“เป็นอะไรยัยค้าง มองหาอะไร” จินถามพลางชะเง้อคอมองตามฉันบ้าง
“สงสัยเหมือนกันวันนี้แกทำตัวแปลกๆ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
ฉันปฏิเสธทั้งที่รู้แก่ใจว่าตัวเองเป็นอะไร เอาจริงก็ไม่ได้อยากจะหนีผู้ชายคนนั้นหรอกแต่ฉันกลัวว่าเขาจะขู่เอาเงินแล้วทำให้เสียหน้า เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วค่อยปลีกตัวไปโทรหาเขาอีกทีก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้ๆ นี้ จ้องจะจัดการฉันได้ตลอดเวลา
“แล้วเรื่องวันนั้นเป็นไง เจ้าของรถโทรมายัง”
ยัยจินจับจุดอ่อนฉันได้อีกแล้ว เหมือนมันแอบอ่านใจฉันอยู่เลย แต่ก็ไม่แปลกหรอกที่มันจะสงสัยเพราะมันอยู่ในเหตุการณ์แล้วยังมาเห็นฉันทำตัวหวาดระแวงอยู่ด้วย
“อืม”
“แกว่ายังไง” ระรินถามบ้าง
“เขาจะเอาเงินจากฉันสองหมื่น” ฉันบอกพวกมันไปด้วยสายตาหมดหวังก่อนจะเม้มริมฝีปากตัวเองพูดต่อ “แต่ฉันไม่มีจะให้ ก็เลย หลบเขาอยู่”
“หา!”
“สองหมื่นเลยเหรอ”
ฉันพยักหน้าเป็นคำตอบ แค่ลองนับหลักตัวเลขในใจก็เหนื่อยและท้อเต็มทน ชีวิตนี้เคยจับก็แค่เงินหลักพันที่พอจะหามาเองได้ ค่าเทอมก็รับจากทุนการศึกษาทั้งนั้น สองหมื่นบ้าบออะไร จะเอาที่ไหนมาให้กัน
“แกก็เลยระแวงว่าเขาจะมาตามตัวนะเหรอ”
“อือ”
“เขาไม่เก่งขนาดนั้นหรอกมั้ง อย่างเก่งก็ไปตามหาที่บ้าน” ระรินออกความเห็น
“เขาโทรนัดให้เจอเช้านี้ที่คณะ แต่ฉันไม่รับสายเพราะกลัวเขาจะขู่เรื่องเงิน”
เอาเข้าจริงๆ ฉันก็รู้สึกผิดที่ไม่ยอมไปตามนัด เพราะบางที แต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิดก็ได้ ขอผ่อนผันอีกสักหน่อย อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่านี้ ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลัง โดนจ้องทำร้ายอยู่เลย
“ถ้านัดให้มาเจอคณะแปลว่าเขาต้องเป็นคนที่อยู่ในมหาลัยเราน่ะสิ” จินขมวดคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิด
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“เพราะแบบนี้ไงฉันถึงระแวง”
“แล้วพอแกไม่ตอบไม่รับสายเขาว่ายังไงบ้าง”
“ส่งข้อความมาขู่ นี่ไง”
ฉันหยิบเอาโทรศัพท์มาเปิดข้อความที่เพิ่งได้รับจากอีกฝ่ายส่งไปให้เพื่อนทั้งสองคนดูพวกมันทำตาโต ก่อนจะพึมพำ เหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“แจ้งความดีไหม แบบนี้ดูอันตรายนะ น่ากลัวมาก ถ้าเกิดเขา ไม่พอใจแล้วดักทำร้ายแกจะทำยังไง” ยัยจีนออกความเห็น
“ไม่หรอก ฉันว่าจะติดต่อเขาไป เพราะว่ายังไงฉันก็เป็นฝ่ายผิดที่ทำให้เขาเสียหายแบบนั้น”
“แล้วแกจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายเขาล่ะน้ำค้าง” ระรินถาม สีหน้าของพวกมันดูกังวลคงเพราะว่าเป็นห่วงฉันนั้นแหละ
“ว่าจะขอผ่อน แต่ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า เพราะเท่าที่คุยกัน ครั้งนั้นเขาดูเป็นคนไม่ค่อยยอมใครเท่าไร”
“แล้วแกจะพอใช้หรอ งานก็ได้ทำแค่สามวันเอง หรือจะขอเจ้าของร้านเขา เพิ่มวันทำงานให้ เพราะแกจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ”
“อืม คิดว่าอย่างนั้น”
ตอนนี้มันก็มีอยู่แค่ทางเลือกเดียวเท่านั้นนั่นคือฉันต้องไปขอผู้จัดการร้านที่ทำงานอยู่ตอนนี้ เพิ่มวันทำงานให้ฉันเต็มทั้งอาทิตย์ เพราะปกติจะทำแค่อาทิตย์ละสามถึงสี่วันเท่านั้น
หลังจากทานข้าวกับพวกมันเสร็จ ฉันก็ปลีกตัวออกมาแล้วกลับหอ ทำใจอยู่นาน ว่าจะโทรหาผู้ชายคนนั้นแล้วเริ่มพูดจาก ตรงไหนดี เพราะเมื่อเช้าฉันดันนี่แหละผิดนัดกับเขา ทำใจไว้แล้วว่าเขาจะต้องไม่พอใจแน่ๆ เหมือนกับที่ส่งข้อความมาข่มขู่ อารมณ์ของเขาตอนนั้น คงเดือดเป็นน้ำร้อนเลย
(…)
รอสายเพียง ไม่กี่วินาที คนปลายสายก็กดรับแต่กลับไม่พูดอะไรเลย จนฉันต้อง เลื่อนมือถือ มาดูอีกรอบ ว่ามีอะไรผิดพลาดอยู่หรือเปล่า แต่ก็เห็นว่าเขากดรับและมีเวลาขึ้นบนหน้าจอจริงๆ
“สวัสดีค่ะ”
(เมื่อเช้าเธอหนีนัดทำไม)
“ไม่ได้หนี ฉันแค่มีเรียน เลยไม่ทันไปตามนัด”
(...)
ผู้ชายคนนั้น หัวเราะในลำคอเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด น่าแปลก ที่ฉันคิดว่าเขาจะโวยวายมากกว่านี้แต่เขากลับเงียบ จนฉันเดาไม่ถูกว่าตอนนี้เขากำลังคิดยังไงอยู่
“ฉันไม่สะดวก จะนัดเจอ เราเพิ่มเพื่อนกันได้ไหม ส่วนเรื่องเงินฉันบอกคุณแล้วว่า ถ้าให้จ่าย ทั้งสองหมื่นทีเดียวฉันไม่มีปัญญาแน่ จะขอผ่อนเอาแล้วกัน”
(งั้นก็หามาจ่าย แล้วฉันจะคืนบัตรให้)
“ค่ะ คุณเพิ่มเพื่อนมาหน่อย เบอร์นี้”
(อืม)
ง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะ แต่ก็โชคดีแล้วที่ ไม่ได้เจอหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าถ้าเผชิญหน้าเขาจะเป็นอย่างตอนนี้หรือเปล่า หรือบางทีเขาอาจจะเหนื่อยใจที่ต้องมาทวงเงินกับฉัน เท่าที่ดูเขาคงรวยมากไม่อย่างนั้นคงไม่ขับรถบิ๊กไบก์ราคาแพงๆ แบบนั้นแน่
หลังจากวางสายด้วยความรู้สึกโล่งใจ ฉันก็กระโดดลงเตียงนอนเอาเรี่ยวแรง เพราะคืนนี้ต้องไปทำงานที่ร้าน กว่าจะได้นอนก็คงตีหนึ่งตีสอง อย่างทุกที แล้วเย็นนี้รุ่นพี่ก็ยังนัดไปคุยเรื่องชมรมอีก
ครืด~
F เพิ่มคุณเป็นเพื่อนแล้ว
-----------------
อย่าลืมกดหัวใจ กดติดตาม และเพิ่มเข้าชั้นด้วยน้า
ตอนที่ 3 หนีไม่พ้นฉันกลับเข้ามาในคณะตอนห้าโมงเย็น เอาเสื้อผ้าที่จะต้องใส่ทำงานติดตัวมาด้วย เพราะปกติแล้วฉันต้องเข้างานเวลานี้พอดี แต่วันนี้รุ่นพี่ในคณะ นัดประชุมจึงต้องขอผู้จัดการ เข้างานช้ากว่าปกติสองชั่วโมง แน่นอนว่าต้องโดนหักค่าจ้างรายชั่วโมงไปตามระเบียบ“น้ำค้าง”หลังจากเลิกประชุมเวลาหกโมงกว่า ฉันที่กำลังจะออกจากห้องประชุมก็ถูกรุ่นพี่เรียกเอาไว้ เป็นพี่พีประธานชมรมของพวกเรานั่นแหละ ที่ยัยเพื่อนสองคนนั้นเคยเล่าว่าไม่ค่อยถูกกันกับนายกสโมสรมหาลัย“พี่ฝากเอานี่ไปส่งที่ห้องสโมกลางหน่อย”“ได้ค่ะพี่พี”“แกไปได้ไหม ถ้าไม่ทันเดี๋ยวพวกฉันเอาไป” ระรินอาสาแต่กลับโดนจินหัวเราะใส่เบาๆ ว่า“มันเป็นแผน แกจะไปดูผู้ชายฉันรู้”“รู้ทันอีก แปลว่าแกก็คิด”“ให้น้ำค้างไปนั่นแหละ แกต้องไปส่งฉันซื้อของ ลืมเหรอ”“ฉันแค่กลัวว่ามันจะรีบไปทำงาน” ระรินเอ่ยแล้วหันมาถามฉันที่กำลังมองพวกมันเถียงกันอยู่“ทันไหม” พี่พีถามบ้างหลังจากที่มองพวกเราคุยกันอยู่“ทันค่ะ เดี๋ยวฉันเอาไปก็ได้เพราะต้องไปรอรถแถวนั้นอยู่แล้ว”ฉันรับปากแล้วรีบเอาซองเอกสารสีน้ำตาลมาถือไว้ในมือตัวเอง ก่อนจะบอกลาเพื่อนและรุ่นพี่ กลัวว่าจะไปไม่ทันเวล
ฉันเรียกรถออกมาจากมหาลัยตรงไปยังร้านที่ทำงานอยู่ ที่นี่เป็นร้านเหล้าแบบนั่งดื่ม บรรยากาศค่อนข้างดีเลยทีเดียว เป็นร้านที่ไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กมาก ผู้จัดการร้านชื่อว่าพี่สา แกเป็นคนใจดีมากกับพนักงานทุกคน แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะใช้ความใจดีของแกเอาเปรียบอะไรหรอก วันนี้มันจำเป็นจริงๆ ที่ต้องเข้าร่วมกิจกรรมของคณะแกก็เข้าใจดี“สวัสดีค่ะพี่สา ขอโทษที่มาช้านะคะพอดีติดทำธุระให้รุ่นพี่ชมรม”“ไม่เป็นไรจ๊ะ ลูกค้าเพิ่งทยอยเข้าร้าน ค้างไปดูเลย”ฉันโค้งศีรษะให้เพื่อรับคำสั่ง เดินไปเปลี่ยนชุดที่เป็นเดรสรัดรูปสีดำซึ่งเป็นยูนิฟอร์มของร้าน แต่ละวันจะใส่ไม่เหมือนกัน หรือบางวันที่เป็นวันพิเศษของร้านก็จะมีแจ้งให้พนักงานเตรียมชุดนอกเหนือจากที่ร้านมีให้ในแต่ละวันจะมีพนักงานหญิงและชายบริการลูกค้าอยู่ราวๆ สิบคน ถ้าเป็นวันศุกร์และเสาร์จะเรียกให้มาสิบห้าคน หรือถ้าวันไหนที่ร้านมีกิจกรรมพิเศษพนักงานของร้านก็อาจจะต้องมาทุกคนเลย ส่วนใหญ่พนักงานของร้านก็เป็นนักศึกษาเหมือนกับฉัน แต่มีคนที่อายุน้อยสุดเท่ากับฉันแค่คนเดียวนั่นคือหมวย“ค้าง มาแล้วเหรอ”หมวยเรียนอยู่คณะเกษตรศาสตร์ มหาลัยเดียวกัน เป็นคนที่ฉันสนิทที่สุดในหมู่พน
ตอนที่ 4 ข้อเสนอฉันอยากเปลี่ยนให้หมวยไปบริการโต๊ะนั้นแทน แต่ติดที่ยัยนั่นก็วุ่นวายอยู่กับโต๊ะอื่น สุดท้ายก็ต้องหอบเอาเครื่องดื่มไปเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกรุ่นพี่ไปอย่างจำใจที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้ แต่เพราะว่าเราเจอกันด้วยเรื่องไม่ดี ฉันถึงรู้สึกว่าเขาคงไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่ เลยไม่อยากเข้าใกล้ ไหนจะมีเรื่องที่ฉันเบี้ยวนัดคุยเมื่อเช้าอีก พี่ฟิวส์คนนั้นคงอยากกระทืบฉันเต็มทน ติดที่ฉันเป็นผู้หญิงนี่ล่ะ“บิลค่ะ” ฉันยืนกระดาษแผ่นหนึ่งไปให้พี่คณะของตัวเองที่ชื่อว่า ไมเนอร์ ถึงแม้จะไม่สนิทแต่เขาก็เป็นคนที่เห็นหน้าบ่อยที่สุดในกลุ่มนี้“ใครจ่ายก่อน กูจะโอนให้”“ไม่ต้องจ่าย”ทุกคนหันไปมองคนพูดรวมถึงฉัน แต่เขากลับทำหน้านิ่งตึงแล้วมองฉันตอบ ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเอ่ยปากแซว“ท่านนายกจะเลี้ยงเหรอครับ”“อืม กูเลี้ยง แต่เก็บกับน้องเขาเลย” พี่ฟิวส์พูดแล้วยิ้มร้าย เอื้อมมือไปเปิดขวดเครื่องดื่มของตัวเองมารินลงแก้วแล้วชง“ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมาเดือดร้อนคนอื่นนะคะ เงินนั่นหนูจ่ายแน่แต่ไม่ใช่ตอนนี้” ฉันบอกเสียงเรียบ รุ่นพี่แล้วยังไง นายกสโมสรนักศึกษาแล้วยังไง ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็ต้องเจอกันสักตั้ง!“คิดจะยื
“ก็ดี” พูดสองคำแล้วก็ปรายตามามองฉัน “จะได้ไม่หนี แล้วรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำ”“...ค่ะ ไม่หนีหรอก” ฉันกระแทกเรียกใส่อย่างไม่สบอารมณ์ คนบ้าอะไรพร้อมจะหาเรื่องกันตลอดเวลาทั้งทางคำพูดและทางสายตา “พรุ่งนี้หนูจะไปช่วยงานสโม เงินนั่นก็จะจ่ายไม่ต้องห่วง จะได้มั่นใจว่าหนูไม่หนี”“เยี่ยมเลย พรุ่งนี้ถ้าว่างเข้าไปหาพวกพี่ที่สโมฯ” พี่ไมเนอร์เอ่ยแล้วยิ้มหวาน อย่างน้อยก็มีเขานี่แหละที่ใจดีกับน้องคณะอย่างฉันอยู่ “เงินนั่นก็ไม่ต้องจ่ายหรอก ถ้าช่วยงานพี่เดี๋ยวพี่เคลียให้ ถือว่าเป็นน้องคณะคนหนึ่ง”“แต่อย่าใช้งานหนักนะคะ เพราะหนูต้องทำงานพิเศษหลายอย่าง”“ขี้เกียจมากกว่ามั้ง”“…!!” ฉันถลึงตาใส่อีกฝ่าย โชคดีที่มีลุกค้าอีกโต๊ะเรียกไว้ไม่อย่างนั้นสงครามคงไม่จบง่ายๆ แน่ฉันพยายามหลีกเลี่ยงโต๊ะนั้นจนกระทั่งถึงเวลาร้านปิด เรื่องที่จะเข้าไปคุยกับพี่สาจึงถูกพับไว้เพราะมีงานใหม่เข้ามา หวังว่าพี่ไมเนอร์จะไม่หลอกให้ฉันไปทำงานฟรี ถ้าเป็นอย่างที่เขาว่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องเหนื่อยทำงานกลางคืนทุกวันแล้วต้องเสียการเรียนไปด้วยวันต่อมา“แกว่าไงนะ!”“ทำไมแกต้องตกใจขนาดนั้น”พอเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนสนิทสองคนฟังพวกมันก็ตกใ
ตอนที่ 5หลังจากที่เดินตามพี่ฟิวส์เข้ามาในห้อง ฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตัวเองไม่ได้นัดกับพี่ฟิวส์แต่นัดกับพี่ไมเนอร์ต่างหาก แล้วทำไมฉันถึงตามเขาเข้ามาด้วยเล่า“พี่ไมเนอร์ล่ะคะ”“...”“แล้วเขาจะเข้ามาตอนไหน”“...”เขาเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูด ทั้งๆ ที่ฉันคิดว่าเสียงที่เปล่งออกไปนั้นมันไม่ได้เบาเลยสักนิดเดียว เขาหอบเอกสารกองใหญ่ขึ้นมาวางตรงกลางโต๊ะแล้วหันมาทางฉันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งขี้เก๊ก!“เอางานนี้ไปทำ”“...” ฉันเลิกคิ้ว มองคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยปาก ถาม “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าพี่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ก็หนูรับปากกับพี่ไมเนอร์ว่าจะทำงานให้เขา ไม่ได้ทำงานให้พี่”“แล้วเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า เธอติดหนี้ฉันไม่ได้ติดนี่ไอ้ไมเนอร์”“ก็หนูจะทำงานให้เขา แล้วพี่เขาจะจ่ายเงิน เพื่อใช้หนี้พี่ไง”“หึ” เขาหัวเราะในลำคอ เหมือนเรื่องที่ฉันพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องตลกขำอะไรไม่ทราบ!ฉันได้แต่คิดในใจแบบนั้นแต่ไม่กล้าพูดออกไป เพราะขืนพูด คงมีเรื่องแน่ คนอย่างพี่ฟิวส์พร้อมที่จะมีเรื่องกับฉันได้ทุกเวลาอยู่แล้ว“งั้นหนูไปตามหาพี่ไมเนอร์ที่ชมรมก็ได้ค่ะไม่รบกวนแล้ว” พูดจบ ฉันหันหลังทำท่าจ
ฉันสะบัดหน้ากลับมา แต่ตั้งใจทำงานของตัวเองไม่เท่าไหร่เสียงประตูก็ดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้เป็นยัยรุ่นพี่ที่เพิ่งเจอกันก่อนหน้านี้ พอเห็นฉันหน้าเธอก็แสดงออกเลยว่าไม่ชอบ“ฟิวส์ ยัยนุ่นจะเข้ามาตอนนี้อยู่หลังมอ เราจะสั่งข้าวฟิวส์เอาอะไรไหม”“ไม่ ยังไม่หิว” พี่ฟิวส์ตอบแค่นั้นฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาทำหน้ายังไงเพราะแกล้งดูเอกสารอยู่เดียวยัยรุ่นพี่นั่นหาว่าสนใจ“ให้น้องมันทำงานอะไรเหรอ ให้เมย์ทำก็ได้นะ” เธอไม่พูดเปล่าแต่ก้าวเท้าเข้ามายืนอยู่ข้างกายจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง“ไปทำงานของเธอเถอะ เด็กมันต้องทำงานให้ฉันอยู่แล้ว” พี่ฟิวส์หันมามองรุ่นพี่ที่ชื่อเมย์แล้วบอกเสียงเรียบไม่รู้ว่าเป็นนิสัย หรือเขาพยายามวางตัวในฐานะนายกสโมสรนักศึกษากันแน่ เวลาพูดฉันถึงได้รู้สึกได้ว่าเขาทำสีหน้าและน้ำเสียงนิ่งตลอด ยกเว้นคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่เจอมาเมื่อคืนจะอีกแบบ“วันนี้เราไม่มีงานอะไรเลย เดี๋ยวช่วย…”“ไม่ต้องช่วย ฉันลงโทษเด็กมันอยู่” พี่ฟิวส์บอกแค่นั้นแล้วก็ไม่สนใจอีก เป็นอันว่าคุณพี่เมย์ไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ต่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันรู้สึกสะใจเหลือเกินปกติไม่เคยมีความคิดด้านลบแบบนี้หรอกนะ แต่ยัยรุ่นพี่คนนี้ฉันรู้สึกได้
ตอนที่ 6สองวันต่อมาวันนี้เป็นอีกวันที่ฉันต้องเข้ามาช่วยงานสโมสรนักศึกษา ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง แต่ฉันก็เข้ามานั่งรอพี่ฟิวส์ในห้อง ตามคำสั่งของเขา เพราะเพิ่งทักไปถามเมื่อกลางวันที่ผ่านมาเมื่อเห็นว่าคนสั่งงานยังไม่เข้ามา แล้วรู้สึกเบื่อไม่รู้จะทำอะไรฉันจึงเดินสำรวจห้องสโมสรนักศึกษาดูสักหน่อย เพราะมุมหนึ่งเป็นชั้นวางหนังสือและแฟ้มเอกสาร มีหนังสือทำเนียบนายกสโมสรฯ และประธานชมรมต่างๆ ตั้งแต่หลายสิบปีก่อนจนถึงปัจจุบันวางเรียงกันหลายชั้นลองหาดูแล้วยังไม่เห็นข้อมูลของพี่ฟิวส์ คงเป็นเพราะหนังสือพวกนี้ทำตอนที่จะหมดวาระแล้วแน่ๆ น่าเสียดายว่าจะสืบประวัติสักหน่อย“ไม่กลัวไอ้ฟิวส์มาเห็นเหรอ”“ฟิวส์เรียนอยู่ ไม่เห็นหรอก”เสียงชายหญิงคู่หนึ่งทำเอาฉันตกใจจนต้องรีบหลบเข้าอีกฝั่งของชั้นวางแฟ้มเอกสาร บทสนทนาของทั้งคู่เรียกให้ต่อมความอยากรู้ของฉันทำงานจนต้องแอบมองลอดผ่านช่องว่างเล็กๆพี่ไมเนอร์กับพี่เมย์“เธอนี่ร้ายใช่เล่น”“ก็พอๆ กับนายนั่นแหละไมเนอร์”“หึ”มากไปกว่าบทสนทนาที่ชวนสงสัยนั้น ภาพที่ฉันเห็นคือสองคนนั้นกำลังนัวเนียกันทั้งที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา กระดุมเสื้อสองเม็ดด้านบนของฝ่ายห
เขาไม่พูดอะไรสักคำ ขยับถอยหลังมายืนชิดกับตัวฉัน จนหน้าของฉันอยู่ห่างกับแผงอกของเขาไม่ถึงคืบ กลิ่นน้ำหอมราคาแพงที่เริ่มจางจากตัวเขาลอยเข้ามาในจมูก มันเป็นกลิ่นที่หอมมากอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน คงเป็นเพราะราคาของมันแพงล่ะมั้งถึงได้หอมขนาดนี้ฉันยกแขนขึ้นมาตั้งฉากกั้นไว้ตรงหน้าอกเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งบางอยากที่มันยื่นออกไปจนชิดกับตัวเขา พาลทำให้รู้สึกน่าอายอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาเคยใกล้กับผู้ชายขนาดนี้ก็คงมีแค่น้ำหนาวน้องชายแท้ๆ ของตัวเองเท่านั้น“เอ่อ…” ฉันกำลังจะขยับตัวออกห่างแต่กลับถูกเขารั้งเอาไว้ด้วยการตวัดแขนมาเกี่ยวเอวเอาไว้ แล้วส่งสายตาดุๆ มาให้ ก่อนจะหันกลับไปแอบมองสองคนนั้นที่กำลังเดินออกมา ยืนอยู่มุมนี้สองคนนั้นคงไม่เห็นเราสองคนเพราะมันเป็นมุมที่ค่อนข้างมืดมาก“โทษที วันนี้ฉันรีบ” เสียงของพี่ไมเนอร์ดังขึ้น นั่นทำให้ฉันต้องกลับไปสนใจที่เหตุการณ์ด้านนอกอีกครั้ง“วันหลังก็หัดเตรียมตัวมาหน่อย มันเสียอารมณ์”“หึ อยากขนาดนั้น ไปหาที่ห้องฉันก็ได้นะ” ฝ่ายชายหัวเราะ ก่อนที่ฉันจะเห็นเขาเอื้อมมือไปบีบขย้ำที่หน้าอกของพี่เมย์โดยไม่กลัวว่าใครจะเปิดประตูมาเห็นฉันรีบเบือนหน้าหนีด้วยความรู
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง
ฉันนั่งทานข้าวท่ามกลางคำแซวและสายตาหลายคู่ที่มองมา เล่นเอาทำตัวไม่ถูกกินข้าวแทบไม่ลง แต่พี่ฟิวส์ซื้อข้าวมาทีหลังทานเกลี้ยงหมดจานไปแล้ว เจริญอาหารจนอยากจะเอาเล็บข่วนหน้าด้วยความหมั่นไส้“เลิกเรียนกี่โมงกัน” เขาที่ทานข้าวเสร็จกอดอกถามพวกเรา ที่ใช้คำว่าพวกเราเพราะเขาไม่ได้เอ่ยชื่อแล้วกวาดสายตามองจนครบ เหมือนจะรู้ตัวนะว่าถามฉันก็ไม่บอกหรอก“บ่ายสามค่ะพี่ฟิวส์” ยัยจินตอบ อยากจะหยิกแขนแรง ๆ ตอนทะเลาะกับพี่ฟิวส์ล่ะไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้ เห็นความหล่อไม่ได้เลยพวกเพื่อนทรยศ“โอเค เดี๋ยวมารับนะ” ประโยคแรกพูดกับเพื่อนประโยคหลังหันมาบอกฉัน“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับค่ะ”“ตุ๊กตาตัวนั้นไม่ทำให้เราใจอ่อนเลยเหรอ” คำถามนี้พี่ไมเนอร์เป็นคนถามแทนเพราะพี่ฟิวส์นั่งเงียบเหมือนคนกำลังน้อยใจฉันอย่างหนัก“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับเพราะไม่อยากทิ้งรถไว้มหาลัยค่ะ เมื่อคืนพี่ฟิวส์ก็ไปส่งแล้ว จอดทิ้งไว้ส่งสารมัน”“สงสารรถแต่ไม่สงสารกูเลย” พี่ฟิวส์กันไปคุยกับเพื่อนตัวเองอย่างกับพวกขี้ฟ้อง“ถ้าอยากไปรับไปส่งก็ตั้งแต่พรุ่งนี้แล้วกัน อย่ามาบ่นทีหลังให้ได้ยิน” ฉันพูดออกไปแล้วทุกคนก็พากันยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ราวกับจะสื่อว่า
ตอนที่ 22 รุมทำร้ายวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าเป็นตอนมัธยมคงได้เห็นคนถือดอกกุหลาบหรือตุ๊กตาตัวโตเดินกันว่อนโรงเรียน แต่พอขึ้นมหาลัยภาพเหล่านั้นก็ไม่มีให้เห็นมากนัก คนที่ถือช่อดอกกุหลาบก็มีอยู่บ้างกลายเป็นที่สนใจของคนที่เดินผ่านไปมาด้วย“อิจฉาคนมีความรักหวะ” ยัยจินแกล้งแซวระรินที่ถือช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือตอนนี้เรากำลังจะไปทานข้าวที่โรงอาหารของคณะฯ ยัยระรินเพิ่งได้ช่อดอกนี้จากพี่ไมเนอร์เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี้เอง เลยกลายเป็นที่จดจ้องของใครหลายคนถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างดี แต่เพราะกิตติศัพท์ของพี่ไมเนอร์ไม่ใช่เรื่องที่ดี คนเลยแอบซุบซิบนินทากันใหญ่มีแต่คนพูดว่ายัยระรินจะโดนหลอก เดี๋ยวก็โดนทิ้งบ้างล่ะ“น้ำค้าง!” เสียงเข้มของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เราทั้งสามคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงพอเห็นว่าเป็นพี่พีถือดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่งมาเราถึงกับหันมามองหน้ากันหมด“มีอะไรเหรอคะ”“มีคนฝากมาให้” พี่พียื่นดอกกุหลาบมาให้พร้อมกับรอยยิ้ม“ใครคะ” ฉันถามด้วยความสงสัยแต่ก็ยื่นมือไปรับเอาไว้“มันไม่ให้บอก แต่ฝากบอกว่าแอบชอบอยู่” หนุ่มรุ่นพี่ยิ้มกวน ๆ “จะไปไหนกัน”“ไปกิ
พี่ฟิวส์!เขาอยู่ในชุดเสื้อช็อปที่เห็นประจำ แต่งตัวเหมือนไปเรียนแต่เดินหน้าตึงมาอยู่หน้าโรงงานที่ฉันกำลังยืนขายขนม“พี่ฟิวส์บอกให้มาส่ง”ไปรู้จักชื่อตอนไหน!?ฉันมองหน้าน้องชายตัวเองแล้วเบือนหน้าไปมองพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้ยืนยิ้มอยู่ข้างน้ำหนาว ก่อนจะยกมือไหว้ยายที่กำลังมองอย่างสงสัย“ใครล่ะค้าง”“คนรู้จักค่ะ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย” ฉันตอบแล้วหันไปมองพี่ฟิวส์ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ขยับมายืนอยู่ใกล้ ๆ“ขายดีจังครับ” เขาแกล้งคุยกับยายมองผ่านความบึ้งตึงของฉันไป “ที่เหลือขอเหมาได้ไหม ผมยังไม่ได้ทานข้าวมาเลย”“จะมาทำไมก็ไม่รู้” ฉันบ่นแล้วถลึงตาใส่พี่ฟิวส์แต่เขาไม่แม้แต่จะสำนึกผิด“เดี๋ยวกลับไปกินข้าวที่บ้านดีกว่าลูก” ยายพูดด้วยรอยยิ้มแล้วหยิบขนมสามชิ้นที่เหลือใส่ถุงให้ลูกค้าคนสุดท้าย จนไม่เหลือเลยสักชิ้นสมน้ำหน้าพี่ฟิวส์มองตาละห้อย“น้ำค้างทำแกงจืดไว้เมื่อเช้าเยอะแยะ พาพี่เขาไปกินข้าวไป”ยายคงเดาออกว่าพี่ฟิวส์ไม่ใช่แค่รุ่นพี่อย่างที่บอก แต่ยายมองไม่ออกเลยเหรอว่าฉันเกลียดขี้หน้าพี่ฟิวส์อยู่ ทำไมต้องทำการต้อนรับเขาขนาดนั้น“ขอบคุณครับ เดี๋ยวไปส่งน้องไปโรงเรียนก่อนแล้วผมกลับมาอาศัยข้าวเช้าสักมื้อนะค