คนเหล่านี้คงเป็นองครักษ์ที่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์จัดให้มาปกป้องตนเองกระมังมิน่าเล่า อีกฝ่ายถึงกล้ามิพาคนมาคอยอารักขาตนเอง ยามที่พบหน้ากันครั้งแรกผู้ที่ขึ้นเป็นจักรพรรดิของแว่นแคว้นได้ หาได้มีผู้ใดเป็นคนโง่เง่าไม่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์พลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะเข้าไปเล่นกับดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง“อาการป่วยของเรานั้น ยามที่ยังวัยสาวอยู่ได้ทิ้งอาการป่วยเหล่านี้เอาไว้ หลายปีที่ผ่านมา อาการกับค่อย ๆ แย่ลงเรื่อย ๆ“โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ อาการป่วยกลับทรุดหนักเสียจนมิอาจลุกขึ้นมาสะสางราชกิจบ้านเมืองได้ อัครมหาเสนาบดีจึงใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมพรรคพวกของตนเองขึ้นมา เมื่อเรารู้สึกตัวอีกที นางก็มีอำนาจมากมายเสียแล้ว”ท่านประมุขพลันหันหน้ากลับมามองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยท่าทีสงบนิ่งแม้ว่าภูเขาไท่ซานจะถล่มลงมาตรงหน้าก็ตาม พลางยกยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า“ผู้ที่ทรยศเรา สมควรตาย”เฟิ่งจิ่วเหยียนพลางเอ่ยถามด้วยท่าทีใจเย็นว่า: “รวมไปถึงน้องสาวแท้ ๆ ของท่านด้วยหรือไม่?”นิ้วมือของประมุขแคว้นซีหนี่ว์พลันสั่นเทาเล็กน้อยนางมิได้ตอบคำถามของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทว่า กลับเอ่ยเปลี่ยนเรื่องอื่นแทน“แค
เป่ยเยี่ยนด้านนอกพระราชวัง เรือนถงหวา ตำหนักเล็กของพระราชวงศ์คือสถานที่ที่ไท่ซ่างหวังผู้ถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์นั้นอาศัยอยู่ ผู้คนในใต้หล้าอาจจะคิดว่าไท่ซ่างหวังใช้ชีวิตยามบั้นปลายอยู่ที่นี่ แท้จริงแล้วเขากลับถูกกักขังเอาไว้ ทั้งในและนอกเรือนนั้นต่างก็มีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนาภายในตำหนักใน ไท่ซ่างหวังยังคงนั่งอยู่ด้านบนตำแหน่งสูงสุดด้วยท่วงท่าน่าเกรงขาม ด้านหน้าของเขาพลันมีบุตรเนรคุณยืนอยู่ ในยามนี้ขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่แล้วฮ่องเต้องค์ใหม่พลางมองมาที่เขาด้วยท่าทีก้าวร้าวไท่ซ่างหวังจึงมีท่าทีพิโรธขึ้นมา“เจ้าต้องการจะล้อมโจมตีหนานฉีงั้นหรือ? เราว่า เจ้าต้องการจะทำลายเป่ยเยี่ยนของเราต่างหากเล่า!”ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ ไท่ซ่างหวังนึกเกลียดยิ่งนัก เกลียดที่ตนเองมิสังหารบุตรเนรคุณผู้นี้ในคราแรก!เหตุผลที่ฮ่องเต้องค์ใหม่เสด็จมายังเรือนถงหวานั้น ก็เพื่อต้องการมาเอาตราคำสั่งทหารดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ราวกับว่าใต้หล้าได้ตกมาอยู่ในกำมือของเขาแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น“เสด็จพ่อ มันใกล้แล้ว... พระองค์จักได้เห็นเองว่าใต้หล้าได้กลับมาตกอยู่ในกำมือ
ไท่ซ่างหวังพลันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากลได้ในทันที ก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมา“เจ้าสารเลว! เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่! เราเป็นถึงบิดาแท้ ๆ ของเจ้านะ! เป็นฮ่องเต้ของแคว้นเป่ยเยี่ยน!”ทว่า บุตรของตนเองนั้น ที่ยามนี้ขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่แล้ว กลับหาได้เห็นแก่หน้าผู้ใดไม่ สนใจแต่เพียงตราคำสั่งทหารเท่านั้นเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้น รู้ว่าไท่ซ่างหวังมีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง จึงจับพระองค์กินผงสลายเส้นเอ็นไท่ซ่างหวังที่อายุมากแล้วนั้น สองมือย่อมมิอาจสู้กับสี่มือได้ จึงมิอาจหาทางต่อกรกลับไปเมื่อเห็นว่าฮ่องเต้องค์ใหม่กำลังจะจากไปนั้น ทั้งยังปล่อยตนเองให้ถูกคนเหล่านี้รังแกอีก จึงรู้สึกถึงหวาดกลัวและความตื่นตระหนกขึ้นมาเป็นครั้งแรกในชีวิต “ไม่…ไม่เอา!”ฮ่องเต้องค์ใหม่จ้องมองดูบิดาของตนอย่างไร้อารมณ์“ตราคำสั่งทหาร จะมอบให้หรือไม่?”ไท่ซ่างหวังร้องตวาดออกมา: “สวรรค์ต้องการทำลายเป่ยเยี่ยนของข้าหรืออย่างไร!!”ฮ่องเต้องค์ใหม่พลันฉายนัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความชั่วร้ายออกมาในทันที“เสด็จพ่อ เราจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น ตราคำสั่งทหาร!”ร่างของไท่ซ่างหวังที่อ่อนปวกเปียกลงนั้นหากเขามิยอมให้ต
วัดกวงหวาเมื่อประมุขแห่งแคว้นซีหนี่ว์เสด็จลงจากรถม้านั้น ก็มีท่านเจ้าอาวาสวัดเป็นผู้นำทางให้พระนางพลันหันกลับไปมองใบหน้าของเหล่าองครักษ์ที่ติดตามมาด้วยนั้น มีหลายคนที่มิคุ้นหน้าคุ้นตามากเลยทีเดียวเกรงว่า นี่คงเป็นการจัดการของจ้าวหรู่หลานกระมังใบหน้าของท่านประมุขแคว้นซีหนี่ว์หาได้แสดงสีหน้าออกมาไม่ ยามที่แสงอาทิตย์ส่องสว่างลงมานั้น เสื้อคลุมมังกรสีเหลืองสดพลันส่องประกายเรืองอล่ามออกมา ทำเอาวัดกวงหวาสว่างไสวกว่าปกติเสียอีกหลังจากเข้าไปในห้องฌานแล้วนั้น มั่วซินหมัวมัวที่เป็นนางกำนัลรับใช้ข้างกายคนสนิทจึงปิดประตูลง พลางกระซิบเสียงเบากล่าวว่า“ท่านประมุขเพคะ วัดกวงหวาแห่งนี้ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก”ประมุขแห่งแคว้นซีหนี่ว์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าพระพุทธรูปองค์เล็ก พลางเอามือไพล่หลังจ้องมองพระพุทธรูป ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมืดมนว่า“นี่คือคุกที่สร้างเอาไว้ให้เรา”พระสงฆ์ในวัดแห่งนี้ คงถูกสับเปลี่ยนมานานแล้วมือของอัครมหาเสนาบดีช่างยาวยิ่งนักท่านประมุขพลันเม้มริมฝีปากลงด้วยความเย็นชา พลางแย้มยิ้มออกมาด้วยความเย้ยหยันยามราตรีในวังหลวง ภายในห้องทรงพระอักษรจ้าวหรู่หลานพลางมองไปท
ด้านนอกวัดกวงหวามีองครักษ์มากมายคอยเฝ้าระวังเพื่อปกป้องท่านประมุของครักษ์เงาต่างก็อยู่ในเงามืดเพื่อปกป้องเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่เช่นกันบรรดาเหล่าองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่นั้น ต่างพากันจับจ้องไปที่วัดกวงหวา ยกเว้นหยิ่นฉีที่ก้มหน้าก้มตาลงไปจดบันทึกอย่างบ้าคลั่ง“ฮองเฮาปลอมกายลอบเข้าพบท่านประมุขจนถึงดึกดื่น...”หยิ่นซานที่ก้มหน้าลงไปดูสิ่งที่เขาเขียนนั้น พร้อมกับกำปั้นที่ทุบลงไปที่หัวของหยิ่นฉีในทันที“ลอบพบอะไรของเจ้า!”เพียงพริบตาเดียว พลันมีก้อนเนื้อปูดบวมขึ้นมาบนหัวของหยิ่นฉีในทันทีเขายังมีท่าทีน้อยใจ“พี่สาม เหตุใดท่านต้องตีข้าด้วย?”หยิ่นซานทุบเขาอีกครั้ง พลางกระซิบต่อว่าออกมาอีกว่า“ข้ารู้แล้ว ว่าเหตุใดพี่รองถึงให้ข้าจับตาดูเจ้า! หยิ่นฉี ก่อหน้านั้นข้าหาได้ดูออกไปว่าเจ้าเก่งในเรื่องราดน้ำมันในกองไฟเช่นนี้! เจ้าจงใจใช่หรือไม่ มิอยากให้ฝ่าบาทกับฮองเฮามีความสุขใช่หรือไม่? เจ้าต้องการสร้างความขัดแย้งระหว่างพวกเขางั้นหรือ!”หยิ่นฉีร่ำไห้ออกมา“ฮื่อฮื่อ...ท่านรังแกข้านัก ข้าจะไปฟ้องฝ่าบาท!”หยิ่นฉีเอ่ยขึ้นมาด้วยหยาดน้ำตาที่นองหน้า พลางเขียนเพิ่มลงไปอีกประโยคว่า——[หยิ่นซานขั
วัดกวงหวาจ้าวหรู่หลานนำกองทัพหลวงเข้าไปประจันหน้ากับกองทัพของหูย่วนเอ๋อร์“หูย่วนเอ๋อร์ เจ้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการ คิดแผนร้ายต้องการสังหารท่านประมุขแคว้น ข้าในฐานะที่มีอำนาจของผู้สำเร็จราชการนั้น จักประหารชีวิตเจ้าในทันที!”หูย่วนเอ๋อร์หัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“ข้าทำตามรับสั่งท่านประมุขให้เฝ้าระวังวัดกวงหวา ข้าทำสิ่งใดผิดกัน? จ้าวหรู่หลาน เจ้าต่างหากที่คิดวางแผนก่อกบฏ! แล้วก็พวกเจ้าแต่ละคนนั้น กลับสมรู้ร่วมคบคิดกับจ้าวหรู่หลานเพื่อก่อกบฏเช่นกัน! พวกเจ้าทำกับท่านประมุขเช่นนี้ได้อย่างไร!”แม่ทัพนายหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายจ้าวหรู่หลานนั้น หาได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมาไม่“หูย่วนเอ๋อร์ เจ้าที่คิดร้ายแล้วกลับมากล่าวหาผู้อื่นก่อน! หากเจ้ามิได้มีใจคิดคดจริง รีบให้พวกข้าเข้าไปด้านใน พวกข้าต้องการเห็นว่าฝ่าบาทปลอดภัยดีหรือไม่!”หูย่วนเอ๋อร์ที่ยืนเฝ้าปกป้องประตูใหญ่ของวัดกวงหวาอยู่นั้น พลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“ปล่อยให้พวกเจ้าเข้ามาหรือ? ฝันไปเถอะ!”ดวงตาของจ้าวหรู่หลานพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา ก่อนจะโบกมือสั่งการว่า“ยิงธนู!”กองทัพที่นางนำมานั้น มีจำนวนมากกว่าทหารของหู
ทหารฝ่ายจ้าวหรู่หลานที่ดึงลูกธนูออกมาเตรียมจะยิงนั้นจู่ ๆ พลันมีคนตะโกนขึ้นมาว่า“หยุดมือเดี๋ยวนี้!”จ้าวหรู่หลานมองไปทางต้นเสียงด้วยความสับสนทว่า นางกลับเห็นผู้คนมากมายถูกผลักออกมาจากประตูวัดกวงหวา เพื่อไล่พวกเขาให้ไปรวมตัวกับกลุ่มกบฏเหล่านั้นพวกเขาล้วนเป็นข้าราชบริพารของแคว้นซีหนี่ว์ทั้งนั้น!ข้าราชบริพารจำพวกบุ๊นบู๊ทั้งหลายนั้น ล้วนแต่ถูกจับมัดเอาไว้ดูเหมือนว่านี่จะเป็นฝีมือของซู่เฉียนเสวี่ยสตรีสารเลวผู้นั้น!สายตาของจ้าวหรู่หลานพลันเจือไปด้วยความเย็นชา“ซู่เฉียนเสวี่ย ท่านคิดว่าจับพวกเขามาเป็นตัวประกันเช่นนี้ ก็จักสามารถข่มขู่ข้าได้งั้นหรือ? ข้าจะบอกอะไรให้ ข้าจักสังหารพวกมันให้หมดเลย ! !”เมื่อเหล่าขุนนางเห็นท่าทางบ้าคลั่งของจ้าวหรู่หลานนั้น ทั้งหวาดกลัว ทั้งโมโหขึ้นมา“อ๋องผู้สำเร็จราชการ! ข้ามิคิดเลยว่าท่านจะเป็นคนแบบนี้!”“จ้าวหรู่หลาน เจ้าบังอาจกล้าวางแผนก่อกบฏ!”“หากท่านสังหารพวกข้าทั้งหมดนั้น ท่านจักเอาอันใดไปอธิบายให้กับผู้คนใต้หล้า! หากในราชสำนักไร้ผู้คนแล้วไซร้ ท่านจักได้ขึ้นเป็นท่านประมุขงั้นหรือ เหลวไหสิ้นดี!”จ้าวหรู่หลานบ้าไปแล้ว“พวกไร้ประโยชน์เช่น
เฟิ่งจิ่วเหยียนจ้องมองดูจ้าวหรู่หลานด้วยสายตาที่เย็นชา พร้อมด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววความเป็นนักสู้ออกมาเคล็ดวิชาภูษาเหล็กหนึ่งในเคล็ดวิชาของใต้หล้านางอยากจะเห็นมันด้วยตาของตนเองยิ่งนักในทันใดนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนเพียงแค่ขยับฝ่าเท้าของตนเองเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งกายออกไปในทันทีจ้าวหรู่หลานยังคงยืนแน่นิ่งอยู่กับที่ราวกับอาชา พลางกลั้นหายใจก่อนจะตั้งสมาธิขึ้น เพื่อรวบรวมกำลังภายในของตนเองไว้เกร็งกล้ามเนื้อทั้งหมดขึ้นมา พลางแปรเปลี่ยนร่างกายของนางให้กลายเป็นกำแพงเหล็กเฟิ่งจิ่วเหยียนโจมตีออกไปด้วยเพลงหมัด ทว่า หาได้ทำอันใดต่อคู่ต่อสู้ของนางได้ไม่“รับหอกไป!” ประมุขแคว้นซีหนี่ว์รู้ว่านางเก่งกาจในการใช้เพลงหอก ดังนั้นพระนางจึงโยนอาวุธของตนเองส่งไปให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนรับหอกเอาไว้ด้วยมือหลัง ก่อนจะเอ่ย “ขอบคุณ” ออกมาโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมองใบหน้าของจ้าวหรู่หลานเริ่มมืดครึ้มลงเรื่อย ๆ นางพลางเหยียดแขนไปข้างหน้าก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งหอกแทงเข้าที่ไหล่ของจ้าวหรู่หลาน ทว่า ก็ยังมิสามารถทำอันตรายอันใดกับนางได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มร่ายกระบวนท่าของตนเองขึ้นมา ก่
องค์ชายเจ็ดทรงนำทัพออกศึกแล้ว ยามดึกเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าไปค้นหาที่จวนขององค์ชาย ก็ไม่มีองครักษ์เฝ้าอยู่มากนักค้นหาติดต่อกันสามคืนแล้ว ก็ยังไม่มีเบาะแสใดเลยพวกอู๋ไป๋ก็ไปค้นหาที่จวนขององค์ชายองค์อื่น ๆ ทว่าก็ไม่มีข่าวดีเช่นเดียวกันทางด้านวังหลวงจนถึงตอนนี้ก็ยังสืบหาไม่พบสถานที่ที่เหมาะสมกับการคุมขังคนหยิ่นลิ่วไปสืบหาในจวนองค์ชายสี่ ก็แอบได้ยินองค์ชายสี่ทรงเอ่ยตัดพ้อกับที่ปรึกษา“เสด็จพ่อทรงโปรดปรานน้องเจ็ด ข้าจะแย่งชิงได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ยังมีฮ่องเต้ฉีคอยแนะนำข้า ตอนนี้แม้แต่จะพบฮ่องเต้ฉีก็ยังไม่อาจทำได้เลย!”หยิ่นลิ่วจับจุดสำคัญนี้ได้ จึงรีบกลับไปที่โรงพักแรมเพื่อทูลรายงาน“ฮองเฮา มิต้องสงสัยเลยว่า องค์ชายสี่ผู้นี้จะต้องทราบว่าฝ่าบาททรงถูกขังอยู่ที่ใด!”เมื่อเทียบกับหยิ่นลิ่ว เฟิ่งจิ่วเหยียนใจเย็นยิ่งกว่านางต้องการยืนยันอีกครั้ง “องค์ชายสี่ทรงเอ่ยคำพูดเช่นนี้จริงหรือ”หยิ่นลิ่วมั่นใจอย่างยิ่งอู๋ไป๋เริ่มรู้สึกร้อนใจ“นายท่าน ข้าน้อยจะไปจับตัวองค์ชายสี่ และสอบสวนอย่างลับ ๆ !”ด้วยการทรมานอย่างหนัก องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนไม่มีทางที่จะไม่บอกความจริงเฟิ่งจิ่วเหยียนยกม
ช่วงเริ่มต้นของปีใหม่ กองทัพเยี่ยนเคลื่อนเข้ามาใกล้ชายแดน เหล่าทหารมีจิตใจที่ฮึกเหิม ใช้การยึดคืนเมืองที่เสียไปเป็นเป้าหมาย และแย่งกรูกันเข้าไปทางเมืองชายแดนของหนานฉีองค์ชายเจ็ดของเป่ยเยี่ยนได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ ควบคุมทั้งสามกองทัพในการรบครั้งนี้ ฮ่องเต้เยี่ยนทรงคาดหวังต่อเขาอย่างมาก ก่อนออกรบทรงตักเตือนและกำชับไว้มากมาย“เจ้าเจ็ด หากชนะสงครามครั้งนี้ ตำแหน่งว่าที่จักรพรรดิ ก็ต้องเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว! เหล่าพี่น้องของเจ้าก็จะยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งเช่นกัน!”องค์ชายเจ็ดพยักหน้าอย่างนอบน้อม“กระหม่อมจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง”ฮ่องเต้เยี่ยนมองบุตรชายด้วยความพึงพอใจ ในบรรดาเหล่าองค์ชายที่เหลืออยู่ มีเพียงองค์ชายเจ็ดที่มีลักษณะของความเป็นจักรพรรดิมากที่สุดองค์ชายสี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองดูฉากเหตุการณ์นั้นด้วยสายตาอันคมกริบฮ่องเต้ฉีเอ่ยไว้ถูกต้องจริง ๆ เสด็จพ่อดีต่อน้องเจ็ดเหลือเกิน!ขอเพียงทหารสามารถรบชนะ ไม่ว่าใครจะเป็นแม่ทัพใหญ่ ก็จะได้รับความดีความชอบไปด้วยชัดเจนว่าเสด็จพ่อทรงให้โอกาสกับน้องเจ็ดแล้วเขาเล่า? เขาเป็นองค์ชายสี่นะ?เหตุใดเสด็จพ่อทรงมองไม่เห็นเข
อาจือถูกส่งเข้าวังมาตั้งแต่เล็ก และคอยรับใช้ข้างกายองค์หญิงเซี่ยนอี๋ที่จริงนางถือกำเนิดในตระกูลที่มีฐานะและชื่อเสียง ทว่าคนในตระกูลทำผิด จึงกลายมาอยู่ในสถานะต่ำต้อยอาจือคอยติดตามรับใช้องค์หญิง ทว่ากลับมองตนเองว่าพิเศษกว่าคนทั่วไปอาจารย์สอนศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับองค์หญิง ไม่ว่าทำอย่างไรองค์หญิงก็ทรงร่ำเรียนไม่สำเร็จ ส่วนนางเรียนรู้ไม่นานก็ทำได้หมัวมัวในวังก็มักจะมองนางด้วยความเสียดาย---อาจือ หากเจ้าไม่อยู่ในสถานะต่ำต้อย ก็คงมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์กว่าองค์หญิงเป็นแน่ทว่า คนที่อยู่ในสถานการณ์มักจะมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจนอาจือฉลาดก็จริง ทว่าไม่ถือว่าฉลาดถึงขั้นสุดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอย่างเซียวอวี้ จึงกลายเป็นคนฉลาดเพียงเล็กน้อยคนที่มีทักษะครึ่ง ๆ กลาง ๆ กลับมั่นใจเกินไป เหมือนกับคนที่ว่ายน้ำเป็นกลับจมน้ำอาจือก็มีจุดอ่อนที่อันตรายถึงแก่ชีวิตเช่นกันนางเข้าใจว่าตนเองพูดไม่กี่คำ ก็สามารถได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ฉีแล้ว กลับไม่รู้ว่า อีกฝ่ายวางแผนลวงไว้ตั้งแต่แรกแล้วเมื่อมองจักรพรรดิรูปงามที่อยู่เบื้องหน้า ในใจอาจือเริ่มว้าวุ่นเมื่อใจเริ่มว้าวุ่น แม้จะมีความฉลาดอยู่เล็กน้อ
ณ เป่ยเยี่ยนจวนขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับพระราชทานแล้ว นางไม่อาจทนรอได้อีกต่อไปจึงย้ายเข้าไปในเรือนหลังใหม่มิใช่ว่าองค์หญิงทุกพระองค์จะสามารถเปิดจวนได้ นี่เป็นความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมีต่อนางเป็นพิเศษและสิ่งที่นางยินดีเป็นอย่างยิ่งคือ ฮ่องเต้ฉีก็ถูกส่งมาที่จวนของนางด้วยเช่นกันถึงแม้เสด็จพ่อจะส่งคนมาคุ้มกัน ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกห้องลับที่คุมขังฮ่องเต้ฉีตามอำเภอใจ ทว่า นี่คือจวนของนาง นางย่อมต้องหาโอกาสได้จากคุกลับมาที่จวนองค์หญิง เซียวอวี้ถูกคนคลุมศีรษะมาตลอดทางบวกกับเป็นเวลาค่ำคืน ก็ยิ่งไม่มีผู้ใดรู้องค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกมาต้อนรับด้วยพระองค์เอง โดยยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องลับ ราวกับเชื้อเชิญให้เข้ามาติดกับ และยิ่งเหมือนนายพรานที่สร้างกรงขัง กำลังมองดูเหยื่อเดินเข้ามาในกรงด้วยความพอใจขณะที่เซียวอวี้เดินผ่านตัวนาง นางก็เอ่ยอย่างอารมณ์ดี“ฮ่องเต้ฉี พวกเรายังมีอนาคตร่วมกันอีกยาวไกล”เซียวอวี้มีท่าทีเย็นชา ไม่แสดงสีหน้าเป็นมิตรแม้แต่น้อยทว่านางก็ชอบท่าทางดื้อรั้นเช่นนี้ของเขาและว่ากันตามตรง ห้องลับก็ดูสะอาดกว่าคุกลับองค์หญิงเซี่ยนอี๋ทรงเกเรเอาแต่ใจ ทว่าก็มีความจริงใจ
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต