วังหลวง
ภายในท้องพระโรงอันยิ่งใหญ่สถานที่ว่าราชการของฮ่องเต้ บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ต่างยืนเรียงรายกันตามลำดับขั้นชั้นของแต่ละคน
ที่อยู่เบื้องหน้าของทุกคนคือพระวรกายสูงสง่า พระพักตร์งดงามแลดูอิ่มเอิบ ตามลักษณะของผู้มีบุญญาธิการเหนือผู้ใดในแผ่นดิน ทรงภูษาสีเหลืองปักดิ้นลายมังกรสีทองประจำตำแหน่ง ร่างนั้นตระหง่านประทับบนบัลลังก์มังกรเปล่งรัศมีแลดูน่าเกรงขามยิ่ง
“เอาละ ผู้ใดมีเรื่องอะไรจะพูดอีกหรือไม่” สุรเสียงทุ้มกังวานเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมีตรัสขึ้น ก่อนพระเนตรคมกล้าจะไล่มองทุกคนที่อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์
ขุนนางชราขั้นสามผู้หนึ่งยกมือเตรียมอ้าปากกราบทูล เขาขยับกายเพื่อออกมาพูดเบื้องหน้าพระพักตร์ ก่อนจะมีอันต้องหุบปากลดมือแล้วยืนขาสั่นพั่บๆ แทน เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีกดดันพุ่งมาทางตน และต้นตอที่แผ่มานั้นก็หาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็นแม่ทัพคู่พระทัยของฮ่องเต้เอง โดยที่เขาก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำสิ่งใดผิด ท่านแม่ทัพไร้พ่ายจึงต้องจ้องเขม็งแผดรังสีร้อนแรงใส่ถึงขนาดนี้
จ้าวหมิงหลงพยายามส่งสายตาพิฆาตอีกทั้งยังแผ่รังสีกดดันใส่อีกฝ่าย จนขุนนางเฒ่าผู้นั้นแข้งขาอ่อนปวกเปียกยืนประคองตนแทบไม่อยู่ คิดว่าหากมิได้ยืนอยู่หน้าพระพักตร์ เจ้าตัวคงปล่อยร่างให้ทรุดฮวบลงไปแล้ว เมื่อเห็นดังนั้นใบหน้าคมดุจึงลอบยิ้มมุมปากด้วยความสาสมใจ ยิ่งเห็นว่าไม่มีผู้ใดกล้าออกมากล่าวอะไรต่ออีก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ยิ่งผุดกว้างขึ้นมาบนใบหน้าคมเข้มอย่างพึงพอใจ
บุรุษบนบัลลังก์มังกรทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด พระองค์ทรงส่ายพระพักตร์เพียงเล็กน้อยด้วยความอิดหนาระอาใจต่อการกระทำของแม่ทัพผู้เป็นสหายคนสนิท
“เอาละ ในเมื่อไม่มีสิ่งใดแล้วก็จงแยกย้ายกันเสีย ใครมีอะไรต้องทำก็ไปทำให้เสร็จสิ้น ส่วนเจ้า แม่ทัพจ้าว ตามเราไปที่ห้องทรงอักษรเดี๋ยวนี้”
เจ้าของพระวรกายสูงสง่าตรัส จากนั้นจึงสะบัดชายผ้าคลุมลุกจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เหล่าขุนนางที่อยู่ด้านหลังพากันถวายความเคารพตามหลังแทบไม่ทัน
จ้าวหมิงหลงเดินไปตามคำสั่งด้วยใบหน้ายับย่น พลางบ่นกระปอดกระแปดตลอดทางอย่างหงุดหงิด เพราะตนเองนั้นอยากจะรีบกลับจวนไปดูบุตรีตัวน้อยไวๆ
“อวี้หลาง เจ้าจะเรียกข้ามาทำไมกัน”
แม่ทัพหนุ่มบ่นโวยวายไม่สบอารมณ์ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเบื้องหน้าอีกฝ่ายด้วยท่าทีกระแทกกระทั้น บ่งบอกให้รู้เป็นนัยๆ ว่าเขากำลังไม่พอใจ
อวี้หลางฮ่องเต้เหลือบพระเนตรตวัดค้อนให้พลางแยกเขี้ยวใส่คนตรงหน้า ก่อนจะตรัสด้วยสุรเสียงเขียวปัด
“แล้วเจ้าทำอะไรลงไปบ้างเล่า เจ้าแม่ทัพบ้านี่”
ในแคว้นต้าเฉินแห่งนี้คงไม่มีผู้ใดที่กล้าอาจหาญเอ่ยนามเจ้าชีวิตตรงๆ เยี่ยงนี้ แต่นั่นย่อมไม่ใช่กับจ้าวหมิงหลงผู้นี้แน่นอน ด้วยว่าทั้งคู่นั้นเป็นสหายกันมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย อีกทั้งคนตรงหน้ายังเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือพระองค์มาโดยตลอด ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเพียงองค์ชายน้อยไร้ศักดิ์ ที่ไม่มีผู้ใดคิดให้ความสำคัญ
สิ่งเหล่านั้นทำให้อวี้หลางไม่ได้มองคนตรงหน้าเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้ ซ้ำยังทำให้เขายกย่องสถานะของอีกฝ่ายไว้ดุจพี่น้องร่วมอุทรด้วย
“เจ้าทำตัวแบบนี้ อยากจะให้ข้าอกแตกตายหรืออย่างไรกันหมิงหลง”
ฮ่องเต้หนุ่มตรัสสุรเสียงไม่จริงจังเท่าใดนัก ทว่าครั้นจะไม่บ่นหรือก็ไม่ได้ เพราะนับจากวันที่บุตรีเกิดมาจนถึงแปดปีนั้น จ้าวหมิงหลงยังคงไม่ยอมเลิกทำตนเป็นพ่อเห่อลูกเสียที เดือดร้อนถึงพระองค์ต้องคอยออกมาปรามให้เพลาๆ หลายต่อหลายครั้ง ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะฟังคำเสียเมื่อไรกัน
ฮ่องเต้หนุ่มคิดย้อนถึงเมื่อแปดปีก่อน พอทารกน้อยลืมตาออกมาดูโลก แม่ทัพคู่พระทัยก็มาลาคลอดกับพระองค์ทันที ใช่ฟังไม่ผิดหรอก เจ้าคนน่าตายผู้นี้มาลาพระองค์คลอด ประหนึ่งว่าตัวเองเป็นคนตั้งท้องเสียกระนั้น
ด้วยความที่อวี้หลางเห็นแก่ความเป็นสหายสนิทและฮูหยินจ้าวผู้เป็นน้องสาวตน จึงได้ทรงยินยอมให้แม่ทัพหนุ่มได้ลาไปคลอด เอ๊ย! เลี้ยงบุตรถึงสองปีตามใจปรารถนา
เมื่อย่างเข้าปีที่สามแม่ทัพไร้พ่ายจึงกลับมาทำงานตามเดิม ทว่าไอ้เจ้าบ้านี่ก็ยังมิวายเลิกเห่อบุตรสาว เข้าเฝ้าสองวันลาป่วยลากิจอีกห้าวัน ช่วงนั้นอวี้หลางต้องเผชิญหน้ากับสารพัดคำลางานที่อีกฝ่ายสรรหามาใช้ไม่จบไม่สิ้น จนพระองค์แทบจะสติแตกตายไปเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสุนัขวิ่งตัดหน้ารถม้า แมวเดินผ่าน สตรีมีครรภ์เดินสวนทาง เด็กน้อยจ้องมอง หรือแม้แต่หนอนตัวเล็กๆ คลานตัดหน้ารถม้า จวบจนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่ทำเอาพระองค์ถึงขนาดทนไม่ไหว ตัดสินพระทัยไปพบฮูหยินไร้พ่ายผู้เป็นน้องสาวบุญธรรมเพื่อบอกกล่าวเล่าถึงพฤติกรรมของท่านแม่ทัพผู้เป็นสามีให้นางฟังอย่างหมดไส้หมดพุง
‘แม่ทัพยื่นหนังสือขอลางานเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพราะมดขึ้นรถม้าเนื่องจากเกรงว่าจะเป็นลางร้าย’
ลางานหนึ่งเดือนเพียงเพราะมดขึ้นรถม้า! มารดามันเถิด
แน่นอนว่าครั้นพอฮูหยินไร้พ่ายทราบ วันรุ่งขึ้นท่านแม่ทัพใหญ่ก็กลับไปทำงานตามปกติ เพิ่มเติมคือรอยฟกช้ำเต็มใบหน้าหล่อเหลา
ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำเอาแม่ทัพอารมณ์บูดขนาดหนัก จนต้องไปยืนทะเลาะกับเสาท้องพระโรงระบายอารมณ์อยู่เสียหลายวันเลยทีเดียว อวี้หลางและขุนนางคนอื่นต่างยืนนิ่งมองภาพแม่ทัพยืนโวยวายใส่เสาท้องพระโรง จากนั้นจึงพร้อมใจกันส่ายหน้าหมดคำพูด
คนบ้าอะไรทะเลาะกับเสาก็ได้...
“ในเมื่อเจ้าไม่มีธุระสำคัญอะไร ถ้าอย่างนั้นข้าไปล่ะนะ”
โดยไม่คิดรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากอนุญาต ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพก็ดีดกายเผ่นแผล็วไปจากห้องทรงอักษรทันที ทิ้งให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรตามหลังสหายสนิทอย่างเหนื่อยหน่าย เอือมระอากับนิสัยเอาแต่ใจตัวเองของอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน
ร่างสูงเดินจากมาได้ระยะหนึ่งจึงผ่อนชะลอฝีเท้าลง พลางเดินผิวปากเล่นอย่างคนอารมณ์ดีด้วยท่าทีสบายใจ ในที่สุดเขาก็จะได้กลับจวนเสียที
“ท่านแม่ทัพจ้าว ท่านแม่ทัพ โปรดรอข้าด้วย” เสียงชายสูงวัยในชุดขุนนางขั้นหนึ่งร้องเรียกไม่เบานัก ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยายามวิ่งเร่งฝีเท้าพาร่างอวบๆ ขึ้นมาเดินตีคู่กับเขา
“มีธุระอันใดกับข้าหรือ ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย”
แม่ทัพจ้าวร้องถามอีกฝ่ายน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าจงใจเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ทำเอาขุนนางร่างอวบต้องออกแรงวิ่งจนพุงหนาๆ กระเพื่อมตามตัว
เสนาบดีฝ่ายซ้ายฉีหลิงเฟยพยายามวิ่งไล่ตามร่างสูงจนทัน ใบหน้าอวบอูมของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ไหลต่างน้ำ ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งมาเคียงข้างร่างสูงกำยำด้วยอาการหอบถี่ๆ
“ข้าได้ยินข่าวมาว่าคุณหนูจ้าวบุตรีของท่านตอนนี้อายุได้แปดขวบแล้ว บุตรชายข้า เยว่จินเองปีนี้อายุก็ได้สิบขวบพอดี ท่านแม่ทัพคิดอย่างไร หากพวกเราจะให้เด็กๆ ได้ทำความรู้จักกันเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อเป็นทองแผ่นเดียวกันในภายหน้า”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เขาเชื่อมั่นว่าคนข้างๆ จะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน อย่างไรเสียตระกูลฉีของเขาก็ยิ่งใหญ่ไม่ใช่น้อย อีกทั้งบุตรีคนโตก็เป็นถึงกุ้ยเฟยที่ฮ่องเต้โปรดปราน หากว่าได้เกี่ยวดองกับตระกูลจ้าวที่มากไปด้วยอำนาจทางการทหารแล้วไซร้ อำนาจในมือจะไปไหนเสีย
จ้าวหมิงหลงเหลือบตามองใบหน้าฉุๆ ของคู่สนทนา พลางกัดฟันกรอดนึกเดือดดาลคำรามลั่นในใจ ไม่แสดงท่าทีใดให้เห็นภายนอก
‘ฉีหลิงเฟย ไอ้ลูกเต่าผสมสุกรเอ้ย นี่เจ้าคิดเอาดวงใจของข้าจ้าวหมิงหลงผู้นี้มาเป็นฐานเพื่อสร้างอำนาจให้แก่ตระกูลฉีของเจ้าเชียวหรือ’
“บุตรสาวของข้าเพิ่งจะอายุเพียงแปดขวบ นับได้ว่ายังเล็กนัก ข้าจึงยังมิคิดเรื่องนี้ อีกทั้งตระกูลจ้าวของข้านั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกรพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องสละความสุขของบุตรหลานในตระกูลเพียงเพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่ใดๆ เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่คิดจะยกบุตรสาวข้าให้แก่บุตรชายของท่าน เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจอันไร้สาระ”
กล่าวจบจู่ๆ ร่างสูงก็หยุดเท้ายืนนิ่ง ก่อนมือใหญ่กร้านจะคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อของอีกฝ่าย แล้วยกขึ้นสูงจนร่างอวบระยะสุดท้ายของเสนาบดีเฒ่าลอยขึ้นเหนือพื้น พร้อมเอ่ยคำรามน้ำเสียงต่ำดุดันไม่ต่างกับดวงตาคู่คม ที่ยามนี้เต็มไปด้วยรังสีสังหารดังเช่นยามออกไล่เข่นฆ่าเหล่าอริศัตรู
“อย่าได้คิดมองตระกูลจ้าวของข้าเป็นเพียงแค่ฐานรองเหยียบเพื่อปีนป่ายหาอำนาจให้แก่ตระกูลฉีของเจ้า มิอย่างนั้นข้าเกรงเหลือเกินว่าตระกูลฉีอาจได้หลงเหลือเพียงแค่ชื่อสืบไป”
กล่าวจบแม่ทัพหนุ่มจึงคลายมือ ปล่อยให้ร่างอวบๆ ของขุนนางเฒ่าผู้กระหายอำนาจทรุดลงไปกองกับพื้นหินโดยไม่สามารถประคองตัวไว้ได้ จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปอย่างไม่ไยดี
‘น่ากลัว! ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ฉายามัชจุราชแห่งแคว้นต้าเฉิน หาใช่เพียงคำเล่าลือไม่’
ฉีหลิงเฟยบอกกับตนเองในใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น แววตายังมีความหวาดหวั่นไม่น้อย ความกดดันเมื่อครู่ทำเอาขุนนางร่างอวบแทบหยุดหายใจ ทว่าอำนาจที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายยังคงล่อตาล่อใจเขาไม่เสื่อมคลาย
‘แล้วอย่างไรเล่า ต้องแบบนี้สิถึงจะเหมาะสมกัน จ้าวหมิงหลง ยังไงเสียข้าต้องได้ลูกสาวเจ้ามาเพื่อตระกูลฉีและด้วยอำนาจทั้งหลายที่ต้องการ’
‘‘หากเป็นรับสั่งของฮ่องเต้ อย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ จ้าวหมิงหลง เจ้ารอดูได้เลย ข้าไม่ถอยแค่นี้แน่’ ’
ขุนนางร่างอวบพึมพำเสียงต่ำในลำคออย่างเคียดแค้น ความอับอายที่ได้รับมาในวันนี้ เขาจะต้องทวงคืนให้อีกฝ่ายได้ชดใช้อย่างสาสมแน่นอน