ทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนมาถึงตำหนักฉือหนิง องค์หญิงใหญ่ก็เข้าไปต้อนรับด้วยตนเอง “แม่ทัพ...” องค์หญิงใหญ่เกือบจะพลั้งปากเรียก พลันเปลี่ยนคำพูด “ฮองเฮา” เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบสนองอย่างเรียบเฉย และย่อกายคำนับให้ไทเฮาบนที่นั่งหลักก่อน แววตาที่เมตตาของไทเฮา ยังแข็งทื่ออยู่บ้าง “ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่ง” จากนั้นนางก็หาข้ออ้าง “ข้าเหนื่อยแล้ว กุ้ยหมัวมัว ช่วยประคองข้าไปพักผ่อนข้างในหน่อย” “เพคะ” ไทเฮาจากไปแล้ว เหลือเพียงองค์หญิงใหญ่ที่อยู่ในตำหนักชั้นนอก เฟิ่งจิ่วเหยียนตระหนักได้ว่า มิใช่ไทเฮาที่มีธุระกับนาง หากแต่เป็นองค์หญิงใหญ่ ฝ่ายหลังเอ่ยถามอย่างเอาใจใส่ “ฮองเฮาสบายดีหรือไม่?” เฟิ่งจิ่วเหยียนผงกศีรษะเบา ๆ “อืม” องค์หญิงใหญ่ไม่อ้อมค้อมอีก และเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตนเองโดยตรง “เป็นข้าที่ขอให้เสด็จแม่เชิญท่านมาที่นี่ “หากสถาบันทางการทหารเปิดสอนแล้ว ข้าอยากเข้าเรียนด้วย จะได้หรือไม่?” เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบอย่างสงบเยือกเย็น “เรื่องนี้ องค์หญิงควรไปทูลปรึกษากับฝ่าบาท” องค์หญิงใหญ่พ่นลมหายใจผ่านจมูกอย่างเย็นชา “
เฟิ่งจิ่วเหยียนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเซียวอวี้ พลันยกมือประคองใบหน้าของเขา และถามอย่างจริงจัง “ท่านอยากร้องไห้หรือเพคะ?” เซียวอวี้ : !! นางช่างไร้หัวใจ! ทันใดนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันโน้มตัวไปข้างหน้าและจุมพิตที่มุมปากของเขา สัมผัสที่นุ่มนวลอ่อนหวาน เสมือนขนนกปลิวกระทบใบหน้า “ฝ่าบาท อนุญาตให้หม่อมฉันกอดท่านได้หรือไม่?” เซียวอวี้ผงกศีรษะตามสัญชาตญาณ หลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ลุกขึ้น โน้มตัวลง แล้วเอื้อมมือไปช้อนใต้ข้อพับขาของเขา เป็นการ...อุ้มเขาขึ้นแนวนอนไว้ เขาผงะถอยกลับไปทันที ล้มกระแทกเก้าอี้ด้วยความตื่นตระหนก “ฮองเฮา! เจ้าคิดจะทำอันใด!” “อุ้มท่านไงเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงศีรษะด้วยความฉงน พลางเอ่ยอย่างสงสัย “มิใช่ว่ายินยอมแล้วหรือ ยามนี้จะปฏิเสธหรือเพคะ” เซียวอวี้ : ! “มีผู้ใดอุ้มผู้ชายแบบเจ้ารึ?” นางเห็นเขาเป็นตัวอะไร ช่วยรักษาศักดิ์ศรีให้เขาบ้างเถิด! เฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบายด้วยกิริยาผ่อนคลาย “ยามที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บในสนามรบ หม่อมฉันก็ช้อนอุ้มคนอื่นเช่นนี้” เซียวอวี้พูดไม่ออก และยิ่งทำอันใดไม่ถู
รุ่ยอ๋องมิรู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเดินออกจากคุกมาได้อย่างไร จิตใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก้าวเดินอย่างล่องลอย คล้ายกับสูญเสียจิตวิญญาณไป เสมือนเปลือกที่ห่อหุ้มความว่างเปล่าไว้ “ท่านอ๋อง...” หลิวหวานึกตำหนิตนเอง หากในคืนนั้นเขาปกป้องท่านอ๋องให้ดี ๆ ท่านอ๋องคงจะไม่ถูกนางแม่มดนั่นทำลาย! รุ่ยอ๋องสะบัดมือของหลิวหวาที่หมายจะช่วยประคองเขาออกไป “อย่าแตะต้องข้า” เสียงแหบต่ำ แสดงถึงสภาพจิตใจที่สิ้นหวังในขณะนี้ ณ ห้องทรงพระอักษร ครั้นเซียวอวี้ได้เห็นใบหน้าอมทุกข์ของรุ่ยอ๋อง คิ้วกระบี่พลันย่นเบา ๆ “เกิดอันใดขึ้น” รุ่ยอ๋องพลันคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง “ตึง” “ฝ่าบาท หร่วนฝูอวี้นาง...” ผ่านไปนานเขายังไม่อาจพูดประโยคที่สมบูรณ์ได้ มีเพียงชื่อของหร่วนฝูอวี้หลุดออกมา เซียวอวี้คาดเดา หรือว่าหร่วนฝูอวี้จะเป็นบุรุษ? มิเช่นนั้น เหตุใดรุ่ยอ๋องถึงหัวใจสลายขนาดนี้?…… ตำหนักหย่งเหอ “หร่วนฝูอวี้ตั้งครรภ์กับรุ่ยอ๋อง?” เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกคาดไม่ถึงจริง ๆ เซียวอวี้ที่ได้ทราบเรื่องมาก่อนแล้ว ยังรู้สึกตกใจไม่แพ้กัน ทว่าคิดดูอีกที หากหร่วน
ครั้นเริ่มชั้นเรียนของสถาบันทางการทหาร เป็นการให้ลูกศิษย์แนะนำตัวก่อน สำหรับแม่ทัพนายกองส่วนใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนคุ้นเคยอยู่แล้ว ทว่าลูกศิษย์จากชนบทเหล่านั้น นางไม่รู้จักเลย ได้แต่ฟังพวกเขาลุกขึ้นมารายงานตัวทีละคน “ศิษย์เฉินเจิน เป็นชาวเซียงหนาน” “ผู้น้อยฮั่วเหริน ตอนนี้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง การรับใช้ชาติและฆ่าศัตรูคือปณิธานของข้า!” “ศิษย์เสิ่นกั๋วอัน ชื่นชมชื่อเสียงของแม่ทัพน้อยเมิ่งมานานแล้ว! จึงประพันธ์กวีเพื่อแม่ทัพน้อยโดยเฉพาะ...”…… ครั้นถึงคราวของคนสุดท้าย ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน และมิได้เอ่ยมากความเยี่ยงคนอื่น กลับมีรัศมีของยอดขุนพลนักวางแผน เอ่ยอย่างเรียบเฉย “ผู้น้อยหลิวเหยี่ยน” เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นั้น พลันเกิดความรู้สึกเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อนอย่างอธิบายไม่ถูก นางตรวจสอบภูมิหลังครอบครัวของคนผู้นี้อีกครั้ง หากแต่ไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติ รูปร่างหน้าตาของหลิวเหยี่ยนดูดีมาก คนด้านข้างจึงเอ่ยหยอกล้อ “หากสหายหลิวไปสนามรบในสภาพเช่นนี้ เกรงว่าข้าศึกจะมองเป็นสาวงามคนหนึ่ง!” ผู้คนพลันหัวเราะกันอย่างครื้นเครง หลิวเหยี่ยน
ผู้คนอยู่กันเต็มห้อง ต่างก็มองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยสายตาที่ซับซ้อน และแสดงความรู้สึกแท้จริงในใจ หร่วนฝูอวี้มองความครึกครื้นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ รีบลากเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าไปในห้อง และปิดประตู “ท่านพี่ บรรดาพี่สาวน้องสาวอยากจะพบเจ้า เพื่อรำลึกความหลังกับเจ้ามานานแล้ว “ตอนนี้เจ้าเป็นฮองเฮา ทว่ายังติดค้างคำอธิบายต่อพวกเราพี่น้อง!” สตรีนางหนึ่งเอ่ยเป็นคนแรก นางกัดริมฝีปาก ก่อนจะเอ่ยตัดพ้อ “ซูฮ่วน มิใช่สิ ฮองเฮา...ท่านรู้หรือไม่ ข้ายังไม่ได้แต่งงาน ก็เพราะท่าน! ไฉนท่าน ถึงกลายเป็นสตรีไปเสียได้!” เฟิ่งจิ่วเหยียนมองหร่วนฝูอวี้อย่างอดที่จะขุ่นเคืองมิได้ ฝ่ายหลังแย้มยิ้มดุจบุปผากินคน นางคิดจะทำอันใดแน่? ก่อนหน้านี้สตรีเหล่านี้อยากจะเข้าใกล้ตนเอง หร่วนฝูอวี้จะพยายามกีดกันทุกวิถีทาง ยามนี้กลับพาทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบ เผยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม “หร่วนฝูอวี้ ลำบากเจ้ารวบรวมพวกนางทุกคนมาแล้ว” ทว่าคิดดูอีกที นางก็ติดค้างคำอธิบายต่อพวกนางทุกคนจริง ๆ “หากทำให้พวกเจ้าต้องเสียเวลา ข้าก็พร้อมจะรับผิดชอบ” เ
หร่วนฝูอวี้เป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น นางมิเคยโจมตีเซียวอวี้ ล้วนเป็นเพราะความรักที่มีต่อเฟิ่งจิ่วเหยียน ถึงอย่างไรเฟิ่งจิ่วเหยียนชอบเขามากจริง ๆ คาดไม่ถึงว่า นางยอมถอยครั้งแล้วครั้งเล่า กลับแลกมาด้วยการไม่รู้จักพอของเซียวอวี้ คิดจะขับไล่นางออกจากหนานฉีอย่างนั้นรึ? เฮอะ! ฝันไปเถอะ! นางจะให้วังหลังของเขาไม่ได้สงบสุข! หร่วนฝูอวี้ตระหนักได้ดี ผู้ที่ชอบซูฮ่วนตั้งแต่แรก หากแต่งงานไปแล้วก็หมายความว่าปล่อยวางแล้ว เหลือแต่ผู้ที่มิอาจปล่อยวางได้นั้น จึงไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับใคร สุดท้ายมีชีวิตอยู่กับผู้ใดก็ย่อมได้ นางจึงเอ่ยยุยง “ในวังหลวงนั้นสบายมากนัก! “นังพวกนั้น...เอ่อ สตรีในแต่ละตำหนักเหล่านั้น หรูหราฟุ่มเฟือย พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องการกินดื่มอีกต่อไป “ฮ่องเต้ฉีโปรดปรานเพียงฮองเฮาเท่านั้น พวกเจ้าเพียงครอบครองตำแหน่ง และเพิ่มความครึกครื้นให้วังหลังเป็นพอ “สิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเจ้ากับฮองเฮาจักกลายเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้ รอจนกระทั่งฮองเฮาให้กำเนิดบุตร พวกเจ้าก็ได้เป็นแม่บุญธรรมด้วย!” เรื่องเหลวไหลเช่นนี้ ก็ยังมีคนถูกชัก
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ดีว่าการดื่มมากเกินไปนำมาซึ่งความผิดพลาดได้ ทว่า สุราในคืนนี้เป็นหร่วนฝูอวี้จงใจจัดเตรียมไว้ แรกเริ่มดื่มแล้วไม่ร้อนผ่าว เสมือนการดื่มน้ำ หลังจากสุราไม่กี่จอกไหลผ่านลำคอ ก็เมามายโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว นางเพียงอยากจะพักสายตาสักหน่อย ทว่าได้ยินแต่เสียงอื้ออึงอยู่ในโสต แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของผู้ใดบ้าง เพียะ! นางยกมือขึ้นหมายจะปัดไล่เสียงเหล่านั้นออกไป หารู้ไม่ว่า ฝ่ามือนี้ตบไปบนใบหน้าของเซียวอวี้พอดี ถึงแม้จะเป็นเพียงการตบเบา ๆ ก็ยังทำให้คนทั้งหลายตกใจจนตัวสั่น โดยเฉพาะเหล่าองครักษ์ เหล่าสตรีที่อยู่รอบกายของเฟิ่งจิ่วเหยียนถูกลากออกไปหมดแล้ว เซียวอวี้ตั้งใจจะมาอุ้มนางกลับไป กลับถูกนางตบหน้าเสีย สีหน้าของเขามิสู้ดีนัก โดยเฉพาะเมื่อมีหร่วนฝูอวี้ยังกำลังแต่งตั้ง “นางสนม” อยู่ตรงนั้น หว่างคิ้วของเขาก็มีแต่หมอกควันมืดครึ้ม “เฉินจี๋!” “พ่ะย่ะค่ะ!” “รวมกลุ่มก่อความวุ่นวาย จับไปขังให้หมด!” “พ่ะย่ะค่ะ!” จบคำสั่ง เซียวอวี้ก็หันกลับมาช้อนอุ้มเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ในอ้อมแขน และเดินออกไปจากห้องส่วนตัว ครั้นมาถึงนอกหอสุรา เขาก็
ตำหนักชั้นในของตำหนักจื้อเฉินช่างเงียบงัน นัยน์ตาของเซียวอวี้มืดมน ขณะจ้องมองเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อครู่นี้ นางยังเก็บสัมภาระ โดยบอกว่าจะไปสืบข่าวที่เป่ยเยี่ยนด้วยตนเอง ครั้นเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็พลันล้มลง... ตอนนั้นเองที่เขาตระหนักได้ว่า นางยังไม่ฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเพราะแววตาของนางแน่วแน่เกินไป จนเขาเข้าใจผิดว่านางมีสติแล้ว ยามที่ผู้อื่นเมามาย——แสดงอาการเมาตลอดเวลา ขว้างปาข้าวของ หรือระบายความในใจไม่หยุด ฮองเฮาของเขาเมามาย กลับยังใส่ใจในเรื่องกิจการของแว่นแคว้น เขาจะยังตำหนินางได้อย่างไร? ทว่า หากเขาบอกว่าไม่รังเกียจสหายสตรีที่แสนรู้ใจของนางเหล่านั้น ก็คงจะโกหก ท่าทีของเซียอวี้มืดมนและยากแท้หยั่งถึง ทันใดนั้น เขาพลันลุกขึ้นเพื่อปลดม่านเตียงลง ไม่นาน ฉลองพระองค์ฮ่องเต้ปักลวดลายสัตว์มงคลกิเลนก็ถูกโยนออกจากหลังม่านเตียง และเสียงที่มีเสน่ห์ของบุรุษก็ดังขึ้นในม่าน “จิ่วเหยียน รีบตั้งครรภ์องค์ชายให้เราเถิด” …… เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกการทรมานของเซียวอวี้ปลุกให้ตื่นขึ้น ปากคอของนางแห้งผาก ครั้นเปิดตามอง
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้