นเมี่ยวหล่นวูบ ความรู้สึกเย็นเยียบแล่นไปทั่วร่างทันที เสียงทะเลาะนี้...บรรยากาศแบบนี้...สายตาของชาวบ้าน...มันเหมือนกับ...

‘วันนี้! นี่มันคือวันนั้น!’ ความทรงจำอันเลวร้ายจากชาติก่อนพุ่งเข้ามาในหัวราวกับสายฟ้าฟาด

‘วันที่โรงงานเหล็กขนาดเล็กที่คนเลวนั่น...เสิ่นฉีทำงานอยู่ปิดตัวลงเพราะขาดทุนและค้างค่าจ้าง วันที่ลุงคนนี้กลับมาบ้านมือเปล่า แล้วย่าก็เริ่มอาละวาดใหญ่โต บีบบังคับให้พ่อ...ให้พ่อสละตำแหน่งหัวหน้างานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าให้พวกเอาเปรียบเสิ่นฉี พี่ชายคนโตที่ย่ารักนักหนา!’

เสิ่นเมี่ยวตัวแข็งทื่ออยู่บนหลังพี่ชาย ความสุขและความอบอุ่นเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น เหลือเพียงความตึงเครียดและความรู้สึกเร่งด่วนที่บีบคั้นหัวใจ

'พ่อที่กำลังต่อสู้เพื่อครอบครัวกำลังได้รับความไม่เป็นธรรม แต่ทว่าในอนาคตเพราะความกตัญญูพ่อก็ยังคงเปิดประตูรับเอาคนบ้านนี้ที่เป็นดั่งงูพิษมาเลี้ยงดู' เสิ่นเมี่ยวยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น

"ที่บ้าน...ทะเลาะอะไรกันอีกแล้ว" เสิ่นหยวนพึมพำออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายระคนกังวล เขากระชับร่างน้องสาวบนหลังให้มั่นคงขึ้น ก่อนจะเดินฝ่าวงล้อมสายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านตรงไปยังประตูบ้านที่เสียงทะเลาะยังคงดังลั่นออกมาไม่หยุด

เสิ่นหยวนเดินผ่านข้ามธรณีประตูไม้เก่าที่โยกเยกด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดตามสายลมเข้าไปอย่างระมัดระวัง และภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาชะงักกลางลานบ้าน ย่ากำลังยืนเกรี้ยวกราดชี้หน้าด่าพ่อของตนไม่หยุด

เสียงโวยวายดังลั่นจนแม้แต่เพื่อนบ้านยังอดมุงดูไม่ได้ ส่วนเสิ่นฉีลุงชายผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ยืนกอดอกมองด้วยสีหน้าหงุดหงิด เช่นเดียวกับฟางหลานเมียของเขาที่ยืนอยู่ข้างกันด้วยท่าทีไม่พอใจ

เสิ่นเมี่ยวยังเกาะหลังพี่ชายแน่น แต่ครั้งนี้เธอไม่อาจทนเฉยได้อีกต่อไป ไม่ต้องรอให้พี่ชายวางเธอลง

เด็กหญิงกระโดดลงจากหลังเสิ่นหยวนอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเล็กที่ยังแดงจากการร้องไห้ฉายแววเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

"หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!" เสียงเล็กแต่กังวานตวาดขึ้น เรียกสายตาทุกคู่ในลานบ้านให้หันมามองอย่างตกตะลึง

เสิ่นเมี่ยวกำมือแน่นขยับยืนแทรกกลางระหว่างพ่อและย่าเงยหน้าขึ้นมองผู้ใหญ่ตรงหน้าด้วยสายตาไม่พอใจ

"ถ้าลุงเสิ่นฉีอยากได้งานของพ่อหนูนักล่ะก็... เอาเงินห้าร้อยหยวนมาแลก!"

ทันทีที่เสียงพูดนั้นจบลง ความเงียบงันก็โรยตัวลงชั่วขณะ ทุกคนในลานบ้านรวมถึงชาวบ้านที่ยืนมองอยู่ข้างรั้วต่างเบิกตากว้าง

"เด็กบ้า! แกพูดอะไรออกมา!" ย่าตวาดลั่น หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด

เสิ่นฉีเองก็สีหน้าเปลี่ยน เขาก้าวฉับเข้ามาหนึ่งก้าว แต่เสิ่นหยวนก้าวขวางหน้าปกป้องน้องสาวทันที

"เมี่ยวเมี่ยว!" พ่อของเสิ่นเมี่ยวเอ่ยเรียกเสียงสั่น เขาเองก็ไม่อยากเชื่อหูตัวเองเช่นกัน

ทว่าเสิ่นเมี่ยวกลับยังยืดอกพูดชัดถ้อยชัดคำโดยไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย

"ห้าร้อยหยวน!" เธอกระแทกเสียงพร้อมแบมือและพูดซ้ำออกมาอีก "ถ้าจะเอางานของพ่อไป ต้องจ่ายห้าร้อยหยวน! ไม่อย่างนั้นพ่อไม่ต้องยอมลาออก ไม่ต้องสละงานให้ใครทั้งนั้น!"

"หน็อยแน่ะ! นังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า! เอาเงินห้าร้อยหยวนงั้นเหรอ! ถ้าอยากได้เงินนัก ก็ได้!" ฟางหลานตะคอกเสียงกร้าวใบหน้าบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยโทสะ

หล่อนผู้ที่อยากครอบครองทุกอย่างคนเดียวเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง "แต่ถ้าพ่อแกเอาเงินไปแล้วละก็ พวกแกต้องตัดความสัมพันธ์กับบ้านนี้ซะ! อย่าได้เรียกพ่อ เรียกแม่ หรือเรียกพี่ เรียกน้องอีก!"

คำพูดนี้ทำให้ลานบ้านยิ่งเงียบกริบมากจากเดิม ทุกคนต่างกลั้นหายใจเฝ้ารอดูท่าทีของเด็กหญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่อย่างสง่ากลางวงล้อมของผู้ใหญ่เสิ่นเมี่ยวไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เธอยิ้มเย็นออกมาพร้อมกับหันไปมองพ่อที่มองไปทางบิดามารดาของตนรวมถึงพี่ชายที่ไม่มีวี่แววโอนอ่อน

ก่อนที่เขาจะระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง (มันคงถึงเวลาแล้วจริง ๆ ที่เขาควรจะพาครอบครัวไปจากบ้านหลังนี้ บ้านที่ไม่มีใครต้อนรับพวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูก)

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 109

    หลังจากแสดงความยินดีและซักถามสารทุกข์สุกดิบกันพอสมควรแล้ว หลี่หยุนก็เข้าเรื่องทันที "คืออย่างนี้ครับ ผู้อำนวยการหวัง ผมเองก็อายุมากแล้ว อยากจะขอเกษียณตัวเองจากตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกซ่อมบำรุงเสียที และผมก็เห็นว่าหลี่หานลูกชายของผมคนนี้เขามีความรู้ความสามารถทางด้านช่างเทคนิคและเครื่องยนต์ก

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 108

    ยามเช้าของวันต่อมา แสงแดดแรกของหางโจวในช่วงต้นฤดูร้อนสาดส่องลงมาอย่างอบอุ่นปลุกชีวิตชีวาให้กับสรรพสิ่ง ณ อาคารที่พักของพนักงานของโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าเฟยเยว่ ซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมือง ที่ซึ่งหลี่หานกำลังจะก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกซ่อมบำรุงต่อจากบิดา

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 107

    เย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่ทุกคนได้กินอาหารมื้อเย็นร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่น หลี่หยุนได้มีโอกาสพูดคุยและทำความรู้จักกับหลาน ๆ ทั้งสองคนอย่างเต็มที่ เขารู้สึกเหมือนความสุขทั้งหมดในชีวิตได้ย้อนกลับคืนมาอ

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 106

    "จริงเหรอครับ/ค่ะ พ่อ" สองพี่น้องร้องออกมาด้วยความดีใจ " "จริงสิลูก แต่ว่าเรื่องตู้เย็นเอาไว้พวกเราค่อย ๆ เก็บเงินซื้อกันนะ ตอนนี้ก็ซื้อน้ำแข็งไปก่อนเพราะโรงงานน้ำแข็งประชาชนอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง พอหน้าหนาวพ่อว่าน้ำแข็งก็ไม่น่าจะเป็นที่ต้องการเท่าไหร่แล้วละ" พูดถึงเรื่องนี้เซี่ยอ

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 105

    เย็นวันนั้นข่าวการเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกซ่อมบำรุงโรงงานเฟยเยว่ของหลี่หาน และความสำเร็จในการซ่อมเครื่องจักรที่แม้แต่ทีมช่างของโรงงานยังจนปัญญาก็ได้สร้างความปลาบปลื้มยินดีให้กับทุกคนในครอบครัวหลี่และครอบครัวเซี่ยเป็นอย่างมาก บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่ำเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและคำชื่นชม เซ

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 104

    (ซึ่งในระหว่างนี้ ทักษะการวิเคราะห์ปัญหาเครื่องจักรระดับสูงสุดที่เสี่ยวหม่าวมอบให้กำลังทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพในหัวของเขา) หลังจากใช้เวลาพิจารณาอยู่ไม่นานนัก ประมาณสิบกว่านาทีเห็นจะได้ หลี่หานก็เงยหน้าขึ้นด้วยแววตาที่มั่นใจ "ผมคิดว่าผมพอจะมองเห็นสาเหตุแล้วครับท่านผู้อำนวยกา

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status