เข้าสู่ระบบ
“เอาตัวคุณหนูกลับบ้าน!”
“หยุดนะ! ถ้าพ่อยังวุ่นวายกับชีวิตข้าว ข้าวจะตายตามแม่ไป!!”
ฉันที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนถึงกับอารมณ์เสียทันทีเมื่อเห็นพ่อยืนรออยู่หน้าคอนโด มิหนำซ้ำยังสั่งลูกน้องให้เข้ามาจับตัวฉันเพื่อพากลับไป... หึ ‘บ้าน’ งั้นเหรอ? ที่นั่นมันไม่ใช่บ้านสำหรับฉันมาตั้งแต่วันที่พ่อมีคนอื่นแล้ว!
จำได้ดีว่าวันที่แม่พาฉันเดินออกมา ก็เพราะพ่อพาเมียอีกคนเข้ามาเหยียบย่ำหัวใจแม่ ผู้หญิงใจร้ายคนนั้นชอบดุด่าตบตีฉันลับหลัง แต่พออยู่ต่อหน้าพ่อ หล่อนกลับแสร้งทำเป็นดี ทำตัวรักใคร่เอ็นดู... ฉันเกลียดที่สุดคือคนหน้าไหว้หลังหลอกพรรค์นั้น!
แม่เป็นฝ่ายตัดสินใจเดินออกมาและขอหย่าขาด เพราะพ่อหลงเมียใหม่จนไม่ลืมหูลืมตา หาว่าแม่กลั่นแกล้งตัวเองสารพัด ทั้งที่ความจริงแล้วผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่ทำร้ายฉันกับแม่มาตลอด!
ตอนที่แม่พาฉันออกมา เราไม่มีเงินติดตัวสักบาท ฉันในวัยเพียง 10 ขวบต้องอาศัยอยู่ในห้องเช่ารูหนู ยิ่งเห็นแม่แอบร้องไห้ทุกคืน ฉันก็ยิ่งเจ็บปวด แต่ทำได้เพียงกอดแม่ไว้และกลั้นน้ำตา เพราะรู้ดีว่าถ้าฉันร้องไห้อีกคน แม่คงยิ่งเสียใจกว่าเดิม
โชคยังดีที่แม่มีเพื่อนเก่าแนะนำงานที่โรงพยาบาลให้ เราสองแม่ลูกถึงรอดตายมาได้ ในวันที่เราลำบากที่สุดจนแทบไม่มีอะไรจะกิน พ่อไปอยู่ที่ไหน? เขามีความสุข ยิ้มหัวเราะอยู่กับครอบครัวใหม่ แต่เราสองแม่ลูกได้แต่กอดกันร้องไห้แทบขาดใจ
ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง เมื่อ ‘อาหมอ’ ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ อาหมอดูแลฉันกับแม่เป็นอย่างดี ท่านรักและเอ็นดูเราประหนึ่งญาติสนิท ทั้งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกันเลย
ทว่าความสุขนั้นกลับอยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที เมื่อแม่ล้มป่วยลงหลังจากทำงานได้ไม่นาน อาหมอพยายามยื้อรักษาจนอาการของแม่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ...
แต่แล้วอาการแม่ก็ทรุดฮวบลงอีกครั้งเมื่อเห็นข่าวพ่อแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ตั้งแต่วันนั้นแม่เอาแต่ร้องไห้ ตรอมใจไม่กินไม่นอน จนสุดท้ายแม่ก็จากฉันไปอย่างไม่มีวันกลับ... ทิ้งให้ฉันไม่เหลือใคร
แม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปี แต่ทุกความทรงจำ ทุกความรู้สึกเจ็บปวดในวันที่แม่จากไป ฉันยังจำได้ไม่เคยลืม เด็กอายุแค่ 11 ขวบ ต้องกลายเป็นคนไม่มีพ่อไม่มีแม่ มันเจ็บ... เจ็บเจียนตาย แต่ฉันก็กัดฟันผ่านมันมาได้จนถึงทุกวันนี้
ยังดีที่อาหมอกับ ‘อานิภา’ รับอุปการะเลี้ยงดูฉันต่อ เพราะทางแม่ฉันไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ส่วนพ่อ... ตอนนั้นกำลังหลงเมียใหม่ ไม่เคยสนเลยว่าลูกเมียเก่าจะเป็นตายร้ายดียังไง ไม่เคยแม้แต่จะตามหาหรือถามไถ่
มีเพียงอาหมอกับอานิภาเท่านั้นที่มอบความรักความอบอุ่นให้มาตลอด ท่านมีลูกชายคนเดียวคือ ‘พี่ครินต์’ ซึ่งเพิ่งเรียนจบแพทย์ และอีกไม่กี่เดือนเราก็จะได้เจอกันแล้ว
ต่อมาอาหมอต้องย้ายไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ภูเก็ต อานิภาจึงต้องตามไปดูแล ตอนแรกท่านเป็นห่วงไม่อยากทิ้งฉันไว้ แต่ฉันยืนยันว่าดูแลตัวเองได้ อีกทั้งเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะจบมัธยมและเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ฉันจึงไม่อยากย้ายโรงเรียนกลางคัน
อาหมอกับอานิภาจึงตกลงให้ฉันเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ท่านทั้งสองไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวเด็กน้อยคนนี้ที่ท่านเลี้ยงมากับมือ เพราะฉันไม่เคยเกเร แม้จะมีซนบ้างตามประสา แต่ไม่เคยทำเรื่องให้ท่านต้องหนักใจ
ตอนนี้ฉันอายุ 18 แล้ว ถึงจะไม่ใช่เด็กเรียนจ๋าและใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แต่สิ่งเดียวที่ฉันปิดกั้นคือเรื่องความรัก ฉันไม่อยากมีแฟน ไม่อยากรักใครแล้วต้องมานั่งเสียใจเหมือนแม่ การอยู่คนเดียวไม่ได้แย่สักหน่อย อิสระดีจะตาย อยากทำอะไรก็ทำ กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง แค่มีเพื่อนข้างกายก็เพียงพอแล้ว
ฉันเลือกที่จะสร้างกำแพงกั้นตัวเอง ไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนผู้ชาย แต่ถ้าใครเข้ามาจีบ ฉันจะปฏิเสธทันที... ฉันยังไม่พร้อมจริงๆ
“ใบข้าวลูก พ่อขอโทษ... พ่อผิดไปแล้ว” พ่อพยายามเดินเข้ามาใกล้
“อย่าเข้ามานะ!” ฉันก้าวถอยหนี ตลอด 2 ปีมานี้ พ่อพยายามจะพาตัวฉันกลับไปตลอด
“มันไม่มีประโยชน์หรอกพ่อ เลิกยุ่งกับข้าวเถอะ ตอนนี้ข้าวมีความสุขดีทุกอย่าง ข้าวมีครอบครัวที่อบอุ่น ที่รักและห่วงใยข้าวจากใจจริง” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่ได้อยากจะร้องไห้หรอกนะ แต่ตลอด 6 ปีเต็มๆ ที่ฉันเคยรอ... เคยภาวนาให้พ่อมารับกลับบ้าน
แต่สุดท้ายก็ได้แค่ฝัน จนฉันถอดใจและสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตพ่ออีก เพราะพ่อเองก็คงไม่ต้องการฉันเหมือนกัน
แล้วจู่ๆ วันนี้พ่อก็มาตามกลับบ้าน... บ้านที่มีแต่ความทรงจำอันเจ็บปวด บ้านที่มีเมียใหม่ของพ่อ ผู้หญิงใจยักษ์คนนั้น! หล่อนไม่ได้แค่ไม่ชอบขี้หน้า แต่หล่อนเกลียดฉันเข้าไส้ และฉันเองก็เกลียดหล่อนมากเช่นกัน เพราะหล่อนคือคนที่ทำให้ฉันต้องเสียแม่ไป!
ทันทีที่รู้ว่าพ่อจะเอาตัวฉันกลับไปอยู่ด้วย หล่อนก็ตามมาราวี ดุด่า และส่งคนมาขู่ทำร้ายอยู่หลายครั้ง โชคดีที่อาหมอแจ้งความไว้ หล่อนเลยทำได้แค่ขู่ให้กลัว เปลี่ยนชีวิตที่เคยสงบสุขของฉันให้กลายเป็นความหวาดระแวง
“ข้าวขอนะคะพ่อ... ถ้าพ่อยังเห็นข้าวเป็นลูก ข้าวขอใช้ชีวิตแบบนี้ ข้าวไม่ต้องการเงินทองหรือสมบัติอะไรของพ่อทั้งนั้น”
“ถึงครอบครัวอาหมอจะไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้า แต่ท่านทั้งสองก็ไม่เคยปล่อยให้ข้าวอดอยาก อาหมอดูแลข้าวเป็นอย่างดี”
“ข้าวคงทิ้งพวกท่านไปไม่ได้...” น้ำตาของฉันไหลออกมาอย่างสุดกลั้น ฉันเป็นแค่เด็กกำพร้าที่อาหมอรับเลี้ยงเพราะความสงสาร แต่กลับได้กินดีอยู่ดีเสียยิ่งกว่าพี่ครินต์ที่เป็นลูกชายแท้ๆ เสียอีก
อาหมอกับอานิภาสอนพี่ครินต์เสมอว่าต้องเสียสละให้น้อง เพราะฉันคือน้องสาว ท่านสอนให้เรารักและดูแลช่วยเหลือกัน
พ่อทำหน้าเศร้า ฉันรู้ข่าวมาว่าช่วงนี้พ่อสุขภาพไม่ค่อยดี และอยากให้ฉันกลับไปดูแลธุรกิจที่พ่อสร้างมากับมือ...
“พี่เขาจะมาดูแลธุรกิจแทนพ่อสักระยะ เพราะพ่อต้องไปรักษาตัวที่อเมริกา” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด ฉันเองก็พอจะรู้ว่าพ่อไม่สบาย แต่ไม่คิดว่าอาการจะหนักขนาดนี้“ในเมื่อข้าวตัดสินใจจะดูแลบริหารงานแทนพ่อ พ่อก็เบาใจ แต่ข้าวยังเด็กและยังเรียนไม่จบ พ่อเลยให้พี่เขามาช่วยดูแลระหว่างที่พ่อไม่อยู่” พ่อยิ้มให้อย่างอบอุ่นฉันพูดอะไรไม่ออก ที่พูดออกไปแบบนั้นก็เพราะแค่อยากเอาชนะผู้หญิงคนนั้น ซึ่งตอนนี้เธอก็กำลังยิ้มอย่างพึงพอใจแปลกๆ พ่อเป็นคนไม่ไว้ใจใครง่ายๆ คนที่ท่านเลือกมาดูแลงานและสอนฉัน คงต้องเป็นคนดีและเก่งกาจจริงๆ ฉันจึงคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีปัญหาอะไร“ค่ะ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงข้าวนะคะ” ฉันยิ้มให้พ่อเพื่อให้ท่านสบายใจจะได้ไม่ต้องคิดมาก“ขอโทษครับที่ผมมาช้า”ฉันตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินเสียง... เสียงนี้มัน... เหมือนกับเสียงเขาคนนั้น! หรือฉันจะคิดมากและกลัวเขาจนได้ยินเสียงใครก็เป็นเขาไปหมด?“นี่ไงข้าว คนที่จะมาทำงานและสอนข้าว”ฉันหันหน้าไปมองและยกมือไหว้ แต่แล้วก็ต้องตกใจจนเบิกตากว้าง... เขาจริงๆ!“สวัสดีครับคุณลุง” เจเคทักทายพ่อฉันก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากมองมาที่ฉันอย่างเย็นชา เขาไ
หลายวันผ่านไป“ข้าว เลิกเรียนแล้วไปดูหนังกันมั้ย”“ไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้ข้าวมีนัดทานข้าวกับพ่อ”“ว้า เสียดายจัง” ทอฝันทำหน้าเศร้าทันที“ไว้วันเสาร์เราไปดูหนังกันนะ ข้าวเลี้ยงเอง” ฉันเดินไปนั่งข้าง ๆ ทอฝัน“จริงนะ” ทอฝันยิ้มดีใจใหญ่ คือตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่ออกไปไหนเพราะกลัวเจอผู้ชายคนนั้นอีก แต่ก็ยังดีที่ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้เจอเขาอีก และตอนนี้ฉันก็เปลี่ยนรหัสห้องเปลี่ยนคีย์การ์ดเรียบร้อยแล้วเลิกเรียนฉันเดินออกมาพร้อมทอฝัน ก่อนจะเดินไปเรียกแท็กซี่เพื่อไปหาพ่อ ทีแรกฝันจะไปส่งแต่มันอยู่คนละทางกับทางไปคอนโด เกรงใจทอฝันเลยนั่งแท็กซี่ไปเอง“สวัสดีครับ คุณใบข้าวใช่มั้ยครับ” ทันทีที่ถึงร้านพนักงานในร้านก็เดินเข้ามาหาทันที“ใช่ค่ะ” ฉันตอบสั้น ๆ“เชิญทางนี้ครับ คุณภูษิตรอคุณอยู่” วันนี้พ่อทำตัวแปลก ๆ เพราะปกติเวลานัดทานข้าวพ่อต้องให้ฉันเลือกร้านเอง แต่วันนี้พ่อเลือกร้าน และร้านนี้ก็ดูดีดูหรูมากฉันเดินตามพนักงานเข้าไปในร้าน ระหว่างที่เดิน ๆ อยู่ฉันรู้สึกเหมือนมีใครกำลังมองอยู่ตลอด แต่พอหันไปมองก็ไม่เห็นใคร“ถึงแล้วครับ”“ห้องนี้เหรอคะ?” ฉันจ้องหน้าถามพนักงาน“ครับ ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวนะครั
“รับผิดชอบบ้าอะไร! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!!” ฉันไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่วินาทีนี้รู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องหลุดจากอ้อมแขนที่แข็งแกร่งราวคีมเหล็กนี้ให้ได้“หึ... ไม่ง่ายแบบนี้สิ ถึงจะสนุก” เขายกมุมปากเค้นเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมเย็นๆ“ได้โปรด... ปล่อยข้าวไปเถอะ อย่าทำอะไรข้าวเลย... อึก” ฉันเงยหน้าขึ้นอ้อนวอน น้ำเสียงสั่นเครือจนแทบเป็นลม ตอนนี้ความกลัวถาโถมเข้ามาจนรู้สึกเหมือนกำลังจะร้องไห้“เอาล่ะ วันนี้ฉันจะปล่อยเธอไปก่อน... แต่ครั้งหน้าเธอไม่รอดแน่” เขาพูดเรียบๆ แต่แววตาเย็นยะเยือกจ้องมองมาอย่างน่าหวาดหวั่น ก่อนสายตาคมกริบจะเลื่อนลงไปสำรวจซอกคอและหน้าอกของฉันจ๊วบ!!!ยังไม่ทันที่ฉันจะได้หายใจ เขาก็ฉวยโอกาสก้มลงซุกไซ้ซอกคออย่างหื่นกระหายและรุนแรง“ฮือ!! ปล่อยนะข้าวเจ็บ!!” ฉันร้องประท้วงด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง มันเจ็บแปลบเหมือนเนื้อกำลังจะฉีกขาด แต่เขาไม่สนใจเสียงร้องต้านของฉันเลยแม้แต่น้อย และไม่ยอมถอนริมฝีปากออกไป“ฝากไว้ก่อน... วันหลังจะมาเอาคืน” ในที่สุดเขาก็ผละปากออก มองหน้าฉันอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะยกนิ้วขึ้นปาดคราบเลือดจางๆ บนริมฝีปา
“ฝันดีนะคะแม่...”ฉันกระซิบผ่านรูปถ่ายของแม่เหมือนเช่นทุกคืนก่อนนอน แต่วันนี้ความรู้สึกมันต่างออกไป เรื่องราวแย่ๆ ที่เพิ่งเจอมาทำให้ความโหยหาในอ้อมกอดของแม่ทวีความรุนแรงขึ้น ฉันกอดกรอบรูปแนบอกอยู่นาน ก่อนจะจำใจวางมันลงที่เดิมแล้วเอื้อมมือไปปิดไฟฉันพยายามข่มตานอน แต่ความหวาดระแวงทำให้สมองไม่ยอมหยุดคิด แม้จะย้ำกับตัวเองว่าล็อกห้องดีแล้ว และระบบรักษาความปลอดภัยของคอนโดนี้ก็แน่นหนา แต่ความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจับตามองอยู่ตลอดเวลามันทำให้ฉันข่มตาไม่ลงตึก! ตึก!ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากด้านนอกห้อง ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน... หัวใจฉันเต้นรัวเร็วขึ้นทันที“ฉันไม่ได้หูฝาดแน่...” ฉันดีดตัวลุกจากเตียง รีบเดินไปเปิดไฟและคว้าของใกล้มือมาถือไว้ป้องกันตัวแกร๊ก!ฉันกลั้นใจเปิดประตูออกไปช้าๆ กวาดสายตามองไปรอบห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่า... ไม่มีใคร? หรือฉันจะคิดมากไปเองจริงๆ“เหมียว~”“ออเดรย์!” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเจ้าแมวน้อยขี้อ้อนเดินนวยนาดเข้ามาหา“แอบหนีมาเที่ยวห้องพี่ข้าวอีกแล้วนะ พี่ฟ้าไม่อยู่ล่ะสิ” ฉันอุ้มเจ้าเหมียวขึ้นมา เจ้าออเดรย์เป็นแมวข
วันต่อมาณ ห้างสรรพสินค้า“เมื่อไหร่พี่ชายข้าวจะกลับอ่ะ...” ทอฝันเดินเอียงไหล่มากระแทกฉันเบาๆ ทำท่าบิดตัวเขินอายม้วนต้วนทันทีที่เอ่ยถึง ‘พี่ครินต์’ “อีก 6 เดือน” ฉันตอบกลับเรียบๆ แสร้งทำเป็นไม่สนใจอาการระริกระรี้ของเพื่อนสาว ทอฝันปลื้มพี่ชายฉันมาตั้งแต่พี่เขาเรียนหมอปี 1 จนตอนนี้พี่ครินต์อายุ 25 เข้าไปแล้ว ความคลั่งไคล้ของนางก็ยังไม่ลดลงเลย “แล้วพี่ครินต์มีแฟนหรือยังอ่ะ” ยัยตัวดีเอานิ้วมาจิ้มๆ ที่ต้นแขนฉัน ยืนบิดไปบิดมาไม่เลิก จะเขินอะไรเบอร์นั้นแม่คุณ “ไม่รู้สิ... น่าจะมีแล้วมั้ง ไม่ได้ถามเหมือนกัน” ฉันแกล้งตอบพลางลอบสังเกตสีหน้าเพื่อน พอได้ยินแบบนั้นหน้าตาที่ยิ้มแย้มเมื่อกี้ก็จ๋อยสนิททันตาเห็น ฉันต้องกัดริมฝีปากกลั้นขำแทบตาย “ล้อเล่นน่า! พี่ครินต์เรียนหนักจะตาย จะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟน อีกอย่างถ้าพี่ครินต์มีแฟน พี่ต้องบอกฉันก่อนอยู่แล้ว” ฉันรีบเฉลยเมื่อเห็นทอฝันทำหน้าเหมือนโลกจะแตก “พูดจริงนะ! งั้นฉันก็ยังมีโอกาสสิ!” ทอฝันตาโต หูผึ่งขึ้นมาทันที“...ยัยบ๊องเอ๊ย” ฉันย่นจมูกใส่เพื่อนก่อนจะออกเดินต่อ ทอฝันนี่อาการหนักจริง เคยบอกอยากเป็นหมอตามพี่ครินต์ แต่พอนางเห็นเลือดก็จะเป็นลม เลยต
“แล้วพ่อล่ะ... พ่อเหลือลูกแค่คนเดียวนะข้าว”“ข้าวรักพ่อนะคะ พ่อมาหาข้าวได้ตลอดถ้าพ่อคิดถึง แต่ให้ข้าวกลับไปอยู่กับพ่อ... ข้าวคงทำไม่ได้” ฉันตอบเสียงแผ่ว “ข้าวขอโทษจริงๆ ค่ะ”“โอเค พ่อเข้าใจ... เอาไว้ข้าวพร้อมจะกลับเมื่อไหร่ค่อยบอกพ่อนะ พ่อรอข้าวเสมอ”“พ่อรักข้าวนะลูก...” พ่อเดินเข้ามาใกล้ สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด“พ่อมันโง่เองที่ยอมปล่อยข้าวกับแม่ไปในวันนั้น” น้ำเสียงของพ่อสั่นเครือจนน่าใจหาย“เมื่อก่อนข้าวยอมรับว่าข้าวโกรธพ่อมาก แต่ตอนนี้ข้าวไม่ได้โกรธพ่อแล้วค่ะ... แต่ข้าวแค่ไม่อยากเจอหน้าผู้หญิงคนนั้น พ่อเข้าใจข้าวนะคะ”“พ่อเข้าใจ... พ่อจะรอ รอวันที่ข้าวโตพอที่จะกลับไปดูแลธุรกิจที่เป็นของข้าวเองนะลูก”สิ้นคำพูด พ่อก็ดึงฉันเข้าไปกอด... “พ่อรักข้าวนะ”“ข้าวก็รักพ่อค่ะ...” ฉันพูดเสียงเบาหวิว ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นกอดตอบท่านฉันกอดพ่อไว้แน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างสุดกลั้น อ้อมกอดของพ่อยังคงอุ่นเหมือนตอนที่ฉันยังเด็ก แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ความรู้สึกนี้ฉันจำได้ไม่เคยลืม มันคืออ้อมกอดที่ฉันโหยหามาตลอดหลายสิบปี“พ่อดูแลตัวเองด้วยนะคะ อย่าทำงานหนักจนลืมดูแลสุขภาพ” ฉันผละ







