แม่ทัพไร้พ่ายเร่งฝีเท้าเดินจ้ำอ้าวด้วยความเร็วหลังจากที่สลัดเสนาบดีฝ่ายซ้ายออกไปให้พ้นทางตนได้ ถึงแม้จะข่มขู่ให้อีกฝ่ายหยุดความคิดเช่นนั้นไปแล้ว ทว่าใบหน้าคมเข้มของแม่ทัพยังคงมีริ้วรอยแห่งความกังวลใจแฝงอยู่ไม่น้อย เพราะเขาไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด หากอีกฝ่ายไม่เกรงกลัวคำขู่เช่นหมูไม่เกรงน้ำร้อน คิดหาหนทางใช้ความดีความชอบขอให้ฮ่องเต้มีราชโองการขึ้นมา ฮวาเอ๋อร์บุตรสาวสุดที่รักของเขาคงมิแคล้วต้องถูกบีบให้ยอมจำนนหมั้นหมายกับไอ้เด็กน้อยตระกูลฉีเป็นแน่แท้ อย่างไรเสียฉีหลิงเฟยเจ้าเสนาบดีเฒ่าคงไม่มีทางยอมถอยหลังกับอีแค่เจอคำขู่ลอยๆ พวกนั้นเป็นแน่
‘เอ... หรือว่าข้าจะทำให้เจ้าเด็กเยว่จินนั่นพิการดีนะ อือ... ไม่ได้ๆ เกิดอวี้หลางบ้าจี้สงสารมัน แล้วมีราชโองการให้ฮวาเอ๋อร์ของข้าแต่งเข้าตระกูลฉี ลูกสาวข้ามิต้องกลายเป็นเมียคนพิการหรอกหรือ’
ท่านแม่ทัพผู้ออกอาการหวงบุตรสาวครุ่นคิด ก่อนจะเผยรอยยิ้มยินดีออกมาเมื่อคิดหาทางออกได้
‘ใช่แล้ว จะไปยากอะไรเล่า หากทำให้พิการแล้วเป็นปัญหา ถ้าอย่างนั้นก็เชือดทิ้งไปเสียเลยสิ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว งั้นก็รอเก็บรวดเดียวเลย ตระกูลไหนกล้ามาทาบทามลูกสาวข้า ข้าจะเก็บพวกมันรวดเดียวเลย’
“ใช่ ต้องแบบนี้แหละ ฮ่าๆๆ ดูสิว่าคราวนี้ยังจะมีไอ้หน้าโง่คนไหนกล้าเสนอลูกชายตัวเองมาให้ฮวาเอ๋อร์ของข้าอีก”
แม่ทัพไร้พ่ายส่งเสียงหัวเราะร่วน เดินกระหยิ่มยิ้มย่องลำพองไปทางรถม้าที่จอดรออยู่ด้วยความสบายใจที่ตัวเองสามารถคิดหาหนทางออกได้
“ฮัดเช้ย!”
บุรุษในชุดมังกรพลันจามติดๆ กัน มือเรียวยกขึ้นลูบปลายจมูกโด่งได้รูปพลางตรัสกับตัวเองด้วยสุรเสียงงุนงง
“เอ... แปลกนัก น้ำมูกหรือก็ไม่มี แต่ทำไมจามได้ขนาดนี้”
หลิวกงกงขันทีประจำพระองค์ก้าวเข้ามา ก่อนส่งถ้วยน้ำขิงที่มีควันลอยหอมกรุ่นให้ “ฝ่าบาท ทรงเสวยน้ำขิงร้อนๆ ก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ที่เป็นเช่นนี้อาจเพราะทรงหักโหมงานหนักจนเกินพระวรกาย”
ฮ่องเต้หนุ่มรับถ้วยมายกซดเฮือกใหญ่ ก่อนจะส่งกลับคืนให้อีกฝ่าย แล้วนั่งครุ่นคิดในใจต่อ พระองค์กำลังหมายมั่นปั้นมือจะจับบุตรสาวของสหายรักมาหมั้นหมายกับองค์ชายน้อยของพระองค์อยู่
‘เจ้าสาม เจ้าห้า หรือว่าเจ้าแปดดีนะ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หมิงหลง ลูกสาวเจ้าจะต้องเป็นชายาของคนที่จะขึ้นเป็นรัชทายาทข้า’
อวี้หลางฮ่องเต้คิดสรุปในใจเงียบๆ พระพักตร์งดงามราวกับสตรีมีรอยยิ้มยินดีระบายทั่ว ยามคิดถึงตอนที่สหายรักได้รับรู้สิ่งที่พระองค์จะทำ
‘นี่ถ้าหมิงหลงรู้ว่าข้ายกย่องบุตรสาวเขาถึงขนาดนี้ละก็ คงจะดีใจไม่น้อยทีเดียว’ ฮ่องเต้คิดพลางหัวเราะด้วยความปีติ
อนิจจา! หากพระองค์มีญาณทิพย์สามารถล่วงรู้ได้ว่าสหายรักที่กำลังคิดพระราชทานโอรสของตนเพื่อให้เป็นว่าที่ลูกเขยของอีกฝ่าย ในยามนี้นั้นคิดวางแผนที่จะกำจัดบรรดาเด็กชายทั้งหลายแหล่ที่จะนำมาเสนอให้แก่บุตรสาวของตนอยู่ คาดว่าพระองค์คงเลิกล้มความคิดนี้แทบไม่ทันแน่ๆ
“แม่ทัพจ้าวๆ ท่านกำลังจะกลับจวนหรือ”
เสียงเล็กร้องถามจากด้านหลัง เจ้าของเสียงนั้นเป็นเด็กชายในชุดแต่งกายสีสันสดใส ใบหน้าจิ้มลิ้มราวกับเด็กผู้หญิงมีเค้าโครงของอวี้หลางฮ่องเต้อยู่มิน้อย
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายแปดทรงมีธุระอะไรกับกระหม่อมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีหรอก ข้าเพียงแค่รู้สึกเบื่อและเหงา ในวังก็ไม่มีอะไรให้เล่นสนุกเลย”
องค์ชายแปดอวี้เยี่ยนบ่นลอยๆ ให้คนตรงหน้าฟัง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากแสร้งก้มหน้าถามเสียงเศร้า ทว่าดวงตานั้นฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างที่เด็กวัยนี้ไม่ควรมี
“ดังนั้นข้าเลยอยากขอไปเที่ยวเล่นที่จวนของท่าน ท่านแม่ทัพให้ข้าไปด้วยได้หรือไม่”
จ้าวหมิงหลงที่เมื่อครู่อดนึกสงสารองค์ชายน้อยไม่ได้พลันรู้สึกตัวสะดุ้งเฮือก การจะพาไปนั้นหาใช่เรื่องยาก ทว่าร้อยวันพันปีมิเคยเห็นว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีสนใจไปจวนเขาสักนิดนี่นา
ดวงตาคมหรี่มองใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มอย่างสำรวจ ก่อนจะสรุปกับตนเองอย่างมั่นใจว่าองค์ชายตัวน้อยพระองค์นี้ น่าจะมีเป้าหมายอยู่ที่บุตรสาวสุดที่รักของเขาอย่างแน่นอน
‘ฝันไปเถิดเจ้าเด็กน้อย ถึงเจ้าจะเป็นโอรสแห่งฮ่องเต้สหายข้าก็ตาม แล้วอย่างไรเล่า อย่าหวังเลยว่าจะได้ลูกข้าไปครอง’
“ขออภัยด้วยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย กระหม่อมก็อยากให้พระองค์ไปด้วย เพียงแต่ยามนี้บุตรสาวกระหม่อมกำลังป่วยเป็นโรคร้ายแรงอยู่ หากให้พระองค์เสด็จตามไปด้วยละก็ เกรงว่าอาจจะทรงติดโรคจากบุตรสาวกระหม่อมได้”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงเบาหวิว ใบหน้าซีดขาวราวกับไร้สีเลือด อวี้เยี่ยนได้ยินดังนั้นก็รีบถอยร่างหนีห่าง ดวงตาหงส์คู่เล็กจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเกรงๆ
“บุตรสาวของท่าน นางเป็นโรคติดต่ออย่างนั้นหรือ”
หมิงหลงซ่อนยิ้มผงกศีรษะรับคำโดยทันที
‘ฮึ เจ้าเด็กน้อย คิดหรือจะสู้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้ใหญ่ได้ เจ้ามารยามาข้าก็มารยากลับ ไม่โกงกันอยู่แล้ว ไม่มีข้อห้ามใดห้ามไม่ให้ผู้ใหญ่มารยานี่นา’
“บุตรสาวของกระหม่อม นางป่วยเป็นโรคที่สามารถติดต่อกันทางผิวหนังพ่ะย่ะค่ะ โดยอาการที่เป็นจะมีตุ่มน้ำหนองขึ้นตามผิวกาย ถ้าตุ่มไหนขึ้นมานานแล้วก็จะแตก เวลาแตกผิวหนังนางจะแยกออกจนเห็นเนื้อด้านในเน่าเฟะ น้ำหนองจะไหลเยิ้มออกมา ที่สำคัญคือ หากสัมผัสถูกตัวก็จะติดโรคเช่นเดียวกับนางไปด้วย ยามนี้กระหม่อมต้องส่งสาวใช้ที่คอยดูแลนางกลับบ้านไปถึงสามคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพหนุ่มสาธยายพลางลอบสังเกตสีหน้าเด็กน้อยคู่สนทนา เมื่อเห็นว่าองค์ชายแปดแสดงท่าทีรังเกียจหวาดเกรงในตัวเขา มือใหญ่จึงยื่นมาข้างหน้าคล้ายจะจับต้องถูกเนื้อตัวอีกฝ่าย
อวี้เยี่ยนผงะร่างก้าวถอยหลัง หลีกหนีมือใหญ่ตรงหน้าอย่างหวาดกลัว ใบหน้าจิ้มลิ้มราวกับเด็กหญิงนั้นบิดเบี้ยวนิดๆ แววตาฉายความรังเกียจให้เห็นอย่างไม่อาจปิดบัง ก่อนจะหมุนกายหันหลังวิ่งหนีจากไปโดยไม่คิดร่ำลา
ถึงแม้ว่าพระมารดาจะสั่งให้เขาตีสนิทและหาทางเป็นลูกเขยแม่ทัพจ้าวก็เถอะ แต่แบบนี้ไม่ไหวนะ เขายังไม่อยากติดโรคไปด้วยนี่นา
‘เสด็จแม่... มันไม่ใช่ แบบนี้ลูกไม่ไหวจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ’
จ้าวหมิงหลงมองตามหลังร่างเล็กที่วิ่งหนีไปจนลับตา ก่อนจะเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมขณะมองตามไป เจ้าเด็กนี่อายุเพียงเท่านี้ในใจคิดเริ่มวางแผนการแล้วหรือ
‘เห็นแก่หน้าบิดาของเจ้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บตัว แต่ถ้ามีคราวหน้าจะเล่นงานเจ้าที่ใจแทน’
“กลับ!” สิ้นเสียงคำสั่ง รถม้าคันใหญ่ก็เคลื่อนไหวมุ่งหน้าสู่จวนไร้พ่ายทันที
เมื่อลับร่างทุกคนไปแล้วพลันปรากฏร่างเด็กหนุ่มสองคนวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งคู่ก้าวออกมาจากพุ่มไม้ทางด้านหนึ่ง
“น้องห้า เจ้าว่าท่านแม่ทัพน่าสงสารหรือไม่”
เด็กหนุ่มคนโตกว่าหันไปถามผู้มีศักดิ์เป็นน้อง พลางเหม่อมองตามหลังรถม้าของแม่ทัพไร้พ่าย ทั้งสองคือองค์ชายสามอวี้เจี้ยนกับองค์ชายห้าอวี้เหลียนนั่นเอง
อวี้เหลียนหันไปมองตามพี่ชายทางทิศที่แม่ทัพจากไป นัยน์ตาสีดำเป็นประกายทอแสงวูบหนึ่ง เขามั่นใจว่าคำพูดประโยคเมื่อสักครู่นี้ของแม่ทัพจ้าวโกหกแน่นอน ทว่าองค์ชายห้าผู้ฉลาดเฉลียวทรงยึดถือในคติประจำใจของตนเอง นั่นคือ...
‘ไม่คิดยุ่งเรื่องของผู้อื่น’
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะตอบออกไปไม่ตรงคำถามเท่าใดนัก “หากเป็นดั่งคำที่ท่านแม่ทัพเอ่ยมา ข้าว่าเขาก็น่าสงสารอยู่”
ใช่... ถ้าเป็นความจริงก็น่าสงสาร แต่ในเมื่อโกหกย่อมไม่น่าสงสารอันใด
อวี้เจี้ยนมองตามสายตาน้องชายแล้วถอนหายใจเบาๆ เอาเถิด ท่านแม่ทัพเองก็รบกับข้าศึกเพื่อปกป้องบ้านเมืองมาอย่างยากลำบาก สร้างความดีความชอบมาก็มิใช่น้อยๆ
‘ในอนาคตหากแม้บุตรีของท่านสามารถมีชีวิตรอด ไม่มีผู้ใดมาสู่ขอนางเป็นภรรยา ข้าจะรับนางมาเป็นชายาให้เอง’ อวี้เจี้ยนผู้อ่อนโยนคิดพลางบอกกับตัวเองเงียบๆ
หลังจากนั้นในเมืองหลวงก็บังเกิดข่าวลือขึ้นมา และกลายเป็นประเด็นร้อนแห่งแคว้นเลยทีเดียว ข่าวนั้นเล่ากันว่า บุตรสาวท่านแม่ทัพไร้พ่าย คุณหนูคนเดียวของสกุลจ้าวเป็นโรคติดต่อทางร่างกาย จนทำให้มีใบหน้าอัปลักษณ์ยิ่งนัก แถมร่างกายยังพิกลพิการด้วยโรคนี้อีกด้วย
ข่าวนี้เล่าลือกันจนหนาหู ได้ยินไปถึงพระกรรณฮ่องเต้ พระองค์ทรงร้อนพระทัยถึงกับต้องไปถามคาดคั้นเอากับสหายคนสนิท
ยิ่งเห็นสหายรักก้มหน้านิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ฮ่องเต้หนุ่มยิ่งกำสรดด้วยความสงสารและเห็นใจอีกฝ่าย ส่วนท่านแม่ทัพก็ให้นึกยินดีในใจ นับว่าองค์ชายแปดกับพระสนมเต๋อเฟยช่างเป็นหอกระจายข่าวชั้นดีของเขาจริงๆ ทำได้ยอดเยี่ยมนัก
จะมีให้ขัดใจบ้างคงเป็นองค์ชายสามอวี้เจี้ยนนี่แหละ มาเอ่ยปากบอกว่าหากฮวาเอ๋อร์ของเขารอดไปได้จนเติบใหญ่แล้วละก็ พระองค์ยินดีจะรับบุตรสาวสกุลจ้าวมาเป็นพระชายา ทำเอาฮ่องเต้กับแม่ทัพถึงกับน้ำตาซึมกันเลยทีเดียว
จะแตกต่างกันก็ตรงที่ฮ่องเต้นั้นน้ำตาซึมเพราะทรงปลาบปลื้มพระทัยที่โอรสของพระองค์มีจิตใจดีงาม ไม่คิดรังเกียจบุตรีของสหายรัก
ส่วนท่านแม่ทัพนั้นน่ะหรือ ซึมเพราะคิดว่าตนอุตส่าห์กำจัดคนอื่นได้แล้ว กลับดันมีองค์ชายสามโผล่เข้ามาอีก
‘องค์ชาย ท่านจะเมตตาทำไมถึงไม่ถามกันก่อนเล่า ว่ากระหม่อมต้องการหรือไม่’
แม่ทัพต่อว่าอีกฝ่ายน้ำตาซึม ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความโมโหองค์ชายสาม ผู้หวังดีที่เขาไม่ต้องการสักนิด
ทว่าต่างกับฮ่องเต้ที่มีรอยยิ้มกว้างขวางบนพระพักตร์ เพราะคิดว่าสหายของพระองค์นั้นร้องไห้เพราะความซาบซึ้งใจ
ส่วนองค์ชายห้าผู้ฉลาดเฉลียวเกินวัย พอจะเดาได้ถึงความคิดในใจแม่ทัพกับพระบิดาตน เขาจึงได้แต่อดทนนั่งกลั้นเสียงหัวเราะเสียจนหน้าเขียวหน้าดำอยู่ผู้เดียว อนิจจา...