เคฟคอร์ทยาร์ด โฮมสเตย์
โฮมสเตย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตหลินถง ใกล้สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ มีอาคารย้อนยุคก่อสร้างตามอาคารบ้านเรือนในยุคสมัยราชวงศ์ถัง ทุกอาคารมีชั้นเดียวและถ่ายเทอากาศได้ดี ท่ามกลางสวนหย่อมจัดวางตามลักษณะฮวงจุ้ยได้อย่างลงตัวและสวยงาม “องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!!!” เสียงเรียกขานเอ็ดอึงเต็มไปด้วยความโกลาหลขึ้นมาอีกครา ขนตางามงอนยาวเป็นแพสวยเริ่มกระเพื่อมขึ้นลงติดต่อกัน เมื่อหูของเธอได้ยินเสียงเรียกขานดังกล่าวอย่างชัดเจน ในยามนี้จางเพ่ยอัน กำลังนอนพักผ่อนในโฮมสเตย์ดังกล่าวซึ่งใกล้สถานที่ขุดพบสุสานแห่งใหม่เป็นการชั่วคราว ก่อนจะเดินทางเข้าไปในพื้นที่ เธอและทีมงานจากศูนย์วิจัยเดินทางมาถึงบริเวณที่ขุดพบสุสานก็ปาเข้าไปเย็นย่ำแล้ว จึงต้องแวะพักผ่อนเอาแรงในเขตเมืองของซีอานเพื่อเตรียมตัวเดินทางออกนอกเมืองลุยงานในวันรุ่งขึ้น ใบหน้าส่ายไปมาเมื่อเสียงเอ็ดอึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าอยู่ใกล้เพียงแค่ห้องพักติดกันนี่เอง พรึบ! เปลือกตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาทันใด ดวงตาจ้องเพดานด้านบนเขม็งอยู่เพียงครู่ พร้อมกับร่างอรชรค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพลางเงี่ยหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอได้ยินเป็นอะไรกันแน่ หูฝาดไปหรือเกิดขึ้นจริงๆ “รีบไปตามหมอใกล้ที่สุดมารักษาพระอาการขององค์ชายเร็วๆ เข้า” เสียงตะโกนสั่งการได้ยินเพียงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบแผ่วพาดผ่านมากับสายลมก็ว่าได้ “องค์ชายอย่างนั้นเหรอ!” หญิงสาวรำพึงออกมาทันที ครั้นหูของเธอได้ยินเสียงดังกล่าวมาจากสถานที่อันไกลโพ้น เหตุใดหนอจางเพ่ยอันจึงได้ยินเสียงเหล่านั้นได้ ร่างระหงลุกขึ้นจากเตียงนอนทันใด พลางเดินตรงไปทางประตูกระจกซึ่งถูกปิดด้วยผ้าม่าน เมื่อเปิดออกจะเป็นระเบียงด้านนอกที่อยู่ในห้องพักของเธอ หญิงสาวเดินออกไปหยุดยืนอยู่ตรงระเบียงพลางทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า มองเห็นทิวเขารำไรของเมืองซีอาน ทั่วพื้นที่ในมณฑลส่านซีล้วนเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ในยุคโบราณอันยาวนานที่เคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกาล ภาพเหตุการณ์ในวันที่กลุ่มอันธพาลไล่ยิงคู่อริจนสนั่นเมืองโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายของประเทศแต่อย่างใด ช่วงเสี้ยววินาทีที่เธอกำลังหนีตายอย่างสุดชีวิต จางเพ่ยอันเห็นบุรุษในชุดเกราะโบราณยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันขาวที่เหล่าอันธพาลโยนระเบิดควันเข้าใส่กัน และหญิงสาววิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเขาก่อนจะถูกลูกหลงเมื่อกระสุนปืนเจาะถูกด้านหลังจนล้มลงอยู่ในอ้อมกอดของชายคนดังกล่าว ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ จางเพ่ยอันจดจำถ้อยคำที่ชายคนดังกล่าวถามเธอได้เป็นอย่างดีและไม่มีวันลืมเลือน “แม่นาง! เจ้าเป็นเช่นไร” เสียงนั้นบ่งบอกว่าเขาตกใจอยู่มิใช่น้อยที่เห็นเธอเป็นเช่นนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกนัดพร้อมร่างใหญ่ทรุดลงนั่งกอดหญิงสาวเอาไว้แนบอก “ตกลงวันที่เราถูกยิงผู้ชายที่สวมชุดเกราะคือความจริงหรือความฝันกันแน่ ทำไมคล้ายวิญญาณเจ้าของปิ่นหยกที่ขุดพบในสุสานมาทวงของคืนในศูนย์วิจัยเลยนะ แถมสวมชุดเกราะและหน้ากากสีเงินเหมือนกันซะด้วย ท่าทางจะต้องเป็นผีตัวเดียวกันแน่ๆ เลย” จางเพ่ยอันยืนรำพึงรำพันพลางยกมือขึ้นกอดอก ตั้งใจฟังเสียงที่เธอเพิ่งได้ยินอีกครา ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูติดต่อกันดังแทรกขึ้นมาทันที หญิงสาวหันกลับมามองประตูห้องพักพลางหันกลับไปดูนาฬิกาที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงของโรงแรม “จะเที่ยงคืนแล้ว ดึกขนาดนี้ใครมาเคาะประตูห้องว้า” แม่สาวน้อยยืนพึมพำก่อนจะได้ยินเสียงแขกผู้มาเยือน “อันอัน! นอนหรือยัง” เสียงหัวหน้างานของเธอดังขึ้น “อ้าว! หัวหน้าหลิวอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวกล่าวออกมาทันทีด้วยความแปลกใจ ร่างระหงรีบก้าวเข้าไปภายในห้องพร้อมเปิดประตูต้อนรับอย่างรวดเร็ว และทันทีที่ประตูเปิดออก กล่องไม้ขนาดกะทัดรัดทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสพร้อมแฟ้มเอกสารยื่นส่งให้เธอทันใด “เธอลืมของสำคัญทิ้งไว้ในรถ” หัวหน้างานสาวใหญ่บอกกลับมา ดวงตาคู่สวยมองกล่องไม้และแฟ้มเอกสารตรงหน้าด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอจดจำได้อย่างแม่นยำว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในขณะนี้คือ ปิ่นหยกโบราณและผลสรุปการค้นคว้าประวัติความเป็นมาของวัตถุโบราณชิ้นล่าสุด “หัวหน้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ นี่คือวัตถุโบราณชิ้นล่าสุดที่สั่งให้อันอัน ค้นคว้าประวัติความเป็นมาและสรุปอายุว่ามาจากสมัยใด ทุกอย่างรายงานอยู่ในแฟ้มและเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว อีกอย่างงานชิ้นนี้หนูส่งให้ตรวจสอบก่อนจะเดินทางมาที่ซีอานไม่ได้หลงลืมทิ้งไว้บนรถเลยนะคะ” หญิงสาวพยายามอธิบายกลับไป “เก็บเอาไว้! มันเป็นของเจ้า!” หัวหน้างานของหญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ถ้อยคำที่กล่าวออกมานั้นช่างโบราณเสียนี่กระไร ดวงตาเฝ้าจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของจางเพ่ยอันอยู่ตลอดเวลาก่อนจะยิ้มน้อยๆ พร้อมหันหลังกลับเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีกเลย ทันใดนั้นเอง เงาวูบวาบคล้ายดวงวิญญาณหันกลับมามองจางเพ่ยอันพร้อมส่งยิ้มหวานให้อย่างเป็นมิตร ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาวเมื่อพบเห็นดวงวิญญาณของผู้หญิงซ้อนทับในร่างหัวหน้างานของเธอ และที่สำคัญดวงวิญญาณนั้นมีใบหน้าที่งดงามอย่างยิ่งยวด จนสะกดหญิงสาวยืนนิ่งไม่ขยับกายแต่อย่างใด “อัยยะ!” หญิงสาวอุทานออกมาโดยพลันครั้นได้เห็นเช่นนั้น ก่อนจะรีบก้าวถอยหลังกลับเข้าไปในห้องพร้อมรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว ร่างระหงยืนกอดแฟ้มเอกสารและกล่องไม้บรรจุปิ่นหยกโบราณไว้แนบอก ดวงตากลอกกลิ้งไปมามองรอบๆ ห้องพักก่อนจะปิดเปลือกตาลงพลางสะบัดศีรษะติดๆ กัน “นอกจากฉันจะมีสัมผัสพิเศษเห็นอดีตและอนาคตของคนอื่นๆ ได้แล้ว ยังสามารถมองเห็นดวงวิญญาณของภูตผีปีศาจได้อีกอย่างนั้นด้วยเหรอ เป็นไปได้ยังไงกัน เห็นผีในชุดเกราะแม่ทัพยังไม่พอ ยังเห็นดวงวิญญาณผีสาวส่งยิ้มหวานมาให้อีกด้วย ให้ตายสิจางเพ่ยอัน! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!” หญิงสาวบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยทีเดียว ก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ดวงตาคู่สวยก้มลงมองกล่องไม้ที่เธอกอดเอาไว้แนบอกอยู่ในขณะนี้ พลางเฝ้าครุ่นคิดทบทวน ร่างระหงเดินผละออกจากประตูห้องพักก่อนจะนำแฟ้มเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง มีเพียงกล่องไม้ที่ถือติดมือเดินกลับไปเตียงนอนก่อนจะทรุดกายลงนั่งพร้อมเลื่อนฝากล่องเปิดออก หยิบปิ่นหยกโบราณออกมาพิจารณาใกล้ๆ “ท่าทางปิ่นหยกอันนี้เจ้าของต้องหวงมากแน่ๆ เขาคงต้องการให้เอากลับไปคืนที่เดิม หาไม่แล้วจะมาปรากฏดวงวิญญาณให้เราเห็นทำไม ขนาดมาเองไม่ได้ยังทำภาพหลอนให้เห็นได้ด้วย แถมยังให้ได้ยินอะไรเป็นตุเป็นตะไปทั่ว ใหญ่โตมิใช่เล่นเสียด้วยเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เชื่ออีตาผีแม่ทัพนี่จริงๆ ว่าแต่ทำไมต้องเป็นเราด้วยว้า” จางเพ่ยอันบ่นพึมพำออกมาเป็นการใหญ่ ภายในใจเฝ้าครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขผีแม่ทัพที่หวงปิ่นหยกของตนอยู่ตลอดเวลา ทว่าไม่ว่าจะเฝ้าครุ่นคิดหาวิธีเช่นไร แต่ก็แลดูเหมือนสมองของเธอในยามนี้ช่างตีบตันเสียนี่กระไร มือเรียวสวยค่อยๆ บรรจงวางปิ่นหยกโบราณลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะล้มตัวลงนอนเมื่อเปลือกตาของเธอจู่ๆ ก็เริ่มหนักอึ้งอย่างมิรู้สาเหตุเสียขึ้นมาดื้อๆ หาวววว!!! เสียงหาวนอนดังออกมาเบาๆ “โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว… ง่วง! นอนดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องเข้าไปภายในบริเวณสุสานอีก เดี๋ยวค่อยคิดหาทางใหม่ก็แล้วกัน ราตรีสวัสดิ์นะท่านแม่ทัพ ฉัน... จางเพ่ยอันขอตัวนอนพักผ่อนเอาแรงก่อนแล้ว เดี๋ยวจะพยายามหาวิธีให้คุณได้ของรักของหวงกลับคืนไปจะได้ไม่ต้องมาคอยตามตอแยฉันอีก… โอเคนะ… อือ” หญิงสาวพูดเองตอบเองอยู่คนเดียวพร้อมล้มตัวลงนอนก่อนจะผล็อยหลับสนิทภายในเวลาอันรวดเร็ว ท่ามกลางความเงียบงันที่แผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบ มีเพียงแสงจันทราลอดผ่านมาทางประตูระเบียงของห้องพักมองเห็นแค่สลัวๆ ชั่วเวลาเพียงกะพริบตาประตูระเบียงห้องพักค่อยๆ เลือนหายไปกลับกลายเป็นทางเข้ากระโจมที่ประทับซึ่งใช้ผ้าดิบผืนขนาดมหึมาปิดบังทางเข้า ด้านนอกมีทหารอารักขายืนรักษาการณ์ซ้ายขวา แสงจากคบไฟพวยพุ่งส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา บนเตียงนอนขนาดใหญ่ของยุคอนาคตปรากฏเงาบางอย่างสะท้อนวูบวาบ เผยให้เห็นแท่นพระบรรทมขององค์ชายในโลกอดีตซ้อนทาบทับเข้ามา ก่อนจะค่อยๆ ปรากฏเงาเลือนรางของบุรุษร่างสูงใหญ่นอนเหยียดยาวในท่านอนหงายเคียงคู่กับจางเพ่ยอัน จากเพียงเงาวูบวาบกลับกลายเป็นตัวคนอย่างสมบูรณ์ ลมหายใจรวยรินที่เต็มไปด้วยพิษไข้ร้อนผ่าว ทั่วกายร้อนประดุจไฟบรรลัยกัลป์แผ่ออกมาจนสามารถสัมผัสได้ ท่อนบนของร่างกายสวมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีดำทะมึน สาบเสื้อแยกออกจากกัน เผยแผ่นอกกว้างใหญ่เปลือยเปล่า เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออัดแน่น หากแต่มีผ้าพันแผลสีขาวพันเอาไว้โดยรอบ และมีโลหิตไหลซึมออกจากบาดแผลอยู่ตลอดเวลา บริเวณช่วงล่างลงไปสวมกางเกงผ้าสีขาวและถุงเท้าผ้าสีขาวเช่นเดียวกันราวเครื่องแต่งกายของคนจากยุคอดีต ความร้อนจากพิษไข้เพราะบาดแผลแผ่ขยายออกมา จนร่างอรชรที่นอนอยู่เคียงคู่ซึ่งกำลังหลับสนิทอยู่ในขณะนั้นค่อยๆ เริ่มรู้สึกตัว ก่อนจะพลิกตัวหันตะแคงข้างไปทางด้านร่างใหญ่ที่กำลังนอนหมดสติอยู่ในขณะนั้น มือเรียวสวยคว้าท่อนแขนกำยำด้วยเข้าใจว่าเป็นหมอนข้างดึงเข้ามากอดเอาไว้แนบอกทันที และทันใดที่มือสัมผัสถูกไอร้อนจากท่อนแขนใหญ่ที่กำลังกกกอดเอาไว้แนบอกอยู่ในขณะนั้น เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ จวบจนกระทั่งเห็นร่างใหญ่ของบุรุษนอนหายใจรวยริน ใบหน้าสวมหน้ากากสีเงินปิดทับอยู่ในขณะนั้น “เหวออออ!!!” หญิงสาวส่งเสียงร้องออกมาทันทีด้วยความตกใจสุดขีด ร่างอรชรลุกพรวดพราดขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว พลางกระเถิบถอยหนีไม่เป็นกระบวน ก่อนจะรีบพลิกตัวกระโดดลงจากเตียงนอนทันใด ตุบ! ร่างแน่งน้อยนอนหลบอยู่ข้างเตียงนานกว่าห้านาที เอื๊อก! เสียงกลืนน้ำลายลงคอได้ยินอย่างชัดเจนดังออกมาจากร่างของหญิงสาว ใบหน้าค่อยๆ เงยขึ้นช้าๆ มองตรงไปที่โคมไฟบนโต๊ะข้างเตียง ฝั่งทิศทางที่เธอนอนก่อนจะรีบเอื้อมมือกดสวิตช์เพื่อเปิดไฟภายในห้องให้มีแสงสว่าง สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน พรึบ! ทั่วทั้งห้องสว่างจ้าขึ้นมาทันใด “ไฟก็เปิดแล้ว ห้องก็สว่างซะขนาดนี้ ถ้าไม่เงยหน้าโผล่ออกไปดูให้มันรู้แล้วรู้รอด เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าไอ้ที่เห็นเมื่อกี้มันคืออะไรกันแน่จางเพ่ยอัน ท่าทางคงจะคิดเรื่องอีตาผีแม่ทัพมาทวงของมากเกินไป ก็เลยเก็บเอาไปมโนเห็นภาพหลอนลวงตาไปทั่ว” หญิงสาวพูดปลอบใจตัวเองก่อนจะตัดสินใจไม่หลบซ่อนตัวอยู่ข้างเตียงอีกต่อไป เธอโผล่หน้าขึ้นมองบนเตียงนอนทันที “หา!... อุบ!” จางเพ่ยอันอุทานออกมา ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้อย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างก่อนจะรีบกระเถิบถอยหลังจนไปนั่งชิดกำแพงห้องพัก “ทะ... ทำไมยังอยู่อี๊ก!!!” หญิงสาวกล่าวออกมาเบาๆ ดวงตาจับจ้องร่างบุรุษที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเขม็งยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ