LOGINบทที่ 4 วัยใส
มันเป็นเดือนที่แย่ที่สุดในชีวิต ถ้าไม่นับรวมวันที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันหลังจากที่พ่อกลับมาจากต่างจังหวัดได้สองวัน
ฉันแหงนศีรษะมองท้องฟ้าในตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน กระชับเสื้อกันหนาวไหมพรมสีอ่อนขณะยืนรอกำปั่นมารับ ในตอนนี้คนทั้งโรงเรียนรับรู้ว่าฉันและกำปั่นเป็นแฟนกัน
แปร๋น!!
“แก้ม” เสียงกำปั่นสดใสเช่นเคยในทุกเช้าซึ่งเป็นเวลาเกือบเดือนมาแล้วที่มารับส่งฉันถึงบ้าน
“กำปั่น”
ฉันเพิ่งสังเกตว่ากำปั่นตัวเล็กแค่ไหนเมื่อฉันนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วหน้าฉันโผล่พ้นไหล่จนลมกระแทกทรงผม ซึ่งถ้าฉันนั่งซ้อนไอ้ปืน ฉันไม่เคยโดนลมเลยด้วยซ้ำ - - นี่ฉันเปรียบเทียบกำปั่นกับไอ้ปืนได้ยังไง
ฉันรับหมวกกันน็อกมาสวมและรัดสายคาดเองก่อนจะขึ้นไปนั่งไพล่ ชำเลืองกลับไปมองในซอยบ้านไอ้ปืนยังปิดเงียบ ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง
“วันนี้เย็นไปกินลานนมกันไหม”
กำปั่นเอี้ยวหน้ากลับมาตะโกนถาม
“ไม่ได้อ่ะ ต้องเรียนพิเศษ”
พอพูดจบฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจึงนั่งซ้อนท้ายเงียบ ๆ มองพื้นถนนขณะที่รถมอเตอร์ไซค์พาฉันไปเรื่อย ๆ รู้สึกมือไม้เกะกะจนไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน ถ้าซ้อนไอ้ปืนฉันจะโอบเอวมันได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่กับกำปั่นแล้วฉันไม่กล้า จึงเลือกจับเบาะนั่งแทน
“งั้นตอนกลางวันไปกินข้าวโรงอาหารด้วยกันนะ”
“ไอ้เปิ้ลมันบอกว่าวันนี้มันขอ ไว้คราวหลังแล้วกัน”
ฉันพูดโพล่งทันทีโดยไม่ได้คิดล่วงหน้ามาก่อน ขอแค่ได้บอกผัดออกไปก่อน
เอี๊ยด .... ฉันโก่งตัวขณะที่รถเบรกติดไฟแดง
ลอบถอนหายใจ
ระหว่างรอรถจอดไฟแดงจึงเห็นรถมอเตอร์ไซค์อีกคันมาจอดด้านข้าง - - ปืน
ฉันค่อยคลี่ยิ้มออกมาตั้งท่าจะเรียกแต่ปืนไม่ยอมหันมา ฉันชายตามองกำปั่นด้านหน้าสัมผัสได้ว่าแผ่นหลังกำปั่นเหยียดตรงขึ้น กำปั่นเองก็ไม่ยอมมองไปทางปืนเช่นกัน - - เกิดอะไรขึ้น
ฉันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างเพื่อนสนิทใต้หมวกกันน็อกไร้กระจก สีหน้าบึ้งตึง เม้มปากนิ่ง มือกำแฮนด์รถไว้แน่น เหมือนแน่นเกินไปเพราะขึ้นรอยเอ็นปูดออกมา
เหมือนสีผิวคล้ำขึ้นอีกสงสัยคงซ้อมบาสเก็ตบอลช่วงกลางวัน ไหล่กว้างกว่าเดิมทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ซ้อนท้ายมันมาแค่เกือบเดือน หน้าคมสันจมูกโด่งมากแต่รับกับใบหน้าดี ดวงตาเรียวชี้ขึ้นเล็กน้อยและยังคิ้วเข้มไม่ดกหนารกครึ้มเหมือนผู้ชายคนอื่นทั้งที่ไม่ได้กันคิ้วแม้แต่น้อย แต่เหตุใดคิ้วของไอ้ปืนถึงได้เรียงเป็นระเบียบ - - เช้านี้คงรีบไม่ทันได้โกนหนวด เคราครึ้มเชียว
บรื้น ... ฉันตกใจที่จู่ ๆ กำปั่นเร่งความเร็วออกตัวไปก่อนที่จะไฟเขียวจนฉันต้องร้องออกมา
“กำปั่น!!”
ภาพรถอีกคันพุ่งออกมาเช่นกันทางขวามือเพราะถือว่ายังไม่เปลี่ยนสัญญาณเป็นไฟแดงและเป็นทางตรง ฉันหลับตาแน่นสวดภาวนา
วืด .... ทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีอุบัติเหตุ รถทั้งสองคันหลบกันได้อย่างเฉียดฉิวน่าหวาดเสียว ฉันกำเบาะรถแน่นขึ้น ดวงหน้าซีดเผือด จำใจนั่งซ้อนท้ายไร้คำพูดกระทั่งถึงโรงเรียน
เอี๊ยด ...
ฉันรีบกระโดดลงทันทีและถอดหมวกกันน็อก กำลังจะต่อว่ากำปั่นเรื่องเมื่อครู่พลันเสียงเบรกรถใกล้กันพร้อมเสียงของปืนตะโกนออกมา
“ไอ้เหี้ยกำปั่น มึงขี่รถเหี้ย ๆ อย่างงี้ได้ไงว่ะ”
“อะไรไอ้ปืน กูจะขี่ยังไงก็เรื่องของกูหรือเปล่าว่ะ”
“เรื่องของมึง!!! ไอ้เหี้ยพูดหมา ๆ ถ้ามึงไปคนเดียวกูไม่ยุ่งเลย แต่นี่แก้มนั่งมาด้วย”
“ทำไม แก้มนั่งมาด้วยแล้วมีอะไร แก้มมันเป็นแฟนกูหรือเปล่า มึงเสือกอะไรด้วย”
“ไอ้เหี้ย!!”
ตุบ ตับ พลั่ก
ฉันรีบวางกระเป๋าทันทีเมื่อปืนกระโจนเข้าหากำปั่นหลังจากสิ้นคำว่า ‘ไอ้เหี้ย’ มันเป็นคำหยาบ ไม่สุภาพที่คนเราไม่ควรใช้พูดกัน แต่ฉันเห็นด้วยกับปืนในเช้านี้ กำปั่นสมควรโดนด่าแล้ว แต่ต่อยกันจนคลุกฝุ่นลานจอดรถคงไม่ดีเท่าไร - - ฉันยังไม่อยากขึ้นห้องปกครองนะโว้ย
“ปืน กำปั่น หยุด หยุด!!”
ไม่มีใครสนใจเสียงห้ามเล็กแหลม ด้วยความสูงใหญ่กว่าอย่างนักกีฬา ตอนนี้ปืนขึ้นไปนั่งคร่อมกำปั่นแล้ว และเงื้อมมือต่อยหน้าลงไปไม่ยั้งจนฉันกลัว เลือดกบปากกำปั่น ตาเขียวปื้นทันตา - - แย่แน่ขืนปล่อยไว้กำปั่นตายแน่
“ปืนหยุด พอเถอะ เดี๋ยวครูมาปืน ปืน!”
ฉันคว้ามือปืนไว้ดึงกระชากแต่ปืนคล้ายคนเสียสติ สะบัดมือฉันออกอย่างแรงแล้วต่อยลงไปอีกครั้ง
“ปืน ขอร้อง หยุดเถอะ”
แล้วฉันก็ทำในสิ่งที่คนทั้งโรงเรียนจะเอาไปพูด นินทา หรือเม้าท์มอย ไม่ว่าจะเรียกแบบไหนก็เหมือนกันคือพูดถึงคนลับหลังด้วยการเข้าไปกอดไอ้ปืนจากด้านหลังรัดจนแน่น
“ปืน แก้มขอร้อง หยุดเถอะ แก้มไม่อยากให้ปืนขึ้นห้องปกครอง”
เสียงเล็กสั่นเครือของฉันคงเข้าไปในโสตประสาทของปืนแล้ว เพราะตอนนี้เขาหยุดนิ่งสนิทก้มหน้าลงมองกำปั่นแล้วลุกขึ้นโดยดึงฉันขึ้นไปด้วย
“กูไม่ขอโทษมึงไอ้กำปั่นเพราะมึงสมควรโดนแล้ว”
ตอนนี้กำปั่นนอนนิ่งจ้องมองมาทางฉันและปืนสลับไปมาหลายครั้งแล้วจึงสบถออกมา พยุงร่างลุกนั่งเอามือปาดเลือดขอบปากแหล่ตามองมาทางเราสองคน ฉันกุมมือปืนแน่นขึ้น
“ครูมา ครูมา”
เสียงตะโกนจากเพื่อนที่ยืนมุงดูทำให้ฉันมองเห็นอาจารย์ขาโหดประจำห้องปกครองเดินตรงมายังพวกเรา
“ซวยแน่ปืน”
“เออ ไม่เป็นไรหรอกก็แค่ภาคทัณฑ์”
ฉันกำมือไอ้ปืนแน่นขึ้นอีก มือใหญ่กว่าชื้นเหงื่อจนชุ่ม และฉันก็ทำสิ่งที่คิดว่าควรทำอีกเช่นกันด้วยการเอาหัวไปพิงไหล่มัน
“กูขอโทษ เพราะกู มึงคืนดีกับกูได้ไหม ไม่มีมึงกูเหงา”
ต้นแขนไอ้ปืนเหยียดตึงขึ้นชั่วแวบหนึ่งจนฉันสัมผัสได้ก่อนที่จะผ่อนคลายแล้วหัวเราะเบา ๆ
“กูก็ไม่ได้โกรธอะไรมึงนี่ แต่ตอนนี้เราคงต้องไปห้องปกครองแล้ว”
ฉันขยับตัวออกห่างทันที ขืนยังยืนชิดกันอีกคงไม่แคล้วโดนอีกหนึ่งกระทง แล้วอมยิ้ม อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ได้กลับบ้านกับไอ้ปืนเหมือนเดิม - - ดีใจจัง
“ว่าไงนะแก้ม”
เสียงแม่ตะโกนแว้ดขึ้นสูงทันทีเมื่อฉันเล่าให้ฟังว่าปืนและกำปั่นโดนภาคทัณฑ์
“อย่างที่เล่าให้ฟังแหล่ะแม่ กำปั่นมันขับรถฝ่าไฟแดงแล้วปืนไปเห็นเข้าเลยเกิดเรื่อง”
“ตายแล้ว”
“ยังแม่ ยังไม่ตาย”
“อย่ามาทะเล้นเลยนะ อ๋อ แล้วกำปั่นเป็นอะไรมากไหม เจ้าปืนตัวยิ่งใหญ่โต”
“เอาเรื่องเหมือนกัน แต่เอ็กซเรย์แล้วสมองไม่มีอะไรกระเทือน”
“แล้วกับเรายังคบกันไหม”
“ไม่อ่ะ ไม่เอาแล้ว แก้มกลัวตาย”
ฉันทำท่าขนลุกก่อนลุกขึ้นจากโต๊ะห้องครัว มองหาพ่อแต่ไม่เห็นกำลังจะอ้าปากถามแต่เปลี่ยนใจ อย่าดีกว่า ขืนถามเรื่องพ่อตอนนี้แม่คงได้บ่นยาว
“เดี๋ยวหนูไปดูไอ้ปืนมันหน่อยนะ แม่มีขนมไหมเอาไปปลอบใจมันหน่อย”
“มีอยู่ในตู้เย็น” แม่พูดจบลุกขึ้นไปก้ม ๆ เงย ๆ เป็นพักแล้วหยิบเอาถุงขนมหวานออกมาสองถุง “บัวลอยไข่หวาน”
“ยี้ ไม่เอา ไม่มีเค้กเหรอ”
“ฮึ เราไม่ชอบกินแต่ปืนอาจจะชอบก็ได้ เอาไปเถอะไปฝากเจน”
“ก็ได้” ฉันพยักหน้าแล้วคว้าถุงขนมแล้วเดินไปยังตู้ยาทำจากไม้สักตอกติดไว้ข้างฝาบ้าน เลือกหยิบพวกยาใส่แผลพลาสเตอร์
แอ๊ด ....
“คืนนี้ค้างบ้านปืนนะแม่” ฉันตะโกนไล่หลังไม่ทันรอให้แม่อนุญาติรีบวิ่งออกมาก่อนแล้วหัวเราะ
อากาศเดือนกุมภาพันธ์ยังคงหนาวจนฉันต้องกระชับเสื้อไหมพรมตัวเก่ง เดินแกว่งแขนไปพลางยิ้มจนแก้มปริ ข้างในมันอุ่นจนร้อนแปลกๆ แหงนมองท้องฟ้ายามค่ำของต่างจังหวัด แต่ไม่ค่อยเห็นดาวเท่าไร
เดินผ่านบ้านหลังเดิมสองหลังจนกระทั่งมองเห็นบ้านเลขที่ ต้นทองอุไรหน้าบ้านออกดอกสีเหลืองสด อ่างปลาคราฟสีเผือกตัวใหญ่สองตัว เดินตัดโรงจอดรถเข้าประตูเล็กตรงหน้าห้องครัว
“น้าเจนคะ”
“อ้าวแก้ม” น้าเจนตะโกนตอบมาจากในครัวจึงทำให้ฉันต้องเดินเข้าไปก่อน
“แม่ให้เอาบัวลอยมาให้ค่ะ ปืนกินหรือเปล่าคะ”
“ขอบใจนะ ปกติก็กินแต่นี่สองทุ่มแล้วคงไม่กินแล้วล่ะ”
“ค่ะ แก้มขึ้นไปนะคะ”
“จ้า อ๋อ เอาน้ำขึ้นไปด้วยกับยาแก้ปวด”
ฉันรับถุงยากับขวดน้ำมาเพิ่มแล้วเดินขึ้นบ้านชั้นสอง บ้านของปืนกับฉันเหมือนกัน เป็นบ้านจัดสรรของคนระดับปานกลาง เงินเดือนไม่เกินสี่หมื่น บันไดไม้เนื้อแข็งขัดเงา และห้องของปืนอยู่ด้านหน้า
แอ๊ด ... ฉันไม่เคยเคาะประตู
“ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ”
“อืม..มีอะไร”
ปืนพยุงตัวลุกนั่งจากเตียง หัวยุ่งไปหมดคงหลับไป
“น้าเจนให้เอายามา ยาแก้ปวด”
ฉันมองมือสีเข้มแบออกจึงวางของก่อนแกะเม็ดยาส่งให้
“มันเป็นยาคลายกล้ามเนื้อนะ กินแล้วจะง่วง”
“อืมเอามาเถอะปวดมือ”
“สมน้ำหน้า” ฉันว่าพลางยื่นขวดน้ำส่งให้แล้วนั่งลงด้านข้างจับมือขึ้นมาดู “ช้ำเลย ประคบเย็นหน่อยไหม” ปืนชักมือกลับ
“ไม่ต้อง พรุ่งนี้ก็หาย”
“ตัวร้อนด้วย เป็นไข้เลยเหรอ” ฉันเอามืออังหน้าผากยื่นหน้าไปใกล้ แต่เหมือนปืนสะบัดหน้าหนีแล้วพลิกตัวขึ้นไปนอน
“อ้าว จะนอนเลยเหรอไม่อาบน้ำก่อน”
“เดี๋ยวค่อยลุกอาบ”
น้ำเสียงทุ้มยังห้วนจัด สงสัยคงยังโกรธเลยไม่อยากเซ้าซี้อีก ฉันเลยลุกไปปิดไฟเหลือเพียงไฟโคมดวงเล็ก แล้วขึ้นไปนอนด้วยอย่างที่ทำมาหลายปี
“มึงจะนอนนี่เหรอแก้ม”
“ทำไมล่ะ กูก็นอนมาหลายปี”
“แต่ต่อไปนี้มึงอย่ามานอนอีก”
“ทำไมล่ะ มีอะไร” ฉันตะแคงตัวไปหาปืน จ้องหน้าแกร่งที่ปิดดวงตาอยู่ แต่ปืนไม่ตอบ “กูขอโทษ”
“มึงขอโทษกูเรื่องอะไร”
“ไม่รู้สิ กูคิดว่ามึงโกรธกู”
“เปล่า กูไม่ได้โกรธมึงแก้ม”
“แล้วทำไมมึงไม่มองกู” ฉันยังคาดคั้นตามนิสัยเอาแต่ใจ แล้วยกมือประกบกรามแกร่งปืนไว้ทั้งสองข้าง มันสะดุ้งทันทีจนฉันสัมผัสได้
“ปืน กูอยากให้มึงจูบกู”
พรึบ...
ปืนขยับเปลือกตาลืมขึ้นทันทีจ้องฉันเขม็ง ตัวแข็งจนฉันต้องเลื่อนมือลงมายังต้นแขน
“กูจูบกับกำปั่น” ปืนขยับตัวออกกำลังจะเบือนหน้าหนี แต่ฉันจับหน้ามันให้หันกลับมา “และกูไม่ชอบเลยปืน กูขยะแขยง กูไม่อยากมีความรู้สึกนี้ กูยังรู้สึกถึงรสชาติพะอืดพะอมติดอยู่ในปาก”
ฉันอ้อนวอนมันด้วยสายตาอันอ่อนเชื่อม ให้มันใจอ่อนและช่วยขจัดรสชาติของกำปั่นให้ออกไปให้หมด แต่มันนิ่งเงียบ
ดวงตาคมดุจเหยี่ยวสีนิลจ้องฉัน กวาดมองแล้วกลับมาจ้องตาอีก ไม่ขยับเข้ามาหาฉันเลยแม้แต่น้อยจนฉันกลัว แต่แล้ว...ในที่สุด ปืนก็ขยับเข้ามา ใกล้ ใกล้ขึ้นอีก
อืม ... ดีจริง
“ปืน”
นั่นเสียงของฉันเหรอทำไมมันแหบจัง แต่ฉันคงพูดได้เพียงเท่านี้เพราะนอกนั่นปากฉันถูกปืนครอบครองจนหมดเนิ่นนาน
ลำแขนแกร่งแน่นอย่างนักกีฬารัดฉันเข้าไปหา ดันจนชิดแนบแน่น ประกบปากลงบนคลึงอ่อนหวาน อืม ... ต้องเป็นคำนี้ เย้ายวน เล้าโลม และตอนนี้ฉันเริ่มเปิดปากออกตามสัญชาตญาณ แต่ปืนหยุดลงเสียก่อน
“กี่ครั้ง”
“อะไร”
“ไอ้กำปั่นจูบแก้มกี่ครั้ง”
ฉันอึ้งงันไม่ทันได้เอ่ยตอบ ปืนประกบปากลงอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเขาที่บังคับให้ฉันต้องเปิดปากเพื่อรับเขาเข้าไป สอดลิ้นชอนไช บ้างขบเม้ม เลื่อนริมฝีปากทั่วพวงแก้มลงซอกหูแล้ววกมาจูบอีกครั้ง
ความร้อนของเราทั้งคู่กำลังไต่ระดับเกินพอดีจนฉันเป็นฝ่ายหวาดหวั่นใช้มือดันแผงอกปืนไว้
“พะ พอก่อน หยุดก่อน”
“มึงขอแก้ม”
“กูรู้ แต่ เราต้องหยุด พอแค่นี้”
เขามีสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจ ตั้งท่าขยับเข้าหาอีกครั้งแต่ฉันยังย้ำคำเดิม
“เราต้องหยุดเท่านี้ปืน ต้องหยุด”
นั่นแหล่ะที่ฉันสัมผัสได้ว่าร่างของปืนนิ่งขึงไป
“มึงวอนขอ ใช้กู แล้วหยุด มึงก็รู้ว่าถ้าเราจูบกันความสัมพันธ์มันจะเปลี่ยน”
“กู ... “
“พอได้แล้ว มึงไม่ต้องพูด กูจะไม่จูบมึงแล้วแก้ม ถ้ามึงไม่พร้อมจะเปลี่ยนความสัมพันธ์ ก็พอแค่นี้”
อากาศหนาวเข้ามาแทนที่ทันทีเมื่อปืนพลิกตัวออกห่างแล้วหันตะแคงข้างไปฝาผนัง
“แก้ม ... ต่อไปมึงอย่าขอกูอีก ถ้ามึงขอกู กูจะไม่หยุด มึงเข้าใจที่กูพูดหรือเปล่า” ปืนส่งเสียงแหบพร่าต่ำจนฉันหวั่นใจ กำลังขยับไปใกล้แต่ปืนพูดดักคอไว้เสียก่อน
“มึงอย่ามาใกล้กู และต่อไปมึงอย่ามานอนห้องกูอีก กูขอร้อง”
ฉันนอนนิ่งไม่กล้าขยับตัวอีกแม้แต่น้อยกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจกรนเบาจากอาการง่วงฤทธิ์ยาจึงได้หย่อนเท้าลงจากเตียง เอี้ยวหน้ากลับไปมองปืนอีกครั้งแล้วลุกขึ้น
ลมกรรโชกแรงจนผมปลิวระใบหน้า ฉันปัดออกทัดหูไว้แล้วกระชับเสื้อคลุมไหมพรมขณะเดินกลับบ้าน เงียบเหงา ในใจรู้สึกวูบโหวงแปลก ๆ ความรู้สึกนี้มันคืออะไร - - หรือ ...ฉันชอบไอ้ปืน
นั่นแหล่ะ คือวันสุดท้ายที่ฉันได้นอนกับมันที่บ้าน แต่ในใจลึก ๆ ฉันรู้ว่ามันจะยังไม่จบเท่านี้ เรายังต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันอีกสี่ปี ฉันไม่มีทางยอมห่างจากมันแน่ ๆ
บทที่ 5 วัยมหา’ลัยชีวิตมัธยมปลายอันน่าบัดซบของผมจบลงเพียงเท่านั้น และตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยคะแนนเลิศหรู เพียงแต่ผมไม่ได้เลือกเรียนวิศวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายเลือกคณะสถาปัตยกรรม“ปืน”ยายเตี้ยยังคงตามติดชีวิตผมดั่งเงาเช่นเคย“อืม” ผมเดินนำหน้าไปทางอาคารสำนักวิทยบริการ ชื่อเรียกแสนยากฉะนั้นทุกคนจึงเรียกมันว่าห้องสมุด ตึกแปดชั้นกลางมหาวิทยาลัยรั้วสีอิฐ มอดินแดง สารพัดชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้“นายว่างป่ะ”“ไม่” ผมรีบตอบ“คืนนี้เพื่อนชวนไปหลังมอ”“อืม”ตอนนี้พวกเราเดินเข้าห้องสมุดแล้ว ผมตรงไปยังห้องอ้างอิงทันทีเพราะไม่อยากเสวนาด้วยแต่เหมือนยายเตี้ยคร้านจะสนใจกฎในห้องสมุดว่าห้ามส่งเสียงดัง เธอเดินตามติดและนั่งลงกับพื้นพร้อมผมเมื่อถึงชั้นหนังสือรวมภาพถ่ายทั่วโลก“แต่ฉันอยากให้นายไปด้วย”แก้มส่งเสียงเบาเล็ก ๆ ข้างหูจนผมจักกะจี้ เอามือผลักหน้ามันออกห่างแล้วจ้องหน้า“ทำไม” เห็นไหมในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไป อันนี้จะโทษใครได้นอกจากความใจอ่อนของตัวเอง“วันเกิดไอ้วาด แต่ไอ้ตั้มมันไปด้วย” น้ำเสียงอ่อนลงแล้วเอาหัวมาพิงไหล่ผมไว้มือยื่นออกหยิบหนั
บทที่ 7 ถึงคราวต้องจากพายุเข้าภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างที่กรมอุตุแจ้งเตือนมาได้สองวันแล้ว ฉันนอนหงายบนเตียงยกเท้าซ้ายพาดหัวเข่าขวาแกว่งเท้า มือเลื่อนไถหน้าจอโทรศัพท์อินสตราแกรมแล้วอมยิ้มปืนไม่ได้อัพหน้าฟีคมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ฉันรู้ทุกวินาทีชีวิตของเพื่อนสนิท ไม่สิ อีกสองวันก็ไม่ใช่แล้ว - - ทำไมฉันต้องอมยิ้มด้วยนะร่างเล็กพลิกตัวนอนตะแคงกำลังจะวางโทรศัพท์พลันเสียงข้อความดังขึ้น แก้ม ต้องกลับบ้านด่วนแม่ฉันรีบผุดลุกนั่งขมวดคิ้วจนย่นตรงกลางหน้าผาก ปกติแม่ไม่ใช้คำพูดแบบนี้ ถ้ามีเรื่องด่วนยังไงก็ไม่ห้วนจัด จึงตัดสินใจต่อสายคุยกริ๊ง ...“แม่ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ความเงียบเข้าปกคลุมก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงถอนหายใจ“กลับบ้านแล้วแม่จะเล่าให้ฟัง คืนนี้เลยนะมีรถทัวร์ เก็บเสื้อผ้ามาให้มากหน่อย ข้าวของที่ไม่จำเป็นให้ฝากเพื่อนไว้ ส่วนอะไรสำคัญเก็บมาให้หมด”ฉันยิ่งขมวดคิ้วหนัก แบบนี้เรื่องใหญ่แน่“แม่ไม่เล่าให้หนูฟังสักหน่อยเหรอคะ”“เล่าตรงนี้ไม่ได้แก้ม เชื่อแม่นะกลับบ้าน”ฉันดึงโทรศัพท์ออกห่างเพื่อดูหน้าจอ แม่วางสายไปแล้ว ตอนนี้ใกล้จะบ่ายสาม เร็วสุดคงรถเที่ยวสองทุ่มพอมี แล้วส่งข้อความหาปื
บทที่ 6 ncฟ้าฝนไม่เป็นใจช่วงยามเช้าในอีกสี่วันต่อมาหลังจากการประกาศก้องยอมให้ปืนเชยชมร่างกายอันสวยสดของฉันในเช้าวันนี้ฉันยืนนิ่งมองท้องฟ้าและฝนที่พัดกระหน่ำรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีตามกรมอุตุประกาศเป๊ะ ๆ ในมือยังถือร่มแต่ร่มคงต้านลมและเม็ดฝนได้ไม่ไหวแม่ไม่ได้ส่งรถมอเตอร์ไซค์มาให้ฉันใช้เหมือนบ้านปืน แต่ถึงยังไงการขี่รถฝ่าฝนคงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเท่าไร ฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจกลับขึ้นห้อง แต่ไม่ใช่ห้องของฉันหรอกก๊อก ก๊อก เงียบ ...สาวในชุดนักศึกษารัดรึงอย่างนักศึกษาสาวทั่วไปเริ่มขยับเท้าไปมา ฉันและปืนพักหอนอกมหาวิทยาลัยเดียวกัน เพียงแต่ว่าอยู่คนชั้นแอ๊ด ....“ทำงานดึกเหรอ” ฉันโพล่งคำถามทันทีและผลุบตัวเข้าไปในห้องวางแฟ้มเรียนไว้บนโต๊ะแล้วนั่งที่เก้าอี้ทำงาน มองปืนที่เดินกลับไปนอนต่อแล้ว“อือ เร่งงาน”“ฝนตก”“อือ ได้ยินเสียงแล้ว”“ตกหนักมาก”“อือ”ฉันนั่งมองร่างสูงใหญ่ของปืน เขาไม่สวมเสื้อนอนอีกตามเคย ห่มผ้าปิดเพียงท่อนล่างและนอนคว่ำหันหน้ามาทางฉันตั้งแต่ขึ้นปีสอง ปืนเปลี่ยนการแต่งกายใหม่จนฉันต้องเร่งตามให้ทัน ฉันกวาดตามองผมทำสีน้ำตาลอมทองและต่างหูด้านขวาที่ใส่เพียงข้างเดียว ยิ่งทำให้ปืนดูเ
บทที่ 5 วัยมหา’ลัยชีวิตมัธยมปลายอันน่าบัดซบของผมจบลงเพียงเท่านั้น และตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยคะแนนเลิศหรู เพียงแต่ผมไม่ได้เลือกเรียนวิศวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายเลือกคณะสถาปัตยกรรม“ปืน”ยายเตี้ยยังคงตามติดชีวิตผมดั่งเงาเช่นเคย“อืม” ผมเดินนำหน้าไปทางอาคารสำนักวิทยบริการ ชื่อเรียกแสนยากฉะนั้นทุกคนจึงเรียกมันว่าห้องสมุด ตึกแปดชั้นกลางมหาวิทยาลัยรั้วสีอิฐ มอดินแดง สารพัดชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้“นายว่างป่ะ”“ไม่” ผมรีบตอบ“คืนนี้เพื่อนชวนไปหลังมอ”“อืม”ตอนนี้พวกเราเดินเข้าห้องสมุดแล้ว ผมตรงไปยังห้องอ้างอิงทันทีเพราะไม่อยากเสวนาด้วยแต่เหมือนยายเตี้ยคร้านจะสนใจกฎในห้องสมุดว่าห้ามส่งเสียงดัง เธอเดินตามติดและนั่งลงกับพื้นพร้อมผมเมื่อถึงชั้นหนังสือรวมภาพถ่ายทั่วโลก“แต่ฉันอยากให้นายไปด้วย”แก้มส่งเสียงเบาเล็ก ๆ ข้างหูจนผมจักกะจี้ เอามือผลักหน้ามันออกห่างแล้วจ้องหน้า“ทำไม” เห็นไหมในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไป อันนี้จะโทษใครได้นอกจากความใจอ่อนของตัวเอง“วันเกิดไอ้วาด แต่ไอ้ตั้มมันไปด้วย” น้ำเสียงอ่อนลงแล้วเอาหัวมาพิงไหล่ผมไว้มือยื่นออกหยิบหนั
บทที่ 4 วัยใสมันเป็นเดือนที่แย่ที่สุดในชีวิต ถ้าไม่นับรวมวันที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันหลังจากที่พ่อกลับมาจากต่างจังหวัดได้สองวันฉันแหงนศีรษะมองท้องฟ้าในตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน กระชับเสื้อกันหนาวไหมพรมสีอ่อนขณะยืนรอกำปั่นมารับ ในตอนนี้คนทั้งโรงเรียนรับรู้ว่าฉันและกำปั่นเป็นแฟนกันแปร๋น!!“แก้ม” เสียงกำปั่นสดใสเช่นเคยในทุกเช้าซึ่งเป็นเวลาเกือบเดือนมาแล้วที่มารับส่งฉันถึงบ้าน“กำปั่น”ฉันเพิ่งสังเกตว่ากำปั่นตัวเล็กแค่ไหนเมื่อฉันนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วหน้าฉันโผล่พ้นไหล่จนลมกระแทกทรงผม ซึ่งถ้าฉันนั่งซ้อนไอ้ปืน ฉันไม่เคยโดนลมเลยด้วยซ้ำ - - นี่ฉันเปรียบเทียบกำปั่นกับไอ้ปืนได้ยังไงฉันรับหมวกกันน็อกมาสวมและรัดสายคาดเองก่อนจะขึ้นไปนั่งไพล่ ชำเลืองกลับไปมองในซอยบ้านไอ้ปืนยังปิดเงียบ ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง“วันนี้เย็นไปกินลานนมกันไหม”กำปั่นเอี้ยวหน้ากลับมาตะโกนถาม“ไม่ได้อ่ะ ต้องเรียนพิเศษ”พอพูดจบฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจึงนั่งซ้อนท้ายเงียบ ๆ มองพื้นถนนขณะที่รถมอเตอร์ไซค์พาฉันไปเรื่อย ๆ รู้สึกมือไม้เกะกะจนไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน ถ้าซ้อนไอ้ปืนฉันจะโอบเอวมันได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่กับกำปั่นแล้วฉั
บทที่ 3 วัยพลุ่งพล่านอันที่จริงผมพยายามอย่างเต็มที่แล้วสำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่มีเลือดมีเนื้อ และ ... มีไอ้นั่นกลางหว่างขาผมขยับตัวพลิกตะแคงไปอีกด้านสะกดใจตนเองไม่ให้รับรู้ถึงกลิ่นอันอ่อนหวานและร่างนุ่มนิ่มจากคนข้าง ๆ ที่ยังเอามือพาดเอวผมไว้ - - ผมต้องหันหนีก็เพราะไอ้นั่นมันดันเคารพธงเช้าผมจับมือไอ้แก้มไว้แน่นแล้วเหม่อลอยมองฝาหนัง มือมันพาดเอวทาบกางบนพุงผมพอดี อีกนิด อีกนิดเดียวเท่านั้น หากมันเลื่อนลงสักห้าเซนติเมตรปลายนิ้วก้อยมันจะโดนส่วนหัวพอดิบพอดี - - ถอนหายใจครั้งที่ล้านแล้วกู“มึงตื่นแล้ว” แก้มทำเสียงงัวเงียแล้วพลิกตัวออกไปอีกด้าน“อือ ตื่นแล้ว กูเข้าห้องน้ำก่อน” ผมทำท่าจะลุกขึ้นแล้วพลันรู้สึกว่าคงยังไม่ได้จึงนั่งนิ่งไว้ก่อนเอาผ้าห่มปิดไว้“อ้าว ไหนบอกจะไปเข้าห้องน้ำ” ไอ้แก้มพลิกตัวกลับมานอนตะแคงกอดผ้าห่มยกขาพาดขาผมไว้เขี่ยเล่นเบา ๆสายตาผมมองเท้าเล็กขาวเนียน มันเอานิ้วเท้าคีบผ้าห่มเล่น ผมจึงดึงผ้าห่มออก มันชักเท้ากลับแล้วแหย่มาข้างหน้าต่อหัวเราะในลำคอ ผมรู้สึกได้เลยว่ามันจ้องผมอยู่เพราะแผ่นหลังผมร้อนวูบวาบพิกล เลยแกล้งมันจับข้อเท้าไว้กำแน่นกำลังสะบัดออก มันดันยกขึ้นอย่างแรงผล







