จามิลนั่งตรงกันข้ามกับธีราที่โต๊ะตัวหนึ่งในห้องอาหารของโรงแรมที่หญิงสาวพัก โดยมีผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคน คือ หลิง ล่ามสาวชาวจีน และหลง นายพรานนำทาง
เวลานี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงเศษ ผู้คนในห้องอาหารจึงมีไม่มากนัก นอกจากโต๊ะที่กลุ่มของธีรานั่งแล้วก็มีชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนพ่อค้านั่งอยู่ที่โต๊ะตัวถัดไปเท่านั้น
“ภรรยาของหลงเอาเงินค่าจ้างของคุณไปใช้มากกว่าครึ่ง หลงเลยเอาเงินส่วนที่เหลือมาคืนคุณก่อน” ล่ามสาวเอ่ยกับธีราเป็นภาษาไทย หลงยิ้มแหยๆ พลางยื่นธนบัตรจำนวนหนึ่งคืนให้ธีรา
จามิลเปรยว่า “ดูท่าคุณจะได้เงินส่วนที่เหลือกลับคืนยาก”
ธีรายิ้มอย่างเซ็งๆ ก่อนพูด “จะทำยังไงได้ล่ะคะ”
“ผมมีวิธีที่ดีกว่าการรอให้เขาคืนเงิน” พระหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ
“วิธีอะไรคะ?” หญิงสาวถามอย่างสนใจ
“พวกเราจะเดินทางไปกันเดนแต่ยังไม่มีลูกหาบ ก็ตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าลูกหาบแล้วคอยหาลูกหาบให้พวกเรา” พระหนุ่มเสนอแนะ
“เป็นความคิดที่ดีค่ะ” หญิงสาวเห็นด้วย
จามิลจึงพูดภาษาคีรีมันกับหลง “เงินที่เจ้าใช้ไปแล้วพวกเราจะนับเป็นค่าจ้างของเจ้า”
“หมายความว่ายังไงครับ?” หลงถามด้วยสีหน้างุนงง
“หมายความว่าพวกเรากำลังจะเดินทางไปค้นหากันเดนกัน เจ้าจะต้องเป็นหัวหน้าลูกหาบ และหาลูกหาบให้แก่พวกเรา”
“หา! จะให้ผมไปกันเดนรึ?” หลงร้องเสียงหลง
“ใช่” จามิลยืนยันหนักแน่น
“ไม่เอา ผมไม่อยากไป” หลงตอบปฏิเสธปากคอสั่นพลางโบกมือว่อน
“จะอยากหรือไม่อยากเจ้าก็ต้องไป ไม่งั้นเจ้าต้องเอาเงินมาคืนให้ครบ” จามิลพูดย้ำน้ำเสียงหนักแน่น
หลงได้แต่นิ่งอึ้ง สีหน้าเหยเก
พระหนุ่มดูทีท่าว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าปฏิเสธแน่ เลยพูดปลอบใจว่า “กลับมาแล้วพวกเราจะให้เงินเจ้าอีกจำนวนหนึ่ง”
“หึ! ผมขอให้ตัวเองมีชีวิตรอดกลับมาก่อนเถอะ” หลงตอบด้วยน้ำเสียงหมดอาลัยตายอยาก
พระหนุ่มจึงหันไปพูดภาษาไทยกับหญิงสาว “หลงตกลงไปกับพวกเราแล้วครับ”
“ดีจัง” ธีรายิ้มแล้วหันไปถามล่ามสาว “คุณหลิงละคะ จะไปกับพวกเราไหม?”
หลิงยิ้มเล็กน้อยพลางตอบ “ดิฉันขอตัวค่ะ ไปกันเดนดูท่าจะสนุก แต่ดิฉันเป็นคนไม่ชอบผจญภัยเท่าไร ก็เลยจะขอลาคุณธีราตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“น่าเสียดายจัง” หญิงสาวเอ่ยพลางคิด ขาดล่ามสาวไปเสียคนก็เท่ากับเธอจะสื่อสารกับลูกหาบชาวคีรีมันรู้เรื่องก็ต้องผ่านจามิลเท่านั้น แต่หญิงสาวก็ไม่อยากเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายอย่างดื้อดึง
“สวัสดีค่ะ ขอให้พวกคุณโชคดี ค้นพบกันเดนดังที่ปรารถนานะคะ” หลิงกล่าวอวยพรก่อนลุกขึ้นยืนค้อมศีรษะให้ทุกคน “ลาก่อนค่ะ”
“ลาก่อน” ธีรารับคำ
หลิงเดินผละจากโต๊ะเป็นคนแรก
จามิลเอ่ยกับหญิงสาว “ผมกับหลงจะไปเตรียมคนกับสัมภาระก่อนนะครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้จามิล
“คุณเอาเงินนี่ไปใช้ก่อนนะคะ ถ้าไม่พอฉันจะเบิกให้พรุ่งนี้”
จามิลรับเงินแล้วพูดกับหลง “พวกเราไปทำงานกันได้แล้ว”
จามิลลุกขึ้น ค้อมศีรษะให้ธีราเล็กน้อยก่อนเดินจากไป
หลงยิ้มแห้งๆ ลุกขึ้นค้อมศีรษะให้หญิงสาวก่อนเดินตามจามิลไป
ธีรานั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะครู่ใหญ่ก่อนถอนหายใจยาวลุกจากโต๊ะแล้วเดินขึ้นชั้นบนที่เป็นส่วนหนึ่งของที่พัก เดินไปตามระเบียงไม้แคบๆ
ธีราเดินมาถึงหน้าห้องพักก็เห็นวิษณุยืนดักรออยู่ ในมือของเขาถือขวดเหล้าที่ดื่มไปเกือบครึ่งขวด
“ดื่มแต่เช้าเชียว” หญิงสาวบ่นเบาๆ
“ที่นี่อากาศหนาวก็ต้องดื่มบ้างนิดหน่อย เป็นการวอร์มร่างกายให้อบอุ่นไว้” วิษณุพูดแก้ตัว
“ข้ออ้าง” หญิงสาวเอ่ย
วิษณุยักไหล่พลางว่า “แค่ดื่มเหล้าเรื่องเล็กจะตาย ไม่เหมือนเธอคบพระทุศีล ระวังเถอะนรกจะถามหา”
“พี่ณุ ถ้าเมาแล้วก็ไปนอนซะ อย่ามาคอยหาเรื่องคนอื่น เขาจะได้ทำงานกัน ไม่มีใครเขาคิดเรื่องไร้สาระเหมือนพี่ณุหรอก” ธีราพูดอย่างเอือมระอา
“ไร้สาระรึ ไอ้พระจามิลนั่นมันมองธีราราวกับจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัวยังงั้นน่ะรึไม่ได้คิดอะไร?”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากไม่อยากต่อปากต่อคำ จึงเปิดประตูเข้าห้องแล้วปิดฉับทันที
ปังๆๆๆ
วิษณุทุบประตู “ออกมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อนสิ แม่คนสวย แม่คนรวย”
ธีรายืนนิ่งอยู่ภายในห้อง ยกสองมืออุดหูอย่างนึกรำคาญ สักพักเจ้าของโรงแรมเข้ามาห้ามปรามวิษณุไม่ให้เขาส่งเสียงเอะอะโวยวาย วิษณุเห็นเจ้าของโรงแรมมาพร้อมชายฉกรรจ์อีกสองคน ก็เลยจำใจสงบปากสงบคำ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากวิษณุเงียบเสียงไปราวครึ่งชั่วโมง ธีราคิดว่าเป็นญาติผู้พี่ที่คงไปสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงมางอนง้อขอโทษเช่นเคย ก็เลยส่ายหน้าอย่างระอาเอ่ยปากถามก่อนจะเปิดประตู
“ใคร?”
“ฉันรินเซน” เสียงตอบเป็นภาษาไทย แม้จะแปร่งหูเล็กน้อยแต่ก็ชัดถ้อยชัดคำ
ธีราหยุดคิดครู่หนึ่ง เสียงนอกประตูดังแว่ว “รินเซน ลูกสาวของอู๋”
“อ้อ” หญิงสาวนึกออกแล้วจึงรีบเปิดประตูให้ ก็เห็นรินเซนยืนอยู่หน้าประตูเพียงคนเดียว “เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิ”
รินเซนเดินเข้าห้องตามคำเชื้อเชิญ ธีราจัดการล็อกประตูอย่างแน่นหนาเพื่อความรอบคอบ
“เชิญนั่ง” ธีราชี้ไปยังเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่เป็นโต๊ะเขียนหนังสือในตัว รินเซนนั่งลงโดยไม่เกี่ยงงอนแต่อย่างไร
“มีธุระอะไรกับฉันหรือ?” ธีราถามทันทีที่เห็นอีกฝ่ายนั่งลงเรียบร้อย
รินเซนอ้ำอึ้งครู่หนึ่งก่อนพูดโพล่ง “ฉันจะไปกันเดนด้วย”
ธีราเลิกคิ้วเรียวงามขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม
รินเซนพูดต่ออย่างเด็ดเดี่ยว “จะให้ฉันเป็นลูกหาบก็ได้นะ”
“เรื่องนี้…” หญิงสาวอ้ำอึ้งอย่างลำบากใจ “ฉันมอบให้เป็นสิทธิ์ขาดของคุณจามิลแล้ว”
“จามิลไม่ให้ฉันไป แต่ฉันต้องไป” รินเซนพูด
“เหตุผล?” ธีราย้อนถาม
“คุณไปตามหาพ่อ เพราะพ่อของคุณหายสาบสูญไป ส่วนพ่อของฉันกลับมาได้ก็จริง แต่เหมือนคนตายที่ยังมีลมหายใจอยู่” รินเซนตอบพลางถามกลับ “คุณคิดว่าฉันทรมานน้อยกว่าคุณหรือ?”
“เรื่องพ่อของเธอฉันก็เห็นใจ” ธีราพูดจากใจจริง
“แค่เห็นใจไม่ได้ช่วยอะไร” รินเซนเอ่ย
“แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร?” ธีราถาม
เป็นคำถามที่รินเซนต้องการได้ยิน หล่อนจึงรีบเอ่ย “ก็ให้ฉันเดินทางไปกันเดนด้วยสิ”
“แล้วใครจะดูแลอู๋?” ธีราย้อนถามทันที
“ฉันฝากพระที่วัดให้ช่วยดูแลพ่อได้” รินเซนพูดอย่างกระตือรือร้น
“แต่ถ้าคุณจามิลไม่ให้เธอไป แล้วฉันให้เธอไป จะไม่เป็นการข้ามหน้าข้ามตาเขาหรอกหรือ?” ธีราพูดอย่างลำบากใจ
“ถ้าคุณเห็นใจฉันจริงคุณต้องให้ฉันไป เพราะฉันอาจจะค้นพบวิธีรักษาพ่อให้หายก็ได้” รินเซนพูดเกลี้ยกล่อมพลางว่า “แล้วฉันก็พูดไทยได้ ฉันเป็นล่ามให้คุณได้ หรืออย่างน้อยคุณก็จะได้มีเพื่อนผู้หญิงเพิ่มขึ้นในคณะอีกหนึ่งคน”
สิ่งที่รินเซนกล่าวถึงเป็นเรื่องเย้ายวนใจธีราไม่น้อย เพราะหลิงไปแล้วรินเซนอาจจะมาทำหน้าที่แทนได้ แล้วทั้งคณะที่ล้วนเป็นผู้ชายมีเธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว การเพิ่มรินเซนอีกคนจะทำให้เธอไม่เงียบเหงาจนเกินไป
รินเซนเห็นหญิงสาวนิ่งตรึกตรองก็พอจะรู้ว่าคำพูดของหล่อนมีน้ำหนักพอสมควร แต่ถ้าจะทำให้อีกฝ่ายไม่อาจตอบปฏิเสธก็ต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด รินเซนจึงลุกจากเก้าอี้เดินมาเบื้องหน้าธีราแล้วคุกเข่าลง
“เราควรบอกท่านเพียงว่าคุณวิษณุประสบอุบัติเหตุ คุณเจอเขาอีกทีเขาก็มีอาการอย่างนี้แล้ว ไม่มีใครเห็นว่าเขาประสบอุบัติเหตุอย่างไร เพียงพบเขานอนอยู่บนพื้นในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเขาหายตัวไปจากโรงแรมที่พัก ไม่พบร่องรอยบาดแผลหรือได้รับบาดเจ็บอะไร” ชายหนุ่มออกความคิด “เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นกว่าถูกสูบขวัญวิญญาณเป็นไหนๆ” หญิงสาวยิ้มฝืดๆ อย่างจนปัญญา “ฉันจะส่งพี่ณุเข้าโรงพยาบาลไปตรวจเช็กสมองอย่างละเอียด เผื่ออาจจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง” “ดีครับ” ชายหนุ่มเห็นด้วย แม้จะรู้แก่ใจว่าไม่มีวิทยาศาสตร์แขนงไหนสามารถช่วยเหลือวิษณุให้กลับมาเหมือนเดิมได้ เครื่องบินที่ธีรา จามิล และวิษณุโดยสารมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ธีราพาวิษณุขึ้นแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน เธอไม่ได้บอกทางบ้านถึงเวลาที่เดินทางกลับ ส่วนจามิลก็มาส่งธีราและวิษณุถึงบ้านก่อน จึงเข้าพักในโรงแรมสภาพค่อนข้างดีแห่งหนึ่งในกรุงเทพ กลับถึงบ้านธีราโผเข้ากอดมารดาที่มองมาด้วยสายตายินดี แม้จะประหลาดใจที่อยู่ๆ ลูกสาวก็กลับมาถึงบ้านโดยไม่บอกไม่กล่าว “คิดถึงแม่จังเลยค่ะ” หญิงสาวกล่าวจากใจจริง “แม่ก็
สิ่งที่ได้ฟังทำให้หญิงสาวชาวไทยพลอยยินดีกับนางพญาอาโรจนาและพญานาคราชชมพูจนอดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้ “ดิฉันดีใจจริงๆ ค่ะ ที่ทั้งสองสมหวังในความรักสักที...แต่ เอ้อ...” ราชฤาษีเห็นหญิงสาวมีท่าทางอึกอัก ก็รู้ว่าเธอมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูด “เจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ” พอได้รับคำอนุญาตจากราชฤาษี ธีราก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขอร้อง “ดิฉันอยากจะขอให้ท่านช่วยพี่วิษณุค่ะ ให้เขามีสติเป็นปกติ ไม่ใช่คนเอ๋อแบบนี้” “ปกติเจ้าไม่ชอบเขามิใช่หรือ?” ราชฤาษีถาม “ค่ะ ดิฉันไม่ชอบเขาเพราะว่าเขาเอาแต่ใจตัวเองเกินไป” “แล้วทำไมถึงได้ขอร้องแทนเขา?” “ดิฉันสงสารคุณป้าจิตราคุณแม่ของพี่ณุค่ะ คุณป้ามีลูกคนเดียวคือพี่ณุ แล้วพี่ณุมาเป็นแบบนี้ คุณป้าคงต้องเสียใจมากค่ะ” “เจ้าขอได้ แต่เราไม่ให้” ราชฤาษีตอบด้วยสุรเสียงเรียบๆ “ทำไมคะ?” หญิงสาวถามอย่างสงสัย “ทุกคนมีบาปบุญเป็นของตนเอง” ราชฤาษีกล่าวหนักแน่น “เวลานี้วิษณุกำลังรับผลแห่งบาปที่เขาเคยก่อเอาไว้อยู่ ส่วนนารีผลที่สูบขวัญวิญญาณของเขาไปนั้น นางได้กลายเป็นมนุษย์มีเลื
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “คุณเก็บผลไม้นี้ให้ดีเสียก่อนเถอะ เพราะไม่ว่ามันจะหอมหรือเหม็น มันก็ผ่านด่านตรวจไม่ได้” จามิลเตือน สีหน้าระบายยิ้มจางๆ “ถูกต้องค่ะ ฉันต้องใส่ถุงพลาสติก ผูกปากถุงให้แน่น ป้องกันกลิ่นโชยออกมา” หญิงสาวเอ่ยพลางทำตามที่พูด นำถุงพลาสติกบรรจุผลไม้จากกันเดนเก็บใส่กระเป๋าสะพาย “คุณเก็บของให้เรียบร้อยนะครับ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางกัน” จามิลบอก “พวกเรา?” หญิงสาวเลิกเรียวคิ้วงามเป็นเชิงถาม “ครับ คุณ ผม และคุณวิษณุ ผมว่าจ้างรถเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “คุณจะไปกับฉันและพี่ณุหรือคะ?” หญิงสาวถามเพื่อความมั่นใจ “ครับ คุณอยากรู้เหตุผลไหมครับ?” ชายหนุ่มย้อนถาม หญิงสาวนิ่ง เธอดีใจที่จะมีเขาไปด้วย ไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลหรือไม่มีก็ตาม ทว่าจามิลยังคงอยากอธิบายเหตุผล “ผมมีเหตุผลทั้งทางฝ่ายคุณและฝ่ายผม ฝ่ายคุณคือคุณต้องการคนดูแลคุณวิษณุระหว่างเดินทาง คุณเป็นผู้หญิงคงไม่สะดวก แต่ผมเป็นผู้ชายผมสะดวก ส่วนทางนี้...ไม่ช้าก็เร็วคนในคีรีมันจะต้องรู้ว่าผมไปกันเดนมา แล้วผมก็จะ
“ใครบอกให้คุณดูแลพี่ณุ?” ธีราเพิ่งมีโอกาสเปิดปากถามเป็นประโยคแรก “ก็ราชฤาษีน่ะสิ อยู่ๆ ก็พูดเจาะจงให้ฉันดูแลคุณณุ” หลิงสะบัดเสียงตอบ “ท่านมีเหตุผลอะไรที่ให้ทำอย่างนั้น?” หญิงสาวถามเสียงเรียบ “ก็…” หลิงพูดอึกอัก หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ราชฤาษีชนะกานตะอย่างไม่ยากเย็น เป็นการต่อสู้ที่สวยงามและตื่นตาตื่นใจ แม้ได้รับชัยชนะแต่ราชฤาษีไม่คิดทำร้ายกานตะ เพียงรับสั่งสุรเสียงเฉียบ “เจ้าแพ้เราแล้ว เจ้าจะต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวที่ไปกันเดนนั่น” กานตะขบฟันกรอดๆ จนเห็นสันข้างแก้ม ไม่พูดไม่จา สะบัดหน้าแล้วผละจากไปโดยไม่สนใจคณะเดินทางแม้แต่น้อย “แล้วพวกเราจะทำอย่างไร?” ต้าเอ่ยขึ้น “เราจะส่งพวกเจ้ากลับไปยังโลกที่พวกเจ้ามา แต่พวกเจ้าจะต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง นึกถึงสถานที่เดียวกันให้ดี” ราชฤาษีรับสั่ง คณะเดินทางจึงปรึกษาหารือกันแล้วลงความเห็นว่าวัดกัมโปเป็นศูนย์กลางที่ทุกคนรู้จัก จึงเลือกวัดกัมโปเป็นจุดหมายปลายทางในใจของทุกคน “พวกผมจะกลับไปวัดกัมโปขอรับ” ต้าและหลงเอ่ยขึ้นพร้อมเพียง “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้
สวนดอกไม้มีพระสงฆ์วัยกลางคนรูปหนึ่งยืนรออยู่ “ท่านคุรุ” ดอกเตอร์ธีระตรงเข้าไปยกมือพนมไหว้และค้อมศีรษะ ธีราและจามิลเดินไปยกมือไหว้ตามอย่างดอกเตอร์ธีระ คุรุกันปะพยักหน้าก่อนเอ่ยถาม “เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?” “พร้อมครับ” จามิลเป็นคนตอบ “ถ้าเช่นนั้นก็ตั้งจิตนึกถึงสถานที่ที่จะไปให้มั่นคง แล้วเจ้าทั้งสองคนจะไปถึงที่นั่น” ท่านคุรุกล่าวช้าๆ “ครับ” จามิลรับคำพลางพนมมือและโค้งคำนับอีกครา แล้วหันไปเอ่ยกับดอกเตอร์ธีระ “ดอกเตอร์ ผมลานะครับ” “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ” ดอกเตอร์ธีระกล่าว ยื่นมือให้จามิลจับ ทั้งสองจับมือกันกระชับมั่น “ผมฝากลูกสาวด้วยนะจามิล” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ “ครับ ผมจะดูแลเธออย่างดีที่สุด” หนุ่มผู้อ่อนวัยกว่ารับคำหนักแน่น “ฝากความคิดถึงท่านอาจารย์ด้วยนะศิษย์พี่” เณรคังเอ่ย “อย่าลืมบทสวดที่ท่านอาจารย์สอนละ” คนเป็นศิษย์พี่เอ่ย “ผมไม่ลืมแน่นอนครับ” เณรคังรับคำด้วยรอยยิ้มแจ่มใส “คุณธีรากราบลาคุณพ่อสิครับ” จามิลพูดเตือนหญิงสาว หญิงสาวร้องไห้โฮพร้อมกับ
ที่นี่ ตอนแรกที่พ่อมาถึงที่นี่และรู้ตัวว่ากลับไม่ได้พ่อแทบคลั่งตาย แต่สภาพอากาศของที่นี่ค่อยๆ ชะล้างความทุกข์ ความเศร้าโศกออกจากใจ คนที่นี่ยังมีลักษณะของคนอยู่ประการหนึ่งก็คือต้องสูดลมหายใจ แต่อากาศของที่นี่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถชะล้างอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ความเศร้าโศกต่างๆ นานาให้หมดไป จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร” เอ่ยถึงตรงนี้ดอกเตอร์ธีระได้พาธีราและจามิลมาถึงกระท่อมที่พัก กระท่อมก่อด้วยทับทิมสกัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนอิฐบล็อก “นี่คือบ้านของพ่อ” ดอกเตอร์ธีระเอ่ย “ที่จริงคนที่นี่ไม่จำเป็นต้องสร้างบ้านก็ได้ เพราะที่นี่ไม่มีฝนตก ไม่มีแดดออก ไม่มีพายุ ไม่มีร้อน ไม่มีหนาว แต่พ่อยังชอบความเป็นส่วนตัวอยู่” เมื่อธีราและจามิลเดินเข้าไปในกระท่อมก็เห็นเณรคังกำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาพริ้มอยู่บนตั่งที่เป็นพลอยไพลินทั้งก้อน “คัง” จามิลเรียกเบาๆ เณรคังลืมตา ดวงตาสดใสเปี่ยมสุข ก่อนโห่ร้องเบาๆ “ศิษย์พี่!” แล้วผุดลุกจากที่นั่ง เดินเข้ามาหาพลางพูดด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่กับคุณผู้หญิงที่สวยเหมือนพระโพธิสัตว์มาถึงจนได้ พวกเราจะได้อยู่พร้อมห