ตอนที่ 3 หนีไม่พ้น
ฉันกลับเข้ามาในคณะตอนห้าโมงเย็น เอาเสื้อผ้าที่จะต้องใส่ทำงานติดตัวมาด้วย เพราะปกติแล้วฉันต้องเข้างานเวลานี้พอดี แต่วันนี้รุ่นพี่ในคณะ นัดประชุมจึงต้องขอผู้จัดการ เข้างานช้ากว่าปกติสองชั่วโมง แน่นอนว่าต้องโดนหักค่าจ้างรายชั่วโมงไปตามระเบียบ
“น้ำค้าง”
หลังจากเลิกประชุมเวลาหกโมงกว่า ฉันที่กำลังจะออกจากห้องประชุมก็ถูกรุ่นพี่เรียกเอาไว้ เป็นพี่พีประธานชมรมของพวกเรานั่นแหละ ที่ยัยเพื่อนสองคนนั้นเคยเล่าว่าไม่ค่อยถูกกันกับนายกสโมสรมหาลัย
“พี่ฝากเอานี่ไปส่งที่ห้องสโมกลางหน่อย”
“ได้ค่ะพี่พี”
“แกไปได้ไหม ถ้าไม่ทันเดี๋ยวพวกฉันเอาไป” ระรินอาสาแต่กลับโดนจินหัวเราะใส่เบาๆ ว่า
“มันเป็นแผน แกจะไปดูผู้ชายฉันรู้”
“รู้ทันอีก แปลว่าแกก็คิด”
“ให้น้ำค้างไปนั่นแหละ แกต้องไปส่งฉันซื้อของ ลืมเหรอ”
“ฉันแค่กลัวว่ามันจะรีบไปทำงาน” ระรินเอ่ยแล้วหันมาถามฉันที่กำลังมองพวกมันเถียงกันอยู่
“ทันไหม” พี่พีถามบ้างหลังจากที่มองพวกเราคุยกันอยู่
“ทันค่ะ เดี๋ยวฉันเอาไปก็ได้เพราะต้องไปรอรถแถวนั้นอยู่แล้ว”
ฉันรับปากแล้วรีบเอาซองเอกสารสีน้ำตาลมาถือไว้ในมือตัวเอง ก่อนจะบอกลาเพื่อนและรุ่นพี่ กลัวว่าจะไปไม่ทันเวลาแล้วโดนหักค่าจ้างเยอะกว่านี้
โชคดีที่อาคารของสโมสรนักศึกษาไม่ได้อยู่ห่างจากคณะของเรามากนัก อยู่ถัดออกไปอีกประมาณสองตึกฉันจึงคิดว่าเดินไปถึงตึกของสโมสรแล้วค่อยเรียกรถออกไปที่ร้าน ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากมหาวิทยาลัยไปถึงร้านประมาณยี่สิบนาทีเผื่อรถติดก็คงเป็นเวลา หนึ่ง ทุ่มพอดี
“เอาเอกสารมาให้นายกสโมค่ะ ต้องเอาไปตรงไหน” ฉันถามผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ด้วยกันสี่คน หนึ่งในนั้นรู้สึกหน้าคุ้นอย่างบอกไม่ถูกแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเขาที่ไหน ก่อนจะเหลือบไปเห็นรุ่นพี่คณะคนหนึ่งที่พอจะรู้จักชื่อ แต่ไม่เคยคุยกันสักคำ เพราะเขาเป็นพี่ปีสี่ที่ไม่ค่อยจะสนิทกับปีหนึ่งอย่างพวกเราเท่าไหร่
ส่วนมากก็เห็นตามป้ายโปรโมท หรือไม่ก็เป็น รูปในเพจของมหาวิทยาลัย เพราะถ้าเขาอยู่ตรงนี้ก็คงไม่พ้นเป็นพวกกรรมการนักศึกษา
“เอาฝาก…”
“เข้าไปห้องนั้นเลยครับน้อง นายกอยู่ห้องนั้น”
ผู้ชายคนหนึ่งพูดไม่ทันจบก็ถูกคนที่ฉันคุ้นหน้านั้นขัดจังหวะและตบแขนข้างหนึ่งของเพื่อนที่ยื่นมารับเอกสารจากฉัน ไม่ใช่แค่ฉันที่แปลกใจแต่เพื่อนเขาก็ยังเลิกคิ้วสงสัยด้วย
“อะไรของมึงไอ้...”
“เอาไปให้เลย ในห้องนั้น” เขาไม่ตอบเพื่อน ที่กำลังสงสัยแต่หันมาบอกฉัน ที่ยืน นิ่งอยู่ที่เดิม
“ค่ะ”
ฉันเดินไปยังห้องที่รุ่นพี่คนนั้นบอก พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าห้องนี้ถูกจัดให้เป็นห้องทำงานที่มีโต๊ะทำงานอยู่สี่โต๊ะ โต๊ะที่อยู่ตรงกลางนั้นใหญ่สุดและมีเอกสารหลายอย่างวางอยู่เยอะไปหมด แต่กลับไม่เห็นใครอยู่ในนี้เลยสักคน ก็ยังดีที่มีป้ายติดเอาไว้ว่านั่นน่ะ ที่นั่งของ 'นายกสโมสรนักศึกษา'
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูดังขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ฉันกำลังวางเอกสารลงบนโต๊ะ เล่นเอาตกใจจนต้องรีบหันไปมอง ก่อนที่จะสบสายตากับใครคนนั้นแล้ววินาทีต่อมาหัวใจมันก็เริ่มเต้นแรงขึ้น แถมยังหนักหน่วงจนน่ากลัว และนั่นก็มีสาเหตุมาจากดวงตาคมกริบคู่นั้นที่กำลังมองมา
สายตาแบบนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนแต่คิดไม่ออก
พี่ฟิวส์ นายกสโมฯ ที่พวกนั้นพากันตื่นเต้นตกใจเมื่อเช้า ตอนนี้กำลังอยู่ตรงหน้าฉันแถมยังยืนมองฉันด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา แต่มันไม่ใช่ในทางที่ดีแน่ ไม่รู้เขาหงุดหงิดมาจากที่อื่นหรืออย่างไร
“เอาเอกสารของพี่พีมาส่งค่ะ วางบนโต๊ะ”
พูดจบฉันก็ยกมือขึ้นไหว้โดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเดินเลี่ยงและหลบสายตาของเขาออกมาจนเกือบจะถึงประตูก็ถูกเรียกไว้อีกรอบ เสียงนั้นมันมีอิทธิพลจนทำให้ฉันรู้สึกเย็นวาบจนต้องรีบหันไปมอง
“เดี๋ยวก่อน”
“คะ”
“…เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เขาพูดแบบนั้นแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะยกแขนขึ้นมากอดอก
“เรื่องอะไรคะ” ฉันยังไม่หายจากความตกใจหรือเพราะสายตาคู่นั้นมันทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นแรงอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้ เสียงที่เปล่งออกมามันเลยฟังดูไม่ปกตินัก
“เรื่องรถ”
“รถ!?”
วินาทีที่ได้ยินคำนั้นสมองของฉันมันก็ตีกันวุ่นวาย เหตุการณ์ทุกอย่างหลั่งไหลมากองรวมกันจนดูยุ่งเหยิงและเกือบคิดอะไรไม่ออก แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ตกตะกอนเป็นข้อสรุปได้ว่า ผู้ชายที่มีเรื่องกับฉันคืนนั้นคือเขา!
“พี่เองเหรอ…คะ” ฉันตกใจจนแทบจะลืมหางเสียงต่อท้าย ลอบกลืนน้ำลายลงคอแต่นั่นก็คงอยู่ในสายตาของคนตรงหน้าทั้งหมด
“เธอหนีทำไม”
“…หนูไม่มีเงินจ่าย”
“ฉันบอกแล้วว่ามีหรือไม่มีก็ต้องมาคุยกัน แต่เธอไม่ยอมรับสาย แล้วหนีแบบนี้ มันทุเรศ” เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่รู้สึกได้ว่ามันแฝงไปด้วยความโมโห
“ขอโทษค่ะ” มันก็เป็นคำพูดเดียวที่ควรพูด “แต่หนูก็ติดต่อไปแล้ว พี่จะเอายังไงอีก”
“...” เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มนั้นออกมา “คนอะไร ไร้สำนึก”
“หนูรีบไปทำงาน ขอตัวค่ะ”
“เอะอะก็หนี เธอชอบหนีปัญหาหรือไงวะ”
“ก็บอกว่ารีบไปทำงาน!”
ให้ตายเถอะ ปกติฉันไม่ใช่คนก้าวร้าวแบบนี้แต่เจอเขาไม่กี่นาทีฉันพูดประโยคที่ไม่น่ารักไปแล้วหลายคำ ก็ใครบอกให้มาพูดไม่ดีก่อน
“เธอหนี แล้วก็จะหนีหนี้ที่ต้องจ่ายฉันไปเรื่อยๆ”
“ก็บอกแล้วไงว่าหนูจะจ่าย ทำไมพี่พูดไม่รู้เรื่อง”
“จะเอาอะไรมารับประกันว่าเธอจะจ่ายจริง”
“บัตรหนูไง”
“...” เขาเป็นมนุษย์ที่ยั่วโมโหได้เก่งมาก เกลียดตอนที่ยิ้มแล้วหัวเราะในลำคอเหมือนพวกมาเฟียในหนัง ตอนนี้แค่เห็นหน้าเขาอารมณ์ของฉันมันก็พุ่งปรี๊ดจนต้องเบือนหน้าไปมองทางอื่นแทน “บัตรนักศึกษามันไปทำใหม่ได้ เธอคงรู้อยู่แล้วนะ”
“…” ฉันเงียบ เพราะว่าเขาดันมารู้ความคิดที่เคยผุดขึ้นมาในหัวเมื่อเช้า “ค่ะ ก็รู้”
“แต่เธอจะทำไม่ได้ จนกว่าจะเอาเงินมาใช้ฉันจนหมด”
“ค่ะ จะรีบหามาใช้”
“งวดแรกเมื่อไหร่”
“ไม่รู้ หนูบอกแล้วว่ากำลังจะไปทำงาน ถ้าพี่ยังถ่วงเวลาแบบนี้หนูคงไม่มีเงินมาจ่ายแน่” ฉันพูดความจริงไม่ได้โกหก เพราะตอนนี้เวลามันเดินมาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว คืนนีัคงโดนผู้จัดการร้านดุอีกแน่
“งั้นก็เชิญ อีกสามวันมาจ่ายด้วย ที่นี่ ตอนเย็นไม่เกินหกโมง ฉันจะรอ”
“ค่ะ” ฉันรับปากแล้วก็เดินออกมา
พอก้าวพ้นประตูบานนั้น ก็เหมือนหลุดออกมาอยู่อีกโลกหนึ่ง เพราะห้องนั้นมันเต็มไปด้วยแรงกดดันจนน่าอึดอัด รีบสูดอากาศเข้าเต็มปอดก่อนจะนึกได้ว่าตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีจึงสลัดเรื่องบ้าๆ น่าโมโหนั้นออกไปแล้วรีบไปทำงานของตัวเอง
--------------
โลกกลมหรือพรหมลิขิต อิอิ
อย่าลืมกดหัวใจ กดติดตาม และเพิ่มเข้าชั้นด้วยน้า
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง