LOGINบทที่ 3 วัยพลุ่งพล่าน
อันที่จริงผมพยายามอย่างเต็มที่แล้วสำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่มีเลือดมีเนื้อ และ ... มีไอ้นั่นกลางหว่างขา
ผมขยับตัวพลิกตะแคงไปอีกด้านสะกดใจตนเองไม่ให้รับรู้ถึงกลิ่นอันอ่อนหวานและร่างนุ่มนิ่มจากคนข้าง ๆ ที่ยังเอามือพาดเอวผมไว้ - - ผมต้องหันหนีก็เพราะไอ้นั่นมันดันเคารพธงเช้า
ผมจับมือไอ้แก้มไว้แน่นแล้วเหม่อลอยมองฝาหนัง มือมันพาดเอวทาบกางบนพุงผมพอดี อีกนิด อีกนิดเดียวเท่านั้น หากมันเลื่อนลงสักห้าเซนติเมตรปลายนิ้วก้อยมันจะโดนส่วนหัวพอดิบพอดี - - ถอนหายใจครั้งที่ล้านแล้วกู
“มึงตื่นแล้ว” แก้มทำเสียงงัวเงียแล้วพลิกตัวออกไปอีกด้าน
“อือ ตื่นแล้ว กูเข้าห้องน้ำก่อน” ผมทำท่าจะลุกขึ้นแล้วพลันรู้สึกว่าคงยังไม่ได้จึงนั่งนิ่งไว้ก่อนเอาผ้าห่มปิดไว้
“อ้าว ไหนบอกจะไปเข้าห้องน้ำ” ไอ้แก้มพลิกตัวกลับมานอนตะแคงกอดผ้าห่มยกขาพาดขาผมไว้เขี่ยเล่นเบา ๆ
สายตาผมมองเท้าเล็กขาวเนียน มันเอานิ้วเท้าคีบผ้าห่มเล่น ผมจึงดึงผ้าห่มออก มันชักเท้ากลับแล้วแหย่มาข้างหน้าต่อหัวเราะในลำคอ ผมรู้สึกได้เลยว่ามันจ้องผมอยู่เพราะแผ่นหลังผมร้อนวูบวาบพิกล เลยแกล้งมันจับข้อเท้าไว้กำแน่นกำลังสะบัดออก มันดันยกขึ้นอย่างแรง
ผลัก!! โอ๊ย
“ปืน!! ขอโทษไม่ได้ตั้งใจ!!” เสียงแก้มร้อนรนจนผมลอบยิ้ม ดีแล้ว สมน้ำหน้าอย่างแกล้งผมดีนัก
“เจ็บว่ะ ทำไมต้องถีบหน้ากันด้วย”
“เปล่า ๆ ไม่ได้ตั้งใจ มึงเจ็บมากไหม ไหนเอามือออกก่อน ขอดูหน่อย”
ยายเตี้ยรีบลุกขึ้นคุกเข่าด้านข้างผมทันที จับมือผมออกแล้วชะโงกหน้าเข้ามาใกล้จนผมได้กลิ่นน้ำยาสระผมอ่อน ๆ และกลิ่นบางอย่างที่มันทำให้ผมถึงกับขนลุก จึงรีบปัดมือมันออก
“เฮ้ย อย่าเพิ่งดูก่อน”
ไอ้แก้มยังไม่ยอมจะดูให้ได้ ผมเลยต้องนั่งนิ่ง คิดว่านิ่งที่สุดแล้วถ้าไม่นับท่อนกลางหว่างขาที่มันไม่ยอมนิ่งด้วย
ยายเตี้ยตัวเล็กกว่าผมมาก เวลาคุกเข่ายืดตัวบนเตียงช่วงหน้าอกตรงกับหน้าผมแบบระยะประชิด น่าจะเป็นคำนี้ ‘ระยะประชิด’ เพราะเพียงผมเหลือบตาไปด้านข้างพลันปะทะเข้ากับหน้าอกอย่างสาววัยรุ่น เสื้อนอนแบบกระดุมดันทำท่าจะเบะออกได้ทุกขณะยามยายเตี้ยพยายามอย่างยิ่งที่จะแหวกหนังศีรษะผมออกดู จนมองเห็นสีชมพูปลายยอดเพียงบางส่วน - - ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ แต่ลมหายใจผมเริ่มขาดห้วง จมูกร้อนวูบวาบ
“พอแล้ว กูไม่ได้เป็นอะไร กูจะไปอาบน้ำแล้ว มึงนอนเล่นไปก่อนเดี๋ยวไปตลาดหาอะไรกินกัน”
ผมรีบปัดมือมันทิ้งแล้วกระโดดพรวดเดียวลงเตียงคว้าผ้าเช็ดตัวมาพาดด้านหน้าทันที ผลุบหายเข้าห้องน้ำไม่รอให้แก้มทัดทานอีก
ปัง…ฟู่
ผมยืนมองตัวเองหน้ากระจก ลูบคางหันซ้ายขวา ปีนี้หน้าผมตอบลงอีกเผยให้เห็นกรามชัดเจน และหนวดขึ้นเร็วเกินไป แหงนคอขึ้นลูบลูกกระเดือกเหมือนจะใหญ่ขึ้น - - ถึงว่าเสียงเริ่มทุ้มลงอีก
เหลือบสายตาเห็นแปรงสีฟันสีชมพูลายหมีของยายเตี้ยใส่ไว้ในแก้วหน้ากระจกข้างกันกับแปรงสีฟันของผม เลยหยิบขึ้นมาบีบยาสีฟันไว้ให้ก่อนกันลืม จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำ
ซ่า .... อืม.... ดีจริง ... อ่า
ก๊อก แก๊ก แอ๊ด
“มึงอาบน้ำนานอีกแล้ว กูหิวจะแย่”
“งั้นมึงก็อาบเร็ว ๆ”
ผมชำเลืองมองมันแวบเดียวตอนเปิดตู้เสื้อผ้าแต่ยังไม่ทันหยิบกางเกงขึ้นสวม มันพรวดพราดออกมาทั้งที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว
พรวด .. อึก
“กูลืมเอาเสื้อเข้าไป”
ยายเตี้ยดูท่าจะไม่รู้สึกรู้สา มันก้มลงหยิบของในกระเป๋าโก้งโค้งจนก้นกระดกสูงชายผ้าขนหนูเลิกขึ้น เปิดจนผมเห็นแก้มก้น
เอื้อก ... ควับ
ผมรีบเบือนหน้ากลับเอามือปิดจมูกแล้วขมวดคิ้ว ก้มลงมองปืนใหญ่กลางหว่างขา มันตั้งลำอีกรอบจนผมแปลกใจ - - อะไรว่ะ ก็เพิ่งเด็ดกระสุนทิ้งไป
ปัง!! ฟู่
ไม่รอช้า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอ้อยอิ่งแต่อย่างใดในขณะที่ยายเตี้ยยังอาบน้ำผมรีบแต่งตัวด้วยความว่องไวเท่าที่ทำได้ จัดการหวีผมเก็บของ พับผ้าห่ม ปิดแอร์ แล้วคว้ากระเป๋าแบบสะพายแล่งหนังสีดำยี่ห้อดังเดินลงบันไดบ้านทันที
“ปืน”
ผมไม่ชะลอฝีเท้าลงเลยต้องการรีบออกไปรอด้านนอกบ้านให้เร็วที่สุดจนเป็นแม่ที่เดินตามออกมา
“ครับแม่”
“เจ้าแก้มตื่นยัง”
“ครับอาบน้ำอยู่”
ผมหยิบรองเท้าผ้าใบออกมาจากตู้เก็บรองเท้าแล้วนั่งสวมหน้าบ้าน
“ออกไปหาอะไรกินนะครับแม่”
“ขากลับแวะตลาดสดให้หน่อยเอาปลานิลมาสักโลนะ มื้อเย็นทำต้มยำปลานิล”
ผมเงียบไม่ได้ตอบรับแต่แม่ก็ไม่ได้อยู่รอคำตอบเพราะรู้อยู่แล้วว่าผมต้องซื้อกลับมา - - มึงนี่ได้กินแต่ของโปรดตลอดไอ้แก้ม
“เสร็จแล้ว”
แก้มส่งเสียงหวานตั้งแต่เท้ายังไม่ถึงพื้นชั้นล่าง ผมลุกยืนทันทีตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์หยิบหมวกกันน็อกรอมันแล้วพลันชะงักกึก
“อืม สวมให้ด้วยมือไม่วาง”
ยายเตี้ยยื่นหัวมาตรงหน้าแต่ผมยังยืนงงอยู่เป็นครู่ ชุดเดรสตัวหลวมสีขาวฉลุลายลูกไม้ทั้งตัวเปิดไหล่ทั้งสองข้าง
“นี่มึง ... จะไปไหน”
“อ้าวก็ไปหาอะไรกินกันไง”
“ทำไมต้องแต่งอะไรแบบนี้ด้วย” น้ำเสียงเริ่มห้วนแล้วกระแทกหมวกกันน็อกใส่หัวเล็ก ๆ ของยายเตี้ย คาดสายรัดให้อีกเหมือนเคย
“ทำไมล่ะ กูไม่สวยเหรอ”
ผมไม่ตอบอะไรหันหลังคร่อมรถแล้วสตาร์ทมือรอกระทั่งมันขึ้นนั่งไพล่ข้างจึงค่อยออกรถ และเช่นเคยมันเอาแขนโอบเอวสอบของผมไว้ ผมจึงจำต้องจำใจต้องจับมือมันไว้แน่น
“ปืน”
“ว่า”
ยายเตี้ยยื่นหน้าออกมาปะทะลมตอนที่เริ่มพูดขึ้น
“เรื่องเมื่อคืนมึงอย่าบอกแม่มึงนะ”
“เออรู้แล้ว”
“กูไม่อยากให้แม่มึงไปถามแม่กู”
“เออ...รู้แล้ว”
“อีกเรื่อง”
ไฟแดงพอดีผมเลยได้เบรกดังกึก – ตึก - เฮ้อ ... ผมนี่มันเลวจริงๆ
“กูจะสอบมหาลัยเดียวกับมึง”
“ไหวเหรอ”
“เออ มึงก็ช่วยกูติวสิ”
“กูไม่ว่าง เดือนหน้ากูต้องเรียนพิเศษเพิ่ม พวกองค์ประกอบศิลป์”
“ไหนว่าจะเข้าวิดวะ”
“มันก็ไม่แน่หรอก เลยเรียนองค์ประกอบศิลป์เพิ่มดีกว่า”
บรื้น .... ไฟเขียวอีกครั้ง ต่างจังหวัดเล็ก ๆ แบบนี้มีสี่แยกไฟสัญญาณจราจรไม่มากเท่าไร ผมเลี้ยวทางลัดจนถึงร้านต้มเลือดเจ้าดังของจังหวัด
“กินเสร็จต้องแวะตลาดซื้อปลานิล”
ผมบอกทันทีเมื่อตั้งขาหยั่งรถแล้วชวนยายเตี้ยถอดหมวกกันน็อก
“ต้มยำปลานิลใช่ไหม เย้ เย้ ดีใจ ฮ่า ฮ่า”
รอยยิ้มบนใบหน้าสดชื่นขึ้นทันตาเมื่อรู้ว่ามื้อเย็นจะมีของโปรด ความกังวลจางหายไปสักพัก แต่ผมรู้ว่าเดี๋ยวมันก็คงพูดขึ้นมาอีก
“กูเลือกเอกภาษานะ”
นั่นเห็นไหม ถ้าผมเป็นพวกเล่นหวยป่านนี้คงรวยเละ
“ก็ดี เอาที่มึงชอบ อะไรที่มึงทำแล้วสบายใจก็ทำเลยไอ้แก้ม”
“แม่กูไม่คิดอย่างนั้นว่ะ”
ผมหยุดสั่งต้มเลือดกับข้าวเปล่าสองชุดก่อนเดินตามมันเข้าไปในร้านแล้วเริ่มเช็ดตะเกียบกับช้อนส่งให้มัน - - อะไร ๆ ก็ผมที่ต้องเป็นฝ่ายทำให้มัน แต่ไม่เป็นไร แค่เห็นมันยิ้มผมก็รู้สึกดี
“มึงก็คุยกับแม่ดี ๆ ไอ้แก้ม น้าจิตรไม่ได้เป็นคนหัวโบราณยุคบูมเมอร์”
“อือ กูรู้ แต่ว่า...”
“ต้มเลือดมาแล้ว กินเสียก่อน เดี๋ยวค่อยคิด”
ผมเห็นยายเตี้ยทำหน้าจ่อยลงจึงปลอบใจด้วยการสั่งติ่มซำมาเพิ่มอีกสองเข่ง - - ผมว่าอีกหน่อยผมคงหมดตัวเพราะเลี้ยงมันแน่นอน
กริ๊ง!!!!
เสียงออดหมดเวลาเรียนช่วงเที่ยง ผมเก็บหนังสือใส่กระเป๋าเป้สีดำหิ้วไปด้วย ตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายโรงเรียนให้พวกเราเดินเรียนเป็นว่าเล่น
“เฮ้ย ปืน ไปกินข้าวกัน” เสียงไอ้เหนือตะโกนข้ามห้องมา
“ไม่ นัดไอ้แก้มไว้”
“งั้นกูไปด้วย” น้ำเสียงยังเซ้าซี้แถมหยุดรอผมอยู่หน้าประตูห้องเรียน
“ไม่ได้ วันนี้กูกับแก้มมีเรื่องต้องคุยกัน”
“เรื่องอะไรว่ะถึงต้องเป็นความลับ” ไอ้เหนือยกมือพาดไหล่ดึงพลางลากผมไปทางห้องควีนส์
“แล้วจดหมายมึงให้ไอ้แก้มหรือยัง”
“แล้ว” ผมตอบส่ง ๆ แล้วผลักแขนมันลง “แก้มมันจะคุยเรื่องบ้านมัน มึงไปกินก่อนเลย”
ยายเตี้ยเดินออกมาจากห้องเรียนพอดีทำท่าจะเดินมาทางผมแต่หยุดเท้าลงเสียก่อน ผมรู้ว่าทำไม เพราะยายเตี้ยมันเห็นไอ้เหนือยังยืนอยู่ด้านหลัง รู้สึกดีขึ้นมา เลยลอบอมยิ้ม
“ไปกินข้าวกัน” ผมโอบไหล่ยายเตี้ยลากมันให้เดินออกห่างให้เร็วที่สุด
“วันนี้กินก๋วยเตี๋ยวนะ”
“ไม่กลัวปวดท้องหรือไง”
“ไม่ เออ ตอนเย็นไปบ้านปืนก่อนนะ ไปลงสมัครสอบ”
อันที่จริงการที่ผมโอบไหล่ยายเตี้ยมันดูไม่เหมาะสมเท่าไรสำหรับเด็กนักเรียนมัธยม ยิ่งในโรงเรียนหัวโบราณเข้มงวดด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการเข้าห้องปกครอง แต่ทำไงได้ถ้าขืนผมไม่โอบไหล่มันไว้คนอื่นมันจะจ้องเข้ามาหายายเตี้ยอยู่เรื่อย
“แล้วพ่อกลับมาหรือยัง” ผมสังเกตว่ายายเตี้ยเงียบไปอึดใจแล้วค่อยตอบเสียงอ่อย
“อืม... มาเมื่อวันก่อน แต่ไม่เห็นว่าแม่กับพ่อจะคุยอะไรกัน คล้ายต่างคนต่างอยู่”
“แล้วคุยกับพ่อเรื่องเรียนต่อหรือยัง”
“คุยแล้ว พ่อไม่ได้ว่าอะไร พ่อบอกว่าให้ตามติดก้นมึงเลย”
“อะไรว่ะ”
“อีกเรื่อง กูคิดอยู่นานเลยว่าจะบอกมึงดีไหม แต่มึงก็เป็นเพื่อนสนิท”
มันเงียบไปอีกแล้วจนผมใจคอไม่ดี
“เมื่อวานไอ้กำปั่นมาขอเป็นแฟน”
มือแกร่งสีเข้มอย่างคนผิวสองสีกระชับไหล่เล็กแรงขึ้น เท้ายังก้าวเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้นแต่รู้สึกชาวาบลงปลายเท้า
“แล้วมึงตอบไปว่าไง”
ยายเตี้ยเงียบไปอีกแล้ว ผมจึงหยุดลงกลางทางแล้วผลักมันไปใต้ต้นไม้แถวนั้น
“มึงตอบไอ้กำปั่นไปว่ายังไงแก้ม”
“กูแค่ ... จะลองคบมันเป็นแฟนสักเดือน”
หูผมกระดิกได้ใช่ไหม ทำไมรู้สึกร้อนวาบไปทั่วจนถึงทรวงอก หนังตากระตุกถี่หรี่ตาลงมองร่างเตี้ยกว่า ยายเตี้ยหลุบตามองพื้น
“มึงเอาจริง?”
“อืม กูแค่อยากรู้อะไรบางอย่าง”
“มึงอยากรู้อะไรแก้ม” ผมคาดคั้นต่อ ใจหนึ่งต้องหยุดพูดเพียงเท่านั้นแล้วให้ธรณีสูบผมลงพื้นดินหายไปต่อหน้ายายเตี้ย แต่ใจหนึ่งที่ชั่วร้ายกว่ากลับอยากรู้คำตอบและหาทางกำจัดไอ้กำปั่นออกไป
“มัน .. แค่ กูรู้สึกว่าอยู่กับมึงมากเกินไป ทุกอย่างกูทำร่วมกับมึง กินข้าว ดูหนัง นอนที่บ้าน ทุกอย่างเลย”
คราวนี้ยายเตี้ยเงยหน้าขึ้นมาแล้ว ผมหัวใจจะหยุดเต้น สีหน้าแก้มคล้ายปิดบังบางอย่างอยู่ พวกเราไม่เคยมีอะไรปิดบังกัน และมันทำให้ผมรู้สึกแน่นหน้าอกเหมือนมีเชือกเส้นเล็ก ๆ รัดอยู่และกำลังขึงจนตึงทีละน้อย
“แล้วยังไงแก้ม มึงเลยอยากไปกินข้าวกับคนอื่น ดูหนังกับคนอื่น นอนบ้านคนอื่น อย่าง .. อย่างไอ้กำปั่นใช่ไหม”
ผมหัวเสียสุด ๆ หงุดหงิด ฉุนเฉียว อารมณ์ทุกอย่างที่มัดรวมเอาด้านนิสัยเสียของผมออกมา
“เย็นนี้มึงไม่ต้องไปบ้านกู ไปสมัครสอบบ้านไอ้กำปั่น และต่อไปมึงไม่ต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์กูอีก”
“ปืน ปืน”
ผมได้ยินเสียงเล็ก ๆ เปล่งออกมาจากลำคอของยายเตี้ยยามผมสะบัดตัวเดินกลับไปทิศทางตรงกันข้ามกับโรงอาหาร หมดอารมณ์จะกินหรือทำอะไรทั้งนั้น ทางที่ดีโดดเรียนกลับบ้านไปเลยดีกว่า แต่ผมก็ไม่ทำอย่างนั้น ยังทนนั่งเรียนอยู่จนบ่ายสามครึ่งแล้วมองยายเตี้ยซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไอ้กำปั่นกลับบ้าน - - เวรจริงไอ้ปืน
บทที่ 5 วัยมหา’ลัยชีวิตมัธยมปลายอันน่าบัดซบของผมจบลงเพียงเท่านั้น และตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยคะแนนเลิศหรู เพียงแต่ผมไม่ได้เลือกเรียนวิศวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายเลือกคณะสถาปัตยกรรม“ปืน”ยายเตี้ยยังคงตามติดชีวิตผมดั่งเงาเช่นเคย“อืม” ผมเดินนำหน้าไปทางอาคารสำนักวิทยบริการ ชื่อเรียกแสนยากฉะนั้นทุกคนจึงเรียกมันว่าห้องสมุด ตึกแปดชั้นกลางมหาวิทยาลัยรั้วสีอิฐ มอดินแดง สารพัดชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้“นายว่างป่ะ”“ไม่” ผมรีบตอบ“คืนนี้เพื่อนชวนไปหลังมอ”“อืม”ตอนนี้พวกเราเดินเข้าห้องสมุดแล้ว ผมตรงไปยังห้องอ้างอิงทันทีเพราะไม่อยากเสวนาด้วยแต่เหมือนยายเตี้ยคร้านจะสนใจกฎในห้องสมุดว่าห้ามส่งเสียงดัง เธอเดินตามติดและนั่งลงกับพื้นพร้อมผมเมื่อถึงชั้นหนังสือรวมภาพถ่ายทั่วโลก“แต่ฉันอยากให้นายไปด้วย”แก้มส่งเสียงเบาเล็ก ๆ ข้างหูจนผมจักกะจี้ เอามือผลักหน้ามันออกห่างแล้วจ้องหน้า“ทำไม” เห็นไหมในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไป อันนี้จะโทษใครได้นอกจากความใจอ่อนของตัวเอง“วันเกิดไอ้วาด แต่ไอ้ตั้มมันไปด้วย” น้ำเสียงอ่อนลงแล้วเอาหัวมาพิงไหล่ผมไว้มือยื่นออกหยิบหนั
บทที่ 7 ถึงคราวต้องจากพายุเข้าภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างที่กรมอุตุแจ้งเตือนมาได้สองวันแล้ว ฉันนอนหงายบนเตียงยกเท้าซ้ายพาดหัวเข่าขวาแกว่งเท้า มือเลื่อนไถหน้าจอโทรศัพท์อินสตราแกรมแล้วอมยิ้มปืนไม่ได้อัพหน้าฟีคมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ฉันรู้ทุกวินาทีชีวิตของเพื่อนสนิท ไม่สิ อีกสองวันก็ไม่ใช่แล้ว - - ทำไมฉันต้องอมยิ้มด้วยนะร่างเล็กพลิกตัวนอนตะแคงกำลังจะวางโทรศัพท์พลันเสียงข้อความดังขึ้น แก้ม ต้องกลับบ้านด่วนแม่ฉันรีบผุดลุกนั่งขมวดคิ้วจนย่นตรงกลางหน้าผาก ปกติแม่ไม่ใช้คำพูดแบบนี้ ถ้ามีเรื่องด่วนยังไงก็ไม่ห้วนจัด จึงตัดสินใจต่อสายคุยกริ๊ง ...“แม่ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ความเงียบเข้าปกคลุมก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงถอนหายใจ“กลับบ้านแล้วแม่จะเล่าให้ฟัง คืนนี้เลยนะมีรถทัวร์ เก็บเสื้อผ้ามาให้มากหน่อย ข้าวของที่ไม่จำเป็นให้ฝากเพื่อนไว้ ส่วนอะไรสำคัญเก็บมาให้หมด”ฉันยิ่งขมวดคิ้วหนัก แบบนี้เรื่องใหญ่แน่“แม่ไม่เล่าให้หนูฟังสักหน่อยเหรอคะ”“เล่าตรงนี้ไม่ได้แก้ม เชื่อแม่นะกลับบ้าน”ฉันดึงโทรศัพท์ออกห่างเพื่อดูหน้าจอ แม่วางสายไปแล้ว ตอนนี้ใกล้จะบ่ายสาม เร็วสุดคงรถเที่ยวสองทุ่มพอมี แล้วส่งข้อความหาปื
บทที่ 6 ncฟ้าฝนไม่เป็นใจช่วงยามเช้าในอีกสี่วันต่อมาหลังจากการประกาศก้องยอมให้ปืนเชยชมร่างกายอันสวยสดของฉันในเช้าวันนี้ฉันยืนนิ่งมองท้องฟ้าและฝนที่พัดกระหน่ำรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีตามกรมอุตุประกาศเป๊ะ ๆ ในมือยังถือร่มแต่ร่มคงต้านลมและเม็ดฝนได้ไม่ไหวแม่ไม่ได้ส่งรถมอเตอร์ไซค์มาให้ฉันใช้เหมือนบ้านปืน แต่ถึงยังไงการขี่รถฝ่าฝนคงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเท่าไร ฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจกลับขึ้นห้อง แต่ไม่ใช่ห้องของฉันหรอกก๊อก ก๊อก เงียบ ...สาวในชุดนักศึกษารัดรึงอย่างนักศึกษาสาวทั่วไปเริ่มขยับเท้าไปมา ฉันและปืนพักหอนอกมหาวิทยาลัยเดียวกัน เพียงแต่ว่าอยู่คนชั้นแอ๊ด ....“ทำงานดึกเหรอ” ฉันโพล่งคำถามทันทีและผลุบตัวเข้าไปในห้องวางแฟ้มเรียนไว้บนโต๊ะแล้วนั่งที่เก้าอี้ทำงาน มองปืนที่เดินกลับไปนอนต่อแล้ว“อือ เร่งงาน”“ฝนตก”“อือ ได้ยินเสียงแล้ว”“ตกหนักมาก”“อือ”ฉันนั่งมองร่างสูงใหญ่ของปืน เขาไม่สวมเสื้อนอนอีกตามเคย ห่มผ้าปิดเพียงท่อนล่างและนอนคว่ำหันหน้ามาทางฉันตั้งแต่ขึ้นปีสอง ปืนเปลี่ยนการแต่งกายใหม่จนฉันต้องเร่งตามให้ทัน ฉันกวาดตามองผมทำสีน้ำตาลอมทองและต่างหูด้านขวาที่ใส่เพียงข้างเดียว ยิ่งทำให้ปืนดูเ
บทที่ 5 วัยมหา’ลัยชีวิตมัธยมปลายอันน่าบัดซบของผมจบลงเพียงเท่านั้น และตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยคะแนนเลิศหรู เพียงแต่ผมไม่ได้เลือกเรียนวิศวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายเลือกคณะสถาปัตยกรรม“ปืน”ยายเตี้ยยังคงตามติดชีวิตผมดั่งเงาเช่นเคย“อืม” ผมเดินนำหน้าไปทางอาคารสำนักวิทยบริการ ชื่อเรียกแสนยากฉะนั้นทุกคนจึงเรียกมันว่าห้องสมุด ตึกแปดชั้นกลางมหาวิทยาลัยรั้วสีอิฐ มอดินแดง สารพัดชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้“นายว่างป่ะ”“ไม่” ผมรีบตอบ“คืนนี้เพื่อนชวนไปหลังมอ”“อืม”ตอนนี้พวกเราเดินเข้าห้องสมุดแล้ว ผมตรงไปยังห้องอ้างอิงทันทีเพราะไม่อยากเสวนาด้วยแต่เหมือนยายเตี้ยคร้านจะสนใจกฎในห้องสมุดว่าห้ามส่งเสียงดัง เธอเดินตามติดและนั่งลงกับพื้นพร้อมผมเมื่อถึงชั้นหนังสือรวมภาพถ่ายทั่วโลก“แต่ฉันอยากให้นายไปด้วย”แก้มส่งเสียงเบาเล็ก ๆ ข้างหูจนผมจักกะจี้ เอามือผลักหน้ามันออกห่างแล้วจ้องหน้า“ทำไม” เห็นไหมในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไป อันนี้จะโทษใครได้นอกจากความใจอ่อนของตัวเอง“วันเกิดไอ้วาด แต่ไอ้ตั้มมันไปด้วย” น้ำเสียงอ่อนลงแล้วเอาหัวมาพิงไหล่ผมไว้มือยื่นออกหยิบหนั
บทที่ 4 วัยใสมันเป็นเดือนที่แย่ที่สุดในชีวิต ถ้าไม่นับรวมวันที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันหลังจากที่พ่อกลับมาจากต่างจังหวัดได้สองวันฉันแหงนศีรษะมองท้องฟ้าในตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน กระชับเสื้อกันหนาวไหมพรมสีอ่อนขณะยืนรอกำปั่นมารับ ในตอนนี้คนทั้งโรงเรียนรับรู้ว่าฉันและกำปั่นเป็นแฟนกันแปร๋น!!“แก้ม” เสียงกำปั่นสดใสเช่นเคยในทุกเช้าซึ่งเป็นเวลาเกือบเดือนมาแล้วที่มารับส่งฉันถึงบ้าน“กำปั่น”ฉันเพิ่งสังเกตว่ากำปั่นตัวเล็กแค่ไหนเมื่อฉันนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วหน้าฉันโผล่พ้นไหล่จนลมกระแทกทรงผม ซึ่งถ้าฉันนั่งซ้อนไอ้ปืน ฉันไม่เคยโดนลมเลยด้วยซ้ำ - - นี่ฉันเปรียบเทียบกำปั่นกับไอ้ปืนได้ยังไงฉันรับหมวกกันน็อกมาสวมและรัดสายคาดเองก่อนจะขึ้นไปนั่งไพล่ ชำเลืองกลับไปมองในซอยบ้านไอ้ปืนยังปิดเงียบ ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง“วันนี้เย็นไปกินลานนมกันไหม”กำปั่นเอี้ยวหน้ากลับมาตะโกนถาม“ไม่ได้อ่ะ ต้องเรียนพิเศษ”พอพูดจบฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจึงนั่งซ้อนท้ายเงียบ ๆ มองพื้นถนนขณะที่รถมอเตอร์ไซค์พาฉันไปเรื่อย ๆ รู้สึกมือไม้เกะกะจนไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน ถ้าซ้อนไอ้ปืนฉันจะโอบเอวมันได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่กับกำปั่นแล้วฉั
บทที่ 3 วัยพลุ่งพล่านอันที่จริงผมพยายามอย่างเต็มที่แล้วสำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่มีเลือดมีเนื้อ และ ... มีไอ้นั่นกลางหว่างขาผมขยับตัวพลิกตะแคงไปอีกด้านสะกดใจตนเองไม่ให้รับรู้ถึงกลิ่นอันอ่อนหวานและร่างนุ่มนิ่มจากคนข้าง ๆ ที่ยังเอามือพาดเอวผมไว้ - - ผมต้องหันหนีก็เพราะไอ้นั่นมันดันเคารพธงเช้าผมจับมือไอ้แก้มไว้แน่นแล้วเหม่อลอยมองฝาหนัง มือมันพาดเอวทาบกางบนพุงผมพอดี อีกนิด อีกนิดเดียวเท่านั้น หากมันเลื่อนลงสักห้าเซนติเมตรปลายนิ้วก้อยมันจะโดนส่วนหัวพอดิบพอดี - - ถอนหายใจครั้งที่ล้านแล้วกู“มึงตื่นแล้ว” แก้มทำเสียงงัวเงียแล้วพลิกตัวออกไปอีกด้าน“อือ ตื่นแล้ว กูเข้าห้องน้ำก่อน” ผมทำท่าจะลุกขึ้นแล้วพลันรู้สึกว่าคงยังไม่ได้จึงนั่งนิ่งไว้ก่อนเอาผ้าห่มปิดไว้“อ้าว ไหนบอกจะไปเข้าห้องน้ำ” ไอ้แก้มพลิกตัวกลับมานอนตะแคงกอดผ้าห่มยกขาพาดขาผมไว้เขี่ยเล่นเบา ๆสายตาผมมองเท้าเล็กขาวเนียน มันเอานิ้วเท้าคีบผ้าห่มเล่น ผมจึงดึงผ้าห่มออก มันชักเท้ากลับแล้วแหย่มาข้างหน้าต่อหัวเราะในลำคอ ผมรู้สึกได้เลยว่ามันจ้องผมอยู่เพราะแผ่นหลังผมร้อนวูบวาบพิกล เลยแกล้งมันจับข้อเท้าไว้กำแน่นกำลังสะบัดออก มันดันยกขึ้นอย่างแรงผล







