JIN JIN : รอบนี้ไปบ้านเด็กกำพร้า ฉันแอบถามพี่รหัสมาแล้ว
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ไปค่า ไม่พลาด
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : รักเด็ก อยากเลี้ยงเด็ก
JIN JIN : เด็กแบบไหนคะ
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : เด็กทุกแบบค่ะ เด็กโตยิ่งดี
JIN JIN : พักเรื่องผู้ชายก่อนนะคะมุง วันก่อนเมาหยั่งหมา
ฉันแอบขำกับข้อความที่พวกนั้นคุยกันในกลุ่มแชทของพวกเราสามคน เพราะตอนนี้มือยังไม่ว่างจะตอบเลยได้แต่อ่านข้อความที่พวกมันคุยเล่นกัน
JIN JIN : ไปไหมน้ำค้าง อ่านไม่ตอบ
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ไม่ใช่แชทผู้ชาย เพื่อนดองก่อนค่ะ!
NAMKHANG : (ทำขนมช่วยยายอยู่จ้า สาวๆ อ่านแล้ว รับรู้แล้ว โอเคนะ)
ฉันใช้นิ้วที่ยังไม่เปื้อนน้ำตาลจิ้มลงไปบนหน้าจอมือถือรุ่นเก่าๆ ของตัวเองแล้วกดส่งข้อความเสียง ลำพังมันก็จะพังมิพังอยู่แล้วเลยต้องจิ้มเบาๆ หลายทีเพราะยังไม่มีเงินจะซื้อหรอก เครื่องนี้ยายซื้อให้ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่มอสี่แล้ว
JIN JIN : อยากไปช่วย อยากไปเที่ยวบ้านน้ำค้างคนสวยจังเลยค่ะ
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : เห็นแก่กิน เรื่องช่วยอย่ามาพูด
ฉันหัวเราะกับข้อความของพวกมันที่เถียงกันไปมา พลางทำไส้ขนมให้ยายไปด้วย ทำไส้แค่อย่างเดียวแต่ยายเอาไปทำขนมได้หลากหลายเลย ถ้าเป็นตลาดนัดตอนเช้าในช่วงวันหยุดรับรองว่าขายหมดทุกครั้งไม่เคยเหลือกลับบ้าน
“ทำเสร็จแล้วเก็บให้ยายด้วยนะเดี๋ยวมดขึ้น แล้วก็มาเก็บใบตองให้ยายหน่อย”
“ค่า~”
ฉันขานรับแล้วทำงานของตัวเองให้เสร็จตามที่ยายสั่ง ช่วยยายเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว พอสามทุ่มก็เข้าห้องนอน แต่ยังไม่ได้นอนหรอกเพราะอยู่ๆ ก็มีสายโทรเข้าจากใครบางคนโทรเข้ามาขัดจังหวะก่อนที่หัวจะถึงหมอนด้วยซ้ำ
(...)
“...ฮัลโหล ใครคะ”
ฉันกดรับสายแล้วรอให้อีกฝ่ายพูดแต่ปลายสายกลับเงียบกริบจนต้องเอ่ยทักไปแทน ฉันเกือบจะกดวางสายเมื่ออีกฝ่ายยังคงเงียบ แต่อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้น เสียงเข้มนั้นทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วเพราะเท่าที่จำได้ฉันไม่เคยให้เบอร์ตัวเองกับคนที่ไม่รู้จัก
(เธอ...)
“คะ คุณเป็นใคร”
(เจ้าของรถที่เธอต้องรับผิดชอบ)
พอได้ยินคำตอบฉันแทบอยากกดวางสายใจจะขาด แต่จิตใต้สำนึกที่มันมีความเป็นคนดีอยู่นั้นห้ามเอาไว้ อีกอย่างเขามีข้อมูลของฉันทั้งหมดแถมยังยึดบัตรนักศึกษาของฉันไปอีก
จริงอยู่ว่ามันสามารถไปขอทำใหม่ได้แต่วันนั้นฉันพูดไปแล้วว่าถ้าตัวเองไม่รับผิดชอบให้ตามมาจากที่อยู่นั้นได้เลย ซึ่งข้อมูลบนบัตรนั้นมันก็เป็นข้อมูลจริงทุกอย่าง เผลอๆ จะทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย โดยเฉพาะยาย
“คะ...คุณ เจ้าของรถวันนั้น”
(อืม)
“หนูต้องชดใช้ให้เท่าไหร่คะ แต่บอกก่อนว่าหนูยังเรียนอยู่ ถ้ามันมากมายหนูคงไม่มีปัญญาจ่าย ถ้าสองสามพันไหวอยู่”
(สองสามพัน?)
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจากปลายสายมันบ่งบอกอารมณ์ได้หลายอย่าง ทั้งตกใจ ทึ่ง หรืออาจกำลังโมโหอยู่ด้วย วินาทีนั้นฉันรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มันคงไม่จบง่ายๆ แน่ ทั้งๆ ที่เกือบจะลืมไปแล้วเพราะเขาไม่ติดต่อมาเลยตั้งสามวัน
“ค่ะ ตอนนี้หนูมีเงินแค่นี้ บ้านหนูจน”
(เธอทำคนอื่นเดือนร้อนแล้วจะปัดความรับผิดชอบเหรอ)
“ไม่ใช่ไม่รับผิดชอบ แต่หนูบอกว่ามีแค่นี้ ถ้ามากกว่านี้จ่ายไม่ไหว”
จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อฉันไม่มีจริงๆ ไม่อยากบอกเรื่องนี้กับยายด้วยเพราะฉันไม่อยากให้ยายต้องคิดมากและมาลำบากเพราะตัวเอง แค่เรื่องน้าอิฐก็น่าปวดหัวพอแล้ว
(ฉันไม่ได้อยากฟังปัญหาชีวิตใคร แต่เธอต้องมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เธอทำให้รถฉันพัง)
“คุณก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ รถก็แค่ถลอกไม่ใช่เหรอ” ฉันเดาว่าอย่างนั้นเพราะวันนั้นเขาพุ่งไปหาโพรงหญ้าเท่านั้นเอง
(หึ เธอรู้ไหมว่ารถมันราคาเท่าไหร่ ค่าซ่อมห้าหมื่นฉันจะเก็บกับเธอแค่สองหมื่น เธอต้องหามาจ่ายไม่อย่างนั้นเธอเดือดร้อนแน่)
“สองหมื่น เลยเหรอ...”
(อืม วันจันทร์ตอนเช้าฉันจะไปหาเธอที่คณะ หาเงินมารับผิดชอบด้วย)
“...”
(ถ้าเธอตุกติก บอกเลยว่าเธอไม่รอด)
“อย่ามาข่มขู่นะ บอกก่อนว่าหนูไม่มีให้คุณหรอก ถ้าจะให้จ่ายก็ต้องรอ หนูต้องทำงานพาร์ทไทม์มาจ่ายให้”
(บอกพ่อแม่เธอดิวะ อย่ามาโกหกว่าไม่มี หรือไม่ได้ ฉันเป็นคนเสียหายให้ธอจ่ายไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ)
“หนูไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีเงินสองหมื่นที่คุณอยากได้ อีกอย่างค่าซ่อมมันเท่าไหร่หนูยังไม่ได้เห็นเลย คุณมาหลอกเอาเงินหรือเปล่า”
(กูมาเจอกับคนแบบไหนวะเนี่ย) เขาสบถแล้วบ่นกับใครสักคนที่อยู่ด้วยกันนั้นก่อนจะกรอกเสียงผ่านปลายสายเข้ามาต่อว่า (วันจันทร์มาเจอกันหน่อย จะเอายังไงค่อยว่า แต่ฉัน ต้อง ได้ เงิน!)
ฉันกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอเมื่อเขาย้ำคำพูดนั้นแล้วก็ตัดสายไป คำพูดของเขาแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ขู่แน่ๆ ถึงแม้ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่ฉันสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจบางอย่าง
--------------
ขู่เก่งอย่างนี้ เห็นอีกทีตอนจบก้มหัวให้เมียหม้ดดด
อย่าลืมกดหัวใจ กดติดตาม และเพิ่มเข้าชั้นด้วยน้า
ตอนที่ 2 เขาคือใครวันหยุดมันผ่านไปเร็วจนไม่น่าเชื่อ และแล้วก็เป็นเช้าของวันจันทร์ที่ฉันไม่อยากให้มาถึง แต่ก็ยังต้องตื่นเช้ามาเรียนตามปกติ สิ่งหนึ่งที่ไม่ปกติคือเช้านี้ฉันเลือกที่จะเข้ามานั่งรออาจารย์ในห้องเรียนวิชาแรกแทนที่จะรอพวกเพื่อนอยู่ใต้ตึกครืด~ ครืด~ขณะที่กำลังจะทิ้งสะโพกลงกับเก้าอี้เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น แน่นอนว่าต้องเป็นเบอร์ของคู่กรณีที่จ้องจะเอาเงินจากฉันอยู่ฉันกดปิดเสียงแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้ในกระเป๋า หันซ้ายขวาอย่างระแวดระวังเพราะตอนนี้เริ่มมีเพื่อนทยอยเข้ามาในห้องกันแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนที่ตามมาทวงเงินฉันเป็นใครหน้าตายังไง มีแค่เขานั่นแหละที่รู้ว่าหน้าตาฉันเป็นแบบไหน“ขอโทษนะครับ”เฮือก!อยู่ๆ ฝ่ามือของใครบางคนก็แตะลงมาที่ต้นแขนพร้อมกับเสียงเข้มนั้น เล่นเอาฉันตกใจจนต้องสะบัดมือนั้นออกโดยไม่ตั้งใจ แต่พอหันมองก็เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนคณะอื่นที่มาลงเรียนวิชานี้ ซึ่งฉันเองก็เห็นหน้าค่าตามาร่วมเดือนแล้วหรือเขาคือเจ้าของรถวันนั้น…“มะ…มีอะไรคะ”“ออ พอดีเราจะถามเรื่องงานที่อาจารย์สั่งน่ะ ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”“ออ…ถามอะไรเหรอ”ฉันพูดพลาง
“เป็นอะไรยัยค้าง มองหาอะไร” จินถามพลางชะเง้อคอมองตามฉันบ้าง“สงสัยเหมือนกันวันนี้แกทำตัวแปลกๆ”“เปล่า ไม่มีอะไร”ฉันปฏิเสธทั้งที่รู้แก่ใจว่าตัวเองเป็นอะไร เอาจริงก็ไม่ได้อยากจะหนีผู้ชายคนนั้นหรอกแต่ฉันกลัวว่าเขาจะขู่เอาเงินแล้วทำให้เสียหน้า เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วค่อยปลีกตัวไปโทรหาเขาอีกทีก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้ๆ นี้ จ้องจะจัดการฉันได้ตลอดเวลา“แล้วเรื่องวันนั้นเป็นไง เจ้าของรถโทรมายัง”ยัยจินจับจุดอ่อนฉันได้อีกแล้ว เหมือนมันแอบอ่านใจฉันอยู่เลย แต่ก็ไม่แปลกหรอกที่มันจะสงสัยเพราะมันอยู่ในเหตุการณ์แล้วยังมาเห็นฉันทำตัวหวาดระแวงอยู่ด้วย“อืม”“แกว่ายังไง” ระรินถามบ้าง“เขาจะเอาเงินจากฉันสองหมื่น” ฉันบอกพวกมันไปด้วยสายตาหมดหวังก่อนจะเม้มริมฝีปากตัวเองพูดต่อ “แต่ฉันไม่มีจะให้ ก็เลย หลบเขาอยู่”“หา!”“สองหมื่นเลยเหรอ”ฉันพยักหน้าเป็นคำตอบ แค่ลองนับหลักตัวเลขในใจก็เหนื่อยและท้อเต็มทน ชีวิตนี้เคยจับก็แค่เงินหลักพันที่พอจะหามาเองได้ ค่าเทอมก็รับจากทุนการศึกษาทั้งนั้น สองหมื่นบ้าบออะไร จะเอาที่ไหนมาให้กัน“แกก็เลยระแวงว่าเขาจะมาตามตัวนะเหรอ”“อือ”“เขาไม่เก่งขนาดนั้นหรอกมั้
ตอนที่ 3 หนีไม่พ้นฉันกลับเข้ามาในคณะตอนห้าโมงเย็น เอาเสื้อผ้าที่จะต้องใส่ทำงานติดตัวมาด้วย เพราะปกติแล้วฉันต้องเข้างานเวลานี้พอดี แต่วันนี้รุ่นพี่ในคณะ นัดประชุมจึงต้องขอผู้จัดการ เข้างานช้ากว่าปกติสองชั่วโมง แน่นอนว่าต้องโดนหักค่าจ้างรายชั่วโมงไปตามระเบียบ“น้ำค้าง”หลังจากเลิกประชุมเวลาหกโมงกว่า ฉันที่กำลังจะออกจากห้องประชุมก็ถูกรุ่นพี่เรียกเอาไว้ เป็นพี่พีประธานชมรมของพวกเรานั่นแหละ ที่ยัยเพื่อนสองคนนั้นเคยเล่าว่าไม่ค่อยถูกกันกับนายกสโมสรมหาลัย“พี่ฝากเอานี่ไปส่งที่ห้องสโมกลางหน่อย”“ได้ค่ะพี่พี”“แกไปได้ไหม ถ้าไม่ทันเดี๋ยวพวกฉันเอาไป” ระรินอาสาแต่กลับโดนจินหัวเราะใส่เบาๆ ว่า“มันเป็นแผน แกจะไปดูผู้ชายฉันรู้”“รู้ทันอีก แปลว่าแกก็คิด”“ให้น้ำค้างไปนั่นแหละ แกต้องไปส่งฉันซื้อของ ลืมเหรอ”“ฉันแค่กลัวว่ามันจะรีบไปทำงาน” ระรินเอ่ยแล้วหันมาถามฉันที่กำลังมองพวกมันเถียงกันอยู่“ทันไหม” พี่พีถามบ้างหลังจากที่มองพวกเราคุยกันอยู่“ทันค่ะ เดี๋ยวฉันเอาไปก็ได้เพราะต้องไปรอรถแถวนั้นอยู่แล้ว”ฉันรับปากแล้วรีบเอาซองเอกสารสีน้ำตาลมาถือไว้ในมือตัวเอง ก่อนจะบอกลาเพื่อนและรุ่นพี่ กลัวว่าจะไปไม่ทันเวล
ฉันเรียกรถออกมาจากมหาลัยตรงไปยังร้านที่ทำงานอยู่ ที่นี่เป็นร้านเหล้าแบบนั่งดื่ม บรรยากาศค่อนข้างดีเลยทีเดียว เป็นร้านที่ไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กมาก ผู้จัดการร้านชื่อว่าพี่สา แกเป็นคนใจดีมากกับพนักงานทุกคน แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะใช้ความใจดีของแกเอาเปรียบอะไรหรอก วันนี้มันจำเป็นจริงๆ ที่ต้องเข้าร่วมกิจกรรมของคณะแกก็เข้าใจดี“สวัสดีค่ะพี่สา ขอโทษที่มาช้านะคะพอดีติดทำธุระให้รุ่นพี่ชมรม”“ไม่เป็นไรจ๊ะ ลูกค้าเพิ่งทยอยเข้าร้าน ค้างไปดูเลย”ฉันโค้งศีรษะให้เพื่อรับคำสั่ง เดินไปเปลี่ยนชุดที่เป็นเดรสรัดรูปสีดำซึ่งเป็นยูนิฟอร์มของร้าน แต่ละวันจะใส่ไม่เหมือนกัน หรือบางวันที่เป็นวันพิเศษของร้านก็จะมีแจ้งให้พนักงานเตรียมชุดนอกเหนือจากที่ร้านมีให้ในแต่ละวันจะมีพนักงานหญิงและชายบริการลูกค้าอยู่ราวๆ สิบคน ถ้าเป็นวันศุกร์และเสาร์จะเรียกให้มาสิบห้าคน หรือถ้าวันไหนที่ร้านมีกิจกรรมพิเศษพนักงานของร้านก็อาจจะต้องมาทุกคนเลย ส่วนใหญ่พนักงานของร้านก็เป็นนักศึกษาเหมือนกับฉัน แต่มีคนที่อายุน้อยสุดเท่ากับฉันแค่คนเดียวนั่นคือหมวย“ค้าง มาแล้วเหรอ”หมวยเรียนอยู่คณะเกษตรศาสตร์ มหาลัยเดียวกัน เป็นคนที่ฉันสนิทที่สุดในหมู่พน
ตอนที่ 4 ข้อเสนอฉันอยากเปลี่ยนให้หมวยไปบริการโต๊ะนั้นแทน แต่ติดที่ยัยนั่นก็วุ่นวายอยู่กับโต๊ะอื่น สุดท้ายก็ต้องหอบเอาเครื่องดื่มไปเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกรุ่นพี่ไปอย่างจำใจที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้ แต่เพราะว่าเราเจอกันด้วยเรื่องไม่ดี ฉันถึงรู้สึกว่าเขาคงไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่ เลยไม่อยากเข้าใกล้ ไหนจะมีเรื่องที่ฉันเบี้ยวนัดคุยเมื่อเช้าอีก พี่ฟิวส์คนนั้นคงอยากกระทืบฉันเต็มทน ติดที่ฉันเป็นผู้หญิงนี่ล่ะ“บิลค่ะ” ฉันยืนกระดาษแผ่นหนึ่งไปให้พี่คณะของตัวเองที่ชื่อว่า ไมเนอร์ ถึงแม้จะไม่สนิทแต่เขาก็เป็นคนที่เห็นหน้าบ่อยที่สุดในกลุ่มนี้“ใครจ่ายก่อน กูจะโอนให้”“ไม่ต้องจ่าย”ทุกคนหันไปมองคนพูดรวมถึงฉัน แต่เขากลับทำหน้านิ่งตึงแล้วมองฉันตอบ ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเอ่ยปากแซว“ท่านนายกจะเลี้ยงเหรอครับ”“อืม กูเลี้ยง แต่เก็บกับน้องเขาเลย” พี่ฟิวส์พูดแล้วยิ้มร้าย เอื้อมมือไปเปิดขวดเครื่องดื่มของตัวเองมารินลงแก้วแล้วชง“ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมาเดือดร้อนคนอื่นนะคะ เงินนั่นหนูจ่ายแน่แต่ไม่ใช่ตอนนี้” ฉันบอกเสียงเรียบ รุ่นพี่แล้วยังไง นายกสโมสรนักศึกษาแล้วยังไง ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็ต้องเจอกันสักตั้ง!“คิดจะยื
“ก็ดี” พูดสองคำแล้วก็ปรายตามามองฉัน “จะได้ไม่หนี แล้วรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำ”“...ค่ะ ไม่หนีหรอก” ฉันกระแทกเรียกใส่อย่างไม่สบอารมณ์ คนบ้าอะไรพร้อมจะหาเรื่องกันตลอดเวลาทั้งทางคำพูดและทางสายตา “พรุ่งนี้หนูจะไปช่วยงานสโม เงินนั่นก็จะจ่ายไม่ต้องห่วง จะได้มั่นใจว่าหนูไม่หนี”“เยี่ยมเลย พรุ่งนี้ถ้าว่างเข้าไปหาพวกพี่ที่สโมฯ” พี่ไมเนอร์เอ่ยแล้วยิ้มหวาน อย่างน้อยก็มีเขานี่แหละที่ใจดีกับน้องคณะอย่างฉันอยู่ “เงินนั่นก็ไม่ต้องจ่ายหรอก ถ้าช่วยงานพี่เดี๋ยวพี่เคลียให้ ถือว่าเป็นน้องคณะคนหนึ่ง”“แต่อย่าใช้งานหนักนะคะ เพราะหนูต้องทำงานพิเศษหลายอย่าง”“ขี้เกียจมากกว่ามั้ง”“…!!” ฉันถลึงตาใส่อีกฝ่าย โชคดีที่มีลุกค้าอีกโต๊ะเรียกไว้ไม่อย่างนั้นสงครามคงไม่จบง่ายๆ แน่ฉันพยายามหลีกเลี่ยงโต๊ะนั้นจนกระทั่งถึงเวลาร้านปิด เรื่องที่จะเข้าไปคุยกับพี่สาจึงถูกพับไว้เพราะมีงานใหม่เข้ามา หวังว่าพี่ไมเนอร์จะไม่หลอกให้ฉันไปทำงานฟรี ถ้าเป็นอย่างที่เขาว่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องเหนื่อยทำงานกลางคืนทุกวันแล้วต้องเสียการเรียนไปด้วยวันต่อมา“แกว่าไงนะ!”“ทำไมแกต้องตกใจขนาดนั้น”พอเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนสนิทสองคนฟังพวกมันก็ตกใ
ตอนที่ 5หลังจากที่เดินตามพี่ฟิวส์เข้ามาในห้อง ฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตัวเองไม่ได้นัดกับพี่ฟิวส์แต่นัดกับพี่ไมเนอร์ต่างหาก แล้วทำไมฉันถึงตามเขาเข้ามาด้วยเล่า“พี่ไมเนอร์ล่ะคะ”“...”“แล้วเขาจะเข้ามาตอนไหน”“...”เขาเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูด ทั้งๆ ที่ฉันคิดว่าเสียงที่เปล่งออกไปนั้นมันไม่ได้เบาเลยสักนิดเดียว เขาหอบเอกสารกองใหญ่ขึ้นมาวางตรงกลางโต๊ะแล้วหันมาทางฉันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งขี้เก๊ก!“เอางานนี้ไปทำ”“...” ฉันเลิกคิ้ว มองคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยปาก ถาม “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าพี่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ก็หนูรับปากกับพี่ไมเนอร์ว่าจะทำงานให้เขา ไม่ได้ทำงานให้พี่”“แล้วเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า เธอติดหนี้ฉันไม่ได้ติดนี่ไอ้ไมเนอร์”“ก็หนูจะทำงานให้เขา แล้วพี่เขาจะจ่ายเงิน เพื่อใช้หนี้พี่ไง”“หึ” เขาหัวเราะในลำคอ เหมือนเรื่องที่ฉันพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องตลกขำอะไรไม่ทราบ!ฉันได้แต่คิดในใจแบบนั้นแต่ไม่กล้าพูดออกไป เพราะขืนพูด คงมีเรื่องแน่ คนอย่างพี่ฟิวส์พร้อมที่จะมีเรื่องกับฉันได้ทุกเวลาอยู่แล้ว“งั้นหนูไปตามหาพี่ไมเนอร์ที่ชมรมก็ได้ค่ะไม่รบกวนแล้ว” พูดจบ ฉันหันหลังทำท่าจ
ฉันสะบัดหน้ากลับมา แต่ตั้งใจทำงานของตัวเองไม่เท่าไหร่เสียงประตูก็ดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้เป็นยัยรุ่นพี่ที่เพิ่งเจอกันก่อนหน้านี้ พอเห็นฉันหน้าเธอก็แสดงออกเลยว่าไม่ชอบ“ฟิวส์ ยัยนุ่นจะเข้ามาตอนนี้อยู่หลังมอ เราจะสั่งข้าวฟิวส์เอาอะไรไหม”“ไม่ ยังไม่หิว” พี่ฟิวส์ตอบแค่นั้นฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาทำหน้ายังไงเพราะแกล้งดูเอกสารอยู่เดียวยัยรุ่นพี่นั่นหาว่าสนใจ“ให้น้องมันทำงานอะไรเหรอ ให้เมย์ทำก็ได้นะ” เธอไม่พูดเปล่าแต่ก้าวเท้าเข้ามายืนอยู่ข้างกายจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง“ไปทำงานของเธอเถอะ เด็กมันต้องทำงานให้ฉันอยู่แล้ว” พี่ฟิวส์หันมามองรุ่นพี่ที่ชื่อเมย์แล้วบอกเสียงเรียบไม่รู้ว่าเป็นนิสัย หรือเขาพยายามวางตัวในฐานะนายกสโมสรนักศึกษากันแน่ เวลาพูดฉันถึงได้รู้สึกได้ว่าเขาทำสีหน้าและน้ำเสียงนิ่งตลอด ยกเว้นคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่เจอมาเมื่อคืนจะอีกแบบ“วันนี้เราไม่มีงานอะไรเลย เดี๋ยวช่วย…”“ไม่ต้องช่วย ฉันลงโทษเด็กมันอยู่” พี่ฟิวส์บอกแค่นั้นแล้วก็ไม่สนใจอีก เป็นอันว่าคุณพี่เมย์ไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ต่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันรู้สึกสะใจเหลือเกินปกติไม่เคยมีความคิดด้านลบแบบนี้หรอกนะ แต่ยัยรุ่นพี่คนนี้ฉันรู้สึกได้
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง
ฉันนั่งทานข้าวท่ามกลางคำแซวและสายตาหลายคู่ที่มองมา เล่นเอาทำตัวไม่ถูกกินข้าวแทบไม่ลง แต่พี่ฟิวส์ซื้อข้าวมาทีหลังทานเกลี้ยงหมดจานไปแล้ว เจริญอาหารจนอยากจะเอาเล็บข่วนหน้าด้วยความหมั่นไส้“เลิกเรียนกี่โมงกัน” เขาที่ทานข้าวเสร็จกอดอกถามพวกเรา ที่ใช้คำว่าพวกเราเพราะเขาไม่ได้เอ่ยชื่อแล้วกวาดสายตามองจนครบ เหมือนจะรู้ตัวนะว่าถามฉันก็ไม่บอกหรอก“บ่ายสามค่ะพี่ฟิวส์” ยัยจินตอบ อยากจะหยิกแขนแรง ๆ ตอนทะเลาะกับพี่ฟิวส์ล่ะไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้ เห็นความหล่อไม่ได้เลยพวกเพื่อนทรยศ“โอเค เดี๋ยวมารับนะ” ประโยคแรกพูดกับเพื่อนประโยคหลังหันมาบอกฉัน“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับค่ะ”“ตุ๊กตาตัวนั้นไม่ทำให้เราใจอ่อนเลยเหรอ” คำถามนี้พี่ไมเนอร์เป็นคนถามแทนเพราะพี่ฟิวส์นั่งเงียบเหมือนคนกำลังน้อยใจฉันอย่างหนัก“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับเพราะไม่อยากทิ้งรถไว้มหาลัยค่ะ เมื่อคืนพี่ฟิวส์ก็ไปส่งแล้ว จอดทิ้งไว้ส่งสารมัน”“สงสารรถแต่ไม่สงสารกูเลย” พี่ฟิวส์กันไปคุยกับเพื่อนตัวเองอย่างกับพวกขี้ฟ้อง“ถ้าอยากไปรับไปส่งก็ตั้งแต่พรุ่งนี้แล้วกัน อย่ามาบ่นทีหลังให้ได้ยิน” ฉันพูดออกไปแล้วทุกคนก็พากันยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ราวกับจะสื่อว่า
ตอนที่ 22 รุมทำร้ายวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าเป็นตอนมัธยมคงได้เห็นคนถือดอกกุหลาบหรือตุ๊กตาตัวโตเดินกันว่อนโรงเรียน แต่พอขึ้นมหาลัยภาพเหล่านั้นก็ไม่มีให้เห็นมากนัก คนที่ถือช่อดอกกุหลาบก็มีอยู่บ้างกลายเป็นที่สนใจของคนที่เดินผ่านไปมาด้วย“อิจฉาคนมีความรักหวะ” ยัยจินแกล้งแซวระรินที่ถือช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือตอนนี้เรากำลังจะไปทานข้าวที่โรงอาหารของคณะฯ ยัยระรินเพิ่งได้ช่อดอกนี้จากพี่ไมเนอร์เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี้เอง เลยกลายเป็นที่จดจ้องของใครหลายคนถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างดี แต่เพราะกิตติศัพท์ของพี่ไมเนอร์ไม่ใช่เรื่องที่ดี คนเลยแอบซุบซิบนินทากันใหญ่มีแต่คนพูดว่ายัยระรินจะโดนหลอก เดี๋ยวก็โดนทิ้งบ้างล่ะ“น้ำค้าง!” เสียงเข้มของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เราทั้งสามคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงพอเห็นว่าเป็นพี่พีถือดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่งมาเราถึงกับหันมามองหน้ากันหมด“มีอะไรเหรอคะ”“มีคนฝากมาให้” พี่พียื่นดอกกุหลาบมาให้พร้อมกับรอยยิ้ม“ใครคะ” ฉันถามด้วยความสงสัยแต่ก็ยื่นมือไปรับเอาไว้“มันไม่ให้บอก แต่ฝากบอกว่าแอบชอบอยู่” หนุ่มรุ่นพี่ยิ้มกวน ๆ “จะไปไหนกัน”“ไปกิ
พี่ฟิวส์!เขาอยู่ในชุดเสื้อช็อปที่เห็นประจำ แต่งตัวเหมือนไปเรียนแต่เดินหน้าตึงมาอยู่หน้าโรงงานที่ฉันกำลังยืนขายขนม“พี่ฟิวส์บอกให้มาส่ง”ไปรู้จักชื่อตอนไหน!?ฉันมองหน้าน้องชายตัวเองแล้วเบือนหน้าไปมองพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้ยืนยิ้มอยู่ข้างน้ำหนาว ก่อนจะยกมือไหว้ยายที่กำลังมองอย่างสงสัย“ใครล่ะค้าง”“คนรู้จักค่ะ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย” ฉันตอบแล้วหันไปมองพี่ฟิวส์ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ขยับมายืนอยู่ใกล้ ๆ“ขายดีจังครับ” เขาแกล้งคุยกับยายมองผ่านความบึ้งตึงของฉันไป “ที่เหลือขอเหมาได้ไหม ผมยังไม่ได้ทานข้าวมาเลย”“จะมาทำไมก็ไม่รู้” ฉันบ่นแล้วถลึงตาใส่พี่ฟิวส์แต่เขาไม่แม้แต่จะสำนึกผิด“เดี๋ยวกลับไปกินข้าวที่บ้านดีกว่าลูก” ยายพูดด้วยรอยยิ้มแล้วหยิบขนมสามชิ้นที่เหลือใส่ถุงให้ลูกค้าคนสุดท้าย จนไม่เหลือเลยสักชิ้นสมน้ำหน้าพี่ฟิวส์มองตาละห้อย“น้ำค้างทำแกงจืดไว้เมื่อเช้าเยอะแยะ พาพี่เขาไปกินข้าวไป”ยายคงเดาออกว่าพี่ฟิวส์ไม่ใช่แค่รุ่นพี่อย่างที่บอก แต่ยายมองไม่ออกเลยเหรอว่าฉันเกลียดขี้หน้าพี่ฟิวส์อยู่ ทำไมต้องทำการต้อนรับเขาขนาดนั้น“ขอบคุณครับ เดี๋ยวไปส่งน้องไปโรงเรียนก่อนแล้วผมกลับมาอาศัยข้าวเช้าสักมื้อนะค