ไทฮองไทเฮาไม่ทันสังเกต ว่าทหารบุกเข้ามาในหอบรรพบุรุษตระกูลมู่หรงคนในตระกูลมู่หรงที่ยืนอยู่ในเรือนต่างถูกคุมตัวไว้หมด ไม่ปล่อยให้พวกเขาเคลื่อนไหวใด ๆทุกคนต่างหวาดหวั่น มองหน้ากันไปมา“อะไรกัน? ทหารมาที่หอบรรพบุรุษทำไม?”หมอเทวดาเหยียนและหมอหลวงที่รับผิดชอบคดีมนุษย์โอสถ ถูกพาตัวมาข้างหลังเรือน เพื่อสังเกตุหญ้าพิษในสถานที่จริงผ่านไปครู่หนึ่ง หมอหลวงทั้งหลายต่างเห็นพ้องต้องกัน ว่าหญ้าพิษในที่แห่งนี้ กอปรกับหญ้าบัวแดง สามารถนำมาผสมเป็นพิษมนุษย์โอสถได้จริง ๆคราวนี้ จับได้ทั้งคนและของกลางคนตระกูลมู่หรงถูกจับกุม โดยเฉพาะเหล่าบุรุษที่มีสิทธิ์มากราบไหว้บรรพบุรุษไทฮองไทเฮาเห็นเช่นนี้ พลันเข้าใจในทันทีที่แท้ ฝ่าบาทให้นางมาที่หอบรรพบุรุษ ก็เพื่อหาหลักฐานความผิดเขาช่างไม่คิดถึงความรู้สึกของเสด็จย่าอย่างนางเลย!ไทฮองไทเฮาจ้องเหล่าทหารอย่างโมโห“หยุดนะ! พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!“ไม่อย่างนั้นพวกเจ้ามาจับข้าไปด้วยให้รู้แล้วรู้รอดสิ!”สิ้นเสียงคำพูดของนาง ทหารทางการก็เข้ามา “ไทฮองไทเฮา ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาเชิญตัวท่านไปที่ศาลต้าหลี่ เพื่อให้ความร่วมมือในการสอบสวนคดีมนุษย์โอสถ!”ไทฮ
จากรายชื่อที่บันทึกในวงศ์ตระกูลมู่หรง คนที่ไม่ถูกบันทึกรายชื่อ แต่มีตัวตนอยู่จริง ๆ ในรุ่นก่อนหน้าล้วนลาลับไปหมดแล้วคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คือลูกคนที่เจ็ดของท่านผู้เฒ่า——มู่หรงสวี้ยึดตามลำดับญาติ มู่หรงสวี้ผู้นี้คือน้าเจ็ดของมู่หรงหลันคนผู้นี้ใช้ชีวิตอย่างลับ ๆ ยามปกติไม่ค่อยมารวมตัวกับตระกูลมู่หรงเท่าไรแม้แต่พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษในแต่ละปี เขาก็ไม่เคยเข้าร่วมเลยสักครั้งคนในตระกูลมู่หรงแทบจะลืมเลือนการมีอยู่ของคนผู้นี้ไปช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ครอบครัวของบุตรคนโตได้รับการดูแลจากคนผู้นี้ และมักจะได้รับการช่วยเหลือด้านการเงินจากคนผู้นี้เมื่อพูดถึงนายท่านคนที่เจ็ดของตระกูลมู่หรง หลาย ๆ คนในครอบครัวต่างนิ่งงัน“มีคนนี้อยู่ด้วยหรือ?” “อ้อ ข้านึกออกแล้ว เหมือนจะมีน้าเจ็ดอยู่คนหนึ่ง…”“น่าจะเป็นน้าเจ็ดที่ทำค้าขายอยู่ข้างนอกกระมัง?”“คงเป็นน้าเจ็ดที่บาดเจ็บเพราะถูกไฟไหม้หรือไม่?”ทุกคนล้วนมีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป ความทรงจำที่มีเกี่ยวกับนายท่านเจ็ดไม่ค่อยมีมากเท่าไรอันซื่อผู้เป็นสะใภ้ครอบครัวของบุตรคนโตพูดอย่างตรงไปตรงมา“หลังจากสามีของข้าตาย น้องเจ็ดเคยช่วยเหลือพ
ที่ทำการหลักของกลุ่มค้ามนุษย์โอสถแถวชานเมืองตะวันออกของเมืองหลวงถูกยึดไว้ได้แล้ว สมาชิกของกลุ่มค้ามนุษย์โอสถก็ถูกจับกุมทั้งหมด ภายใต้การสอบสวนด้วยการลงโทษอย่างรุนแรง พวกเขาก็เปิดเผยทุกอย่างที่รู้หลายปีที่ผ่านมากลุ่มค้ามนุษย์โอสถได้สร้างมนุษย์โอสถอย่างต่อเนื่อง และส่งขายไปยังที่ต่าง ๆ รวมถึงพรรคเทียนหลงที่เคยก่อกบฏในครั้งนั้น และแคว้นตงซานด้วยเจ้าหน้าที่ที่ทำการสอบสวนจึงถามต่อ“ตระกูลเซวียมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับคดีนี้ ใต้เท้าเซวียผู้นั้นถูกพวกเจ้าฆ่าปิดปากใช่หรือไม่!”“ใช่...เป็นพวกเราทำเอง หลังจากเสียนเฟยถูกจับไปเป็นครั้งที่สอง นายท่านก็ตัดสินใจจะกำจัดตระกูลเซวียแล้ว เขาสั่งให้พวกเราจับตาดูตระกูลเซวียไว้ วันนั้นเมื่อใต้เท้าเซวียออกจากจวน พวกเราก็ลงมือเลย”“ใต้เท้าเซวียต้องการจะแจ้งความพวกเจ้า ใช่หรือไม่?”คนที่ถูกสอบสวนตอบ: “ใช่ ทว่า...ต่อให้เขาแจ้งความ นายท่านก็ดูแลตัวเองให้รอดพ้นได้ ถึงอย่างไร หลายปีที่ผ่านมา เขาก็รู้แค่เรื่องของหญ้าบัวแดง เพื่อจะช่วยเหลือบุตรสาว เขาจึงต้องรักษาความลับไว้”“ใต้เท้าเซวียรู้อะไรบ้าง” เจ้าหน้าที่ถามอย่างดุดันคนผู้นั้นเอ่ยช้า ๆ“ในตอนน
นอกพระราชวัง ที่จื้อจ้ายจวีวันนี้เซียวอวี้มีเวลาว่างอย่างหาได้ยาก จึงมาที่นี่เพื่อทานมื้อค่ำร่วมกับเฟิ่งจิ่วเหยียนทว่ากลับเห็นนางนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีหนังสือวางกองอยู่หลายเล่มนางกำลังอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจเซียวอวี้เดินเข้าไปใกล้แล้ว นางถึงเงยหน้าขึ้นมองเขา“ท่านมาได้อย่างไรเพคะ?”เซียวอวี้ได้ยินเช่นนี้ ก็อดที่จะรู้สึกผิดหวังไม่ได้“เจ้าไม่อยากให้เรามาหรือ?”ขณะที่พูด เขาก็อุ้มนางขึ้นมาจากเก้าอี้ ตนเองก็นั่งลงไป ส่วนนางก็นั่งอยู่บนตักเขาเซียวอวี้ลูบที่ท้องของนางเบา ๆ เอ่ยตัดพ้อกับบุตรโดยแสร้งทำเป็นโมโห“ฟังแม่เจ้าพูดสิ ช่างเป็นสตรีที่ใจร้าย พ่อจะมาหาพวกเจ้า แต่นางกลับรังเกียจพ่อ”เฟิ่งจิ่วเหยียนดึงมือของเขาออก สีหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ“ไม่ได้รังเกียจท่าน แค่กังวลว่าท่านจะอ่านฎีกาไม่แล้วเสร็จ จนต้องอดหลับอดนอนอีก”เซียวอวี้จับที่มือของนาง นำมาวางข้างริมฝีปากและจุมพิตเบา ๆ ในแววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นและลึกซึ้ง“ที่แท้เจ้าก็ยังรู้จักเป็นห่วงเรา”จากนั้นเขากวาดสายตามองไปยังหนังสือบนโต๊ะ “กำลังอ่านอะไรอยู่?”“หม่อมฉันให้หยิ่นลิ่วไปนำมาจากวัง เพราะอยากรู้เกี่ยวกับ
ไม่มีผู้ใดเคยคิดว่า รุ่ยอ๋องจะตกเป็นเป้าสายตาเซียวอวี้จึงรีบสั่งให้คนไปเฝ้าประตูเมืองทุกที่อย่างเข้มงวด และสืบหาตำแหน่งของรุ่ยอ๋องขณะเดียวกันก็ยังปิดประกาศ ให้ชาวบ้านในเมืองแจ้งเบาะแสหลังเกิดเหตุ องครักษ์ในจวนรุ่ยอ๋องก็พากันสำรวจค้นหาไปตามที่ต่าง ๆวันต่อมา คนกลุ่มหนึ่งพบเจอหลิวหวาที่บาดเจ็บสาหัสนอนอยู่บนพื้นแถวชานเมืองหลิวหวาเป็นองครักษ์คนสนิทของรุ่ยอ๋อง วันก่อนขณะที่รุ่ยอ๋องถูกหลอกพาตัวไป หลิวหวาก็อยู่ข้างกายรุ่ยอ๋องหลังจากเขาฟื้นขึ้นมา ก็บอกกับทุกคน“...รถม้าวิ่งไปถึงกลางทาง ท่านอ๋องสังเกตว่าทิศทางไม่ถูกต้อง ข้าพยายามบังคับให้หยุดรถม้า กลับถูกคนขับถีบลงจากรถม้า“ในขณะนั้นพระชายาก็ตามมาถึง เห็นเพียงพระชายากระโดดขึ้นรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้น ข้าก็ไม่อาจรู้ได้แล้ว ทว่ายังพอจำได้ว่า เส้นทางรถม้ามุ่งไปทางตะวันตก”จากนั้นหลิวหวาจึงถามทันทีว่า: “เรื่องที่ท่านอ๋องประสบเหตุ ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่? มีการส่งคนไปช่วยเหลือแล้วหรือไม่?”ณ พระราชวังเซียวอวี้สีหน้าดูเคร่งเครียดเขาไม่แน่ใจว่า คนที่จับตัวรุ่ยอ๋องไป แท้จริงเป็นผู้ใด และมีจุดประสงค์ใดถึงแม้จะมีควา
ตอนนี้หร่วนฝูอวี้รู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้างเป็นเพราะนางประมาทศัตรู ถึงต้องตกอยู่ในสภาพ “พลาดท่าอย่างสิ้นเชิง”รุ่ยอ๋องเป็นเพียงสามีในนามของนางเท่านั้น ไม่ว่าจะตายหรือมีชีวิตอยู่ ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับนางมากนักเพื่อช่วยเหลือเขา ตอนนี้แม้แต่นางเองก็ต้องเผชิญอันตรายด้วยช่างไม่คุ้มค่าจริง ๆทว่าต่อให้มีเงินทองมากมายก็ไม่อาจซื้อยาแก้โรคเสียใจภายหลังได้สิ่งที่เร่งด่วนตอนนี้คือการหนีออกจากที่แห่งนี้หร่วนฝูอวี้ลดเสียงเบาลง เอ่ยกับรุ่ยอ๋อง“ข้าฟื้นก่อนเจ้าหน่อย สถานที่เลวร้ายแห่งนี้มีกลไกซับซ้อน กลางดึกยังได้ยินเสียงภูตผีร้องโหยหวนและสุนัขเห่าหอนด้วย“หากคิดจะหนีออกไป ต้องตรงไปยังจุดหมาย“เจ้าลองคิดดูก่อนว่า คนที่ลักพาตัวเจ้าเป็นใคร“หากรู้เป้าหมายของพวกเขา พวกเราถึงจะใช้ประโยชน์จากมันได้”รุ่ยอ๋องครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตอนนี้ข้านึกไม่ออกเลย”เขาเป็นคนเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย น้อยมากที่จะล่วงเกินผู้ใดหร่วนฝูอวี้โมโหที่เขาไม่พยายามใช้ความคิด“เจ้านึกดูให้ดี! จะต้องเป็นศัตรูของเจ้าแน่นอน”เพราะอย่างไรคนที่พวกเขาต้องการจับตัวมาก็คือเขา นางเพื่อช่วยเหลือเขา จึงถูกบังคับให้เข้ามา
ทุกที่ในสุสานใต้ดินนั้นมืดสนิทหร่วนฝูอวี้กับรุ่ยอ๋องออกจากที่ถูกคุมขัง ในเวลานั้นราวกับแมลงวันไร้หัว ไม่รู้ทิศทาง ยากที่จะหาทางออกได้เพื่อป้องกันไม่ให้เดินแยกกัน หร่วนฝูอวี้จึงเอ่ยในทำนองออกคำสั่ง“จับแขนเสื้อของข้าไว้ และตามมาใกล้ ๆ หน่อย”“ตกลง” รุ่ยอ๋องอยู่ด้านหลังของนาง คล้ายกับผู้ติดตามเขาเอ่ยเตือน: “ระวังหน่อย กลัวว่าจะเจอกับ...”“ชู่! เจ้าฟังสิ เสียงอะไร?”ท่ามกลางความมืด พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้ามีคนมา!ที่นี่ซับซ้อนมืดมิด แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อการซ่อนตัวหร่วนฝูอวี้กับรุ่ยอ๋องกลั้นหายใจ ยืนชิดกับกำแพง สุดท้ายก็ไม่ทำให้คนที่มาจับได้รอจนเสียงฝีเท้าห่างออกไปไกล พวกเขาถึงค่อยโล่งใจหร่วนฝูอวี้เข้าไปใกล้ ๆ ข้างหูของรุ่ยอ๋อง และเอ่ยเสียงเบา“เดินคลำไปตามกำแพง จะต้องเจอทางออกได้”รุ่ยอ๋องตอบ: “เจ้าคลำกำแพงนำทางไป ข้าจะดึงชายเสื้อเจ้าไว้”หร่วนฝูอวี้: ...เขาไม่คิดจะออกแรงแม้แต่น้อยเลยหรือ!ตอนที่นางกับซูฮ่วนตกอยู่ในอันตรายด้วยกัน นางไม่ต้องทำสิ่งใดเลย เพียงแค่ทำตัวออดอ้อน แนบชิดอยู่ในอ้อมอกของซูฮ่วน แทบไม่ต้องกังวลว่าจะออกไปไม่ได้ด้วยซ้ำเฮ่อ!เป็นอีกวันที่คิดถึงซ
งูตัวนั้นเจ้าเล่ห์นัก ครู่เดียวก็เลื้อยเข้าไปในเรือนหลัก และไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ใดเพื่อจะจับงู จึงจำเป็นต้องรื้อค้นทรัพย์สินส่วนพระองค์ของฮองเฮาเรื่องนี้จำต้องทูลขออนุญาตจากฮ่องเต้ประจวบเหมาะที่ช่วงค่ำเซียวอวี้คิดถึงฮองเฮา จึงมาที่จื้อจ้ายจวี องครักษ์จึงนำเรื่องนี้กราบทูลทันทีเซียวอวี้ขมวดคิ้วเขาเข้าไปในห้องด้วยตนเอง หลังจากค้นหาอยู่รอบหนึ่ง กลับพบว่างูตัวนั้นกำลังนอนขดตัวอยู่บนเตียงทันใดนั้น คนหนึ่งคนกับงูหนึ่งตัว ก็ประสานสายตากันสีหน้าของเซียวอวี้เปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่ง ขณะกำลังจะให้คนเข้ามาจับงู จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามันดูคุ้นตางูตัวนี้ คล้ายกับงูตัวที่หร่วนฝูอวี้เลี้ยงไว้เมื่อนึกถึงว่าหร่วนฝูอวี้กับรุ่ยอ๋องหายตัวไปพร้อมกัน เซียวอวี้ก็เริ่มเอะใจหลังจากเขาสั่งให้คนใช้ถุงตาข่ายจับงูตัวนั้นไว้แล้ว ก็นำมันไปส่งที่จวนรุ่ยอ๋อง เพื่อต้องการให้คนในจวนยืนยัน องครักษ์หลิวหวาออกมายืนยันเป็นคนแรกหลิวหวาฝืนความรู้สึกต่อต้านตามสัญชาตญาณ เข้าไปดูใกล้ ๆหลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ เขาก็ยืนยันทันที“นี่คืองูที่พระชายาเลี้ยงไว้!”ที่จื้อจ้ายจวีเมื่อข่าวส่งกลับมาที่เซียวอวี้ เขาก็เก
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้