เสิ่นหานยืนตัวแข็งอยู่กลางลานบ้าน ดวงตาเต็มไปด้วยความลังเลและเจ็บปวด
"พ่อคะ" เสิ่นเมี่ยวแม้ว่าจะเห็นใจพ่อของตนแต่เธอคิดว่าเจ็บสั้นดีกว่าเจ็บยาว ดังนั้นเธอจะต้องทำเรื่องนี้ให้จบลงอย่างเด็ดขาดในวันนี้
"พวกเราไม่ต้องการบ้านที่เต็มไปด้วยการเอาเปรียบอีกต่อไปแล้ว พ่อมีหนู มีพี่หยวน มีแม่ พวกเราอยู่ด้วยกันได้ไม่ต้องพึ่งพาใคร!" เสียงใสกังวานหนักแน่นเกินวัยแทรกผ่านบรรยากาศอึดอัดกดดันในลานบ้าน
เสิ่นหยวนที่ยืนอยู่ข้างน้องสาวกำมือแน่น แววตาเต็มไปด้วยความภูมิใจระคนสะเทือนใจคราวเดียวกัน เสิ่นหานตาแดงเรื่อสองมือกำแน่นจนสั่น เขามองลูกสาวตัวน้อยที่ยืนหยัดแทนตัวเองทั้งที่เธอควรได้รับการปกป้องมากกว่า แต่เธอกลับยืนหยัดขึ้นมาปกป้องเขาแทน
นางจางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจนตัวสั่นหลังได้ยินคำพูดของหลานสาวที่หล่อนมองว่าเป็นตัวขาดทุน ฟางหลานเม้มปากแน่น เสิ่นฉีกำลังอ้าปากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ชาวบ้านที่มุงดูอยู่เริ่มมีเสียงฮือฮาตามมา
"เด็กตัวเท่านี้ยังรู้จักพูด รู้เรื่องกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก..."
"จริงด้วย ทำแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ คนเป็นพ่อแม่แท้ ๆ ยังกล้าบังคับกันขนาดนี้"
เสียงซุบซิบที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สีหน้าของจางหลิน เสิ่นฉี และฟางหลานเริ่มแย่ลง เสิ่นเมี่ยวไม่สนใจเธอก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง แล้วแบมือเล็ก ๆ ออกไปตรงหน้าของฟางหลาน
"ห้าร้อยหยวน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่ต้องพูด!" เธอประกาศก้องอย่างท้าทาย ครั้งนี้ทั้งย่าและเสิ่นฉีต่างหันไปมองหน้ากันอย่างขุ่นเคืองโดยไม่เก็บอาการ
แม้จะโกรธจนควันแทบออกหูแต่พวกเขาก็รู้ดีว่าหากปล่อยให้เรื่องนี้บานปลายต่อหน้าชาวบ้านชื่อเสียงที่หวงแหนมานานจะต้องเสียหายย่อยยับอย่างแน่นอน ฟางหลานกัดฟันกรอด
"แม่คะ จ่ายสิคะ" เธอหันไปพูดกับแม่สามี
"แกจะบ้าเหรอ ฉันจะเอาเงินมาจากไหน" จางหลินตวาดแหวทันทีอย่างไม่พอใจก่อนที่หล่อนจะลงไปนั่งที่พื้นพลางทุบขาตัวเองเอ่ยตัดพ้อต่อสวรรค์
"ลูกอกตัญญู หมาป่าตาขาว" หล่อนเริ่มโวยวาย "ตอนนี้ครอบครัวแกก็ยังมีอาซือทำงานอยู่แต่ครอบครัวพี่ชายกำลังจะอดตายแกยัง..แกยังจะเอาเงินอีก" นางจางบีบน้ำตารำพึงรำพันน้ำหูน้ำตาไหลพราก
แต่แววตากลับฉายแววแข็งกร้าวและชำเลืองดูท่าทางของบุตรชายคนเล็กอย่างคำนวณเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องใจอ่อนเหมือนทุกครั้งอย่างแน่นอน
ชาวบ้านบางคนที่ใจอ่อนหรือยังยึดติดกับธรรมเนียมเก่า เริ่มมีสีหน้าลังเลเห็นใจหญิงชราที่นั่งฟูมฟายอยู่กับพื้น แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นและพอจะรู้นิสัยของคนบ้านนี้อยู่บ้างเริ่มส่ายหน้าอย่างระอา เสียงซุบซิบดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้แฝงแววสมเพชในการกระทำของจางหลินมากกว่า
"โธ่เอ๊ย...เล่นละครเก่งเหมือนงิ้วเลยนะ" "ใช่ ๆ พอเถียงสู้ไม่ได้ก็ลงไปนั่งร้องไห้เรียกคะแนนสงสาร" "น่าสงสารอาหานนะ มีแม่กับพี่ชายแบบนี้"
เสิ่นหานยืนหน้าซีดเผือดมือไม้สั่น เขามองแม่ที่นั่งอยู่บนพื้นแล้วก็รู้สึกปวดใจ แต่พอได้ยินคำพูดกล่าวหาว่าอกตัญญูทั้งที่ตนช่วยเหลือครอบครัวพี่ชายมาตลอด ความน้อยใจและความโกรธก็ตีตื้นขึ้นมา เขากำลังจะอ้าปากพูดแต่เสียงใส ๆ ที่หนักแน่นของลูกสาวตัวน้อยก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
"ย่าคะ ลุกขึ้นเถอะค่ะ พื้นมันเย็นเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้นะคะ ชาวบ้านเขามองกันเต็มไปหมดแล้ว อายเขาค่ะ ย่าไม่อายเหรอ"
น้ำเสียงของเสิ่นเมี่ยวเรียบเฉย ไม่ได้แสดงความเห็นใจแต่ก็ไม่ถึงกับแข็งกระด้าง เป็นน้ำเสียงของผู้ใหญ่ที่กำลังเตือนสติเด็กน้อย ทำให้จางหลินที่กำลังฟูมฟายถึงกับชะงักไปเล็กน้อย มองหลานสาวด้วยความคาดไม่ถึง
เสิ่นเมี่ยวไม่รอให้ย่าได้ตั้งตัว เธอกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงชัดเจน "จริงอยู่ที่ตอนนี้ครอบครัวลุงเสิ่นฉีลำบากเพราะโรงงานปิดตัว แต่การจะมาบังคับให้พ่อหนูสละตำแหน่งงานที่ทำมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของตัวเอง มันใช่ทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือคะ?"
เธอหันไปมองทางลุงกับป้าสะใภ้ "แล้วที่ผ่านมาหลายปี ครอบครัวเราส่งข้าวส่งเกลือให้ครอบครัวลุงไม่เคยขาด มีปัญหาอะไรพ่อกับแม่ก็คอยช่วยเหลือตลอด ลุงกับป้า...แล้วก็ย่า ลืมไปหมดแล้วหรือคะ?"
คำพูดนั้นแทงใจดำของทั้งเสิ่นฉีและฟางหลาน พวกเขาหน้าเสียไปเล็กน้อยแต่ยังคงเชิดหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เสิ่นเมี่ยว หันกลับมามองย่าที่ยังคงนั่งเงียบทว่าดวงตาแข็งกร้าวเช่นเดิมอย่างคนไม่ยอมรับความจริง
"ส่วนเงินห้าร้อยหยวนที่หนูพูดถึง...ย่าคะ นั่นไม่ใช่ว่าหนูเห็นแก่เงิน หรือจะมาซ้ำเติมคนล้ม แต่เงินจำนวนนั้นคือเงินที่ครอบครัวลุงติดค้างบ้านเรามานานแล้ว ทั้งค่าหยูกค่ายา ค่าใช้จ่ายจิปาถะที่พ่อกับแม่ต้องออกให้ก่อนอยู่เสมอ ไหนจะเงินที่ย่าหยิบยืมไปครั้งแล้วครั้งเล่าอีก"
เธอเว้นจังหวะให้ชาวบ้านได้ยินกันอย่างชัดเจน "ถ้าวันนี้ย่ากับลุงต้องการจะให้พ่อหนูสละตำแหน่งงาน ดังนั้นเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ย่ากับครอบครัวของลุงใหญ่ก็สมควรต้องจัดการหนี้สินเก่าที่ติดค้างกันมานานให้หมดสิ้นเสียก่อน ไม่ใช่หรือคะ? มันถึงจะยุติธรรม"
คราวนี้เสียงฮือฮาจากชาวบ้านดังยิ่งกว่าเดิม หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับเหตุผลของเด็กหญิงตัวน้อย
"เออ เรื่องนี้ถูกต้อง เป็นหนี้ก็ต้องใช้คืนสิ" "นั่นน่ะสิ ไม่ใช่จะมาเอาแต่ได้อย่างเดียว" "ที่แท้ก็ติดหนี้เขาไว้เยอะนี่เอง แต่ทำไมยังถึงได้กล้ามาบังคับเอาตำแหน่งงานเขาอีก...นี่มันจะไม่หน้าหนาเกินไปหน่อยหรอกหรือ" เสียงของชาวบ้านเริ่มเข้าข้างไปทางเสิ่นหาน
จางหลินหน้าซีดสลับเขียวด้วยความโกรธและอับอาย นางอยากจะกรีดร้องด่าทอหลานสาวที่ไม่รู้ว่าวันนี้ไปกินยาผิดสำแดงอะไร จากคนเงียบแม้แต่เสียงดังหน่อยก็หวาดกลัวทว่าในวันนี้เหตุใดมันถึงได้พูดเอาพูดเอา
แต่เมื่อหล่อนเห็นสายตาของชาวบ้านที่มองมาอย่างกดดันและไม่เห็นด้วย นางจางก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ทางตัวเองหาใช่จะได้เปรียบอีกทั้งหากหล่อนยังดึงดันต่อไปมีแต่จะเสียกับเสีย
นางจางจึงได้แต่จ้องมองเสิ่นเมี่ยวเขม็ง ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น...นังเด็กเปรตนี่ มันร้ายกาจเกินเด็กจริง ๆ!
ท่ามกลางของความอึกทึกโกลาหลเซี่ยอวิ๋นซือที่เพิ่งกลับมาถึงพลันรู้สึกเกิดความประหลาดใจที่เห็นชาวบ้านจำนวนมากอยู่ล้อมรอบหน้าประตูบ้าน
"นั่นแม่ของเมี่ยวเมี่ยวกลับมาแล้ว" ใครบางคนที่อยู่ในกลุ่มพูดพลางชี้นิ้วมาทางเธอ
เซี่ยอวิ๋นซือใจหายวาบ เร่งฝีเท้าสาวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้น หัวใจเต้นแรงด้วยความสังหรณ์ใจไม่ดี เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บ้าน? แล้วภาพที่เห็นเมื่อแหวกกลุ่มคนเข้าไปได้ก็ทำให้เธอแทบหยุดหายใจ
แม่สามี กำลังนั่งแผละอยู่กับพื้นดินกลางลานบ้าน ใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตาแต่ดวงตาแข็งกร้าว สามีของเธอ ยืนหน้าซีดเผือดมือสั่นอยู่ไม่ไกล ลูกสาวตัวน้อยกับลูกชายบุญธรรมยืนเคียงข้างพ่อด้วยท่าทีปกป้อง ส่วนพี่ชายสามีกับภรรยาก็ยืนหน้าตึงอยู่ใกล้ ๆ บรรยากาศตึงเครียด
"นี่มัน...เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?" เซี่ยอวิ๋นซือเอ่ยถามเสียงสั่นเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหายไปสิ้นเมื่อถูกแทนที่ด้วยความกังวล
ยังไม่ทันที่คนในครอบครัวจะได้ตอบ ป้าหวังเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็รีบชิงอธิบายอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแทน
"ก็แม่สามีเธอนะสิ อวิ๋นซือ! ไม่รู้ไปฟังอะไรมา จะมาบังคับให้เสิ่นหานสละตำแหน่งหัวหน้างานที่โรงงานให้เสิ่นฉีเขาน่ะสิ พอเสิ่นหานไม่ยอมก็หาว่าอกตัญญู แล้วนังหนูเมี่ยวเมี่ยวนี่แหละ เก่งจริง ๆ ออกมาปกป้องพ่อ บอกว่าถ้าจะเอาตำแหน่งไปก็ต้องเอาเงินห้าร้อยหยวนที่เป็นหนี้เก่ามาคืนก่อน!"
เซี่ยอวิ๋นซือเบิกตากว้าง หันขวับไปมองแม่สามี พี่ชายสามี และสามีของตนสลับกันไปมา จางหลินพอเห็นลูกสะใภ้มาถึงก็รีบเบะปากร้องไห้โฮเสียงดังมากกว่าเดิมชี้มือมาทางเสิ่นเมี่ยว
"สะใภ้รองเธอดูสิ! ดูนังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ลูกของหล่อนมันกล้าทำกับย่า! มันใส่ร้ายว่าพวกฉันติดหนี้! แล้วยังยุให้พ่อมันแข็งข้อกับฉันอีก! เธอดูสามีเธอมันเลี้ยงลูกยังไงให้มาปีนเกลียวย่าตัวเองแบบนี้!" นางพยายามโยนความผิดทั้งหมดให้หลานสาวและลูกชายคนเล็กหวังให้ลูกสะใภ้เข้าข้างตน
เสิ่นเมี่ยวรู้ทันความคิดของย่า เธอรีบหันไปหาแม่จับมือหล่อนเอาไว้แน่นพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนมากกว่าเก่าก่อนที่แม่จะทันได้ไขว้เขว
"แม่คะ! ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ! วันนี้โรงงานลุงฉีปิดตัว ลุงตกงาน ย่ากับลุงเลยจะมาบังคับให้พ่อสละตำแหน่งหัวหน้างานให้ลุงฉีค่ะ! พ่อไม่ยอม ย่าก็เลยด่าพ่อว่าอกตัญญู หนูทนไม่ได้ก็เลยบอกไปว่าถ้าจะให้พ่อเสียสละขนาดนั้นก็ต้องคืนเงินห้าร้อยหยวนที่ย่ากับลุงติดหนี้บ้านเรามานานแล้วคืนมาก่อนถึงจะยุติธรรมค่ะ"
เซี่ยอวิ๋นซือมองลึกลงไปในดวงตาที่แน่วแน่ของลูกสาวตัวน้อย ก่อนจะหันไปมองสามีที่ยืนก้มหน้ากำหมัดแน่น และมองไปยังแม่สามีที่บัดนี้เงียบเสียงร้องไห้ไปแต่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยแววตาอาฆาต
ในฐานะภรรยาและแม่ที่อยู่กับครอบครัวนี้มานาน นางย่อมรู้ดีถึงความลำเอียงของแม่สามีและความเอาเปรียบของครอบครัวพี่ชายสามีมาตลอด แม้จะพยายามอดทนเพื่อความสงบสุขแต่ครั้งนี้มันเกินไปจริง ๆ ที่จะมาบังคับแย่งตำแหน่งงานที่สามีทำมาอย่างยากลำบาก
นางสูดหายใจลึกก้าวเดินไปประคองสามีให้ยืนตรง ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับแม่สามีและพี่ชายสามี แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่แววตาที่มองไปนั้นไม่ได้อ่อนข้อเหมือนเช่นเคย มันฉายแววปกป้องครอบครัวของตนเองอย่างชัดเจนทำให้จางหลินและเสิ่นฉีรู้สึกเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ... ดูเหมือนว่าวันนี้ ลูกสะใภ้ที่เคยคิดว่าอ่อนแอกำลังจะเปลี่ยนไป