“ช่วย”กลับกันหากมีบุคคลที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่ตกอยู่ในอันตรายละก็ นางจักต้องยื่นมือออกไปช่วยแน่นอนจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ช่วยในขอบเขตที่หม่อมฉันพอจะช่วยเหลือได้เพคะ”อาจารย์หญิงมักจะกล่าวกับนางเสมอว่า ชีวิตของนางย่อมเป็นของตัวเองก่อนเซียวอวี้เพียงสนใจคำของนางว่า “ช่วย” เขามิอาจบอกได้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไรในยามนี้หลิงเยี่ยนเอ๋อร์เองก็เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเขาเช่นกัน ทั้งยังยินยอมมอบทั้งหัวใจและวิญญาณให้กับเขา และยังยอมลดอายุขัยเพื่อเขาอีกหากเปรียบเทียบกันแล้ว สิ่งที่ฮองเฮาทำมีเพียงแค่ช่วยแก้พิษวารีสวรรค์และเอาตัวมาบังลูกธนูเท่านั้น หาได้มากเท่ากับสิ่งที่หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ทำให้เขาตลอดสี่ปีที่ผ่านมาไม่ทว่า หัวใจของเขา กลับสั่นไหวเพราะฮองเฮาอาจเป็นเพราะหลิงเยี่ยนเอ๋อร์มอบทุกอย่างให้กับเขา แต่ก็ได้รับหลาย ๆ อย่างจากเขาเช่นกันแต่ ฮองเฮาไม่เคย...ทว่าความอ่อนโยนในนัยน์ตาของเซียวอวี้กลับถูกความเย็นชาเข้ามาบดบังอีกครั้งผู้ใดจักไปรู้กัน ว่าฮองเฮามิมีสิ่งที่ตัวเองต้องการ มิใช่การถอยเพื่อรับหลายวันที่ผ่านมานั้นเขาเอาแต่คิดมากทุกครั้งที่เขานึกถึงงานเลี้
เซียวอวี้ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้ามืดมน ใบหน้าราวกับถูกปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์ยามเหมันตฤดูที่หนาวเหน็บ ทั้งยังคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความผิดของฮองเฮาทันใดนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนที่มีกำลังภายในอันเข้มข้นจึงได้รับรู้การมีอยู่ของเซียวอวี้ได้ในทันทีทั้งคู่พลันสบตากัน เฟิ่งจิ่วเหยียนคล้ายกับเห็นความรังเกียจฉายอยู่ในดวงตาของเขา...เหลียนซวงเองก็มองตามสายตาของฮองเฮาไป เมื่อเห็นว่าเป็นฮ่องเต้นั้น นางจึงรีบร้อนหยิบเสื้อตัวนอกที่วางเอาไว้บนเตียงขึ้นมาคลุมร่างของฮองเฮาในทันทีเหลียนซวงราวกับลืมไปว่า การที่ฝ่าบาทมองสตรีของตนเองนั้นเป็นเรื่องที่สมควรกระทำนับว่าโชคดีที่ในยามนี้แผลมีผ้าพันเอาไว้อยู่“เข้าเฝ้าฝ่าบาทเพคะ”เหลียนซวงรีบออกมาทำความเคารพในทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงได้แต่แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยตนเอง นั่นจึงทำให้นางหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บที่หลังไปอย่างเสียไม่ได้ แต่นางก็ได้แต่ต้องอดทนเอาไว้เซียวอวี้เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา“วันนี้ฮองเฮายังคงมีไข้สูงอยู่หรือไม่”เหลียนซวงก้มหน้าตอบกลับ “เพ เพคะ”เหลียนซวงมีท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อยมิรู้เลยว่าฝ่าบาทมาถึงเมื่อใดนับ
“ทั้งสำนักหมอหลวงไปตรวจโรค?” ไทเฮาทรงตกตะลึงไปครู่หนึ่งโดยปกติแล้ว หากในวังหลวงมีคนป่วยนั้น มักจะใช้หมองหลวงประมาณสองคนผลัดกันเข้าเวรมาตรวจดูอาการเท่านั้น หากว่าให้หมอหลวงทั้งสำนักมาทำการตรวจนั้น ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่งอาการป่วยของฮองเฮาสาหัสเพียงนั้นเลยหรือ?กุ้ยหมัวมัวพลันโค้งกายคำนับ “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันเดาว่าฝ่าบาทคงคาดเดาได้ว่าฮองเฮาแสร้งประชวรเพคะ”ไทเฮาพลันเลิกคิ้วขึ้น“หากเป็นเช่นนั้น ก็อาจจะเป็นไปได้”ทว่า ค่ายกลล้อมจับนี้นับว่าใหญ่นักหากฮองเฮาแสร้งป่วยจริง ๆ แล้วไซร้ เรื่องราวทุกอย่างย่อมกระจ่างแจ้งขึ้น เช่นนั้นนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน?ตำหนักฟางเฟยน้ำเสียงของชิวหงเผยให้เห็นท่าทีสะใจขึ้นมา“กุ้ยเหรินเพคะ หากหมอหลวงในสำนักหมอหลวงมาวินิจฉัยเช่นนี้ ฮองเฮาแสร้งป่วยหรือไม่นั้น อีกไม่นานคงได้รู้กันแล้ว”มู่หรงฉานที่กำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับข่าวคราวของพี่ชายตนเองนั้น ใบหน้าพลันเจือไปด้วยความวิตกกังวล ทว่า หลังจากที่ได้ยินชิวหงเอ่ยขึ้นมานั้น ใบหน้าของนางจึงเจือไปด้วยรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า หากฮองเฮาหลอกลวงฝ่าบาทขึ้นมาจริง ๆ ละก็ เช่นนั้นนางต้องโทษอย่างรุนแรง
ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันฉายแววความห่างเหินออกมาแม้ว่าหมอหลวงจักมิได้กล่าวความจริงออกมา ทว่า เซียวอวี้ก็คงมองออกว่านางแสร้งป่วยเช่นนี้นางคงมิอาจแสร้งป่วยต่อไปได้อีก ทั้งยังมิอาจใช้โอกาสนี้หาข้ออ้างหลบออกจากวังหลวงไปได้อีกแล้วในยามนี้ นางคงต้องคิดหาทางอื่นอย่างแรกต้องติดต่ออู้ไป๋ให้ได้เสียก่อน ต้องนำยาแสร้งตายมาให้ได้ทว่า การคุ้มกันภายในวังหลวงแน่นหนายิ่งนัก นี่ถือว่าเป็นปัญหาอันใหญ่หลวงอีกด้านหนึ่งเซียวอวี้มองออกว่าอาการไข้สูงของฮองเฮานั้นเป็นนางที่เสแสร้งออกมา ทว่า ก็มิมีหมอหลวงคนใดสักคนออกมากล่าวความจริงในเรื่องนี้หากแต่ยามนี้ภารกิจของแว่นแคว้นมีมากมายนัก เขามิอาจหาเวลามาคิดเรื่องเล็กเรื่องน้อยเช่นนี้กับนางได้การแสร้งป่วยเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ว่าจะคิดเช่นไรนางก็แค่หาวิธีเรียกร้องความสนใจจากเขาเท่านั้นเห็นแก่ที่นางเอาตัวรับลูกธนูให้เขานั้น เขาจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ ทว่า ก็มิคิดให้อภัยนางในเรื่องนี้เช่นเดียวกันหลังจากวันนั้น เซียวอวี้ก็มิได้มาเยือนที่ตำหนักหย่งเหออีกนางสนมเจียและนางสนมเจียงทั้งสองคนที่มักจะมาเยี่ยมเยียนบ่อย ๆนางสนมเจียพลันกล่าวว่
ภายในห้องทรงพระอักษรนั้น กลิ่นอายขององค์จักรพรรดิที่แผ่กระจายออกมา ย่อมทำให้ข้าราชบริพารใต้ล่างต้องยอมจำนนมู่หรงฉานยังคงท่วงท่าสง่างามของตนเองเอาไว้ ก่อนจะก้มหน้าลงหลุบสายตาลงไปมองบนพื้นภายในห้องโถงที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบ คล้ายกับว่าจะได้ยินเสียงหัวใจของตนเองที่เต้นรัวออกมาบุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์พลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก“พี่ชายของเจ้ายักยอกเงินจากค่ายทหาร ทั้งยังกระทำการแย่งชิงเกียรติยศของพลทหารคนอื่น ใช้การรุมประชาทัณฑ์เพื่อกำจัดคนที่รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งยังส่งคนไปไล่ล่าจนมาถึงเมืองหลวง เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างหรือไม่?”มู่หรงฉานขบกัดริมฝีปากล่างของตนเองเบา ๆ“แต่แรกจนโตหม่อมฉันเติบโตขึ้นภายในอารามเพคะ ในความทรงจำของหม่อมฉัน พี่ชายเป็นบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาจิตใจดี หม่อมฉันรู้ว่าเขา...”“งานเลี้ยงวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ของขวัญ”เซียวอวี้กลับเอ่ยตัดบทสนทนา ทำเอามู่หรงฉานตื่นตระหนกไปในทันทีเขาค่อย ๆ เปิดฎีกาขึ้นมาช้า ๆ พลางมองเนื้อหาในฎีกาไปด้วย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาด้วยท่าทีไม่รีบไม่ร้อน“มิเกี่ยวอันใดกับเจ้าเลยหรือ?”มู่หรงฉานไม่คาดคิดเลยว่า
ภายในตำหนักหย่งเหอยามที่เซียวอวี้มาถึงนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังดื่มยาอยู่นางสวมใส่อาภรณ์ที่เรียบง่าย นั่นจึงทำให้ทั่วร่างของนางเจือไปด้วยกลิ่นอายความเย็นชาราวกับแสงจันทร์ยานั้นแค่ได้กลิ่นก็นึกขมยิ่งนัก มิต้องคิดไปถึงยามที่กินเข้าไปเลยเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นยืนโค้งกายทำความเคารพด้วยท่าทีเฉยเมย“เข้าเฝ้าฝ่าบาทเพคะ”“ข้าบอกแล้วว่า อาการบาดเจ็บเจ้ายังไม่หายดี มิจำเป็นต้องทำความเคารพ”“เพคะ”หลังจากที่เซียวอวี้นั่งลงแล้วนั้น ยามที่เขาคิดจะเอ่ยถามถึงเรื่องหนังสือร้องเรียน ก็พลันเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดไร้สีของนางเข้าเสียก่อนเพียงมิได้พบหน้านางไม่กี่วัน นางกลับดูซูบเซียวไปได้มากถึงเพียงนี้เลยหรือข้ารับใช้ในตำหนักหย่งเหอไปทำอะไรกันหมด แม้แต่เจ้านายของตนเองก็ยังมิอาจปรนนิบัติรับใช้ให้ดีได้!“เชิญหมอหลวงมาแล้วหรือยัง?” เซียวอวี้เอ่ยถามออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา ใบหน้าดูเศร้าโศกยิ่งนัก“มาแล้วเพคะ สุขภาพร่างกายของหม่อมฉันหาได้เป็นอันใดมากไม่”เหลียนซวงพลันเข้ามาได้ทันเวลาพอดี“ฝ่าบาทเพคะ ฮองเฮามีความคิดอยากกลับไปเยี่ยมตระกูลของตนเอง ทำให้พระนางในยาม
“อาจารย์หญิง ข้าเพียงแค่...” เฉียวม่อรู้สึกอึดอัดใจ ฮูหยินเมิ่งเก็บจดหมายเหล่านั้นได้ทันเวลา นางจำได้ มันเป็นของจิ่วเหยียน เนื่องจาก หน้าซองจดหมายเขียนว่า——“อาเหยียนที่รัก” ฮูหยินเมิ่งสีหน้าเข้มขรึม เต็มไปด้วยการตำหนิ “เจ้าคิดจะทำอันใด? เหตุใดต้องเผาพวกมันทิ้งหมด!” เฉียวม่อกำชายอาภรณ์ ไร้ซึ่งความกล้าหาญเหมือนตอนนำการฝึกซ้อมทหารระหว่างวัน มีเพียงความรู้สึกผิด “ไม่ใช่...อาจารย์หญิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้า ข้าแค่รู้สึกว่า เก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ หากในอนาคตมีผู้ใดมาเจอเข้า มันจะทำให้ชื่อเสียงของศิษย์พี่เสื่อมเสีย” ฮูหยินเมิ่งค่อย ๆ กระตุกมุมปากขึ้น เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เจ้าคิดได้รอบคอบนัก “ทว่าสิ่งของเหล่านี้ ศิษย์พี่ของเจ้าดูเหมือนเป็นสมบัติอันล้ำค่า หากเจ้าตั้งใจเผาพวกมัน เจ้าได้ถามความคิดเห็นของศิษย์พี่หรือไม่?” เฉียวม่อส่ายหัวเบา ๆ พูดเสียงเบาเหมือนตัวริ้นบิน “อาจารย์หญิง ข้ามิได้คิดให้ดีพอ...ข้าแค่อยากจะปกป้องศิษย์พี่ ถึงอย่างไร เวลานี้นางเป็นฮองเฮาของแคว้น หากฝ่าบาททรงทราบว่า นางมีคำมั่นสัญญาชั่วชีวิตกับบุรุษอื่นแล้ว...” ต
แม้ว่าไทฮองไทเฮาอาศัยอยู่ที่ภูเขาอวี้หยางเป็นเวลานาน ทว่ายังมีหูตาของนางอยู่ในพระราชวังมากมาย นางกล่าว “ในงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ ฮองเฮาเอาตัวมาขวางลูกธนูแทนฝ่าบาท ยังมิได้รับรางวัลใด ๆ เลย เนื่องจากฝ่าบาทรับสั่งว่า ขอเพียงฮองเฮาเอ่ยปาก สิ่งใดก็สามารถให้ได้ แม้กระทั่งพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวศักดินาหนึ่งหมื่นครัวเรือนให้พี่ชายของนาง ฝ่าบาทสามารถรับปากอย่างง่ายดาย “ทว่า จวบจนบัดนี้ฮองเฮายังมิได้ขอสิ่งใด” ไทฮองไทเฮาแนะนำเพียงผิวเผิน มู่หรงฉานก็เข้าใจทันที ฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ หากฮองเฮาออกหน้าขอร้องแทนตระกูลมู่หรง ฝ่าบาทมีแนวโน้มจะตกลงอย่างมาก มู่หรงฉานขอบคุณและขอตัวลา เมื่อออกจากตำหนักวั่นโซ่ว ก็ตรงไปที่ตำหนักหย่งเหอ…… ภายในตำหนักหย่งเหอ มู่หรงฉานคุกเข่าเป็นเวลานาน เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ค่อย ๆ ดื่มยาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว นางมีสายตาเงียบสงบ ไร้ร่องรอยของระลอกคลื่นบนใบหน้า “แม้ว่าเจ้าคุกเข่าจนพิการ ข้าก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้” คนเช่นมู่หรงเจี๋ย ไม่มีค่าพอให้นางช่วย เขายักยอกเบี้ยหวัดทหาร มิใช่เพียงแค่เงินท
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้