“พี่ก้อง รอนานไหมคะ ริสาเพิ่งออกจากห้องประชุมเองค่ะ ขอโทษที่ต้องให้รอนะคะ”
ก้องภพ ชายหนุ่มรูปหล่อ ทายาทเจ้าของธุรกิจบ้านจัดสรรและคอนโดหรูทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด อดีตคู่หมั้นของเธอที่ตอนนี้หลงเหลือไว้เพียงสถานะพี่น้อง แม้เจ้าตัวจะไม่เต็มใจจะเป็นแค่พี่น้องก็ตาม
“ไม่นานครับ พี่รอริสาได้เสมอ ริสาก็รู้”
น้ำเสียงหนักแน่นและแววตามั่นคงส่งตรงมายังเธอ ซึ่งเธอก็รู้ดีถึงความนัยที่เขากล่าวถึง แต่จะทำอย่างไรได้ เรื่องของเธอกับเขามันเลยจุดกลับตัวมาไกลมากแล้ว มันไม่สามารถที่เธอจะกลับไปเป็นอะไรกับเขาได้อีก ไม่มีทางเลยจริงๆ
เขาคือคู่หมั้นที่พ่อแม่ได้หมั้นหมายไว้ให้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี เพราะทั้งสองบ้านทำธุรกิจที่สามารถเอื้ออำนวยและรวบหรือขยายกิจการในแนวทางเดียวกันได้ จึงเห็นความเหมาะสมที่จะเป็นทองแผ่นเดียวกันเพื่อธุรกิจของสองตระกูล
เธอผู้เป็นลูกสาวคนเดียวและเป็นความหวังในการสืบทอดกิจการของครอบครัว ถูกเลี้ยงให้เชื่อฟังพ่อแม่ และทำทุกอย่างเพื่อธุรกิจ ไม่สามารถคิดถึงความต้องการของตัวเองได้ จึงจำใจยอมหมั้นหมายแต่โดยดี และเมื่อเธอเรียนจบปริญญาตรี จึงขออนุญาตพ่อแม่ไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ท่านทั้งสองอิดออดอยู่นานไม่อยากให้เธอไปเพราะไม่อยากให้ลูกไปห่างไกลสายตาด้วยความเป็นห่วง จึงมีข้ออ้างให้เธอเรียนในไทย ถ้าหากเรียนจบแล้ว อยากที่จะไปเรียนต่อเพื่อเอาปริญญาโทอีกใบ พ่อแม่ก็จะตามใจ เพราะท่านคิดว่า เธอคงเรียนหนักจน
ไม่อยากเรียนอีกแล้ว จึงยื่นข้อเสนอนี้มาให้
แต่ที่ไหนได้ หญิงสาวผู้มีความใฝ่ฝันจะไปเรียนต่อต่างประเทศก็ยังคงมีปณิธานแน่วแน่เหมือนเดิม จนพ่อแม่ต้องยอมทำตามคำพูดที่เคยได้ลั่นวาจาเอาไว้ ด้วยการส่งเธอไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษตามความต้องการของเธอ
และทันทีที่เธอเข้าคลาสเรียน ก็ได้เจอเข้ากับเพื่อนนักเรียนคนไทยด้วยกัน เขาทั้งหล่อเหลา มีเสน่ห์และดึงดูดสายตาจนเธอใจเต้นแรงเมื่อได้สบตากับเขาครั้งแรก หลังจากนั้นเขาก็ตามจีบเธอทันที แต่เธอไม่เล่นด้วยทั้งๆที่ใจจริงแล้ว ก็แอบชอบเขาเหมือนกัน นั่นเป็นเพราะว่าเธอเองก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว และวันหนึ่งก็ต้องกลับไปแต่งงานกับคนๆนั้น ไม่มีทางเลยที่เธอจะเลือกทางเดินชีวิตตามใจตัวเองได้ เพราะฉะนั้น เธอจึงตัดไฟแต่ต้นลม ทำเป็นไม่สนใจเขา เธอคิดว่าไม่นานเขาเองก็คงถอดใจและกลับมาเป็นแค่เพื่อนคนไทยของเธอเหมือนเดิม
แต่ที่ไหนได้ หนุ่มหล่อของเธอมีความพยายามมากกว่าที่เธอคิด เขาตามจีบเธออยู่เป็นเทอม คอยดูแลเทคแคร์และเป็นห่วงเป็นใยเธอไม่ห่าง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนของเธอเขาก็ใส่ใจและจดจำได้ ความพยายาม และความเสมอต้นเสมอปลายของเขาประกอบกับความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาเป็นทุนเดิม ทำให้เธอใจอ่อนยอมตกลงเป็นแฟนกับเขาในที่สุด
ทั้งคู่คบกันได้หนึ่งเทอมพอดี ความรักก็สุกงอมจนเธอยอมมอบกายให้เขาด้วยความเต็มใจในวันที่ทั้งคู่ไปเที่ยวค้างคืนที่ต่างเมืองด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ หลังจากนั้น เขาก็ไม่ยอมให้เธอไปไหนห่างกายเขาอีกเลย เพราะเขาบังคับให้เธอคืนห้องพักและย้ายมาอยู่กับเขาซึ่งเป็นห้องที่กว้างขวางและสะดวกสบายกว่ามาก ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันเหมือนสามีภรรยาก็ไม่ปาน เธอคอยดูแลเขาในเรื่องส่วนตัวทุกเรื่องทั้งเรื่องอาหาร เสื้อผ้า ของใช้ หรือแม้กระทั่งทำความสะอาดบ้าน งานบ้านงานเรือนของเธอไม่เคยขาดตกบกพร่องจนเขาหลงรักเธออย่างหัวปักหัวปำ
ทั้งคู่วางแผนถึงอนาคตที่มีร่วมกัน มีการเก็บออมเงินและวาดฝันถึงคำว่าครอบครัว ทั้งๆที่ในใจของเธอรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลาเพราะมีเรื่องบางอย่างปิดบังเขาเอาไว้ เธอไม่เคยบอกเขาเลยว่าเธอเป็นทายาทโรงแรมดังและมีคู่หมั้นคู่หมายที่จะต้องกลับไปแต่งงานด้วย เธอพยายามคิดตลอดเวลาว่าจะทำอย่างไรให้ความรักครั้งนี้ของเธอมันเป็นจริงได้ แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังคิดไม่ออก จึงขอยื้อเวลาด้วยการขออนุญาตพ่อกับแม่ขอทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นี่ก่อน ยังไม่ยอมกลับไทยในทันทีที่เรียนจบ ซึ่งพ่อกับแม่ก็ยอม เพราะเห็นว่าเธอตั้งใจเรียนและดูแลตัวเองได้ดีในระดับหนึ่ง
ส่วนเขาเองก็ไม่เคยบอกเธอเลยว่าครอบครัวของเขาที่ไทยเป็นใคร มีสถานะทางสังคมอย่างไร เพราะเห็นว่าเรื่องนี้มันไม่ได้จำเป็น มันไม่ได้ทำให้เธอรักเขามากขึ้น เพราะตอนนี้ที่เธอคิดว่าเขาเป็นแค่นักเรียนนอกธรรมดาๆคนหนึ่ง เธอยังรักและดีกับเขาขนาดนี้ เพราะฉะนั้น เรื่องอื่นใดมันไม่จำเป็นเลยจริงๆ
ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เธอกับเขาเข้ากันได้ดีในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องนิสัยใจคอ ความคิด ทัศนคติ หรือแม้แต่เรื่องบนเตียงก็ตาม แต่เวลาแห่งความสุขมักสั้นเสมอ เมื่อวันหนึ่ง ในขณะที่เธอกำลังทำความสะอาดบ้านหลังเลิกงาน พ่อแม่ของเธอก็โทรมาร้องห่มร้องไห้ว่ากิจการของที่บ้านที่เคยยิ่งใหญ่และไปได้สวยเสมอมากำลังย่ำแย่เข้าขั้นวิกฤติ เพราะญาติของพ่อที่ร่วมอยู่ในทีมบริหารและเป็นที่ไว้วางใจของพ่อมาก เล่นแร่แปรธาตุ แอบโกงกินบริษัทและตกแต่งบัญชี จนในตอนนี้ ภายในบริษัทของเธอถูกหนอนกัดกินจนกลวงโบ๋ไม่มีชิ้นดี
พ่อแม่ขอร้องให้เธอรีบกลับมาแต่งงานกับก้องภพ คู่หมั้นของเธอ เพื่อพยุงกิจการ เพราะทางฝ่ายนั้นจะช่วยนำเงินมาลงทุนหากเธอได้แต่งงานกับลูกชายของเขาไปแล้ว นี่คือทางรอดเดียวของกิจการโรงแรมที่พ่อแม่เธอสร้างมาด้วยความยากลำบาก
เธอคิดหนักและแอบร้องไห้อยู่หลายวัน เพราะว่าเธอรักเขาเหลือเกิน ผู้ชายคนแรกและเธอเคยคิดที่จะให้เป็นคนเดียวตลอดไป แต่มันคงไม่มีวันที่ฝันของทั้งคู่จะเป็นจริงได้แล้ว ในเมื่อเธอมีหน้าที่ต้องทำเพื่อโรงแรมและพ่อแม่ของเธอ ซึ่งคนรักของเธอที่เป็นแค่พนักงานบริษัทธรรมดาๆ ไม่สามารถช่วยเหลือและให้เงินทุนเพื่อฟื้นฟูกิจการแก่บ้านของเธอได้
แต่จะให้เธอบอกความจริงกับเขาไปตรงๆ มันคงทำร้ายจิตใจทั้งเขาและเธอจนเกินไป คนรักกันแต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้เพราะความจำเป็นเรื่องเงิน เธอคิดว่ามันมีแต่ในละคร แต่มันได้เกิดขึ้นจริงกับเธอแล้ว ถ้าเขารู้ว่าเขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้ จนเธอต้องไปแต่งงานขายตัวเพื่อพยุงกิจการแล้ว สภาพจิตใจของเขาจะบอบช้ำแค่ไหน สู้เธอตัดสินใจทิ้งเขาไปแบบเงียบๆ โดยไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรเลยจะดีกว่า ถ้าเป็นแบบนั้น เขาจะได้เกลียดเธอและเลิกรักเธอได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้ ก็เพื่ออนาคตของเขาเองทั้งนั้น ส่วนเธอ ต่อให้ก้องภพ คู่หมั้นของเธอจะรูปหล่อและแสนดีขนาดไหน แต่เธอก็ไม่เคยรู้สึกอะไรกับเขาไปมากกว่าคำว่าพี่ชายเลยสักครั้ง
ทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว ว่าความรักของเธออาจจะต้องจบแบบศพไม่สวยแบบนี้ แต่เธอก็ยังฝืนที่จะเปิดใจและคบกับเขา เธอเป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด เธอเป็นต้นเหตุให้เขาต้องเจ็บปวดชอกช้ำ เป็นเธอทั้งนั้น
“งั้นเราไปทานข้าวกันเถอะค่ะ ทานที่ห้องอาหารของโรงแรมนี่แหละนะคะ บ่ายริสามีประชุมทีมต่ออีก ไม่สะดวกออกไปข้างนอก”
“ได้สิครับ พี่ยังอยู่ที่นี่อีกวันสองวัน ไว้ริสาว่าง เราค่อยไปหาร้านอร่อยๆทานกันก็ได้”
เธอส่งยิ้มหวานให้เขา ผู้ชายที่แสนดีและคอยเอาอกเอาใจเธอเสมอ แต่จนป่านนี้ เธอก็ยังไม่สามารถที่จะรักเขาได้เลย
ถ้าในวันนั้น ไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นมา ป่านนี้เธอกับเขาคงได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากันไปนานแล้ว หลังจากที่เธอหอบใจอันบอบช้ำกลับมาจากอังกฤษ งานแต่งงานก็ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเธอมีเวลาเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวแค่เพียงเดือนเดียว
หญิงสาวที่เคยร่าเริงสดใส อ่อนหวานและยิ้มง่าย ไม่เคยยิ้มให้ใครอีกเลยนับตั้งแต่กลับมา ใบหน้าและแววตาอมทุกข์ถูกส่งมาที่เขาเสมอ หลายครั้งที่เขาต้องไปรับเธอมาลองชุดแต่งงานหรือเลือกของชำร่วย ก็จะเจอกับใบหน้าสวยแสนเศร้าที่ดวงตาบวมแดง เหมือนคนที่ผ่านการนอนร้องไห้มาทั้งคืนจนเขาใจเสีย เขารู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ได้รักเขา แต่คิดว่าถ้าแต่งงานและอยู่กันไป เขาจะสามารถทำให้เมียรักเขาได้ในสักวัน ไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้เธอเสียใจและทุกข์ทรมานขนาดนี้
แต่ยังไง งานแต่งก็ต้องเกิดขึ้นตามความต้องการของผู้ใหญ่และผลประโยชน์ทางธุรกิจอยู่ดีแต่เคยได้ยินไหม ว่าคู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน แต่ถ้าไม่ใช่คู่ ต่อให้พยายามให้ตายอย่างไร สุดท้ายก็จะมีอะไรมาพรากคนทั้งคู่ไปจากกันอยู่ดี
มันเป็นเรื่องจริง เมื่อจู่ๆ วันหนึ่งที่เธอและเขากำลังร่วมรับประทานอาหารกับผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายอยู่นั้น เธอก็เกิดเหม็นอาหารที่เธอเคยชอบจนต้องวิ่งไปโก่งคออาเจียนในห้องน้ำ เธอเวียนหัวและอาเจียนหนักมากจนเป็นลมล้มฟุบไป ความโกลาหลเกิดขึ้นทันที และทั้งหมดก็รีบพาเธอไปส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
ผลการตรวจปรากฏว่าเธอตั้งท้องได้ 2 เดือนแล้ว แต่เธอกลับมาอยู่เมืองไทยได้ไม่ถึงเดือน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเป็นพ่อเด็กในความคิดของทุกคน ซึ่งอันที่จริงเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ใช่พ่อของเด็กในท้อง เพราะเขาไม่เคยล่วงเกินเธอเลยสักครั้ง ใช่ว่าเขาจะไม่อยากทำ แต่เธอต่างหากที่อิดออดและปฏิเสธเขาเสมอมา
เรื่องนี้มันทำให้เขาได้รู้ถึงสาเหตุที่เธอเศร้าสร้อย ซังกะตายเหมือนคนไม่มีวิญญาณในช่วงนี้ นั่นเพราะพ่อแม่เธอ คงแยกเธอออกมาจากคนรักของเธอนั่นเอง
งานแต่งงานที่เขาวาดฝันเอาไว้ล่มสลายลงในพริบตา พ่อแม่ของเขารับไม่ได้กับเรื่องนี้ ต่อว่าว่าทางบ้านเธอ จับเธอใส่ตะกร้าล้างน้ำมาย้อมแมวขาย คิดจะเอาลูกของใครไม่รู้มาโมเมว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา พ่อแม่จึงล้มเลิกทั้งหมด รวมถึงล้มเลิกการให้เงินช่วยฟื้นฟูกิจการกับครอบครัวของเธอด้วย
เขาเสียดายมากที่ทุกคนรู้ว่าเธอท้องเร็วเกินไป ถ้าหากว่ารู้หลังจากที่เธอแต่งงาน เขาก็จะรับสมอ้างว่าเป็นพ่อของลูกในท้องเธอเอง ถึงแม้เขาจะเสียใจและผิดหวัง แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ มันกลับไม่ยอมลดน้อยลงเลยสักนิด เขายังคงรักเธอมากมายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาจึงยังคอยดูแลและวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ในชีวิตเธอไม่ห่าง เพราะหวังว่าวันหนึ่ง เธอจะเปลี่ยนใจยอมให้เขาดูแลเธอและลูกไปชั่วชีวิต แม้จะต้องขัดใจกับพ่อแม่ของเขาก็ตามที
“นี่เจ้าปราณต์มันยังไม่ตื่นมากินข้าวหรอเนี่ย จะเที่ยงแล้วนะ” ปรินทร์ พี่ชายคนโตเอ่ยถามถึงน้องชายคนที่สาม กับปุณณัตถ์ น้องชายคนสุดท้องที่นั่งทานข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามของตนในช่วงเวลาอาหารมื้อเที่ยง หลังจากวันแต่งงานของปรมัตถ์กับอริสาที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวาน ซึ่งพอได้ยินดังนั้น พ่อแม่ของพวกเขาก็หันมามองเพราะต้องการคำตอบเหมือนกัน “อยู่ที่ไหนล่ะครับ กลับกรุงเทพไปตั้งแต่เช้าแล้ว” ปุณณัตถ์ ดาราหนุ่มรูปหล่อได้ทีรีบฟ้อง เพราะงอนพี่ชายคนนี้หน่อยๆ มีอย่างที่ไหน สองครั้งแล้วที่นอนห้องเดียวกัน แต่ปล่อยให้เขานอนอยู่ในห้องนอนคนเดียวจนเกือบเช้า ส่วนตัวเองโน่น ไปคุยโทรศัพท์อยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น คุยสักพักก็นั่งดูอะไรผ่านกล้องวงจรปิดที่เชื่อมต่อมาในโทรศัพท์ก็ไม่รู้ นั่งจ้องนอนจ้องอยู่นั่นแหละ ไม่ได้ใส่ใจน้องชายคนเล็กอย่างเขาเลย “มันจะรีบกลับไปไหน นานๆได้มาเที่ยวกันทั้งครอบครัวทีนึง” ปรินทร์อดที่จะบ่นไม่ได้ เพราะเขากับภรรยาสาวค่อนข้างจะงานรัดตัว ไหนจะลูกที่ยังเล็กมาก กว่าจะมีโอกาสได้มารวมตั
“อ๊า ซี๊ดดดดด พอนะคะ” “ครับ” เขาใช้ฝักบัวฉีดล้างทำความสะดาดส่วนนั้นให้กับเธอจนสะอาดหมดจด แล้วฉกวูบลงมาจูบหนักๆบนติ่งเกสรสาวที่บวมเป่งเพราะความปรารถนาของเธอทันที “อ๊ะ ปัถย์คะ” ลิ้นร้อนไม่ยอมน้อยหน้า มันตวัดระรัวที่ติ่งนั่นจนกายสาวสั่นสะท้าน จนต้องจิกทึ้งเส้นผมที่กลางศีรษะของเขาเพื่อระบายอารมณ์ “ปัถย์ พอเถอะ ริสาไม่ไหว อ๊ะ อ๊ะ เสียววววว” ฟังที่ไหน เจ้าบ่าวกลัดมันยังคงเดินหน้าทรมานเธอต่อไปด้วยเรียวลิ้นอันร้ายกาจของเขา เขาเริ่มจ้วงแทงมันลงไปในร่องรักของเธอไม่ยั้งจนเกิดเสียงดังเจ๊าะแจ๊ะลามก แต่ยิ่งเร้าอารมณ์ให้เธอเตลิดเปิดเปิงไปไกล อริสาเด้งส่วนนั้นเข้าใส่ลิ้นของเขาตามจังหวะการจ้วงแทง เธอเสียวเหลือเกิน จนอยากให้เขากระทำรุนแรงกับเธอมากกว่านี้ จึงได้ใจกล้าเอ่ยร้องขอออกไป “อ๊าย อ๊าย ปัถย์ขา แรงๆ ริสาเสียวววว อ๊ายยย” มือน้อยยกขึ้นมาบีบขยำหน้าอกตัวเองอย่างที่เขาเคยทำให้เป็นประจำ สะโพกก็เกร
ทางเดินที่ทอดยาว บนหาดทรายขาวละเอียด ที่ด้านข้างมีเสาไม้เตี้ยๆ เรียงราย บนหัวเสามีช่อดอกไม้ในธีมสีเขียวขาวประดับเอาไว้และพันด้วยผ้าสีขาวพลิ้วไหวทุกต้น หนุ่มสาวเดินคล้องแขนกันไปตามทางเดินนั้น สาวสวยในชุดลูกไม้ฝรั่งเศสเปิดไหล่มีระบาย กระโปรงแคบก่อนปล่อยชายบานออกเป็นหางปลา ผมหยักสีน้ำตาลอ่อน รวบขึ้นเกล้าระท้ายทอยถักเปียวนทั่วศีรษะ ก่อนประดับดอกไม้เล็กๆแซมตามผมนั้น ใบหน้าสวยตกแต่งด้วยเครื่องสำอางสีหวาน เน้นขับความงามตามธรรมชาติของเจ้าสาวคนสวย ที่เดินเคียงคู่มากับชายหนุ่มในชุดสูทสากลสีดำ ทั้งคู่กำลังเดินไปยังซุ้มไม้ขนาดใหญ่ที่มีผ้าสีขาวพลิ้วบางพันเอาไว้อย่างสวยงาม และประดับด้วยช่อดอกไม้ธีมเดียวกันกับที่ประดับตามเสาเตี้ยๆนั้นโดยทุกย่างก้าวที่เดินผ่านไป ก็มีกลีบกุหลาบสีขาวโปรยปรายไปตลอดทาง งานแต่งงานริมชายหาดในฝันของปรมัตถ์กับอริสา ถูกจัดขึ้นอย่างสวยงามและเรียบง่าย บรรยากาศเต็มไปด้วยความสวยงามและชื่นมื่นของเหล่าบรรดาญาติๆและเพื่อนสนิท รวมทั้งลูกสาวตัวน้อยในชุดแบบเดียวกันกับคนเป็นแม่ ที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดของคนเป็นย่าตลอดเวล
เมื่อคุณพ่อคุณแม่เอาเสื้อผ้าและตุ๊กตากระต่ายมาให้ลูกสาวเสร็จเรียบร้อย ก็กำลังจะกลับเข้าห้อง แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อคนที่ยืนอยู่หน้าห้องคือก้องภพ ผู้ชายที่เขาเคยคิดว่าเป็นแฟนใหม่ของเธอ “อ้าว พี่ก้อง มาตอนไหนคะ ทำไมไม่โทรหาริสาละคะ มายืนรอนานแล้วหรอ เข้าห้องก่อนนะคะ” หญิงสาวเอ่ยทักทายและโผเข้ากอดเขาด้วยความดีใจ เป็นเหมือนเดิมทุกครั้งที่เขามาหา ก้องภพมองข้ามไหล่ของหญิงสาวไปยังชายหนุ่มหล่อด้านหลัง ก็ต้องแปลกใจ นี่มันเจ้าของโรงแรมคนใหม่ ทำไมมาเดิมตามหลังริสาของเขาต้อยๆแบบนี้ “เพิ่งมาถึงเองครับ เอ่อ สวัสดีครับคุณปัถย์” “สวัสดีครับ” ท่าทางชักจะยังไงยังไง ผู้ชายด้วยกันมองกันออก ปรมัตถ์คนนี้มองเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แม้ริมฝีปากจะพยายามยิ้ม แต่ดวงตานั่นไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย แต่เท่าที่รู้มา เขามีคู่หมั้นและกำลังจะแต่งงานกันในเร็วๆนี้แล้วนี่นา ทำไมถึงมาทำท่าหวงก้างอริสาของเขาแบบนี้ “เข้าห้องก่อนนะคะ”
เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงโรงแรมได้ ก็ตรงดิ่งไปที่ห้องของแม่เขา เพื่อที่จะไปบอกข่าวดีและไปรับลูกสาวตัวน้อยเพื่อพาไปทำงานด้วยในทันที แต่พวกเขาก็ต้องชะงัก เมื่อคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่ได้มีแค่พ่อแม่และน้องชายของเขาเท่านั้น แต่มีพ่อและแม่ของจิดาภา รวมทั้งเจ้าตัวที่กำลังเป็นโจทก์ของเขาในตอนนี้ด้วย “กลับมาแล้วหรอตาปัถย์ ริสา เข้ามาก่อนสิลูก” ปรมัตถ์กับอริสายกมือไหว้ผู้ใหญ่ผู้มาใหม่สองคนในห้องอย่างนอบน้อม แต่สิ่งที่ได้มาคือการเมินเฉยและเชิดใส่ โดยเฉพาะจันทร์จิรา มารดาของจิดาภา รายนั้นเชิดหน้าเสียจนคอแทบหักอยู่แล้ว “มานั่งคุยกันก่อนลูก” ปราบเรียกลูกชายกับลูกสะใภ้ ให้มานั่งลงเพื่อที่จะพูดคุยตกลงกับผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงให้รู้เรื่อง “ตาปัถย์ทำอย่างนี้กับลูกสาวน้าได้ยังไง ลูกสาวน้าไม่ใช่ผู้หญิงข้างถนนนะ คิดจะชอบก็เข้าหา พอได้สมใจก็ถีบหัวส่ง” ปรมัตถ์หัวคิ้วย่นแทบชนกัน ทำไมผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย พยายามยัดเยียดข้อกล่าวหาว่าเขาฟันจิดาภาแล้วทอดทิ้งแบ
ครืด ครืด ครืด โทรศัพท์มือถือของเขาสั่นขึ้น ในขณะที่กำลังนั่งรับประทานมื้อเย็นอยู่กับลูกและเมีย ที่ห้องอาหารของโรงแรม ใจจริงเขายังไม่อยากออกไปไหน เพราะไม่อยากเจอกับคู่หมั้นสาว แต่ลูกสาวตัวน้อยดันรบเร้าอยากออกมาเดินเล่นริมสระน้ำ พ่อกับแม่จึงจำเป็นต้องตามใจลูก เพราะวันนี้ทั้งวัน ก็ขังให้เธออุดอู้อยู่แต่ในห้องแล้ว “จีด้าโทรมา ผมไม่อยากรับเลย” เขายกหน้าจอโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นมาดูแล้วก็แทบอยากวางคว่ำหน้าลงบนโต๊ะเหมือนเดิม “รับเถอะค่ะ จะได้รู้ว่าเธอมีเรื่องอะไร” เมื่อเมียสุดที่รักพูดแบบนั้น ก็จำเป็นต้องทำตามสินะ “ครับ จีด้า” “พี่ปัถย์อยู่ไหนคะ จีด้าขนกระเป๋าเข้าไปอยู่ในห้องพี่ตั้งแต่บ่าย จีด้าเพลียหลับไป ตื่นขึ้นมาพี่ก็ยังไม่กลับ ไปอยู่กับแม่นั่นหรอ” เธอส่งเสียงดังโวยวายมาตามสายจนคนที่นั่งข้างๆยังได้ยิน “เรียกริสาให้ดีๆหน่อยจีด้า อย่างน้อยเขาก็แก่กว่าจีด้าหลายปี”