ราชทูตจากเป่ยเยี่ยนที่รักตัวกลัวตายนั้น เขาย่อมรู้ดีว่านิสัยของอดีตฮ่องเต้เป็นคนเช่นไร จึงมิคิดหาเรื่องเดือดร้อนให้กับตนเองเขารีบพาทหารทั้งหลายที่ถูกถอดชุดเกราะปลดอาวุธกลับเป่ยเยี่ยนไปในทันที มิคิดรั้งอยู่หนานฉีเลยแม้แต่วินาทีเดียวเมื่ออดีตฮ่องเต้เห็นทุกคนออกไปกันหมดแล้วนั้น เขาถึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า เขาถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วจริง ๆ วินาทีนั้น เขาโกรธโมโหยิ่งนัก พร้อมทั้งไอสังหารที่แผ่ไปทั่วทุกที่“อ๊าก! ตาเฒ่า! ข้าเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่าน ท่านกล้าทำเช่นนี้กับข้าเลยหรือ!”เขาทั้งสองข้างพลันคุกลงบนพื้น ก่อนจะร้องคำรามไปมามิต่างอันใดกับสุนัขที่บ้าคลั่ง……แคว้นตงซานที่อยู่ห่างออกไปพันลี้นั้นหลังจากที่ราชทูตทั้งสองกลับมาแล้วนั้น พลางนำข่าวที่ตนเองถูกพวกหนานฉีบังคับให้ทำการค้าขายด้วยมารายงานในทันทีฮ่องเต้แคว้นตงซานที่ได้ยินเช่นนั้น พลันหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“เรารู้ดีว่า หนานฉีจักไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้แน่!”ราชทูตหลี่หลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนั้น“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจช่วยราชครูกลับมาได้ ทว่า พวกกระหม่อมได้ทิ้งสายลับเพื่อติดตามหาเบาะแสของตงฟางซื่อเอาไว้แ
เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินเข้าไปในห้อง พลันเห็นมารดานั่งอยู่ข้างเตียง ใช้ผ้าเช็ดน้ำตาอยู่ แววตาของนางมืดลง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปเร็วขึ้น ครั้นนายหญิงเฟิ่งได้ยินเสียงคนเข้ามา จึงเงยหน้ามอง เห็นว่าเป็นเฟิ่งจิ่วเหยียน ก็รีบปาดน้ำตาทิ้ง เปลี่ยนจากความเศร้าเป็นยินดี “ฮองเฮา...” ถึงแม้จะเป็นแม่ลูกกัน และอยู่ในสถานที่ส่วนตัว นายหญิงเฟิ่งยังเคร่งครัดในกฎระเบียบ นางไม่อยากให้บุตรสาวกังวล จึงหาข้ออ้างง่าย ๆ โดยไม่รอให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยถามก่อน “แม่แค่คิดถึงเวยเฉียง มิรู้ว่านางอยู่ที่จางโจวนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” การร้องไห้เมื่อคิดถึงบุตรสาว เป็นธรรมดาของมนุษย์ หากเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ก็คงจะเชื่อแล้วจริง ๆ นางเดินไปนั่งลงข้างกายของนายหญิงเฟิ่งอย่างเงียบ ๆ “พูดมาตามตรงเถิด เกิดอะไรขึ้น” นายหญิงเฟิ่งชะงักงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกลับมาแย้มยิ้มทันที “ก็เป็นดั่งที่พูดเมื่อครู่นี้ ฮองเฮา ไฉนเจ้าถึงออกจากวัง? มีเรื่องอะไรนอกวังหรือไร?” นางยังต้องการจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา ทว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนยังวกกลับมา “ข้าเห็นคนพวกนั้นแล้ว พวกนาง
จวนตระกูลเฟิ่ง นายท่านเฟิ่งกำลังสั่งให้คนเขียนเทียบเชิญงานแต่ง พ่อบ้านพลันวิ่งเข้ามารายงาน “นายท่าน นายท่าน! ฮองเฮาเสด็จมาขอรับ!” สีหน้าของนายท่านเฟิ่งดูตกตะลึง เหตุใดฮองเฮาจึงมาเยือนอย่างกะทันหัน? หรือได้ยินข่าวว่าเขากำลังจะแต่งงานใหม่ จึงรีบมาขัดขวาง? อีกด้านหนึ่ง ในเรือนอี๋ชิง อี๋เหนียงหลินร้องไห้จนตาบวมไปหมดแล้ว “ไฉนนังแพศยานั่นมาทีหลังกลับได้สมหวัง! “ข้าปรนนิบัตินายท่านมานานหลายปีแล้ว นางเป็นแค่หญิงม่ายคนหนึ่ง คิดจะมาแข่งกับข้า...นายท่านจะชื่นชอบนางได้อย่างไร! “ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว! ให้ตายเถอะ! ข้ายอมตาย ดีกว่าทนอัดอั้นเช่นนี้!” ตั้งแต่รู้ว่าหลิวอิ๋งกำลังจะได้แต่งเข้าจวน อี๋เหนียงหลินก็ร้องไห้โวยวายอย่างหนัก ก่อนหน้านี้ได้วิ่งไปโวยวายต่อหน้านายท่านแล้ว กลับถูกตำหนิกลับมาเสียยกใหญ่ ยามนี้จึงได้แต่ระบายความอัดอั้นในเรือนของตนเอง เดิมเฟิ่งหมิงเซวียนยังมาปลอบโยนนางบ้าง ทว่านางร้องไห้บ่อยเกินไป จนเฟิ่งหมิงเซวียนรู้สึกรำคาญเช่นกัน จึงย้ายไปอยู่ที่โรงพักแรม ไม่ยอมกลับบ้านทั้งกลางวันกลางคืน อี๋เหนียงหลินยิ่งคิดก็
ในห้องโถงส่วนหน้า จวนตระกูลเฟิ่ง นายท่านเฟิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ความคับแค้นใจนั้นมิอาจจางหายได้ มันอัดแน่นอยู่ในทรวงอก รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก พ่อบ้านรออยู่ด้านข้าง กลั้นเสียงมิกล้าหายใจแรง แผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ฮองเฮาพิโรธขนาดนั้นก็ไม่น่าแปลกใจ ว่าที่ฮูหยินทำเกินไปแล้วจริง ๆ กล้าไปสร้างปัญหาที่จวนพลทหาร ทั้งตบหน้าฮูหยินน้อยได้อย่างไร! บัดนี้นายท่านจึงตกที่นั่งลำบาก หันหน้าไปทางไหนก็ไม่ดี พ่อบ้านลอบถอนหายใจ หนึ่งเรื่องยังไม่ทันจบ เรื่องใหม่ก็เข้ามาอีก เด็กรับใช้รีบเร่งเดินเข้ามาข้างใน “นายท่าน! คุณชายใหญ่กลับมาแล้วขอรับ!” เพิ่งจะพูดจบ เฟิ่งเหยียนเฉินพลันเดินเข้ามาด้วยท่าทีน่าเกรงขาม เขาไม่รอให้คนไปรายงานก่อน เดินตรงมาหานายท่านเฟิ่งที่ห้องโถงส่วนหน้าโดยตรง ครั้นได้เห็นสีหน้าบึ้งตึงของบุตรชาย ก็คาดเดาได้ถึงเหตุผลที่เขามาเยือนทันที จู่ ๆ นายท่านเฟิ่งรู้สึกนั่งก็ไม่ใช่ ยืนก็ไม่ถูก เขานึกหงุดหงิดใจนัก วันนี้ช่าง “ครึกครื้น” เสียจริง! เฟิ่งเหยียนเฉินยังสวมเครื่องแบบราชการอยู่ ยืนนิ่ง พูดเข้าประเด็นทันที “ขอบังอาจถ
หลิวอิ๋งมาถึงจวนตระกูลเฟิ่ง วางมาดเป็นเหมือนนายหญิงกลับจวน นำรังนกยื่นให้สาวใช้“นำรังนกไปตุ๋น เดี๋ยวข้าจะดื่ม”สาวใช้ยื่นมือทั้งคู่รับมา ไม่กล้าที่จะละเลยพ่อบ้านเหลือบมองรังนก แล้วก็แอบส่ายหัวฮูหยินในอนาคตคนนี้หาเงินเก่งก็จริง ทว่าใช้จ่ายเงินก็ไม่ธรรมดาหากให้นางดูแลจัดการจวนตระกูลเฟิ่ง จะมีชีวิตที่ดีได้หรือ?หลิวอิ๋งอายุสี่สิบกว่า ปกติใช้เงินจำนวนมากในการบำรุงดูแล ใช้ผงแป้งไข่มุกทุกวัน แลดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงอย่างน้อยเจ็ดแปดปีวันนี้นางแต่งตัวสวมชุดกระโปรงเบาสบายทันสมัย กล่าวกันว่าเป็นแบบที่ฝ่าบาทออกแบบให้กับฮองเฮาด้วยพระองค์เอง เมื่อสวมใส่แล้วมีความสง่ากล้าหาญ นางคิดว่า คู่ควรกับสถานะของนางที่เป็นหญิงแกร่งทางการค้าเวลานี้ มุมหนึ่งตรงระเบียงทางเดิน อี๋เหนียงหลินกับสาวใช้ยืนอยู่ตรงนั้น แอบมองดูอยู่สาวใช้แสดงสีหน้าสมน้ำหน้า“อี๋เหนียง นายท่านโกรธขนาดนี้ แม่หญิงหลิวคนนั้นโชคร้ายแน่”สายตาอี๋เหนียงหลินแฝงไปด้วยความเกลียดแค้น ชิงชัง มือออกแรง แทบอยากฉีกผ้าเช็ดหน้าให้ขาด“สารเลว! อย่าให้นางเข้ามาอยู่ที่นี่ดีที่สุด!”……หลิวอิ๋งเข้าไปในห้องโถงหน้า ก็เห็นเฟิ่งหลินจับจ้องต
เฟิ่งหลินโกรธจนขำหัวเราะ“เก้ามิ่งก็คือเก้ามิ่ง ข้ายังจะโกหกเจ้าได้รึ?“หลิวอิ๋ง เจ้ายังไม่ได้แต่งงานเข้ามา ก็ก่อเรื่องวุ่นวายให้ข้าขนาดนี้ ต่อไปจะไม่ยิ่งกว่านี้รึ?“วันนี้ หากเจ้าไม่ไปขอโทษ งั้นการแต่งงานระหว่างเจ้ากับข้า ก็ยกเลิก!”หลิวอิ๋งมือสั่น หว่างหัวคิ้วมืดคล้ำ “ได้! ข้าไปขอโทษ! ทว่าไม่ใช่เพราะท่านข่มขู่ข้า เป็นเพราะข้าคำนึงถึงท่าน ไม่อยากให้จวนตระกูลเฟิ่งเสื่อมเสียชื่อเสียง”นายท่านเฟิ่งรู้จักนางดีตั้งแต่ต้นแล้วเขาส่งเสียงเมิน “หากเจ้าหวังดีกับข้าจริง ๆ ก็จะไม่บีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับเจ้า !”คำพูดประโยคนี้ทิ่มแทงใจหลิวอิ๋งนางหัวเราะเย้ย“ซานหลาง ข้าบีบบังคับเจ้าจริง ๆ หรือ? เราแต่งงานกัน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของกันและกันหรือ?”นางต้องการอำนาจกับทรัพย์สินเปิดเส้นทางการค้าระหว่างแต่ละแคว้น อาศัยเพียงสถานะป้าของฮองเฮา ยังไม่เพียงพอนางยังต้องส่งลูกสาวไปยังตำแหน่งสูงศักดิ์ส่วนเฟิ่งหลิน เขาต้องการลูกสาวที่เชื่อฟัง คลอดโอรสให้กับตระกูลเฟิ่งของพวกเขาทันใดนั้น เฟิ่งหลินพูดอะไรไม่ออก ไม่สนใจนาง สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไปข้างนอกห้องตรงระเบียงทางเดินสาวใช้พูดเ
จวนพลทหารเฟิ่งเหยียนเฉินเห็นแก่ท่านแม่ จึงฝืนใจยอมนั่งโต๊ะเดียวกับคนที่เรียกว่าเป็นน้าหญิงสกุลโจวก็เห็นแก่หน้าแม่สามีเหมือนกัน ไม่ถือสาเรื่องที่ผ่านมา มีไมตรีจิตรกับน้าหญิงคนนี้สีหน้าหลิวอิ๋งแสดงออกถึงท่าทีรู้สึกผิด ยกจอกสุราลุกขึ้นมา“เรื่องในวันนี้ เป็นเรื่องเข้าใจผิด“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ควรทะเลาะกันเช่นนี้“พี่สาว อภัยให้ข้าด้วย ข้าคิดถึงเรื่องของท่านพ่อท่านแม่กับน้องชาย จึงล่วงเกินเจ้า ล่วงเกินหลานสะใภ้”นางยกจอกสุราคารวะนายหญิงเฟิ่งนายหญิงเฟิ่งใจอ่อน “อาอิ๋ง เจ้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของข้า ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้”นางไม่ได้เลี้ยงดูส่งทั้งสองท่านเป็นครั้งสุดท้าย เป็นสิ่งที่นางเสียใจที่สุดในชีวิต ไม่โทษที่หลิวอิ๋งต่อว่านาง ต่อหน้าทุกคน“พี่สาว เหยียนเฉิน ข้าดื่มหมดจอก!” หลิวอิ๋งดื่มสุราในจอกจนหมดเฟิ่งเหยียนเฉินไม่พูดอันใดตลอดมื้ออาหารครั้งนี้จนหลังทานอาหารค่ำแล้วเสร็จ หลังจากทุกคนส่งน้าหญิงกลับไปแล้ว เขาค่อยพูดกล่อมท่านแม่“ข้าคิดว่า น้าหญิงคนนี้ไม่ควรผูกมิตร ต่อไปท่านไปมาหาสู่นางน้อยหน่อย”นายหญิงเฟิ่งขมวดคิ้ว“เหยียนเฉิน อย่างไรนั่นก็เป็นน้องสาวของข้า เป็นญ
ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว วันนี้เป็นวันหยุด เฟิ่งเหยียนเฉินจะพาโจวซื่อไปบ้านพ่อตาเพื่อส่งของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ล่วงหน้าระหว่างที่โจวซื่อกำลังช่วยเฟิ่งเหยียนเฉินสวมเข็มขัด สาวใช้ก็เข้ามาในห้อง แล้วรายงานอยู่ข้างฉากบังลม“ใต้เท้า ฮูหยิน แม่หญิงหลิวผู้นั้นมาอีกแล้วเจ้าค่ะ!”สองสามีภรรยามองตากันด้วยสีหน้าจนปัญญาเฟิ่งเหยียนเฉินขมวดคิ้วถาม“นางมาทำอะไร”“มาอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”โจวซื่อกดแขนของเฟิ่งเหยียนเฉิน เงยหน้ามองเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ท่านพี่ อย่าบุ่มบ่าม ถึงอย่างไรก็เป็นแขกของท่านแม่ พวกเราเป็นคนรุ่นหลัง จะไล่คนไปก็คงไม่ดี คอยสังเกตการณ์เงียบ ๆ จะดีกว่า”เฟิ่งเหยียนเฉินกดอารมณ์ร้อนของตนลงเมื่อนึกได้ว่าอีกซักครู่ยังต้องไปบ้านท่านพ่อตา เช่นนั้นก็ช่างเรื่องท่านน้า เขาเพียงสั่งข้ารับใช้ว่า “ปกป้องท่านแม่ให้ดี”“ขอรับ ใต้เท้า!”นายหญิงเฟิ่งพักอยู่ที่เรือนรองนางพาหลิวอิ๋งเดินชมด้านในจวนพลทหารรอบหนึ่งหลังจากคนทั้งสองเดินกลับถึงเรือนรอง หลิวอิ๋งก็จับมือนาง แล้วกล่าวด้วยความกระดากใจอย่างยิ่งว่า“พี่หญิง เรื่องเมื่อวานเป็นข้าที่เลอะเลือนเอง
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้