LOGINบริษัท AD กรุป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เจ้าของใบหน้าสวยได้รูป อยู่ในชุดสูทกางเกงขายาวสีฟ้า นั่งเหม่อคิดถึงเรื่องบางอย่างในห้องทำงาน มือก็ควงปากกาไปด้วย ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูจากคนด้านนอกก็ดึงสติกลับมา ก่อนที่ประตูจะถูกผลักเข้ามาด้วยฝีมือของเลขาสาว เจ้าของใบหน้าหวานซึ่งอายุน้อยกว่าสองปี
“รถพร้อมแล้วค่ะ” ทิดาโค้งศีรษะทำความเคารพเจ้านายแล้วกล่าวรายงาน
“จ้ะ” ริมฝีปากจิ้มลิ้มเคลือบด้วยลิปสติกสีสวยคลี่ยิ้มใจดีส่งให้เลขาสาว ก่อนจะผุดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางเก็บสัมภาระเข้ากระเป๋าสะพายข้างราคาแพง เสร็จแล้วก็คว้าแฟ้มงานแนบข้าง สาวเท้าเดินบนรองเท้าคัทชูสีครีมออกจากห้องทำงาน โดยมีเลขาเดินตามหลัง
ภายในรถหรู
“พี่เนนิลคะ พี่เนนิล” เลขาสาวเอ่ยเรียกพลางเขย่าตัวเจ้านายที่กำลังฝันร้าย สีหน้าของนิวารินเห็นชัดเจนว่าหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ก่อนที่เธอจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ
เสียงหอบหายใจแรง ๆ ของหญิงสาว พลอยทำให้เลขาสาวอย่างทิดา และ บอดี้การ์ดหญิงคนสนิท ซึ่งทำหน้าที่ขับรถตกใจตามไปด้วย
“ฝันร้ายเหรอคะ” ทิดาถาม
นิวารินพยักหน้าเป็นคำตอบ รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก หัวใจก็เต้นถี่แรงจนได้ยินเสียง ตั้งแต่เจอผู้ชาย
โรคจิตคนนั้น เธอก็กลับมาฝันถึงอุบัติเหตุเมื่อสี่เดือนก่อนถึงสองครั้งติดในหนึ่งวัน หลังจากห่างหายไปจากความฝันนานสองเดือน
“ไม่เป็นไรนะคะ ฝันร้ายจะกลายเป็นดีค่ะ”
“ขอบคุณจ้ะ ว่าแต่ถึงแล้วเหรอ”
“ค่ะ”
“งั้นเรารีบเข้าไปทำงานกันเถอะค่ะ”
“ค่ะ” ทิดาตอบรับเสียงหวานด้วยรอยยิ้มสดใส ส่วนเคทเพียงโค้งศีรษะรับคำสั่ง
เจ้าของร่างสวยอยู่ในลุคสาวทะมัดทะแมง ใบหน้าสวยอมยิ้มเล็กน้อย ขณะสับเท้าเดินบนรองเท้าคัทชูเข้าออฟฟิศของห้างชื่อดังพร้อมกับเลขาสาว และ บอดี้การ์ดสาวสวยคนสนิท ที่เดินตามอยู่ด้านหลัง
“สวัสดีค่ะ ติดต่อเรื่องอะไรคะ” พนักงานสาว
ในเคาน์เตอร์กล่าวสวัสดี แล้วถามถึงธุระด้วยรอยยิ้มแย้มเป็นมิตร นิวารินพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยตอบ…
“จากบริษัท AD กรุป มีนัดคุยงานกับคุณองศาวันนี้ค่ะ”
“ค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ” พนักงานสาวเดินนำไปยังลิฟต์ตัวใหญ่ รอไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก กระทั่งลิฟต์เลื่อนขึ้นมาถึงชั้น 4 ห้องประชุม
“สวัสดีค่ะคุณนิวาริน” เมื่อเดินมาถึงห้องประชุมก็เจอกับเลขาขององศาเจ้าของห้าง J.K ชื่อดัง
“สวัสดีค่ะ”
“เชิญค่ะ คุณองศากับคุณภูตะวันรออยู่ข้างในแล้วค่ะ”
นิวารินส่งยิ้มพร้อมทั้งพยักหน้ารับ แล้วก้าวขาเรียวเดินเข้าห้องประชุมพร้อมกับเลขาสาว แต่สองเท้าของเธอกลับต้องหยุดชะงักด้วยสีหน้าที่ไม่อยากเชื่อ เมื่อสบตาเข้ากับผู้ชายที่ไม่คิดว่าจะเจอกันอีก เขาคงชื่อภูตะวันสินะ
องศากลอกตามองหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งเยื้องกันสลับกับมองหญิงสาวเจ้าของใบหน้าสวยอย่างรู้อะไรบางอย่าง ก่อนจะยืนขึ้นพร้อมกับเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพ “สวัสดีครับคุณนิวาริน”
“สวัสดีค่ะ เรียกนิลว่าเนนิล หรือนิลเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ” นิวารินละสายตาออกจากเจ้าของดวงตาดุที่ยังคงนั่งมองหน้าเธออย่างเสียมารยาท ตอบรับชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ครับคุณเนนิล” องศาตอบรับด้วยน้ำเสียงสุภาพ ตามองหญิงสาวแทบไม่กะพริบ ในรูปว่าสวยแล้ว ตัวจริงสวยสะกดสายตากว่าอีก มือหนาขยับเก้าอี้ออกให้เธอนั่งอย่างสุภาพบุรุษ “เชิญนั่งครับ”
“ขอบคุณค่ะ” นิวารินหย่อนสะโพกนั่งตรงข้ามกับผู้ชายที่ดูไม่ชอบหน้าเธอเอามาก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามไม่ใส่ใจ สนใจเพียงแค่งานเท่านั้น
“คุณเนนิลครับ นี่ภูตะวัน เป็นทั้งเพื่อนแล้วก็หุ้นส่วนผมครับ” องศาแนะนำภูตะวันให้หญิงสาวรู้จักอย่างเป็นทางการ
“สวัสดีค่ะคุณภูตะวัน” แม้จะไม่ชอบหน้าเท่าไหร่ แต่เธอก็ทักทายตามมารยาท
“ครับ คุณเนนิล ผมขอเรียกชื่อเล่นอีกคน คงไม่ว่าอะไรนะครับ” ภูตะวันเน้นเสียงตรงชื่อของหญิงสาวเป็นพิเศษด้วยรอยยิ้มที่ไม่จริงใจ ก่อนที่คิ้วเป็นทรงจะยกขึ้นเล็กน้อย
“ค่ะ ส่วนนี่ทิดาค่ะ เลขานิล” นิวารินตอบเพียง สั้น ๆ ละความสนใจจากผู้ชายป่าเถื่อนที่กำลังเสแสร้งปั้นหน้ายิ้ม ทั้งที่ความเป็นจริงไม่ใช่ แล้วแนะนำเลขาให้กับ
ทุกคนรู้จัก หลังจากที่ทำความรู้จักกันเสร็จก็เข้าเรื่องงานทันที
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ย้ายจากห้องประชุมมาเดินสำรวจภายในห้างสรรพสินค้า ซึ่งโดยรอบมีผู้คนเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ทั้งมาเพื่อเลือกซื้อสินค้า
ทานอาหาร และ เดินเล่น
“ชั้น 2 ส่วนใหญ่จะเป็นร้านแบรนด์เนมแทบทั้งหมดครับ สื่อโฆษณาจะติดตั้งให้เป็นจุดเด่นตรงกลางจุดเดียว” ขณะที่กำลังเดินนักธุรกิจหนุ่มก็พูดรายละเอียดให้กับหญิงสาวที่จ้างให้ออกแบบสื่อโฆษณาฟัง โดยเลขาของเธอเป็นฝ่ายจดบันทึก
“...” นิวารินเหลือบตามองผู้ชายที่เป็นหุ้นส่วนของห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่างเกรง ๆ แวบหนึ่ง แล้ว
ถอนหายใจ เมื่อรู้สึกว่าถูกจับจ้องแทบตลอดเวลา ซึ่งเธอเลือกไม่สนใจ แต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี ไม่รู้เขามองทำไมนักหนา
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ถอนหายใจแรงเชียว”
“อ๋อ เปล่าค่ะ” ตอบรับด้วยรอยยิ้มหวาน โมโหจนลืมตัวว่าไม่ได้อยู่คนเดียว
“ครับ คุณเนนิลรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”
“กาแฟก็ได้ค่ะ”
“ครับ มึงล่ะไอ้ภู”
“ไม่เอา” น้ำเสียงห้วน ๆ ตอบกลับเพื่อนสนิท องศาก็พยักหน้ารับ แล้วหันไปสั่งกับเลขา ประโยคต่อมากล่าวบอกกับเจ้าของใบหน้าเรียวสวยได้รูป “นั่งพักตรงนี้ก่อนนะครับคุณเนนิล”
“ค่ะ” ขณะที่นิวารินกำลังจะก้าวขาขึ้นพื้นต่างระดับ แต่…
“คุณหนูระวังค่ะ!” เสียงของบอดี้การ์ดสาวกลับดังขึ้นเตือนภัยเสียก่อน ดึงความสนใจจากเธอให้หันไปมอง รวมถึงทุกคน ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน….
พรั่ก!
“อ๊ะ!” นิวารินเปล่งเสียงร้อง หน้าตาแตกตื่น เมื่อเด็กผู้ชายตัวเล็กวิ่งมาด้วยความเร็ว และ ระยะประชิดตัว ทำให้เธอหลบไม่ทัน จึงถูกเด็กน้อยชนเข้าเต็ม ๆ จนทรงตัวไม่อยู่
หมับ!
โชคดีที่ท่อนแขนแกร่งของใครบางคนคว้าตัวเธอได้ทัน ในขณะที่เธอหลับตาปี๋อยู่ในท่อนแขนนั้น เมื่อรู้สึกว่าปลอดภัยจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ทว่าใบหน้าหล่อ ๆ ของคนตรงหน้า ทำเอาม่านตาเบิกกว้าง เมื่อผู้ชายที่ช่วยเธอไม่ให้ล้ม คือผู้ชายโรคจิตคนนั้น คนที่ชอบมองเธอด้วยสายตาเกลียดชัง
“คุณ” ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับเอ่ยเรียกอย่างไม่เป็นตัวเอง ขณะหัวใจเต้นถี่รัวไม่เป็นจังหวะทั้งตกใจทั้งรู้สึกแปลก ๆ ในเวลาเดียวกัน สายตาคู่นั้นที่มองลงมาสบตากันยากจะคาดเดาอารมณ์
“!0!” แต่ในระหว่างที่เธอตกอยู่ในภวังค์ความคิด เขากลับปล่อยตัวเธอให้ร่วงโดยไม่บอกกล่าว
ตุบ!
“อ๊ะ!” บั้นท้ายของเธอกระแทกกับพื้นเต็ม ๆ ท่ามกลางสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา น่าอายซะมัด แต่ถึงจะไม่แรงมาก แต่ก็เจ็บเอาการ ทั้งองศา ทั้งทิดา และ บอดี้การ์ดสาวที่เห็นต่างก็ตกใจไปตาม ๆ กัน
“คุณเนนิลค่อย ๆ ลุกนะครับ” องศาและทิดาที่อยู่ใกล้นิวารินมากที่สุดตอนนี้ ช่วยพยุงตัวเธอลุกขึ้น ส่วน
ภูตะวันเดินไปนั่งอย่างหน้าตาเฉย โดยไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่นิดเดียว
“นี่คุณ! ปล่อยคุณหนูทำไม” เสียงของคนที่กำลังเอาเรื่องชายหนุ่มคือบอดี้การ์ดสาว หากเธออยู่ใกล้ ๆ คุณหนูคงไม่ต้องเจ็บตัว ทว่าคำถามนั้นกลับไม่ได้รับคำตอบใด ๆ จากชายหนุ่ม
“หูตึงหรือไง!”ยั่วอารมณ์โมโหกันชัด ๆ หมอนี่
น่าหมั่นไส้จริง!
“ช่างเถอะค่ะพี่เคท นิลไม่ได้เป็นอะไร อย่างน้อยเขาก็ช่วยนิลไว้ค่ะ” นิวารินพูดแกมประชดหน่อย ๆ พลางเหลือบตามองคนใจร้าย เขายังนั่งทำหน้าขรึม ทำทอง
ไม่รู้ร้อน
นี่ขนาดช่วยนะ บอดี้การ์ดสาวสวยคิดในใจ แล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่อย่างหงุดหงิด แต่ก็ยอม
เชื่อฟังคุณหนู
นิวารินมาถึงที่ผับปรากฏว่าโต๊ะเก้าอี้เกลื่อนบนพื้น บ้างก็แตกกระจายราวกับมีการสู้รบกันก่อนหน้าที่เธอจะมาถึง ครั้นจะไปที่โกดังผู้เป็นพ่อ ทว่าการ์ดร่างใหญ่กลับขวางทางไม่ให้เธอเข้าไปเสียอย่างนั้น นั่นแปลว่าผู้เป็นพ่อกับผู้ชายบ้าระห่ำคนนั้นเจอกันแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง “ถอยไป” “ไม่ได้จริง ๆ ครับคุณหนู” การ์ดคนดังกล่าวพูดด้วยความลำบากใจ เมื่อบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นถึงคุณหนูของบ้าน แก้วตาดวงใจของผู้เป็นนาย แต่เพราะคำสั่งของผู้เป็นนายตนจึงต้องทำตาม “จะให้รู้ถึงหูแม่ หรือจะปล่อยให้นิลเข้าไปที่โกดัง” หากเธอใช้มุกนี้อาจจะสำเร็จ เพราะคำสั่งของผู้เป็นแม่คือคำขาด ยกเว้นเสียแต่เรื่องของเธอ ที่ผู้เป็นพ่อยืนกรานหลังชนฝา การ์ดร่างใหญ่นับสิบที่ได้ยินต่างก้มหน้าเงียบกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็ไม่มีใครยอมปล่อยให้คุณหนูของบ้านผ่านไปได้เช่นกัน “ถอยกันไปได้แล้ว” เน้นเสียงหนักเอ่ยสั่งด้วยความร้อนใจ หากช้าไปกว่านี้เกรงว่าผู้ชายคนนั้นจะถูกผู้เป็นพ่อฆ่าตายเสียก่อน “คำสั่งคุณหนูคือคำขาด” เคทพูดย้ำกับการ์ดร่างใหญ่ เมื่อไม่มีใครหลีกทางให้คุณหนูเสียที แต่ระหว่างนั้นเสียงทุ้มของใครบางคนก็ดังขึ้น…“
“คุณฉลามส่งนิลตรงนี้ก็ได้ค่ะ” ใช้เวลาจากไร่ภูตะวันเข้ากรุงเทพราวหนึ่งชั่วโมง เธอยืมโทรศัพท์ฉลามต่อสายหาบอดี้การ์ดสาวคนสนิทให้มารอรับ และ ภูตะวันไปพบพ่อเธออย่างที่คาดเดาไม่มีผิด “แน่ใจเหรอครับ กว่าจะถึงผับคุณเนนิลก็ไกลอยู่นะครับ” “นิลให้คนมารอรับแล้วค่ะ คุณฉลามไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” “อ๋อ โอเคครับ ถ้าได้ข่าวเจ้านายยังไงโทรมาบอกผมด้วยนะครับ” “ค่ะ” นิวารินตอบรับเพียงเท่านั้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ จากนั้นก็รีบเปิดประตูลงจากรถไปอย่างเร่งรีบ โดยมีสายตาของฉลามมองตามไปจนกระทั่งรถสปอร์ตหรูสีขาวขับเข้ามารับเธอ “หน้าผากไปโดนอะไรมาคะคุณหนู หรือ ผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณหนู” เคทขมวดคิ้วเมื่อสังเกตเห็นแผลเล็ก ๆ บริเวณหน้าผากของคุณหนู เชื่อว่าแผลไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ ต้องมีคนทำให้เกิด และ มีอยู่คนเดียวที่จงเกลียดจงชังคุณหนูของเธอเข้าไส้ ไอ้หมาบ้าตัวนั่นแน่ ๆ “อย่าพึ่งถามอะไรตอนนี้เลยค่ะ รีบไปที่ผับกันก่อนเถอะค่ะ นิลไม่อยากให้ใครต้องมาตายเพราะนิลเป็นต้นเหตุอีก” “ทั้งที่ผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณหนูให้เจ็บช้ำน้ำใจสารพัดน่ะเหรอคะ” เธอไม่เข้าใจจริง ๆ ทำไมคุณหนูถึงคอยเป็นห่วงเป็นใยช่วยเหลือผู้ชายที่คิดทำร้า
#หลายชั่วโมงต่อมา ภูตะวันนั่งบนเก้าอี้เหล็กตรงไร่องุ่นที่ถูกวางเพลิงเหลือแค่ซากกิ่งไม้และโค้งเหล็กไว้ให้ดูต่างหน้า ใบหน้าหล่อที่เต็มไปด้วยความเครียดขึงก้มลง มือทั้งสองข้างประสานกันกลางหว่างขา ปล่อยให้น้ำตาลูกผู้ชายรินไหลออกจากหัวตาหยดลงดินแล้วหยดเล่า ทั้งคืนไม่ได้นอน เช่นเดียวกันกับคนงานในไร่ ทุกคนต่างเสียขวัญเสียกำลังใจ ใช้เวลานานหลายชั่วโมงกว่าไฟจะสงบก็รุ่งสาง ไฟไหม้แค่ไร่องุ่นท้ายไร่ ซึ่งเป็นองุ่นสายพันธุ์ที่ใช้สำหรับผลิตไวน์เกือบทั้งหมด ดีที่ไม่ลุกลามไปพื้นที่อื่น ๆ สร้างความเสียหายให้กับไร่เป็นอย่างมาก หากเปรียบเทียบกับเงินก็หลายล้าน เสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามาทำให้ภูตะวันรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นจากด้านหลัง “นาย”ฉลามที่เห็นเจ้านายเอาแต่นั่งอยู่ที่เดิมนานนับชั่วโมง จึงทำใจกล้าเดินเข้ามาด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่รู้ว่าผู้เป็นนายกำลังรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และ ต้องการอยู่เงียบ ๆ คนเดียว “มึงไสหัวไปให้พ้นกู!” “นายไปพักผ่อนก่อนดีไหมครับ” รู้ทั้งรู้ว่าต้องทำให้ผู้เป็นนายไม่พอใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความห่วยใย “มึงหูหนวกเหรอวะไอ้ฉลาม!” ภูตะ
ไร่องุ่นภูตะวัน ภูตะวันใช้เวลาขับรถมาที่ไร่ราวสี่สิบนาทีอย่างร้อนใจ อารมณ์ที่เต็มไปด้วยความโกรธจัด จึงเหยียบคันเร่งจนมิด ความเร็วเกินกว่ามาตรฐานกำหนดไปมาก ทำให้คนที่นั่งมาด้วยหวาดผวาอยู่ทุกนาที “เอ้า! เร็ว ๆ ช่วยกันดับไฟ” เสียงของหัวหน้าคนงานตะโกน ขณะที่คนงานวิ่งวุ่นช่วยกันหาน้ำมาดับไฟที่โหมกระหน่ำออกเป็นวงกว้าง ช่วยรถดับเพลิงอีกแรง แม้ว่าจะช่วยได้ไม่มาก แต่ก็ดีกว่ายืนอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร วินาทีที่ภูตะวันเห็นไร่องุ่นหลายสิบไร่ที่ลงทุนสร้างด้วยตัวเองกำลังถูกไฟแผดเผาไหม้ด้วยน้ำมือของคนเลว หัวใจแกร่งก็พลันสลาย ดวงตาดำมืดแดงก่ำเบิกกว้าง มือหนาทั้งสองข้างยกขึ้นขย้ำผมตัวเองแน่นด้วยความเจ็บปวดและเสียใจ จนกลั้นน้ำตาลูกผู้ชายเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อไม่สามารถปกป้องสิ่งที่ตัวเองรักได้อีกเป็นครั้งที่สอง นิวารินเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ก็ถึงกับอึ้งงันเสียใจไม่ต่างจากทุกคน แต่คนที่เจ็บปวดมากที่สุดตอนนี้เห็นจะไม่ใช่เธอ แต่เป็นเขา…เขาที่ต้องเจอแต่เรื่องร้าย ๆ เพราะเธอที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด หมับ! “อ๊ะ!” ใบหน้าสวยเปื้อนน้ำตาบิดเบ้ด้วยความเจ็บ เมื่อร่างสูงหันกลับมาบีบต้นแรงแน่นรา
“...ตอนนี้ฉันมีหลักฐานมากพอ ที่จะเอาเธอเข้าคุกได้ในทันที เพราะฉะนั้น…ถ้าเธอรู้สึกผิดจริงล่ะก็ ไปมอบตัวกับตำรวจกับฉันวันพรุ่งนี้ สารภาพความผิดทุกอย่าง..” “...” ภูตะวันหม่นคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจ เมื่อนิวารินยืนนิ่งสบตาไม่พูดอะไรหลังจากได้ฟังสิ่งที่เขาบอกกับเธอ เธอไม่มีท่าทีเป็นกังวลหรือตกใจเลยสักนิด อีกทั้งแววตาคู่สวยยังฉายชัดถึงความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว ทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาความคิดเธอได้ หรือบางทีเธออาจกำลังกลบเกลื่อนความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองอยู่ก็ได้“ว่ายังไง” เป็นเขาที่ต้องตั้งคำถามกับเธออีกครั้ง “...ได้” เงียบอยู่นานเธอถึงได้เอ่ยตอบตกลง แล้วถามหาหลักฐานอย่างเป็นการลองเชิงในประโยคต่อมา เธอยังไม่ปักใจเชื่อว่าเขามีหลักฐานอย่างที่กล่าวอ้างจริง ๆ “แต่ก่อนที่ฉันจะไปมอบตัวกับตำรวจ ฉันต้องได้เห็นหลักฐานที่คุณพูดถึงทุกอย่าง รวมถึงหลักฐานของพ่อฉัน” “หึ หัวหมอเป็นเหมือนกันหนิ” ภูตะวันเค้นเสียงหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยัน “หลักฐานที่จะใช้มัดตัวเธอน่ะ…มีแน่อยู่แล้ว ส่วนหลักฐานพ่อเธอที่ฉันเคยพูดถึง ไม่มีจริง ๆ หลอก แต่ข้อมูลสำคัญที่ฉันมี สามารถทำให้พ่อเธอสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ในชั่วข้าม
@ผับ M ชายหนุ่มร่างสูงรูปร่างกำยำอยู่ในชุดเรียบง่าย เสื้อแจ๊คเก็ตหนังสีดำสวมทับเสื้อยืดสีขาวด้านใน ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนขายาวสีดำไซซ์พอดีตัว ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ ผมเผ้าถูกเซตอย่างดูดีเป็นที่สะดุดตาของสาว ๆ ที่กำลังเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกตามเสียงเพลงที่เปิดภายในผับหรู พวกเธอเหล่านั้นต่างอยากครอบครองชายหนุ่มที่เดินผ่าน แต่ก็ทำได้แค่มอง... ภูตะวันพาตัวเองเดินขึ้นมาชั้นสองของผับ โดยทำเมินเฉยต่อสายตาของสาวสวยที่มองมา “มาช้ากว่าเพื่อนเลยนะพ่อพระเอก” ทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะริมระเบียงที่มองลงไปเห็นชั้นล่างของผับอย่างชัดเจน ก็ถูกเพื่อนรักอย่างองศาพูดจาไม่เข้าหู ภูตะวันไม่ได้ตอบกลับ กระแทกตัวนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามกับปริญลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลชื่อดังด้วยใบหน้าราบเรียบ “แผลที่หน้าหายดีแล้วหนิ” สองวันก่อนบาดแผลบนใบหน้าของไอ้เพื่อนรักยังชัดเจน แต่วันนี้ดูจางลงจนแทบไม่เหลือร่องรอย “อือ” ภูตะวันส่งเสียงในลำคอตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉยพลางยื่นมือรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาแพงในแก้วที่องศายื่นมาให้ “ขอบใจ” “แล้วส่วนอื่น ๆ ในร่างกายมึงล่ะ” “มึงมาดื่มหรือมาตรวจร่างกายได้ภูวะ ถามซะละเอียดเลยไอ้สัส” องศา







