เข้าสู่ระบบ“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านพี่” คำปฏิเสธทำให้ทุกคนในเรือนนึกประหลาดใจ
“ทำไมเล่าซีซี หรือเพราะสิ่งที่พี่รองเจ้าพูด อย่าได้เก็บคำของเขามาใส่ใจเลย” เกาผิงอันเอ่ยปลอบน้องสามีด้วยความสงสาร ไม่วายหันไปดุสามีผ่านสายตา
“นั่นสิลูก อย่าไปฟังคำพี่รองของเจ้านักเลย”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าเพียงแต่ไม่อยากแต่งกับโจวเทียนฉีแล้ว มาคิดไปคิดมาชายผู้นั้นก็มิได้ดีเด่อะไร แต่งเข้าไป ชีวิตข้าในสกุลโจวก็คงลำบาก เพราะขนาดบิดามารดาเขายังมิเชื่อฟัง อีกอย่างฐานะของสกุลโจวก็ไม่ได้ร่ำรวย โจวเทียนฉีทำงานผู้เดียวแต่เลี้ยงดูคนทั้งสกุล สู้สกุลเราก็มิได้ พี่ใหญ่ก็ทำงาน พี่รองก็ทำงาน ท่านพ่อก็มีทรัพย์สินเพราะเป็นขุนนางเก่า” หลิวฟ่านซีเผลอวิเคราะห์เรื่องราวตามที่ตนได้อ่านมา
ถ้าคิดตามหลักแล้ว นางไม่แต่งให้ผู้ใดเลย น่าจะดีกว่า
“...”
“ข้าคิดว่า ข้าอยู่เรือน เกาะพวกท่านกินไปวันๆ น่าจะสบายกว่า ไม่ต้องไปปรนนิบัติใคร อยู่ที่นี่มีแต่คนเอาใจ อ่อ ข้าจะช่วยพี่สะใภ้เลี้ยงหลานเป็นการตอบแทนแล้วกันนะเจ้าคะ”
“...” สิ้นประโยคของหลิวฟ่านซี ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก นี่หรือว่าซีซีของพวกเขาเสียใจจนมีความคิดผิดแปลกไปแล้วอย่างนั้นหรือ
“เอ่อ พ่อว่าพ่อไปถามสกุลโจวให้อีกรอบดีกว่า”
“ไม่ต้องจริงๆ เจ้าค่ะ ต่อจากนี้ทำเป็นลืมเรื่องสัญญาพวกนั้นไปเลยก็ได้” หลิวฟ่านซีส่งยิ้มหวานให้ทุกคน เมื่อนึกหาทางรอดของตัวเองได้ ถ้าใช้ชีวิตอยู่กับหลานๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับตัวหลักในนิยาย ทุกอย่างก็จะจบ ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ต้องตายตามบทบาท
“ซีซีของพี่แน่ใจแล้วหรือ”
“แน่ใจเจ้าค่ะพี่ใหญ่”
“เช่นนั้นก็ดี! บุรุษผู้นั้นไม่มีสิ่งใดคู่ควรกับน้องสาวพี่เลยสักนิด” หลิวไห่คุนเองก็มิชอบหน้าคุณชายโจวสักเท่าไหร่ ยังไม่ทันได้ตบแต่งเขาก็ทำให้ซีซีร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า ในเมื่อวันนี้ซีซีเอ่ยว่าไม่ต้องการชายผู้นั้นอีก ย่อมเป็นเรื่องที่ดี!
“จริงอย่างพี่ใหญ่ว่า เพราะฉะนั้นข้าขอเงินสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ วันนี้ข้าจะพาหลานๆ ออกไปเที่ยวชมตลาด พวกท่านสามีภรรยาจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนบ้าง” ในเมื่อจะต้องอยู่ที่นี่ ก็ขอออกไปสำรวจที่ต่างๆ ซะหน่อย ถือโอกาสทำความรู้จักกับหลานๆ ไปด้วยในตัว
“เช่นนั้นเอาของข้าไปด้วย ไปนานได้ยิ่งดี” จ้งเหลียนรีบควักถุงเงินออกมาจากสาบเสื้อ จนเกาผิงอันตีแขนสามีเบาๆ แก้เขิน
“ท่านพี่!”
“ฮ่าๆ ได้ๆ ข้าจะออกไปสักชั่วยาม (2 ชั่วโมง) พวกท่านคงมีเวลาปั้นเจ้าตัวน้อยหลายรอบทีเดียว” พอเห็นเงินในถุงจากพี่ชายทั้งสอง ท่าทีที่เกรงๆ ก่อนหน้าก็หายไปสิ้น สองมือคว้าแขนเล็กๆ ของหลานทั้งสองออกจากเรือนทันที
ทิ้งให้คนเป็นแม่ยกมือทาบอก เพราะตกใจกับคำพูดของบุตรีที่ส่อเสียดเรื่องในม่านมุ้ง
“ซีซีไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”
“อย่าคิดสิ่งใดให้มากความเลยเจ้ารอง น้องมีความสุขดี เท่านั้นก็พอแล้ว” ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของไห่คุน นานเท่าใดแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสของน้องสาว นางยิ้มได้เช่นนี้ถือเป็นเรื่องดี
สตรีร่างอรชรจับจูงมือหลานสาวหลานชายไว้คนละข้าง เดินชมบรรยากาศครึกครื้นในตลาดกลางเมืองหลวง แคว้นต้าเฉวียนถือว่าเป็นแคว้นที่มีความเข้มแข็งทางการทหาร เพราะองค์จักรพรรดิเป็นผู้ควบคุมกองทัพด้วยองค์เอง นั่นทำให้สภาพเศรษฐกิจและการค้าเติบโตไปอย่างไม่มีติดขัด เพราะไม่เกิดสงครามมานานแล้ว
“ท่านน้า ข้าอยากกินอันนั้น”
“ซิงอี หากเจ้ากินมากถึงเพียงนี้ สักวันต้องออกประตูมิได้แน่”
“เช่นนั้นก็เป็นความผิดของประตูที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดี” เด็กหญิงวัยสี่ขวบพูดจาเจื้อยแจ้วได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ฟ่านซีอยากปรบมือให้พี่ชายนักที่สอนบุตรสาวได้เหมือนตนเองถึงเพียงนี้
“ฮ่าๆ ก็จริงดังเจ้าว่า แล้วอาเฟยเล่าอยากกินเหมือนน้องหรือไม่ หรืออยากได้อย่างอื่น”
“ขอรับ” เสียงแผ่วเบาพูดตอบรับอย่างกลัวๆ ฟ่านซีจึงย่อตัวลงถามหลานชายอีกครั้ง
“ขอรับอะไรเล่า ขอรับข้าอยากกินเหมือนน้อง หรือขอรับ ข้าอยากได้อย่างอื่น บอกน้าได้ พ่อเจ้าให้เงินเรามาเยอะแยะ จะซื้อสิ่งใดย่อมซื้อได้” หลิวฟ่านซีมองหน้าเด็กชายที่ดูกลัวปนเขินอาย หลานชายนางผู้นี้คงได้นิสัยของมารดามามาก
เฮ้อ~ พี่สะใภ้ทั้งสองของนางแม้จะเป็นสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานเช่นกัน แต่พี่สะใภ้รองที่แม้จะเรียบร้อยแต่กับแฝงความซุกซน ไม่หวาดกลัวผู้ใด อ่อนนอกแข็งใน ต่างกับพี่สะใภ้ใหญ่ดูจะเป็นสตรีในห้องหอโดยแท้ อ่อนแอ ขี้หวาดกลัว
“...ข้าอยากกินสิ่งนั้นขอรับ” นิ้วเล็กชี้ไปยังร้านๆ หนึ่งที่ขึ้นป้ายว่า ‘ชาไข่มุก’
“เฮ้ย! สมัยนี้มีชายไข่มุกด้วยเหรอ- อ๋อ ลืมไปเลย” หลิวฟ่านซีหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ลืมไปเลยว่านิยายเรื่องนี้เป็นแนวทะลุมิติเข้ามาในนิยาย
อ่า~ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...เป็นร้านของเถียนลี่มี่ นางเอกนิยายสินะ
“ได้ เราไปซื้อกัน น้าก็อยากลองกินเช่นกัน” สามน้าหลานกับสาวใช้อีกสามคนที่ติดตามมาดูแล เดินไปยังร้านชาไข่มุก ทว่าทันทีที่เดินไปถึงหน้าร้านและกำลังจะเอ่ยปาก
“ข้าเอา-”
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่ คิดจะมาหาเรื่องแม่นางลี่มี่อีกแล้วใช่หรือไม่ ยิ่งเจ้าทำเช่นนี้ ข้ายิ่งมิอยากแต่งกับเจ้า!” เสียงของบุรุษดังขัดขึ้นมาด้านหลัง จนฟ่านซีต้องหันกลับไปมองด้วยความงุนงง
ไอ้บ้าหน้ากบนี่มันเป็นใครเนี่ย มายืนด่าใครฉอดๆ แล้วยังมีหน้ามามองนางอีก
“คนบ้าหรือจูหลิง ไล่ไปไกลๆ อย่าให้เข้าใกล้หลานข้า”
คนถูกตกเป็นเป้าสายตามิได้สนใจเลยสักนิด ยามนี้ฟ่านซีเห็นเพียงเป้าที่อยู่เบื้องหน้า ปากเล็กเป่าลมออกจนสุดก่อนจะสุดลมหายใจเข้าเต็มปลอดและ...ปล่อยศรออกไปฟิ้ว~ปัก!“...” เสียงรอบข้างเงียบสนิท ก่อนที่จะได้ยินเสียงเฮดังลั่น เมื่อศรธนูปักลงบนกลางเป้าอย่างน่าเหลือเชื่อ ผู้แข่งขันที่อยู่เบื้องหน้าของฟ่านซี บัดนี้แตกกระจายกันไปทั่วทุกทิศทางเพื่อล่าสัตว์ใหญ่มาใช้ในการสักการะเทพเจ้าคนทั้งลานพิธีต่างปรบมือให้กับความสามารถของคุณหนูสกุลหลิว น้อยคนนักที่จะสามารถยิงลงกลางเป้าได้ ยิ่งเป็นสตรียิ่งไม่มีผู้ใดเคยทำได้ ขนาดจวิ้นอ๋องของแคว้นยังยอมปรบมือให้ สายตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ดุร้าย ฉายชัดว่าสนใจในตัวหลิวฟ่านซีมากขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าการกระทำนั้นตกอยู่ในสายตาของจางกงเหลียนป๋อ เป้ยเล่อของแคว้น ที่มีฐานะเป็นน้องชายต่างมารดา สายตาของจางกงเหลียนป๋อเต็มไปด้วยความเวทนาต่อหลิวฟ่านซี ดูท่าชีวิตของคุณหนูหลิวคงหนีไม่พ้นตกไปเป็นอนุในจวนอ๋องเสียแล้ว“เฮ้อ~ นึกว่าจะถูกโบยซะแล้ว” ร่างเล็กทรุดลงบนแท่นยิงด้วยอาการแข้งขาอ่อนแรง พี่ชายทั้งสองจึงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของน้องสาว แต่บุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะวิ่งออกมาด้ว
หลิวฟ่านซีเดินวนไปเวียนมาอยู่หลังลานพิธี เพื่อรอเวลา ยอมรับว่านางค่อนข้างตื่นเต้นและกังวล จริงอยู่ว่านางเคยยืนอยู่บนการแข่งขันระดับโลก ตอนนั้นถ้าพลาดก็แค่เสียใจ แต่ครั้งนี้ถ้าพลาดอาจถึงขั้นเสียชีวิต ฮื้อ~ “มองเป้าให้ดี อย่าให้ว่อกแว่ก อย่าให้พลาดเด็ดขาด เจ้าเคยซ้อมอยู่ที่เรือนทุกเช้า”“จริงอย่างพี่ใหญ่ว่า ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่เจ้าก็ทำได้ดียิ่งนัก” ทั้งไห่คุนและจ้งเหลียนต่างก็มาให้กำลังใจน้องสาวอยู่หลังลานพิธี“มันจะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า ถะ ถ้าข้ายิงพลาด ฝ่าบาทจะไม่สั่งตัดหัวข้าหรือ”“ไม่หรอก องครักษ์ที่เคยยิงพลาดก็เพียงแค่ถูกโบยและโดนปลด”“พี่รอง! ข้าใจเสียยิ่งกว่าเดิม” ฟ่านซีโอดครวญ นึกอยากตบปากตนเองนักที่พูดออกไปว่าช่วงนี้กำลังฝึกยิงธนู“เอาล่ะๆ ไม่ต้องกังวลไป ฝ่าบาทมิใช่คนใจไม้ไส้ระกำถึงเพียงนั้น ตอนนี้ประกาศผู้ชนะการบรรเลงดนตรีแล้ว เจ้าต้องออกไปแล้ว” เสียงประกาศว่าผู้ชนะในการแข่งบรรเลงดนตรีวันนี้เป็นเถียนลี่มี่ แต่ฟ่านซีไม่ได้สนใจเลยสักนิด ก้อนเนื้อเท่ากำปั้นเต้นรัวเพราะกลัวว่าจะทำพลาดไม่ต่างกับเหล่าขุนนางและผู้คนในลานพิธี บัดนี้ไม่มีผู้ใดสนใจผู้ชนะในการแข่งขันบรรเลงดนตรีแม้แ
“ผู้ชนะมาแล้วสินะ” หลิวฟ่านซีพึมพำอย่างหน่ายๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรบทนางเอกก็ต้องเด่น ยังไงการแข่งขันครั้งนี้เถียนลี่มี่ก็ต้องเป็นผู้ชนะ ขณะที่ฟังการเป่าตี้จื่อ (ขลุ่ยผิว) ของแม่นางเอก ก็อดที่จะหันไปมองโจวเทียนฉีไม่ได้ ทว่าสิ่งที่น่าแปลกคืออีกฝ่ายมองนางอยู่ก่อนแล้วช่วงที่ผ่านมา แม้ฟ่านซีจะเอ่ยว่าไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับตัวละครหลักของเรื่อง แต่กลับมีหลายครั้งที่พบกันโดยบังเอิญ และโจวเทียนฉีก็ยังพูดกระทบนางเรื่องเดิมว่านางกำลังจะทำให้สกุลหลิวเดือดร้อน ครั้งหนึ่งเขายังเคยเดินตามมาส่งนางกับจูหลิงกลับเรือน นับวันชักทำตัวแปลกขึ้นทุกที“มองทำไม เดี๋ยวก็จิ้มตาบอด” หลิวฟ่านซีอดเบะปากรำคาญมิได้ สุดท้ายนางต้องเป็นฝ่ายละสายตาออกมา เพราะอีกคนจ้องหน้านางไม่เลิก อะไรปล่อยได้ก็ปล่อยไป ไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเอง“การแข่งขันสิ้นสุดลง-” ขุนนางหนุ่มกำลังจะประกาศสิ้นสุดการแข่งขันชะงักนิ่ง เมื่อไท่กงกง ขันทีคนสนิทของฝ่าบาทเดินมากระซิบข้างหู“เอ่อ ฝ่าบาททรงตรัสถามถึงคุณหนูสกุลหลิว ปีก่อนคุณหนูหลิวเป็นผู้ชนะการบรรเลงผีผา ปีนี้จะเข้าร่วมการแข่งหรือไม่”“ห๊ะ!” หลิวฟ่านซีที่กำลังอ้าปากกินขนมถึงกับค้างเมื
เสียงบรรเลงดนตรีดังขับกล่อมผู้คนในลานพิธี ท่ามกลางต้นไม้สูงลิ่วบนเนินเขาเหยี่ยนเฟิง ในช่วงสารทฤดูเช่นนี้ ราชสำนักแคว้นต้าเฉวียนมีพิธีการสำคัญคือการสักการะเทพเจ้าตามความเชื่อของเหล่าบรรพบุรุษผู้ล่วงลับเชื่อกันว่าทั้งผืนดิน ผืนป่า ผืนน้ำ และผืนฟ้า ล้วนมีองค์เทพคอยปกปักดูแล ในทุกปีจึงมีการจัดพิธีสักการะ เซ่นไหว้ ขอให้แคว้นต้าเฉวียนสุขสงบร่มเย็น ไร้ซึ่งภัยพิบัติต่างๆ ประชาชนอยู่ดีมีสุข“พี่ใหญ่ พี่เค่อไม่มาด้วยหรือ”“อะฮึ่ม! มะ ไม่มา” ไห่คุนกระแอมกลบเกลื่อน สายตาเฉียบคมวันนั้นเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเจ้าตัวมิอยากเปิดเผยตัวตน แม้จะสงสัยว่าเหตุใดซีซีจดจำอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก็จำต้องเก็บความสงสัยนั่นไว้ มิเช่นนั้นอาจทำให้ความแตกได้“แย่จริง ช่วงนี้ข้าไปที่ค่ายก็ไม่ค่อยเจอเขา หรือเขาไปทำงานที่อื่นแล้ว”“ท่านน้าเปลี่ยนเป้าหมายแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงเล็กของซิงอีดังแทรกบทสนทนาของผู้ใหญ่ ทำเอาคนทั้งกระโจมตกใจกับคำพูดคำจาของเด็กอายุเพียงสี่หนาว ดีที่เป็นกระโจมของสกุลหลิวเอง จึงมีเพียงครอบครัวของพี่ใหญ่ พี่รอง และหลิวฟ่านซีเท่านั้น“ซิงเอ๋อร์ พูดเช่นนั้นกับท่านน้ามิได้นะ”“เปลี่ยนเป้าหมาย คำนี้เป็นบิดาเจ้าท
“แปลกใจอันใดเจ้าคะ” เสียงหวานว่าพลางยื่นมือไปรับจอกสุราที่อีกฝ่ายยื่นมาให้“เจ้าปฏิบัติตัวไม่เหมือนคุณหนูในห้องหอ พยายามหนีห่างจากโจวเทียนฉี และที่สำคัญที่สุด เจ้าทำเหมือนว่าไม่รู้จักข้า เหมือนเราไม่เคยพบกันมาก่อน”“...อึก ทะ ท่านสงสัยมากมายนัก” ฟังคำพูดของบุรุษตรงหน้าแล้วได้แต่ยกสุราขึ้นดื่ม เฉตาไปมองทางอื่น แม้ดวงหน้างามจะเรียบเฉยแต่ในหัวคิดให้วุ่นว่าควรตอบกลับไปเช่นไรดี แกล้งบ้าไปเลยดีหรือไม่“ว่าอย่างไร หืม”“ก็...ข้าฝันเจ้าค่ะ”“ฝันหรือ”“ใช่เจ้าค่ะ! ข้าฝันถึงท่านปู่ ในฝันท่านปู่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มาบอกกับข้าว่าทะเลาะกับท่านปู่ของโจวเทียนฉี เรื่องที่ท่านปู่โจวดันไปเกี้ยวเทพเซียนคนงามที่ท่านปู่ของข้าหมายตาไว้ เลยเข้าฝัน มาบอกให้ข้าเลิกยุ่งกับโจวเทียนฉี สัญญาหมั้นอะไรพวกนั้นยกเลิกให้หมด”“...” บุรุษตรงหน้าถึงกับอ้าปากค้าง ไม่คิดว่านางจะยกเรื่องพวกนี้มาเป็นเหตุผลได้“จริงๆ นะพี่เค่อ หลังจากข้าตื่นมาก็บอกท่านพ่อให้เลิกพูดเรื่องที่จะให้ข้าหมั้นหมายกับโจวเทียนฉี พอไม่ต้องหมั้น ข้าเลยใช้ชีวิตอย่างที่ข้าต้องการไง”“หึ พูดจาฉลาดนักนะ แล้วเรื่องที่เจ้าไม่รู้จักข้าเล่า จะว่าอย่างไร”“เอ่อ เร
เหตุการณ์เผชิญหน้ากันของสองบุรุษ แม้โจวเทียนฉีจะเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ เมื่อเทียบกับจวิ้นอ๋อง แต่อีกฝ่ายก็ยกสายตาของชาวบ้านมาอ้าง เอาแต่พูดว่าหากจวิ้นอ๋องพาหลิวฟ่านซีไปด้วยอาจมีคำครหาว่าไม่ให้เกียรติชายาที่มาด้วยกันซึ่งจางกงเต๋อหัวถือเรื่องนี้เป็นที่สุด แคว้นต้าเฉวียนปกครองโดยราชวงศ์จางกง บัดนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียดเรื่องการสืบทายาท แม้ว่าองค์ฮ่องเต้จางกงหลัวเค่อจะยังมีพระชนม์มายุเพียงยี่สิบแปดหนาว กระนั้นเหล่าขุนนางและราชวงศ์ก็ยังกังวล เนื่องด้วยองค์กษัตริย์ยังมิมีพระโอรสธิดาแม้เพียงองค์เดียวนั่นหมายความว่าพระเชษฐาอีกสองพระองค์ยังคงมีสิทธิ ในการครองราชสมบัติต่อจากองค์ฮ่องเต้อยู่ คนแรกคงหนีไม่พ้นจางกงเต๋อหัว จวิ้นอ๋องที่มีกำลังทหารและอำนาจอยู่ไม่น้อย ส่วนคนที่สองคือจางกงเหลียนป๋อ ที่บัดนี้ดำรงตำแหน่งเป้ยเล่อ ซึ่งมีบทบาทในการช่วยบริหารงานราชการหลายส่วน แต่ดีที่เป้ยเล่อผู้นี้เป็นเพียงโอรสจากสนมขั้นผิน จึงไม่มีขุนนางหรือสกุลเดิมคอยสนับสนุนดังนั้นจึงไม่แปลกที่จวิ้นอ๋องจะเกรงสายตาชาวบ้าน เพราะลำพังชื่อเสียงในตอนนี้ก็เป็นคนโฉดอำมหิตอยู่แล้ว“เอ่อ โอ๊ยๆ อยู่ๆ ก็ปวดหนัก อยากเข







