บัดนี้องค์ชายอิ๋งหยางแห่งแคว้นฉิน ทรงมาปรากฏพระวรกายอยู่บนเตียงนอนของจางเพ่ยอันภายในโฮมสเตย์ที่พักในเขตเมืองซีอาน ด้วยเพราะสถานที่ดังกล่าวในยุคอนาคตถูกสร้างขึ้นตรงกับบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งค่ายกองทัพของแคว้นฉินในยุคโบราณ กระโจมที่ประทับของแม่ทัพใหญ่องค์ชายอิ๋งหยาง ก็ตั้งตรงกับห้องพักของจางเพ่ยอัน รวมไปถึงเตียงนอนในห้องพักก็ตั้งตรงกับแท่นพระบรรทมขององค์ชายหนุ่มในยุคอดีตเข้าให้พอดีอย่างไม่คาดคิด
และสาเหตุสำคัญที่ทำให้องค์ชายแห่งแคว้นฉินในอดีตกาลสามารถปรากฏพระวรกายในยุคอนาคตได้ นั่นก็เพราะวันประสูติของพระองค์เป็นดาวพิฆาต ซึ่งสามพันปีจะปรากฏเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ในขณะที่จางเพ่ยอันก็มีวันเดือนปีเกิดตกดาวพิฆาตเช่นเดียวกัน ซึ่งทิ้งช่วงระยะเวลาครบสามพันปีเข้าให้พอดี หากแต่แตกต่างตรงที่ดาวพิฆาตจะเกิดขึ้นกับบุรุษเท่านั้น ครั้นกาลเวลาเวียนมาบรรจบครบสามพันปีในครานี้ดวงพิฆาตกลับกลายเป็นอิสตรีนั่นก็คือจางเพ่ยอันนั่นเอง อย่างที่มิเคยปรากฏมาก่อนตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา ครั้นหญิงสาวเดินทางมาถึงพื้นที่ ซึ่งโลกอดีตเป็นค่ายที่ตั้งกองทัพของแคว้นฉินอันเกรียงไกร ดวงพิฆาตทั้งสองจากยุคอดีตและยุคปัจจุบันโคจรมาพบกันโดยมิได้นัดหมาย ทำให้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้นมาโดยพลัน เป็นเวลานานที่ร่างระหงของหญิงสาวซึ่งนั่งกอดเข่าตัวลีบตัวงออยู่ชิดกำแพงมุมห้อง ดวงตาจับอยู่ที่ร่างของผู้ชายตัวโตมหึมาที่กำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงนอนของเธออยู่ในขณะนี้ “ทำไมไม่หายไป! ยังนอนอยู่อีกเหรอเนี่ย” หญิงสาวนั่งกอดเข่าพึมพำ ก่อนจะคอยืดคอยาวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงของเธอกำลังพูดอะไรบางอย่างออกมา “อันอัน! อันอัน!” เสียงเพ้อเพรียกหาชื่อสตรี “เฮ้ย! ผีละเมอได้ด้วยแฮะ” จางเพ่ยอันเอ่ยออกมาทันที พร้อมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เมื่อความกลัวเริ่มเลือนหายไป ร่างอรชรค่อยๆ เดินอ้อมเตียงก่อนจะไปหยุดยืนมองบุรุษปริศนาในเครื่องแต่งกายโบราณ ซึ่งจู่ๆ ก็มาปรากฏอยู่ในห้องพักของเธอ “ใส่หน้ากากแบบนี้... ใช่ผีตัวเดียวกันกับอีตาแม่ทัพเจ้าของปิ่นหยกหรือเปล่านะ” กล่าวพลางใช้สายตาสำรวจหน้ากากสีเงินที่ปิดใบหน้าอย่างละเอียด “แต่จะว่าไปหน้ากากที่ใส่ก็เหมือนกันมากเลยหรือว่าจะเป็นตัวเดียวกัน” หญิงสาวยืนบ่นพึมพำพร้อมใช้สายตาสำรวจไปทั่วร่างที่กำลังนอนอยู่ ก่อนจะมาสะดุดหยุดลงเมื่อเห็นผ้าพันแผลสีขาวเต็มไปด้วยโลหิตสีแดงฉานไหลซึมออกมาจนชุ่มโชกเนืองนอง “ผีอะไรบาดเจ็บ... มีด้วยหรือนี่... มันใช่เหรอที่จะมีเลือดไหลซึมออกมาซะขนาดนี้” เธอกล่าวพร้อมยื่นมือออกไปอย่างช้าๆ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ร่างตรงหน้าเขม็งเพื่อทดสอบอะไรบางอย่างเพื่อความแน่ใจ นิ้วชี้และนิ้วนางแตะลงบนหลังพระหัตถ์ขององค์ชายหนุ่มจากยุคอดีตก่อนจะแน่นิ่งอยู่เช่นนั้นมิชักมือกลับแต่อย่างใด หากแต่ดวงตากลับเบิกกว้างด้วยความตกใจระคนสงสัยในคราเดียวกัน เมื่อเธอล่วงรู้แล้วว่าผู้ชายที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่ในขณะนี้มีเลือดเนื้อและชีวิต มิใช่ดวงวิญญาณดั่งคราแรกที่คาดเดา “คนหรือนี่! เป็นไปได้ยังไง” หญิงสาวยืนรำพึง สมองเต็มไปด้วยความสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก “ช่างเถอะ! ช่างเถอะ! อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้ ว่าเขาเป็นใครและมาจากไหน สภาพแบบนี้ท่าทางอาการไม่ธรรมดาซะแล้ว จะเริ่มยังไงก่อนดีล่ะทีนี้” จางเพ่ยอันกล่าวพลางยกมือขึ้นจับขมับทั้งสองข้างของเธอพร้อมหลับตาลงทันใดเพื่อเรียกสติของตัวเองให้กลับคืนเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด พรึบ! เปลือกตาเปิดขึ้นทันใด ก่อนจะทรุดกายลงนั่งบนเตียงนอน มือเรียวแยกสาบเสื้อคลุมสีดำทะมึนที่ปกปิดร่างใหญ่เอาไว้เพียงหลวมๆ เผยให้เห็นผ้าพันแผลสีขาวซึ่งทำมาจากผ้าฝ้ายเปียกชุ่มไปด้วยเลือด ทั่วกายเต็มไปด้วยไอร้อนดั่งไฟเผาผลาญ “โอ้โฮ! ไข้สูงมากๆ เลย ตัวร้อนอย่างกับไฟ ไม่ใช่ผีแล้วละนี่มันคนชัดๆ อาการแย่ขนาดนี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล แล้วนี่ก็ไม่รู้ไปโดนอะไรมา ทำไมถึงมีแต่เลือดไหลออกมาไม่ยอมหยุดเลย” หญิงสาวกล่าวพร้อมลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงไปห้องน้ำ อ่างน้ำใบขนาดย่อมทำมาจากกระเบื้องดินเผา ซึ่งทางโฮมสเตย์มีไว้ให้ลูกค้าสำหรับใช้ล้างหน้าถูกจางเพ่ยอันใช้น้ำแข็งที่อยู่ในช่องฟรีซของตู้เย็นนำมาเทใส่จนหมด ก่อนจะนำผ้าขนหนูส่วนตัวของเธอ ลงไปจุ่มจนเปียก บิดเพียงแค่หมาดๆ รีบหันกลับเพื่อนำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวคนเจ็บ แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อมองไปที่หน้ากากสีเงินซึ่งปิดบังใบหน้าอยู่ในขณะนี้ “อาการหนักจะตายอยู่มะรอมมะร่อยังอุตส่าห์ใส่หน้ากากปิดหน้าเอาไว้อีกเหรอ ท่าทางคงจะกลัวใครเห็นใบหน้า ถ้าไม่ขี้เหร่จนตัวเองรับไม่ได้ ก็คงมีแผลน่าเกลียดน่ากลัวหรือไม่ก็คงจะปิดเอาไว้เท่ๆ” หญิงสาวยืนบ่นพึมพำพลางทรุดกายลงนั่งข้างๆ พร้อมโน้มตัวลงกระซิบแนบชิดริมหูคนตัวโต “ฉันขออนุญาตถอดหน้ากากออกก่อนนะท่านแม่ทัพ จะรีบเช็ดตัวให้ ไข้จะได้ลด” หญิงสาวกระซิบบอกพร้อมเอื้อมมือค่อยๆ ดึงหน้ากากสีเงินที่ปิดบังพระพักตร์ขององค์ชายจากยุคอดีต พรึบ! หน้ากากสีเงินถูกดึงออกพร้อมพระพักตร์ที่แท้จริงปรากฏอยู่ตรงหน้าสตรีสาวจากโลกอนาคต ดวงตาคู่สวยมองใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากดังกล่าวนิ่งงันไปชั่วขณะเลยทีเดียว “ว้าว! ผิดคาดแฮะ หล่อเป็นบ้าเลยวุ้ย!” แม่สาวน้อยเอ่ยออกมาทันใดเมื่อเห็นใบหน้าบุรุษเจ้าของหน้ากากสีเงิน หญิงสาวค่อยๆ วางหน้ากากลงบนโต๊ะข้างเตียง พร้อมหันกลับมาพิศมองใบหน้าคมคร้าม หล่อเหลา จนอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรูปโฉมของคนเจ็บชวนหลงใหลในขณะที่เช็ดตัวไปด้วย ก่อนจะแช่ผ้าลงในน้ำเย็นจัดที่มีแต่น้ำแข็งอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด นำมาวางไว้บนหน้าผากเมื่อเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อย “อยากรู้จังว่าไปโดนอะไรมาเลือดถึงไหลไม่หยุดแบบนี้ ขอดูหน่อยเถอะนะ ไหนๆ ก็ทำถึงขนาดนี้แล้ว” หญิงสาวไม่รอช้ารีบหันหลังกลับเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า คว้ากระเป๋าเดินทางควานหากรรไกร ก่อนจะหยิบกระดาษทิชชู่ถือติดมือมาด้วย “ใช้กรรไกรตัดผ้าพันแผลออกเลยแล้วกัน รวดเร็วทันใจดีเพราะถึงยังไงก็ต้องส่งโรงพยาบาลอยู่แล้ว” หญิงสาวยืนพึมพำมองกรรไกรคมกริบที่ถืออยู่ในมือขณะนี้ จางเพ่ยอันค่อยๆ โน้มกายของเธอพร้อมใช้กรรไกรตัดผ้าพันแผลออกจากร่างใหญ่ตรงหน้า ให้ขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย ก่อนจะใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าดังกล่าวออกจากร่างนั้นอย่างเบามือ “คุณพระช่วย!” แม่สาวน้อยอุทานออกมาทันที บาดแผลกระสุนปืนจากยุคอนาคตซึ่งฝังในอยู่บริเวณหน้าอก เป็นรูขนาดเท่าหัวกระสุน ปากแผลบวมเป่งมีเลือดไหลซึมตลอดเวลา และมีน้ำหนองไหลนองออกมาด้วยพร้อมกัน ทั่วบริเวณแผ่นอกเต็มไปด้วยสีช้ำเลือดช้ำหนอง “นี่มันแผลถูกยิงชัดๆ” หญิงสาวกล่าวพร้อมยื่นปลายนิ้วเรียวตรงเข้าสัมผัสปากแผลที่กำลังบวมเป่ง ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสถูกบาดแผล พรึบ! ภาพเหตุการณ์ในวันที่เธอถูกลูกหลงโดนยิงเข้ากลางหลังในเทศกาลดอกโบตั๋นปรากฏขึ้นให้เห็นทันใด ร่างของหญิงสาววิ่งหนีตายมาอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนจะวิ่งตรงดิ่งเข้ามาหาผู้ชายสวมชุดเกราะเพื่อขอความช่วยเหลือ และมีอันต้องล้มลงทันทีเมื่อถูกปืนยิงเข้าที่กลางหลัง โดยมีบุรุษในชุดเกราะโผเข้ารับร่างของเธอเอาไว้ในอ้อมกอดของเขา ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป “เป็นไปไม่ได้! นี่ฉันไม่ได้ฝันอย่างนั้นหรอกเหรอ เหตุการณ์ในวันนั้นที่แท้มันคือเรื่องจริง เป็นไปได้ยังไงกัน” หญิงสาวกล่าวพร้อมยกมือขึ้นปิดปากของเธอทันที ในเวลานี้สมองเต็มไปด้วยความสับสนจนแยกไม่ออกแล้วว่า เหตุการณ์ในวันนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่ “เอาไว้ก่อนดีกว่า ตอนนี้ชีวิตคนสำคัญที่สุด ท่าทางกระสุนจะฝังในอักเสบรุนแรงถึงขนาดนี้ ไม่รู้อยู่มาได้ยังไงจนถึงป่านนี้ได้ น่าจะตายตั้งแต่วันแรกที่โดนยิงไปตั้งนานแล้ว” หญิงสาวกล่าวพร้อมสะบัดศีรษะของเธอไปมาอย่างแรง ร่างระหงรีบหันกลับไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง แป้นโทรศัพท์แบบทัชสกรีนถูกปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอพร้อมกดเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด นำร่างของบุรุษเจ้าของหน้ากากสีเงินส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ