LOGINผับ Nice
20:30 น.
บรรดาการ์ดชุดดำร่างใหญ่ต่างโค้งศีรษะทำความเคารพลูกสาวมาเฟียใหญ่เจ้าของผับ เธออยู่ในชุดสบาย ๆ เสื้อแขนยาวสีขาวและกางเกงยีนเอวสูง เดินบนรองเท้าผ้าใบเข้ามาทางหลังร้านพร้อมกับกระเป๋าสะพายข้างแบรนด์เนมคู่ใจ เธอส่งยิ้มหวานพลางพยักหน้ารับทุกคนที่ทำความเคารพอย่างใจดี ใบหน้าเรียวสวยไร้ที่ติของเธอ เป็นที่สะดุดตาผู้พบเห็น โดยเฉพาะผู้ชาย ไม่เว้นกระทั่งผู้หญิงด้วยกันเอง
“คุณหนู” นิวารินเดินมาถึงโซนด้านในผับ ที่เต็มไปด้วยแสงสี และ เสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม แต่ต้องหยุดอยู่กับที่ เมื่อหญิงสาวชุดดำหน้าตาสะสวยบอดี้การ์ดส่วนตัว ซึ่งอายุมากกว่าสามปี โค้งศีรษะทำความเคารพ
ทันทีที่เธอพยักหน้ารับ เจ้าของร่างเพรียวอยู่ในลุคเท่ ๆ ก็เดินนำไปยังชั้นสามของผับ เป็นพื้นที่ของเจ้าของผับ มีเพียงคนสนิท และ คนรู้จักเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปได้
“พี่เคทเลิกงานได้เลยนะคะ วันนี้เจจะไปส่งนิลที่บ้านค่ะ” กล่าวบอกเมื่อเดินมาถึงห้องทำงานเจ้าของผับ ซึ่งทั้งชั้นเต็มไปด้วยการ์ดร่างใหญ่ชุดดำ ยากที่คนนอกจะผ่านเข้ามาได้ง่าย ๆ
“ขอบคุณค่ะ” เคทโค้งศีรษะน้อมรับคำสั่งด้วยท่าทีที่นิ่ง ๆ ตามบุคลิกและนิสัย ที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว
เมื่อบอดี้การ์ดส่วนตัวเดินจากไป นิวารินจึงเปิดประตูเดินเข้าห้องทำงาน เธอใช้เวลาศึกษารายละเอียดงานในผับราว ๆ หนึ่งชั่วโมง จึงเดินออกไปสูดอากาศที่ชั้นดาดฟ้าของผับ ซึ่งบรรยากาศเย็นสบายและเสียงรบกวนค่อนข้างน้อย
ตึก!
ตึก!
เสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ดึงหญิงสาวออกจากภวังค์ความคิด ริมฝีปากจิ้มลิ้มอมชมพูถูกคลี่ออกบาง ๆ เพราะคิดว่าเป็นลูกชายเพื่อนพ่อที่อายุยี่สิบห้าปีเท่ากัน แต่รอยยิ้มนั้นต้องหุบเป็นเส้นตรงทันที เมื่อหันหลังกลับไปมอง…
ชายหนุ่มร่างกำยำ ใบหน้าหล่อเหล่า จมูกโด่งเป็นสัน อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ท่อนล่างสวมกางเกงสีดำ รองเท้าผ้าใบ เดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่จู่ ๆ หัวใจเธอก็เต้นเร็วขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“คุณเป็นใคร แล้วขึ้นมาที่นี่ได้ยังไง” เอ่ยถามออกไปทันทีเมื่อสติกลับมา การที่ใครจะขึ้นมาชั้นดาดฟ้าได้ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของผับ หรือ เป็นคนสนิทของเจ้าของผับเท่านั้น แต่ทำไมผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ถึงขึ้นมาได้ อีกทั้งเธอยังรู้สึกคุ้นตา เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน
เจ้าของใบหน้าหล่อไม่ตอบในทันที เดินมาหยุดตรงหน้าหญิงสาว ที่ไม่มีท่าทีหวาดระแวงเลยแม้แต่น้อย กลับกล้าประจันกับคนแปลกหน้าอย่างไม่กลัวอันตราย
“ว่ายังไง?” นิวารินถามย้ำอีกครั้ง เมื่อยังไม่ได้คำตอบจากชายแปลกหน้า
“อยากรู้จักผมขนาดนั้นเลยเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงป่วนประสาท ทำเอานิวารินขมวดคิ้ว เดาไม่ออกถึงเจตนาของชายหนุ่ม ที่มองเธอราวกับศัตรู
หญิงสาวถอนหายใจ ไม่อยากต่อบทสนทนากับคนไม่รู้จัก และ ดูโรคจิต เข้าถึงยาก จึงเลือกที่จะเดินหนี แต่ทว่า…
หมับ!
“อ๊ะ!” ข้อมือถูกกระชากอย่างแรงในจังหวะที่เดินผ่านผู้ชายคนนั้น ส่งผลให้ทั้งร่างเซถลาไปตามแรงที่มากกว่าจนแนบชิดกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ กลิ่นน้ำหอม
สดชื่น สะอาดบนร่างกำยำพลันโชยแตะจมูกโดยบังเอิญ ทำเอาหัวใจเต้นแรงระส่ำกว่าเดิมคล้ายกับจะหลุดออกมาจากเบ้าให้ได้
ผลัก! ไม่รอช้าที่เธอจะผลักไสแผงอกแกร่งให้ออกห่างทันควัน แต่แรงบีบจากมือหนายังทำให้รู้สึกเจ็บปวด
“ปล่อยฉัน!”
“คุยกันก่อนสิ จะรีบไปไหน”
“ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับคุณ!!” พยายามสะบัดมือหนาให้หลุด ทว่ากลับไม่เป็นผล ผู้ชายคนนี้โรคจิตแน่ ๆ
“เพราะเธอ! นิวาริน” ภูตะวันกัดฟันพูดพลางคว้าข้อมืออีกข้างของผู้หญิงที่ทำให้เมียตายขึ้นมาบีบแน่น แววตานิ่งแปลเปลี่ยนเป็นแววตาดุร้ายทันควัน ความแค้นที่พยายามข่มเอาไว้ปะทุออกมาอย่างง่ายดาย เมื่ออยู่ใกล้ฆาตกรสองต่อสองนาน ๆ ทำเอานิวารินงุนงงเข้าไปใหญ่ ไม่รู้คนป่าเถื่อนตรงหน้ารู้จักชื่อเธอได้อย่างไร และ ไม่เข้าใจความหมายที่เขากำลังจะสื่อ ทว่าได้มองใบหน้าหล่อใกล้ ๆ แบบนี้ เธอจึงจำได้….
“คุณนี่เอง” ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือคนเดียวกันกับคนที่ขับรถปาดหน้าเมื่อวันก่อน แต่ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ความสงสัยเหล่านั้นสลายหายไป เมื่อมือหนาเพิ่มแรงบีบเป็นสองเท่า คล้ายต้องการให้กระดูกของเธอแหลกเป็นชิ้น ๆ
“เธอต้องชดใช้!”
หมับ!
“อึก!” ไม่ทันทีที่หญิงสาวจะได้ตอบโต้หรือตั้งตัว ทว่ามือหนาปล่อยจากข้อมือข้างซ้าย บีบเข้าที่ต้นคอเล็กแทนอย่างป่าเถื่อน จนเธอรู้สึกทั้งเจ็บทั้งจุก หายใจไม่ออกในเวลาเดียวกัน แต่วินาทีนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นช่วยชีวิต…
“นิล” จังหวะที่ภูตะวันเผลอมองไปที่เสียงนั้น
นิวารินจึงรอบรวมแรงทั้งหมดปัดมือหนาออกจากลำคอ แล้วสะบัดข้อมือที่ถูกบีบพร้อมกับถอยห่างออกจากอันตรายอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ มือบางลูปคอตัวเอง ปอย ๆ
“เจ” เจ้าของใบหน้าเรียวสวยได้รูปกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งพลางเร่งฝีเท้าเดินไปหาลูกชายเพื่อนพ่อที่อายุเท่ากันทันที ส่วนภูตะวันกัดฟันดังกรอดจนเห็นเป็นสันกราม แววตาดำมืดจ้องมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความแค้นอย่างเปิดเผย
“ผู้ชายคนนั้นมันทำอะไรนิล” คิ้วหนาหม่นเข้าหากันเป็นปม สีหน้าลูกสาวเพื่อนพ่อเวลานี้ซีดราวกับไข่ต้ม อีกทั้งรอบคอยังมีรอยแดงเป็นฝืด
“เปล่า มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
“แน่ใจ?” พีเจเอ่ยถามอย่างไม่ปักใจเชื่อพลางตวัดสายตามองไปยังผู้ชายแปลกหน้าที่ดูไม่เป็นมิตรกำลังเดินตรงมาอย่างเอาเรื่อง
“อือ” ตอบไปอย่างนั้นเพราะเธอไม่อยากมีปัญหาหรือให้เรื่องบานปลาย รู้ดีหากพูดความจริงจะเกิดอะไรขึ้นกับคน…คนนั้น ผู้ชายป่าเถื่อนปราดตามองมาที่เธอด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความเกลียดชังแวบหนึ่งก่อนจะเดินผ่านไป
“เพื่อนหรือแฟน?” พีเจไม่รีรอที่จะยิงคำถาม
“คนรู้จักน่ะ”
“แค่คนรู้จัก แล้วขึ้นมาที่นี่ได้ยังไง เธอชวนมันเหรอ”
“ช่างเถอะเจ ว่าแต่ทำไมมาช้าจัง” นิวารินตอบปัด ๆ ไป แล้วตั้งคำถามเบี่ยงประเด็นแทนพลางเดินไปหย่อนสะโพกนั่งบนเก้าอี้เหล็ก แต่ในหัวกลับครุ่นคิดถึงผู้ชาย
คนนั้นไม่หยุด เขาพูดมีเลศนัยชวนให้สงสัย
“ติดธุระนิดหน่อยน่ะ” พีเจตอบพร้อมกับเดินตามลูกสาวเพื่อนพ่อไปนั่งบนเก้าอี้เหล็กตรงข้ามกัน
พรึ่บ!
โซฟาตัวยาวสำหรับโต๊ะวีไอพียุบตามแรงกระแทกตัวนั่งของภูตะวัน
“มึงหายไปไหนตั้งนานวะไอ้ภู” ปริญถามด้วยความอยากรู้ ภูตะวันขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่หายตัวไปเกือบชั่วโมง
“มึงคงไม่ไป…” องศาเหยียดยิ้มมุมปากพลางเลิกคิ้วขึ้น ประสานมือเข้าหากันแล้วหุบเข้าหุบออกเหมือนท่าปรบมือแทนคำพูด สื่อถึงเรื่องอย่างว่า
“หน้ามันบอกบุญไม่รับขนาดนั้น คงไปทำเรื่องที่มึงคิดหรอกไอ้องค์”
“องศา!” องศาเน้นพูดชื่อตัวเองเต็ม ๆ เรียกแค่องค์แล้วหมดมาดนักธุรกิจหน้าตาหล่อ ๆ แบบนี้หมด ปริญไม่สนใจเบนสายตาไปที่ภูตะวัน ที่เอาแต่นั่งทำหน้าถมึงทึงเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา
“มึงไปเจอลูกสาวเจ้าของผับมาเหรอวะ?” เจตนาของเพื่อนสนิทที่เลือกผับนี้ตั้งแต่แรกเดาได้ไม่ยาก
“การ์ดเยอะขนาดนั้นมึงเข้าไปไงวะ” ความเงียบของภูตะวันคือคำตอบ
“ก็ไม่ได้ยากหนิ” ภูตะวันตวัดสายตาไปที่พนักงานเสิร์ฟชาย แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีดำ สวมผ้ากันเปื้อน ใช้สายตาตอบคำถามแทนคำพูด
นิวารินมาถึงที่ผับปรากฏว่าโต๊ะเก้าอี้เกลื่อนบนพื้น บ้างก็แตกกระจายราวกับมีการสู้รบกันก่อนหน้าที่เธอจะมาถึง ครั้นจะไปที่โกดังผู้เป็นพ่อ ทว่าการ์ดร่างใหญ่กลับขวางทางไม่ให้เธอเข้าไปเสียอย่างนั้น นั่นแปลว่าผู้เป็นพ่อกับผู้ชายบ้าระห่ำคนนั้นเจอกันแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง “ถอยไป” “ไม่ได้จริง ๆ ครับคุณหนู” การ์ดคนดังกล่าวพูดด้วยความลำบากใจ เมื่อบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นถึงคุณหนูของบ้าน แก้วตาดวงใจของผู้เป็นนาย แต่เพราะคำสั่งของผู้เป็นนายตนจึงต้องทำตาม “จะให้รู้ถึงหูแม่ หรือจะปล่อยให้นิลเข้าไปที่โกดัง” หากเธอใช้มุกนี้อาจจะสำเร็จ เพราะคำสั่งของผู้เป็นแม่คือคำขาด ยกเว้นเสียแต่เรื่องของเธอ ที่ผู้เป็นพ่อยืนกรานหลังชนฝา การ์ดร่างใหญ่นับสิบที่ได้ยินต่างก้มหน้าเงียบกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็ไม่มีใครยอมปล่อยให้คุณหนูของบ้านผ่านไปได้เช่นกัน “ถอยกันไปได้แล้ว” เน้นเสียงหนักเอ่ยสั่งด้วยความร้อนใจ หากช้าไปกว่านี้เกรงว่าผู้ชายคนนั้นจะถูกผู้เป็นพ่อฆ่าตายเสียก่อน “คำสั่งคุณหนูคือคำขาด” เคทพูดย้ำกับการ์ดร่างใหญ่ เมื่อไม่มีใครหลีกทางให้คุณหนูเสียที แต่ระหว่างนั้นเสียงทุ้มของใครบางคนก็ดังขึ้น…“
“คุณฉลามส่งนิลตรงนี้ก็ได้ค่ะ” ใช้เวลาจากไร่ภูตะวันเข้ากรุงเทพราวหนึ่งชั่วโมง เธอยืมโทรศัพท์ฉลามต่อสายหาบอดี้การ์ดสาวคนสนิทให้มารอรับ และ ภูตะวันไปพบพ่อเธออย่างที่คาดเดาไม่มีผิด “แน่ใจเหรอครับ กว่าจะถึงผับคุณเนนิลก็ไกลอยู่นะครับ” “นิลให้คนมารอรับแล้วค่ะ คุณฉลามไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” “อ๋อ โอเคครับ ถ้าได้ข่าวเจ้านายยังไงโทรมาบอกผมด้วยนะครับ” “ค่ะ” นิวารินตอบรับเพียงเท่านั้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ จากนั้นก็รีบเปิดประตูลงจากรถไปอย่างเร่งรีบ โดยมีสายตาของฉลามมองตามไปจนกระทั่งรถสปอร์ตหรูสีขาวขับเข้ามารับเธอ “หน้าผากไปโดนอะไรมาคะคุณหนู หรือ ผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณหนู” เคทขมวดคิ้วเมื่อสังเกตเห็นแผลเล็ก ๆ บริเวณหน้าผากของคุณหนู เชื่อว่าแผลไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ ต้องมีคนทำให้เกิด และ มีอยู่คนเดียวที่จงเกลียดจงชังคุณหนูของเธอเข้าไส้ ไอ้หมาบ้าตัวนั่นแน่ ๆ “อย่าพึ่งถามอะไรตอนนี้เลยค่ะ รีบไปที่ผับกันก่อนเถอะค่ะ นิลไม่อยากให้ใครต้องมาตายเพราะนิลเป็นต้นเหตุอีก” “ทั้งที่ผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณหนูให้เจ็บช้ำน้ำใจสารพัดน่ะเหรอคะ” เธอไม่เข้าใจจริง ๆ ทำไมคุณหนูถึงคอยเป็นห่วงเป็นใยช่วยเหลือผู้ชายที่คิดทำร้า
#หลายชั่วโมงต่อมา ภูตะวันนั่งบนเก้าอี้เหล็กตรงไร่องุ่นที่ถูกวางเพลิงเหลือแค่ซากกิ่งไม้และโค้งเหล็กไว้ให้ดูต่างหน้า ใบหน้าหล่อที่เต็มไปด้วยความเครียดขึงก้มลง มือทั้งสองข้างประสานกันกลางหว่างขา ปล่อยให้น้ำตาลูกผู้ชายรินไหลออกจากหัวตาหยดลงดินแล้วหยดเล่า ทั้งคืนไม่ได้นอน เช่นเดียวกันกับคนงานในไร่ ทุกคนต่างเสียขวัญเสียกำลังใจ ใช้เวลานานหลายชั่วโมงกว่าไฟจะสงบก็รุ่งสาง ไฟไหม้แค่ไร่องุ่นท้ายไร่ ซึ่งเป็นองุ่นสายพันธุ์ที่ใช้สำหรับผลิตไวน์เกือบทั้งหมด ดีที่ไม่ลุกลามไปพื้นที่อื่น ๆ สร้างความเสียหายให้กับไร่เป็นอย่างมาก หากเปรียบเทียบกับเงินก็หลายล้าน เสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามาทำให้ภูตะวันรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นจากด้านหลัง “นาย”ฉลามที่เห็นเจ้านายเอาแต่นั่งอยู่ที่เดิมนานนับชั่วโมง จึงทำใจกล้าเดินเข้ามาด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่รู้ว่าผู้เป็นนายกำลังรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และ ต้องการอยู่เงียบ ๆ คนเดียว “มึงไสหัวไปให้พ้นกู!” “นายไปพักผ่อนก่อนดีไหมครับ” รู้ทั้งรู้ว่าต้องทำให้ผู้เป็นนายไม่พอใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความห่วยใย “มึงหูหนวกเหรอวะไอ้ฉลาม!” ภูตะ
ไร่องุ่นภูตะวัน ภูตะวันใช้เวลาขับรถมาที่ไร่ราวสี่สิบนาทีอย่างร้อนใจ อารมณ์ที่เต็มไปด้วยความโกรธจัด จึงเหยียบคันเร่งจนมิด ความเร็วเกินกว่ามาตรฐานกำหนดไปมาก ทำให้คนที่นั่งมาด้วยหวาดผวาอยู่ทุกนาที “เอ้า! เร็ว ๆ ช่วยกันดับไฟ” เสียงของหัวหน้าคนงานตะโกน ขณะที่คนงานวิ่งวุ่นช่วยกันหาน้ำมาดับไฟที่โหมกระหน่ำออกเป็นวงกว้าง ช่วยรถดับเพลิงอีกแรง แม้ว่าจะช่วยได้ไม่มาก แต่ก็ดีกว่ายืนอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร วินาทีที่ภูตะวันเห็นไร่องุ่นหลายสิบไร่ที่ลงทุนสร้างด้วยตัวเองกำลังถูกไฟแผดเผาไหม้ด้วยน้ำมือของคนเลว หัวใจแกร่งก็พลันสลาย ดวงตาดำมืดแดงก่ำเบิกกว้าง มือหนาทั้งสองข้างยกขึ้นขย้ำผมตัวเองแน่นด้วยความเจ็บปวดและเสียใจ จนกลั้นน้ำตาลูกผู้ชายเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อไม่สามารถปกป้องสิ่งที่ตัวเองรักได้อีกเป็นครั้งที่สอง นิวารินเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ก็ถึงกับอึ้งงันเสียใจไม่ต่างจากทุกคน แต่คนที่เจ็บปวดมากที่สุดตอนนี้เห็นจะไม่ใช่เธอ แต่เป็นเขา…เขาที่ต้องเจอแต่เรื่องร้าย ๆ เพราะเธอที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด หมับ! “อ๊ะ!” ใบหน้าสวยเปื้อนน้ำตาบิดเบ้ด้วยความเจ็บ เมื่อร่างสูงหันกลับมาบีบต้นแรงแน่นรา
“...ตอนนี้ฉันมีหลักฐานมากพอ ที่จะเอาเธอเข้าคุกได้ในทันที เพราะฉะนั้น…ถ้าเธอรู้สึกผิดจริงล่ะก็ ไปมอบตัวกับตำรวจกับฉันวันพรุ่งนี้ สารภาพความผิดทุกอย่าง..” “...” ภูตะวันหม่นคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจ เมื่อนิวารินยืนนิ่งสบตาไม่พูดอะไรหลังจากได้ฟังสิ่งที่เขาบอกกับเธอ เธอไม่มีท่าทีเป็นกังวลหรือตกใจเลยสักนิด อีกทั้งแววตาคู่สวยยังฉายชัดถึงความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว ทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาความคิดเธอได้ หรือบางทีเธออาจกำลังกลบเกลื่อนความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองอยู่ก็ได้“ว่ายังไง” เป็นเขาที่ต้องตั้งคำถามกับเธออีกครั้ง “...ได้” เงียบอยู่นานเธอถึงได้เอ่ยตอบตกลง แล้วถามหาหลักฐานอย่างเป็นการลองเชิงในประโยคต่อมา เธอยังไม่ปักใจเชื่อว่าเขามีหลักฐานอย่างที่กล่าวอ้างจริง ๆ “แต่ก่อนที่ฉันจะไปมอบตัวกับตำรวจ ฉันต้องได้เห็นหลักฐานที่คุณพูดถึงทุกอย่าง รวมถึงหลักฐานของพ่อฉัน” “หึ หัวหมอเป็นเหมือนกันหนิ” ภูตะวันเค้นเสียงหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยัน “หลักฐานที่จะใช้มัดตัวเธอน่ะ…มีแน่อยู่แล้ว ส่วนหลักฐานพ่อเธอที่ฉันเคยพูดถึง ไม่มีจริง ๆ หลอก แต่ข้อมูลสำคัญที่ฉันมี สามารถทำให้พ่อเธอสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ในชั่วข้าม
@ผับ M ชายหนุ่มร่างสูงรูปร่างกำยำอยู่ในชุดเรียบง่าย เสื้อแจ๊คเก็ตหนังสีดำสวมทับเสื้อยืดสีขาวด้านใน ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนขายาวสีดำไซซ์พอดีตัว ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ ผมเผ้าถูกเซตอย่างดูดีเป็นที่สะดุดตาของสาว ๆ ที่กำลังเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกตามเสียงเพลงที่เปิดภายในผับหรู พวกเธอเหล่านั้นต่างอยากครอบครองชายหนุ่มที่เดินผ่าน แต่ก็ทำได้แค่มอง... ภูตะวันพาตัวเองเดินขึ้นมาชั้นสองของผับ โดยทำเมินเฉยต่อสายตาของสาวสวยที่มองมา “มาช้ากว่าเพื่อนเลยนะพ่อพระเอก” ทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะริมระเบียงที่มองลงไปเห็นชั้นล่างของผับอย่างชัดเจน ก็ถูกเพื่อนรักอย่างองศาพูดจาไม่เข้าหู ภูตะวันไม่ได้ตอบกลับ กระแทกตัวนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามกับปริญลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลชื่อดังด้วยใบหน้าราบเรียบ “แผลที่หน้าหายดีแล้วหนิ” สองวันก่อนบาดแผลบนใบหน้าของไอ้เพื่อนรักยังชัดเจน แต่วันนี้ดูจางลงจนแทบไม่เหลือร่องรอย “อือ” ภูตะวันส่งเสียงในลำคอตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉยพลางยื่นมือรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาแพงในแก้วที่องศายื่นมาให้ “ขอบใจ” “แล้วส่วนอื่น ๆ ในร่างกายมึงล่ะ” “มึงมาดื่มหรือมาตรวจร่างกายได้ภูวะ ถามซะละเอียดเลยไอ้สัส” องศา







