LOGINแดดยามบ่ายสาดส่องบนถนนเมืองหลวง ผู้คนสองฟากทางโบกผ้าเช็ดหน้าและถือดอกไม้ต้อนรับขบวนกองทัพที่กลับมาจากการรบ ชุดเกราะแวววาวของแม่ทัพสองนางสะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับ เสียงแตรสัญญาณก้องทั่วถนน ความตื่นเต้นปนความยินดีดังก้องกังวานในทุกซอกซอย
จินเซียงส่งยิ้มอ่อนแต่มั่นคง แม้ร่างกายยังอ่อนแรงจากบาดแผล เผยอิงอยู่เคียงข้าง คอยประคองและหัวเราะเบาๆ กับความซนของเจ้าเหินฟ้า เด็กน้อยยื่นดอกไม้ป่าให้ จินเซียงหยุดชั่วขณะเอื้อมมือรับ ก่อนประดับไว้ที่อกเสื้อ “ขอบใจมาก” เธอตอบด้วยเสียงนุ่ม
“นั่นๆ คนนั้นไง” สตรีชาวบ้านชี้ไปที่จินเซียง
“ถึงจะเป็นสตรีแต่ข้าก็ขอยอมพลีกายและใจให้เลยอ่ะ นายท่านเจ้าค่าาา~” หญิงสาวต่างโบกมือยกมือไหว้ด้วยความชื่นชม
บนระเบียงของเหล่าอาหารเองก็เต็มไปด้วยเด็กสาวและสตรีชั้นสูงที่แต่งกายงดงามพร้อมโปรยผ้าเช็ดหน้าลงสู่ถนน พลังความตื่นเต้นและความเคารพต่อแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แผ่กระจายไปทั่ว
เหล่าตระกูลน้อยใหญ่ต่างพากระซิบกระซาบ พลางจับตามองการเคลื่อนไหวของทั้งสองแม่ทัพ
“หญิงนั้น...กล้าและเก่งเกินไป”
“รัชทายาทจะคิดอย่างไร หากชื่อเสียงนางขยายไปไกล”
********
เมื่อขบวนเข้าสู่พระราชวัง ท้องพระโรงเปิดกว้างด้วยแสงเทียนและเพดานสูงส่ง เสียงฮือฮาของขุนนางและเหล่าเชื้อพระวงศ์ดังขึ้นเมื่อร่างสูง สง่างามของจินเซียงและเผยอิงก้าวเข้ามา
รัชทายาทตวัดสายตาเย็นชาตลอดเส้นทาง สบตากับขุนนางอาวุโสที่ยืนเรียงราย เสียงโต้เถียงเกิดขึ้นทันที
“การรบควรรบเมื่อเห็นโอกาสชนะ มิใช่ส่งทัพไปตายเสียเปล่า!”
น้ำเสียงแข็งกร้าวแต่สั่นเล็กน้อย ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรง ตึงเครียดทันที
แม่ทัพถังสูงวัยก้าวออกมาโค้งคำนับเล็กน้อย แต่เสียงดังชัดเจน
“หากมิใช่เพราะนางผู้นั้น ศพของทหารต้าซ่งคงกองทับเป็นภูเขาแล้ว องค์ชายจะปฏิเสธความจริงเช่นนั้นหรือ!”
ฮือฮาดังขึ้น ขุนนางบางคนหลบสายตา บางคนสบตากันด้วยความหวาดหวั่น เพราะต่างรู้ว่า ถ้าปล่อยให้ชื่อเสียงของรองแม่ทัพหญิงสูงขึ้น เรื่อย ๆ อาจกลายเป็นภัยต่อเก้าอี้รัชทายาท
ฮองเฮาแสร้งยิ้มอ่อน แต่สายพระเนตรคมกริบกวาดไปรอบพระโรง
“ทหารรักใคร…ชาวบ้านสรรเสริญใคร…พระองค์ควรคิดให้ดีเพคะ”ฮ่องเต้เงียบ มองสารรายงานการศึก ดวงตาสะท้อนทั้งความปลื้มปีติและความกังวล
จินเซียงและเผยอิงทูลจึงตัดบทเข้าเรื่องที่จะวางมือจากกองทัพ และส่งคืนตราแม่ทัพทั้งหมดแก่ฮ่องเต้ พระองค์รับทราบเหตุผลของทั้งสองและมิได้ขัด เพราะผลงานที่ทั้งคู่ทำออกมานั้นน่าชื่นชมยิ่ง
จินเซียงลูบไล้ตราประจำตำแหน่งเบาๆ ก่อนส่งคืน ฝ่ามือที่เคยชินกับดาบกลับว่างเปล่า... รู้สึกทั้งว่างเปล่าและเหมือนมีอะไรที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า “นี่คือครั้งสุดท้ายแล้วหรือ?” ...แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าจะมีอะไรที่ให้ลำบากมากกว่าเดิมในอนาคต “ขอบพระคุณที่ทรงให้โอกาสข้าพระองค์”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนางด้วยสายตาเข้าใจ “ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมปล่อยอำนาจได้เช่นนี้”
รัชทายาทกระแอมเสียงดังแทรกขึ้น “หรือเพราะรู้ตัวว่าไม่เหมาะ?”
ห้องสนทนาสงบลงทันที จินเซียงหันมา พลางยิ้มบางแต่เย็นเยียบ “ท่านกล่าวถูกต้อง... ข้านั้นไม่เหมาะกับเก้าอี้ที่เต็มไปด้วยหนาม”
รัชทายาทพยายามกระทบกระเทียบต่อหน้าฮ่องเต้ “หวังว่าท่านจะมีความสุขกับชีวิตสามัญนะ” รัชทายาททำหน้าตาเยาะเย้ย “แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ อื้ม..ไม่ซิควรเรียกว่าสาวสามัญ”
จินเซียงยิ้มเพียงเล็กน้อย แล้วก้าวเดินกระแทกรัชทายาทจนล้มลง
“บังอาจ!” เสียงตวาดของรัชทายาทดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของท้องพระโรง
บรรยากาศภายในท้องพระโรงตึงเครียดขึ้นทันที ข้าราชบริพารหลายคนพากันเลิกคิ้ว กระซิบกันอย่างเงียบ ๆ
“ขอให้สังเกตนะ พฤติกรรมรัชทายาทนี้กำลังแสดงความไม่พอใจ”
“แต่หญิงนั้น... กล้าและเยือกเย็นเกินไป”
“นี่มัน... กล้าได้กล้าเสียเกินหญิงธรรมดาไปแล้ว”
“และยังชนะสงครามกลับมาอีกด้วย”
จินเซียงยิ้มไม่ถึงตา “ข้าคือผู้ที่ชนะสงครามให้ฝ่าบาท ส่วนท่านคือ?”
“เจ้า!”
“หยุด! พวกเจ้าเห็นข้ารึไม่! ถ้าไม่ติดว่าวันนี้ข้าอารมณ์ดี ข้าจะสั่งลงโทษพวกเจ้าไปแล้ว!” พูดจบก็เดินออกไปจากบัลลังก์ทันที
ตกเย็นมีงานเลี้ยงสำหรับเหล่าทหารที่จัดขึ้นในวัง อาหารและสาวงามคือของคู่กันที่จะขาดไม่ได้ ทุกคนต่างเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงยามค่ำคืน แต่ทว่ากลับมีใครบางคนไม่ค่อยพอใจนัก
แสงเทียนส่องประกายบนเพชรนิลจินดาในงานเลี้ยง แต่รัชทายาทกำลังจ้องมองอย่างเย็นชา 'ทำไมมันถึงต้องแย่งของที่ควรเป็นของข้าไปหมดเช่นนี้' รัชทายาทนั่งมองไม่สบอารมณ์ “หวังว่าท่านจะมีความสุขกับชีวิตสามัญนะ” เสียงเยาะเย้ยดังขึ้น แต่จินเซียงยิ้มเพียงบาง ๆ ก่อนเดินเข้าหาเขา พร้อมกับส่งแรงสะบัดจนรัชทายาทล้ม
“เจ้า!!” คนสนิทรีบวิ่งมาหิ้วรัชทายาทออกไปทันที เพียงวันเดียวก็โดนชนจนกระเด็นไปแล้วถึงสองครา และต้องอับอายต่อหน้าผู้คนทั้งสองครา
เผยอิงกระซิบข้างหูจินเซียง “ท่านพี่มีคนไม่ชอบท่านแล้วหนึ่ง”
จินเซียงยักไหล่ “ปล่อยให้อกแตกตายไปเถอะ อย่าสนใจเลย”
ทั้งคู่หันไปคุยกับเหล่าคุณหนูคุณนายต่อ อย่างไม่ได้ใส่ใจ
ก่อนจบงานจินเซียงได้รับหีบใบเล็กพร้อมห่อผ้าจากกงกงคนสนิทของฮ่องเต้ แต่หีบนั้นเบามากจนน่าประหลาดใจ...เมื่อเปิดออกเบาๆ ก็พบผ้าไหมชั้นดีห่อหุ้มอะไรบางอย่างไว้อย่างแน่นหนา เธอเหลือบมองฮ่องเต้ที่กำลังยิ้มอย่างละมุนละม่อมจากบัลลังก์ นี่คืออะไรกันแน่?
หลังเลิกงานเลี้ยงทั้งสองก็เดินมาขึ้นรถม้ากลับจวน รถม้าที่ใช้นั้นจะใช้สลับกันสองตระกูลเพราะสองสาวมักเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันตั้งแต่อยู่ที่เหอเป่ย์แล้ว
ในรถม้าคันใหญ่ทั้งสองคนก็นั่งคูกัน นอกจากข้าวของพระราชทานแล้วก็ยังมีธนูกับดาบที่ถูกเตรียมไว้ จินเซียงเปิดดูหีบใบเล็ก ด้านในบรรจุ ‘แหวนคู่’ ที่เคยเป็นของพระมารดาฮ่องเต้ เป็นนัยว่าพระองค์มองเธอเป็น “ลูก” จินเซียงคลี่ผ้าไหมในหีบเล็กออกพบแผนที่เก่าๆ ที่เขียนจุดลับในป่าริมชายแดน แล้วหันไปมองเผยอิงด้วยแววตาคลุมเครือ “นี่คือการจากลาจริงๆ หรือแค่จุดเริ่มต้นของเกมใหม่?”
“ท่านพี่นี่มัน” เผยอิงเห็นใบมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ภายในห่อผ้าไหม
“.....” จินเซียงมองหน้าคนรักแล้วกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก “เวรแล้ว เจ้ารู้มั้ยว่าหมายถึงอะไร”
“ไม่รู้ซิ”
“งานของเรายังไม่จบ... ชีวิตสงบสุขอาจเป็นเพียง... ภาพลวงตา... นี่คือที่พระองค์ต้องการบอกเรา” ทว่าจินเซียงนั้นกลับสัมผัสได้ว่ามีกลุ่มคนหนึ่งแอบตามมาตั้งแต่ออกจากวัง แต่ยังไม่ลงมือเหมือนกำลังรอ “หยุดรถ!”
“มีอะไรรึขอรับ” คนขับรถม้าหันกลับมาถาม
“ไปหานายกองหลี่ บอกว่าพวกเราถูกตามโดยแขกไม่ได้รับเชิญ”
จินเซียงตอบกลับ พลางหยิบอาวุธขึ้นมาจากที่ซ่อน
“ขอรับ! ข้าน้อยจะไปในทันที!” คนขับรถม้ารีบ รีบวิ่งพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านพี่ พวกไหนกัน”
จินเซียงมองหน้าคนรักด้วยความงวยงง “เจ้า... ไม่รู้จริงดิ” เผยอิงยังคงทำแววตาวิบวับ นางถึงกับถอนหายใจเมื่อเห็นท่าทางของคนรัก
“ไม่รู้ซิ ดูท่าเจ้าภาพจะเยอะเสียด้วย” แต่จินเซียงเองก็ไม่มั่นใจ ในงานก็มีหลายคนที่ไม่ชอบหน้านาง
ฟึ่บ! เงาร่างจำนวนมากพุ่งออกมาจากสองข้างทางราวกับหลุดออกมาจากเงามืด ลูกธนูเพลิงพุ่งเป็นแนวโค้งมุ่งสู่ขบวน
“ระวัง!!” เผยอิงตวาด กวัดดาบปัดลูกธนู แสงไฟลุกพรึ่บท่ามกลางความมืด เผยให้เห็นกลุ่มมือสังหารสวมชุดดำ ปิดหน้า สวมหมวกปีกใบใหญ่พกดาบสั้น และอาวุธลับ
“เกิดเป็นสตรีดีๆ ไม่ว่าดันมาแส่หาเรื่องใส่ตัว ฆ่าพวกนาง!”
พวกมันโถมยิงธนูเข้าใส่รถม้าอีกครั้ง จนในรถเต็มไปด้วยลูกธนู
“หยุดก่อน! เจ้าสองคนเข้าไปดู”
“ขอรับ!” ทั้งคู่เดินเข้าไปดูในรถม้า
แต่เมื่อเปิดเข้าไป “คนหายไปไหน!” ไม่ใช่แค่คนแต่รวมถึงทรัพย์สินภายในรถม้าทั้งหมดด้วย
หนึ่งในพวกมัน รีบวิ่งออกมารายงาน “ลูกพี่แย่แล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้น”
“เป้าหมายหายไป! ในรถม้าไม่มีใครเลย!”
“แยกย้าย! รีบตามหาให้เจอ!”
“ขอรับ!” พวกมันต่างรีบแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
บนชั้นสองของอาคารหลังหนึ่งที่หัวมุมถนน ทั้งคู่ยืนมองกลุ่มนักฆ่าจากเงามืดบนอาคาร พวกนางแอบออกมาจากรถม้าด้วยทักษะลับของจินเซียงแล้วขึ้นไปหลบอยู่บนนั่น เบื้องล่างยังมีพวกมันอีกหลายคนยืนเฝ้ารถม้าไม่ได้ขยับไปไหน
“รออยู่ตรงนี้” นางกระซิบบอกเผยอิง
“ได้ ข้าจะรอตรงนี้... เมื่อเสร็จแล้วรีบ... ส่งสัญญาณมาน่ะ” น้ำเสียงของเผยอิงและแววตาของนาง ทำเอาจินเซียงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ตะ... ตกลง” นางหันไปจูบเผยอิง แล้วรีบหายตัวไปดุจสายลม
“คนบ้า” เผยอิงนั่งเขินอาย หาได้กลัวนักฆ่าเลยแม้แต่น้อย
บรรยากาศในเมืองยามค่ำคืน ช่างเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวชวนวังเวงไม่น้อย อาวุธสังหารที่เลือกใช้คือมีดลับที่อยู่ในปลอกแขน อาศัยเพียงความมืดและการเคลื่อนที่อย่างเงียบเชียบแผ่วเบา เข้าประชิดตัวนักฆ่าคนแรกที่ยืนเฝ้ารถม้าอยู่ไม่ไกล
ฉึก! นักฆ่าคนแรกถูกแทงเข้าที่คอ ไม่ทันได้แม้แต่รู้สึกตัวก่อนจะล้มลงและถูกลากไปใต้รถม้า
นักฆ่าอีกคนหันกลับมาพอดี แต่ไม่เห็นคนของมันยืนอยู่ “มันหายไปไหนของมัน ให้ยืนเฝ้าระ...” แค่ก ค็อก! ฟุบ! ใบมีดเงาปาดเข้าที่คออย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว
‘ลงมาได้’ เมื่อได้รับสัญญาณ เผยอิงก็กระโดดลงไปหาจินเซียงทันที
“อึ้บ! เจ้า… ตัวหนักขึ้นนะ” จินเซียงรับเผยอิงที่กระโดดลงมา ก็มิวายแอบแซวคนในอ้อมแขน
“พะ... พวกเรารีบไปเถอะ” เผยอิงรีบผละออกจากอ้อมอกอุ่น ด้วยใบหน้าที่แดงด้วยความเขินอาย
“พวกมันเป็นใครกันถึงต้องการฆ่าพวกเรา”
“แล้วจะไปถามใครกันจริงไหม” จินเซียงยิ้มบาง
“นั่นซิ ฆ่าไปให้จบเลยดีกว่า” เผยอิงยิ้มตอบ
จินเซียงลืมไปชั่วขณะ ว่ามันนั้นง่ายกว่าที่จะเดินแบบหลบๆ ซ่อนๆ
“ใช่! แค่ฆ่าให้มันจบไปก็พอ ไม่เห็นต้องหนีเลย” จินเซียงหอมแก้ม ไปหนึ่งทีด้วยความยินดี
“คนบ้า... ข้านึกกว่าท่านจะรู้ตัวอยู่แล้วเสียอีก จึงเรียกข้าลงมาจากที่ซ่อนแบบนี้” เผยอิงตีไหล่คนตัวโตเบา ๆ
“กะ ก็พึ่งนึกได้” จินเซียงยิ้มแก้เขิน “ไอพวกบ้า! พวกข้าอยู่ตรงนี้!”
เสียงฝีเท้าศัตรูดังใกล้เข้ามา เงาร่างชุดดำพุ่งเข้าล้อมรอบนางนับสิบ นัยน์ตาของจินเซียงหรี่ลง พอพวกมันได้พบเป้าหมาย พวกมันก็พุ่งตรงเข้าใส่
“อย่ากะพริบตาล่ะ… ของดีไม่ได้มีให้ดูบ่อย” เสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยแรงกดดัน
นางยกมือแตะด้ามดาบ โลกเหมือนหยุดนิ่ง ลมหายใจศัตรู เสียงหัวใจที่เต้นระรัว ดังสะท้อนอยู่ในหูราวกับกลองศึก
“จิตวิญญาณดาบ....”
ชิ้ง!!! คมดาบชักออกจากฝัก เสียงโลหะเสียดสีแว่วก้องกลางความมืด แสงสีฟ้าพุ่งออกมาจากคมดาบ เปล่งประกายจนความมืดยามค่ำคืนถูกฉีกออก
“คมดาบปลิดวิญญาณ!”
พรึ่บ!!!
ร่างของจินเซียงเคลื่อนไหวเร็วเกินสายตา เงาเดียวพุ่งทะลุฝูงนักฆ่าเหมือนสายลมกรรโชก
ชิ้ง~ ควับๆ
รอยดาบปรากฏขึ้นเป็นแสงสีฟ้ายามค่ำคืน ร่างของนางเคลื่อนผ่านกลุ่มนักฆ่าเหมือนสายลม
ฉัวะ! ฉัวะ! เนื้อถูกเฉือนดังขึ้นเกือบพร้อมกัน
เงาร่างศัตรูทั้งหมดหยุดนิ่ง แล้วร่างพวกมันก็ร่วงลงพร้อมกันทีละคน ทีละคน เลือดสาดกระจายกลางถนน มืดจนเหมือนย้อมด้วยหมึก
เพียงชักดาบหนึ่งครั้ง… ทุกสิ่งก็จบสิ้น!
ชิ้ง~ คมดาบสะบัดเลือดออก แล้วกลับเข้าสู่ฝัก
แสงสีฟ้ายังคงเหลือร่องรอยเส้นแสงค้างกลางอากาศ ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไปในความมืด
‘ทักษะที่ระบบปลดล็อกให้มันช่างดีเสียจริง ที่เหลือก็อืม... พรุ่งนี้ต้องขายอาหารหน้าจวนใช่ไหม’ นางมองดูข้อความของระบบด้วยความท้อแท้ การที่ระบบปลด ล็อกทักษะให้มันก็ดี แต่ดันมี โจทย์ขายอาหาร เป็นภารกิจถัดไป ‘สรุประบบนี่มัน... ต้องการให้ข้าเป็นแม่ครัวหรือนักฆ่ากัน’
เผยอิงมองคนรักเก็บดาบเข้าฝัก แล้วเดินไปดูนักฆ่าที่นอนจมกองเลือด “บอกมาว่าใครส่งเจ้า?”
นักฆ่าพยายามคลานหนีแต่ถูกเผยอิงเอาดาบมาจอคอไว้ มันยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างสะใจ
“ฮึฮึฮึ...ไปตายซ่ะ!” พูดจบมันกัดยาพิษที่ซ่อนไว้ในปากจนเกิดฟองเลือดผุดขึ้นมา... สิ้นใจตาย
เผยอิงค้นตัวมันจนเจอสัญลักษณ์บนอาวุธลับ เมื่อค้นตัวอย่างละเอียดก็พบจดหมายลับที่ซ่อนไว้ ก่อนจะรีบเก็บเข้าอกเสื้อเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักที่กำลังตรงมา
“คุณหนูใหญ่!” เสียงนายกองหลี่ดังมาแต่ไกล
“มากันแล้ว” เผยหันไปมองนายกองหลี่ที่วิ่งมาพร้อมทหารองครักษ์
จินเซียงเดินเข้าไปใกล้เผยอิงที่ยังคงยืนเหม่อ
“นี่ นี่ อิงเอ้อร์ถ้าเจ้าไม่ตอบ ข้าจะทิ้งเจ้าไว้กับศพนักฆ่าน่ะ”
“จะ... เจ้าบ้า ขะ... ข้าแค่ตกใจกับวิชาดาบเท่านั้นมันเร็วมาก ข้าเห็นแค่ตอนเจ้าเก็บดาบ มันเร็วเกินมองไม่ทัน”
“ไว้ข้าจะสอนให้เจ้าดีไหม”
“นั่นซิน่ะ ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะทำอะไรต่อตอนนี้ข้าไม่ใช่แม่ทัพหยางอีกแล้ว” เผยอิงยิ้ม
“ข้าเลี้ยงเจ้าได้ไม่ต้องห่วง” จินเซียงเอามือลูบหัวเผยอิงเบาๆ แล้วหันไปมองนายกองหลี่และทหาร ที่กำลังพากันหันมองไปทางอื่น
‘เกิดมาพึ่งเจอคนมายืนหวานกัน ท่ามกลางร่างไร้วิญญาณเช่นนี้’
“คะ... คุณหนูเป็นอันใดหรือไม่ขอรับ” นายกองหลี่ถามแก้เขิน
“ข้าฝากพวกท่านด้วย แล้วก็ไปเอารถม้าด้วยเดี๋ยวมันหาย”
“ห่ะ! ขอรับ?” พูดจบทั้งคู่ก็เดินจากไป ทิ้งให้คนมาช่วยพากันยืนงง
ทหารคนหนึ่งหันมากระซิบกับนายกองหลี่” นี่คือแม่ทัพหญิงที่สยบกองทัพเหลียวเช่นนั้นหรือขอรับ?” ด้วยความทึ่ง เพราะดูยังไงก็เหมือนคู่รักที่หวานกันได้ไม่เกรงใจในทุกสถานการณ์
ครั้งนี้ดันมีชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์พอดี และก็เริ่มพากันพูดไปแบบปากต่อปาก ว่ามันคือวิญญาณของเหล่าวีรชนที่ออกมาปกป้องแม่ทัพทั้งคู่
********
เช้ามืดวันถัดมา แสงอ่อนยามรุ่งสางลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
จินเซียงตื่นขึ้นมาแต่เช้า นางสวมผ้ากันเปื้อนเรียบง่าย แล้วเดินตรงไปยังครัวของจวน
เหล่าสาวใช้ที่เห็นนายสาวเข้าครัว ต่างพากันกรูกันเข้ามาช่วยราวกับรู้หน้าที่ แม่ครัวใหญ่ที่กำลังดูแลการเตรียมอาหารเช้าถึงกับยกมือกุมขมับ
“คุณหนู ท่านจะเอาของพวกนี้ไปทำขายจริงหรือเจ้าคะ”
แม่ครัวใหญ่ถาม เพราะเห็นนายสาวหมักไก่ไว้เยอะแยะแล้วไหนจะแผ่นแป้งแปลกๆ นี่อีก
“ท่านป้าอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวข้าจะทำให้พวกท่านได้ชิมเอง แล้วช่วยบอกด้วยว่ารสชาติเป็นเช่นไร” จินเซียงยิ้มมั่นใจ
“เจ้าค่ะ! ไม่มีปัญหา พวกเรามีกันสิบสองคนเชียวนะเจ้าคะ”
แม่ครัวใหญ่ตอบอย่างร่าเริง ขณะที่เหล่าสาวใช้ยืนเรียงแถวรอด้วยตาเป็นประกาย จนนางมองแล้วก็อดขำไม่ได้
“เอาล่ะ เจ้านั่น…เอาเนื้อไก่ไปเสียบเหล็กแล้วย่างไฟอ่อนตรงนั้น ระวังร้อน!” นางสาธิตวิธีอย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ไม่วายมีคนจะไปจับเหล็กจนนางต้องรีบเตือน
ไม่นาน เสียง ‘ฉ่า’
เนื้อกระทบตะแกรงดังขึ้นพร้อมกลิ่นหอมลอยอบอวลไปทั่วทั้งครัว กลิ่นนั้นเข้มข้นจนปลุกให้คนในจวนหลายคนให้ตื่นขึ้นมาเดินตามกลิ่นมาด้วยความหิว กลิ่นเนื้อย่างตอนเช้าช่างหอมฟุ้งยั่วยวน
“ลูกเซียง เจ้าทำอะไรแต่เช้า” เสียงของ หลอหลัน ดังขึ้นพร้อมร่างงามในชุดนอนยามเช้า
“ท่านแม่ เชิญเจ้าค่ะ ลูกกำลังเตรียมอาหารไปขายตอนเช้า”
จินเซียงที่กำลังสาธิตวิธีกินอยู่นั้นหันไปบอกผู้มาใหม่
“หอมจนข้าตื่นเลย…หอมมากเลย...” ฟางฟางเดินงัวเงียเข้ามาเกาะขอบประตูครัว
“เนื้อย่างสูตรพิเศษกับแผ่นแป้ง มาสิ! มาช่วยชิมให้พี่”
นางยื่นชิ้นที่ทำเสร็จแล้วให้ แต่…
“เอ๊ะ!! ทำไมมีแต่จานเปล่า?” ฟางฟางมองจาน ก่อนจะหันขวับ “ท่านแม่! ท่านจะแย่งลูกแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!”
“อืม~ ไก่นี่ช่าง... ผักก็กรอบ เครื่องเทศก็แปลกลิ้น แม่อธิบายไม่ถูกบางอย่างที่ทำให้รสชาติของอาหารแบบว่า แม่อธิบายไม่ถูกเลย” หลอหลันพูดพลางเคี้ยวอย่างเพลิดเพลิน
“เจ้าค่ะ เดี๋ยวลูกจะทำให้ดู”
จินเซียงหยิบไก่ย่างออกจากเหล็ก สับอย่างรวดเร็ว จากนั้นเอาแผ่นแป้งไปอังไฟจนหอม ก่อนทาเครื่องเคียงบาง ๆ วางผักสด เนื้อไก่ร้อน ๆ
ราดน้ำซอสสีขาวหอมละมุน แล้วโรยเครื่องเคียงลับ ก่อนจะม้วนอย่างสวยงาม“ฟางฟาง เจ้ามาชิมดู” ครั้งนี้นางวางไว้ให้เลือกเอง
“ท่านพี่…ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ข้าต้องอ้วนแน่เลย” ฟางฟางบ่นพลางกัดห่อแป้ง แต่ยังไม่ทันกลืน
“พี่รองงงงง!”
เธอกรีดร้องเมื่ออีกครึ่งชิ้นถูกผู้มาใหม่คว้าแย่งไปอย่างหน้าตาเฉย เสียงหัวเราะดังครึกครื้นทั่วครัว
“พอ ๆ ได้เวลาแล้ว พี่ต้องรีบไปขาย” นางยกของเตรียมออกหลังครัวโดยมีสาวใช้ช่วยกันขน “ท่านแม่เจ้าค่ะ อาหารเช้าลูกให้สาวใช้เตรียมไว้แล้วพอถึงเวลาเดี๋ยวพวกนางจะเอาไปส่ง”
“ป้าผิง ลูกข้าทำอะไรไว้รึ” หลอหลันถามแม่ครัวใหญ่
“ไม่บอกเจ้าค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า” แม่ครัวใหญ่รีบเดินหนีกลับไปทำงาน ขณะที่บรรยากาศในครัวยังคงคึกคัก
“ป้า!!!”
“ท่านแม่ ทำไมพี่ใหญ่ต้องไปขายของด้วยเจ้าคะ เรามีกิจการตั้งมาก”ฟางฟางถามอย่างไม่เข้าใจ
“ฟางฟาง…แม้เราจะเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ แต่ทุกอย่างไม่ยั่งยืน”
หลอหลันกล่าวเสียงหนักแน่น “พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ใช่สตรีทั่วไปที่รออยู่แต่ในเรือน นางเดินในเส้นทางของตัวเอง และนี่แหละคือพลังของนาง”
“เจ้าค่ะ” ฟางฟางพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะรีบไปอาบน้ำเพราะใกล้เวลาอาหารเช้าแล้ว
ทางด้านจินเซียง ตอนนี้ก็เอาของทุกอย่างขึ้นบนรถม้าที่ถูกยิงด้วยธนูจนพรุนไปทั้งคัน นางจึงให้เหมยซีช่วยแยกชิ้นส่วนออก แล้วประกอบเป็นรถขายอาหารคันใหญ่แทน
“ว้าว เจ้าทำได้ออกมาดีมาก” แม้แต่คนบ่าวที่ช่วยยกของออกมาจากห้องครัวท้ายจวนก็ยังอดชื่นชมไม่ได้
“ใช่ไหมละ ฮูหยินของข้าต้องเกณฑ์คนงานมาช่วยทำเลย ผลงานจึง ดูดีภายในคืนเดียว”
“เอะ! อย่างนั้นเด็กสาวที่ข้าเจอตอนนั้นก็”
“น้องสาว ของฮูหยินข้าเอง”
“เจ้านี่! ใช้แรงงานเด็ก”
“พอเลย เดี๋ยวสายข้าไม่รู้ด้วย ข้าเองก็ต้องไปที่ร้านแล้วเหมือนกัน นั่นไง! พี่ใหญ่เดินมาแล้ว” เหมยซีหันไปโบกมือให้เผยอิง ที่กำลังเดินมาพร้อมสาวใช้คนสนิทที่จะเอาไปเป็นคนช่วยงานวันนี้
“พี่สาว เอ่อ... ท่าแน่ใจน่ะว่านางช่วยได้” เหมยซีมองสาวใช้
“หยิบจับนิดหน่อยก็ยังดี”
“แล้วแต่พี่เลย ข้าไปก่อน” พูดจบเหมยซีก็เดินไปขึ้นรถม้าที่ฮูหยิน ของตนมารอรับ
“นางมีกี่คน”
“สามคนตามชื่อร้านเลย”
“หึหึหึ นางเก่งที่ตื่นเช้าได้ แล้วพวกนั้นไม่ตีกันหรือ”
“ไม่นิ พวกนางเป็นเพื่อนสนิทกัน ชอบคนเดียวกัน ตอนแรกก็มีบ้างจนท่านพ่อปวดหัวแต่สุดท้าย... ก็ลงเอยด้วยการแต่งพร้อมกันเลยสามคน” จินเซียงที่ได้ฟังถึงกับพูดไม่ออก
“รีบมาช่วยจัดของเถอะเดี๋ยวสาย”
“อืม” ไม่นานก็เสร็จพร้อมไปขาย
ตอนนี้รถม้าขายอาหารก็เสร็จสมบูรณ์พร้อมลงสนาม รถม้าที่เปลี่ยนจากสองล้อมาเป็นสี่และใส่โช๊คอัพเพื่อความนุ่มนวลเวลาวิ่งไปบนท้องถนน ตัวของล้อเองก็มีการเอาเหล็กมาเสริมเรียกได้ว่าโมใหม่ทั้งคัน
แสงอาทิตย์แรกของวันสาดผ่านกำแพงเมือง ตลาดเช้าในเมืองใหญ่ รถม้าคันใหญ่ที่ดัดแปลงจากรถศึกพรุนธนูค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสู่ย่านการค้า ล้อเหล็กที่เสริมใหม่บดไปบนทางหินก่อ เกิดเสียงกึกก้องสะท้อนรับกับเสียงเรียกขายของจากพ่อค้าแม่ค้ารอบ ๆ
จินเซียงก้าวลงจากรถ พลางตรวจสอบเตาไฟและเนื้อไก่ที่เตรียมมา สาวใช้รีบก่อไฟ ควันบางสีขาวค่อย ๆ ลอยออกจากปล่องจนผู้คนหันมามองพื้นที่ทำเลขายนั้นได้พ่อบ้านมาจองไว้ให้ ห่างจากร้านที่กำลังปรับปรุงไม่มากทั้งยังใกล้ประตูหลักและที่จอดรถม้าอีกด้วย เรียกว่าทำเลดีสุดๆ
สาวใช้ของเผยอิงเองก็กำลังเอาป้ายไม้ที่มีรายการอาหารและราคาเขียนไว้นำไปตั้งตามจุดที่นายสาวบอกรวมถึงธงที่มีสีสันแปลกตา แล้วยังมีโต๊ะเล็กสำหรับนั่งสองคนอีก 3 ชุด แม้งานจะหนักแต่นายไม่บ่นไม่ว่าก็ทำให้นางทำงานได้อย่างสบายใจ
“หอมอะไรเช่นนี้?”
“กลิ่นไก่ย่างหรือ?”
เสียงซุบซิบดังขึ้นรอบตลาด ขณะเดียวกันทหารยามสองนายที่เดินตรวจตราก็หยุดยืนหน้าร้านชั่วครู่ สาวใช้ของเผยอิงยกถาดเล็กออกไปยื่นให้
“เชิญท่านทั้งหลาย ลองชิมได้เจ้าค่ะ ฟรี!”
เพียงคำแรกที่ทหารยกเข้าปาก รสชาติก็ทำให้เขาตาโต น้ำตาคลอด้วยความอร่อย คนที่ยืนดูถึงกับหัวเราะ เมื่อเห็นชายร่างกำยำยกมือสั่นรีบชี้ไปที่ป้ายราคา
“ข้าขอสาม! เอากลับไปให้เมียด้วย!”
เสียงโห่ร้องเริ่มดังขึ้นตามมา ราวกับคลื่นในตลาดถูกปลุกให้ตื่น สตรีชาวบ้าน คนขายของใกล้เคียง และแม้แต่ขุนนางน้อยที่เดินผ่าน ต่างกรูเข้ามารุมล้อมร้านรถม้าคันนั้น
จินเซียงยิ้มมุมปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทั้งหนักแน่นและเล่นหัว
“อย่าแย่งกัน หากไม่หยุด ข้าจะไม่ขายแล้วนะ!”
คำประกาศนั้นกลับทำให้ฝูงชนยิ่งเร่งรีบ พากันยื่นเงินอีแปะเพื่อคว้าของกินก่อนใคร บรรยากาศครึกครื้นยิ่งกว่าร้านใดในย่านเดียวกัน
“นี่แม่นาง! ไก่นี่ใช้สูตรอะไรถึงได้นุ่มขนาดนี้?” ชายผู้หนึ่งถามขณะเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
จินเซียงยิ้มกว้าง” สูตรลับของตระกูล... แต่ถ้าท่านอยากรู้จริงๆ” นางก้มลงแล้วเอามือปาดคอตัวเอง จนเพื่อน ๆ หัวเราะลั่น
“โถ่ว แม่นาง... ข้าแค่ล้อเล่นเอง ข้าเอาสองชุด พร้อมเครื่องดื่ม” ไม่รอช้า เค้ารีบสั่งเพิ่มทันที
“ไก่ทอดพร้อมแผ่นแป้งและเครื่องดื่มได้แล้ว หมายเลขหนึ่งมารับ อาหารได้” สาวใช้รับห่ออาหารแล้วไปว่างไว้ที่จุดชำระเงิน
“ทั้งหมดสีสิบอีแปะเจ้าค่ะ เครื่องเดิมนี้เป็นน้ำถั่วเหลืองสูตรพิเศษทางเราแจกฟรีเจ้าค่ะ” นางพูดได้อย่างคล่องแคล่วตามที่สอน
“เยอะมาก ข้ากินได้ทั้งวันแล้วยังเหลือกลับไปให้ลูกเมียกินได้อีก” เค้าจ่ายเงินแล้วพูดออกมาเมื่อดูจำนวนอาหารที่ได้ เค้าตัดสินใจเดินกลับไปที่พักก่อนเพื่อนำอาหารอีกชุดไปให้ลูกเมียได้ทาน
“อาต้า มารับรายการหมายเลขสองด้วย”
“เจ้าค่ะ” อาหารหมายเลขสองมาพร้อมกลิ่นหอม
“สี่สิบอีแปะเจ้าค่ะ นี่ท่านเป็นอะไรไปทำไมนิ่งไปแบบนั้น” ชาวบ้านที่ผ่านไปมาพากันมอง
“ข้างจะกินหมดไหมเนี่ย เจ้ายังมีลูกเมียแต่ข้าตัวคนเดียว กินได้สองวันเลยนะแม่นาง” ชายหนุ่มพูดอย่างเหม่อลอย
“เจ้าพูดเกินจริงไปหรือไม่ แค่ห่อใหญ่เฉย ๆ เห้ย! แม่นาง... ข้าขอแบบนี้ด้วย” ชายแต่งตัวดีรีบหันไปสั่งอาหาร ทันทีที่เห็นคนแกะห่อออกมากิน
“ข้าด้วยๆ ของข้าเพิ่มไข่ด้วย”
“ข้าเอาไก่เหลืองทองงงงง” หลายคนเรื่องตะโกนแย่งกันจนวุ่นวาย
“ข้าบอกแล้วว่าอย่าแย่งกัน! หากไม่หยุด ข้าจะไม่ขายแล้วนะ!”
คำประกาศรอบสองนั้นกลับทำให้ฝูงชนยิ่งเร่งรีบ พากันยื่นเงินอีแปะเพื่อคว้าของกินก่อนใคร บรรยากาศครึกครื้นยิ่งกว่าเดิม
ลูกค้ามากกว่าครึ่งเป็นทหารยามและคนที่มาทำงานช่วงเช้า รวมถึงคนที่เดินทางมาจากนอกเมือง ด้วยที่ราคาอาหารไม่แพงมาและปริมาณถือว่าคุ้มราคาจึงทำให้สามารถซื้อทานกันได้ทุกชนชีพ
“ของใกล้หมดแล้วน่ะ อาเซียง”
“แย่จริงไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้ ป้าผิงเจ้าค่ะ ป้าให้สาวใช้ไปช่วยกันตั้งป้ายที่เขียนว่าปิด แล้วไว้ที่ท้ายแถวทีน่ะเจ้าค่ะ”
“เจ้าค่ะคุณหนู” ป้าผิงหันไปบอกสาวใช้
“คุณหนู! ไก่ย่างหมดแล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้ร้องด้วยเสียงแตกตื่น
จินเซียงมองไปที่กองไฟที่กำลังมอด แล้วเหลือบเห็นรัชทายาทซึ่งแอบมายืนต่อแถวอยู่
“ไม่เป็นไร” นางกระซิบ” เอาไก่ชุดสุดท้ายนี้ย่างด้วยไฟแรง” เมื่อย่างเสร็จ เธอเสิร์ฟไก่ชิ้นนั้นให้รัชทายาทโดยไม่เปิดเผยตัวตน
“...” เขากัดคำแรกแล้วตาลุกวาว
“นี่... รสชาติเหมือนเมื่อสิบปีก่อน..ท่านแม่...”
(รสชาติที่แม่ผู้ล่วงลับเคยทำให้)
ส่วนคนที่มาไม่ทันก็พากันโวยวายแต่เมื่อบอกไปว่าร้านขายเพียงสองชั่วยามหลายคนก็เข้าใจและถามกันว่าเปิดตั้งแต่ช่วงไหน พอบอกว่าช่วงเช้ามืดทุกคนก็พยักหน้าแล้วพากันเดินออกไป
“ร้านนี้ดูไม่เหมาะกับสตรีสูงศักดิ์นะ” จินเซียงเงยหน้ามองคนพูด
จินเซียงไม่ตอบ นางใช้มีดสั้นของขวัญจากฮ่องเต้ หั่นไก่เป็นชิ้นบางพอดีคำในพริบตา รัชทายาทที่เห็นถึงกับตะลึงเพราะจำได้ดีว่านั่นเป็นมีดพระราชทานของฮ่องเต้
“นะ นะ นี่เจ้า!” จินเซียงยิ้มและจุดไฟด้วยการสะบัดมีด ให้ไฟลุกโชนสวยงาม ยิ่งทำให้รัชทายาทที่ปลอมตัวมายืนอ้าปากค้าง องครักษ์ที่เห็นท่าไม่ดีจึงเอาถุงเงินวางไว้แล้วพานายของตนกลับวัง
“ขะ...ข้านึกว่าจะตายซ่ะแล้ว” สาวใช้พากันนั่งหมดแรงที่โต๊ะอาหารหลังลูกค้าคนสุดท้ายออกไปแล้ว
“มาช่วยกันปิดร้านก่อน จะได้กลับจวนกัน”
“เจ้าค่ะ” ทุกคนเร่งมือเก็บร้านจนเสร็จ เผยอิงเดินไปเอาม้ามาจากคอกม้าของร้านที่กำลังสร้าง
“คุณหนูทำไมร้านท่านดูแปลกๆ” ป้าผิงถาม
“ข้าให้เหมยซีช่วงทำให้ มาเถอะป้าม้ามาแล้ว”
นางเอาม้าเทียบรถและออกเดินทางกลับจวนแม้รถม้าจะคันใหญ่แล้วมีคนนั่งอีกแปดคน แต่รถม้าก็ยังวิ่งได้สบาย
“รถม้าข้าวแปลกตานัก ม้าก็ตัวใหญ่กว่าม้าทั่วไปหลายเท่า”
“ได้ยินมั้ย? แม่ทัพหญิงผู้ปราบเหลียวมาขายไก่ย่างเองนะ!”
“ว่าแต่...ทำไมท่านไม่สวมชุดแม่ทัพล่ะ?”
“ท่านคงอยากใช้ชีวิตสงบๆ ละมั้ง”
เสียงชาวบ้านต่างพากันพูดคุยกระซิบกระซาบ
ทว่า…ท่ามกลางเสียงหัวเราะและกลิ่นอาหารหอมกรุ่น มีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอย่างเย็นชา ชายร่างผอมในชุดชาวบ้านยืนพิงกำแพงตรอก มือซุกอยู่ในแขนเสื้ออย่างน่าสงสัย เขาไม่สนใจรสชาติ ไม่สนใจความวุ่นวาย สายตาเพียงจับจ้องไปยังรถม้าและหญิงสาวผู้นั้น …ด้วยความเงียบงันที่บอกไม่ได้ว่าคือมิตรหรือศัตรู
ณ บริเวณจวนใหญ่ตระกูลถัง ยามสาย
เสียงล้อเหล็กบดไปบนลานหินดังแกรก รถม้าคันใหญ่เลี้ยวเข้าประตูหลังของจวนอย่างมั่นคง บ่าวชายหลายคนรีบวิ่งมารอรับ เหมือนรู้หน้าที่กันดี จินเซียงแทบไม่ต้องขยับมือเอง เพียงแค่จูงม้าไปเก็บที่โรงม้า แล้วหันกลับมาดูบ่าวยกลังแป้ง น้ำมัน และอุปกรณ์ต่าง ๆ ลงจากรถม้าอย่างขยันขันแข็ง
“เอาล่ะ... ได้เวลานับเงินแล้ว”
จินเซียงเปิดกล่องเก็บเงินท่ามกลางสายตาเข้าเหล่าวสาวใช้ที่กำลังเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้น พอเทเหรียญอีแปะออกมาก็จนล้นโต๊ะไม้ ป้าผิงกับสาวใช้ทั้งสามรีบล้อมวงช่วยกันนับ เสียงเหรียญกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งไม่หยุด
“เยอะไปไหมเจ้าคะ คุณหนู” ป้าผิงมองหน้านายสาว
“นับเถอะป้าผิง”
“เจ้าค่ะ” ทุกคนลงมือช่วยกันนับเหรียญบนโต๊ะ
“สามพันสองร้อยอีแปะ!”
“สามตำลึงเงินกับอีกสองร้อยสินะ” เผยอิงกล่าวพลางยิ้มมุมปาก
จินเซียงหยิบถุงเงินออกมาหลายใบ ส่งให้สาวใช้และป้าผิง
“นี่คือส่วนของพวกเจ้า ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับความขยันวันนี้”
บ่าวสาวใช้ต่างรีบก้มตัวขอบคุณด้วยแววตาดีใจ
“บ่ายนี้ข้าจะออกไปซื้อของเพิ่ม ป้าเรียกบ่าวมาช่วยขนของไว้เลย”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
หลังจากนั้น ทั้งสองสาวอาบน้ำเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าสบาย ๆ แล้วออกเดินทางพร้อมอี้หลันที่ไม่มีเรียนในวันนี้ บรรยากาศยามบ่ายริมท่าเรือคึกคัก เรือสินค้าจากแดนไกลจอดเทียบท่าหลายลำ เสียงผู้คนตะโกนซื้อขายดังไม่ขาดสาย
“ท่านพี่มาเดินซื้ออะไรที่ตลาดท่าเรือเจ้าค่ะ”
“มาหาซื้อของบางอย่างและก็มาทำธุระด้วย”
“อ้อเจ้าค่ะ”
เมื่อเข้าไปในร้าน กลิ่นเครื่องเทศหอมฉุยลอยแตะจมูกทันที อาร์รีฟา ภรรยาของพ่อค้าชาวอาหรับรีบออกมาต้อนรับ พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นแบบคนกันเอง
“น้องสาว เจ้ามาแล้ว! พี่เตรียมของไว้ให้แล้ว”
นางยกกล่องโลหะเงาวับออกมาวางบนโต๊ะรับรอง
“นี่คือ…” จินเซียงเปิดดูแล้วตาเป็นประกาย
“หน้ากากครึ่งหน้า จากเอเธนส์ ชิ้นนี้พิเศษนะ”
เมื่อจินเซียงลองสวม เผยอิงถึงกับเผลอจ้องตาค้างไปชั่วขณะ ก่อนอี้หลันจะแซวเสียงดัง “พี่สะใภ้ ท่านเก็บอาการหน่อยสิ~”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นคลายบรรยากาศ ก่อนที่อาร์รีฟาจะนำชุดเครื่องครัวใหม่และเครื่องเทศหายากมาเสนอ ซึ่งจินเซียงกวาดซื้อแทบทั้งหมด พร้อมฝากให้คนงานของร้านไปส่งที่จวน
“ว่าแต่ท่านมีกระจกไหม” จินเซียงรีบถามสิ่งที่สำคัญที่สุด
“กระจกหรือ อืม~” อาร์รีฟาพยายามนึก “อ้อ นึกออกแล้ว เมื่อสัปดาห์ก่อนมีเรือมาจากนอร์มังดีย์มา พวกนั้นมีขาย”
“ขอบคุณท่านมาก ไว้ข้าจะเวะมาดื่มชาด้วย”
“ยินดีต้อนรับเสมอ” อาร์รีฟาเอามือแนบหน้าอก ก้มหัวเล็กน้อย
ขณะที่ทั้งสามเดินเล่นชมร้านริมท่า เรือจากนอร์มังดีย์เพิ่งเทียบท่า ทำให้ย่านนั้นแน่นขนัดไปด้วยผู้คนต่างเชื้อชาติ เสียงภาษาที่หลากหลายผสมกันเป็นบรรยากาศแปลกตา
“เราแวะไปร้านของอาซีดีไหม” เผยอิงชวน
“ดีเลย ข้าก็เริ่มหิวแล้ว” จินเซียงตอบพลางหัวเราะเบา ๆ
แต่ทันใดนั้น!!
ปึก!
แรงชนดังจากด้านหน้า ทำเด็กสาวในชุดกิโมโนล้มกลิ้งไปกับพื้น ส่วนจินเซียงยังยืนนิ่งราวกับหิน
“เจ้าเป็นอะไรรึไม่” นางย่อตัวถาม
เด็กสาวเงยหน้าขึ้น น้ำตาคลอ พูดภาษาที่ไม่ใช่ท้องถิ่นออกมาเสียงสั่น “たすけて (ทาสุเคะเตะ) …!”
“ญี่ปุ่นงั้นรึ” จินเซียงตอบกลับเป็นภาษาญี่ปุ่น ทำให้เด็กสาวตะลึง
“ท่าน… พูดภาษาข้าได้!”
เด็กสาวอีกคนวิ่งมาสมทบ รีบคว้ามือเพื่อนแล้วก้มศีรษะขอร้อง “ช่วยพวกเราด้วย!”
“เกิดอะไรขึ้น” เผยอิงถาม
“พวกนางกำลังถูกไล่ล่า…ดูนั่นสิ”
สายตาของจินเซียงหันไปยังทิศตรงข้ามฝูงชน กลุ่มชายฉกรรจ์แต่งกายคล้ายคนของตระกูลใหญ่ กำลังแหวกฝูงชนเข้ามาอย่างเร่งรีบ ใบหน้าคมบากคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง
“คุณหนูใหญ่! ส่งตัวสองคนนั้นมา ไม่งั้นอย่าโทษว่าข้าไม่เตือน!!”
สายลมอุ่นพัดผ่านไปตามตรอกอาคารบ้านเรือนในย่านตลาดหลังท่าเรือ บนหลังคาอาคารรอบ ๆ เรือนหลังหนึ่งมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังเฝ้าจับตามองอยู่เด็กสาวสองคนเดินฮัมเพลงเป็นจังหวะสบาย ๆ เข้ากับบรรยากาศอบอุ่นและกลิ่นของน้ำทะเล ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ของเรือนหลังใหญ่ที่สุดในตรอกนี้ มีคนคุ้มกันสองคนยืนเฝ้าอยู่“เจ้าหนู ถ้าไม่มีอะไรอย่ามายืนขวางประตู!” ผู้คุ้มกันตะโกนใส่“ที่นี่คือเรือนของผู้ใดกัน ถึงมีคนคุ้มกันที่เป็นถึงจอมยุทธ์เช่นนี้” เด็กสาวถามด้วยความสงสัย“พวกเจ้าดูไปก็ใช้ได้เลยนิ ถ้ายอม.... เล่นกับพวกข้าบางทีอาจยอมให้เข้า... ก็...”ผัวะ! ตุ้บ! พูดไม่ทันจบ... พวกมันก็ถูกตีจนสลบแล้วถูกมัดมือมัดเท้าก่อนจะโดนหิ้วตัวออกไปอย่างรวดเร็ว“เจอรึยัง” ไต้เจียงหันไปถามชายคนหนึ่งที่โผล่ออกมาจากเงามืด“ขอรับ ที่คุกใต้ดินมีคนถูกจับไว้สิบห้าคน แล้วก็... อื้ม...”ไต้เฉียวหันมองหน้าคนพูดอย่างตั้งคำถาม “แล้วก็อะไร พูดมา”“ขอรับคุณหนูใหญ่... คือว่ามีทาสจำนวนมากถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินอีกแห่งขอรับ”สองสาวพี่น้องมองหน้ากันด้วยสายตาเย็นชา เพราะกฎหมายเรื่องค้าทาสนั้นถูกยกเลิกไปตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ ที่ทรงส
สายลมอุ่น ๆ พัดโชยเข้ามาในหน้าต่างห้องทำงานชั้นบนสุดของหอการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าซ่ง เด็กสาวสองคนกำลังนั่งเล่นไพ่รับลมชมวิวเมือง ไต้เฉียวกับไต้เจียง สองพี่น้องผู้เป็นคุณหนูของหอการค้า ที่นับวันยิ่งมีความคล้ายกับผู้เป็นแม่ไต้เฉียวนั้นจะคล้ายกับจินเซียงมากที่สุด ไต้เจียงนั้นจะออกไปทางเผยอิงผู้เป็นมารดา สองคนนี้จะแตกต่างกันตรงสีผิวและดวงตาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่หาตัวยากมากที่สุด พวกนางขึ้นชื่อเรื่องการซ่อนตัวเป็นที่สุด ส่วนน้อยจะได้เห็นหน้าพวกนาง“ท่านแม่ไปไหนกัน” ไต้เจียงหันไปถามเลขาหน้าห้องของจินเซียง “ไม่ทราบเจ้าค่ะคุณหนู ท่านประธานออกไปแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”“ไปกับท่านแม่หรอ”“เจ้าค่ะ ฮูหยินไปด้วย”“พี่ใหญ่เอาไงต่อดี แม่ไม่อยู่”“ไปเดินเล่นกันหน่อยเป็นไง เดี๋ยวต้องไปรับองค์หญิงน้อยอีก เบื่อพวกองค์ชายมาก” ไต้เฉียวบ่นอย่างเบื่อหน่าย ทุกวันนี้อีกฝ่ายมักหาเรื่องเข้าหาตลอด“คุณหนู อีกสองวันมีงานเลี้ยงตระกูลหวาง ของพระสนมหวางหลงเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าจะเข้าร่วมไหมเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวมองหน้าคนพูดอย่างรู้เจตนา“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”“หลานเจ้าหรือคนในตระกูลให้เอามาให้พวกเรา”“ปะ..เป็นคุณ
เช้าวันต่อมา ทั้งสองสาวจีนพาเพื่อนชาวไทยผู้ที่ไม่ได้นอนหลับทั้งคืนไปเดินชมหมู่บ้าน ความเหนื่อยล้าสะสมไม่ได้ทำให้ความกระหายใคร่รู้ของมีมี่ลดลงเลยพวกเธอเข้าไปไหว้หอบรรพบุรุษตามคำแนะนำของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน บรรยากาศภายในเงียบสงัด มีมี่เดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อสายตาปะทะกับภาพวาดเก่าแก่บนกำแพงภาพวาดนั้นคือเงาหญิงสาวในชุดโบราณที่เธอเห็นซ้อนทับอยู่ในความฝันเมื่อคืน!“นั่นใครกัน?” มีมี่ถามเสียงแผ่ว“คนเฒ่าคนแก่เล่ากันว่า ภาพนี้คือภาพของผู้ก่อตั้งหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซ่งนู่นเลย”“เก่าเหมือนกันเนอะ ภาพยังคมชัดเหมือนพึ่งถ่ายเลย” มีมี่ยิ้มแห้ง ๆ มองดูรูปบนกำแพง เธอรู้สึกเหมือนกำลังมองใบหน้าของตัวเองในอดีต“พวกเราก็คิดเหมือนกัน มา ๆ ไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ” สองสาวลากตัวมีมี่ขึ้นรถเพื่อไปยัง อุทยานประวัติศาสตร์ ที่เคยเป็นหมู่บ้านเก่าแก่หลายร้อยปีซึ่งถูกทิ้งร้างไว้กลางป่า นี่คือหมู่บ้านเริ่มแรกที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมีมี่ที่เดินตามสาวจีนทั้งสองอยู่หลังสุดนั้น พยายามสลัดความคิดเรื่องภาพวาดออกไป เธอสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติแต่แล้ว... สายตาของ
อากาศร้อนระอุของเดือนเมษายนพัดปะทะหน้าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ในชานชาลารถไฟของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ความร้อนที่แผดเผาไม่ได้ช่วยลดความตื่นเต้นผสมความหวาดระแวงในอกของมีมี่เลยแม้แต่น้อย เสียงประกาศตามสายดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยที่อื้ออึงของคนที่มารอ เสียงประกาศไทยสลับกับเสียงอังกฤษ‘ผู้โดยสารที่จะไปกับขบวนนี้ขอให้เตรียมตัว รถไฟจะเข้าเทียบชานชาลาที่ 2 อีกสิบนาที’มีมี่ยิ้มให้กับตัวเองแล้วสำรวจดูความเรียบร้อย เมื่อไม่ลืมอะไรก็เดินไปยืนรอตรวจตั๋วขึ้นรถไฟ เจ้าหน้าที่มองตั๋วแล้วยิ้มให้ก่อนจะให้พนักงานอีกคนช่วยขนของไปไว้ที่ห้องโดยสาร“เดินทางคนเดียวหรอค่ะ เห็นจองห้องนอนคู่ไว้ทั้งห้อง”“คะ เลยจองไว้ทั้งสองเตียง”“เดินทางไกลเลยน่ะค่ะ ลาวต่อจีนคงเหนื่อยน่าดู ถึงแล้วค่ะ ขอให้สนุกกับการเดินทาง” พนักงานพามาถึงหน้าห้องที่จองไว้ ก่อนจะยิ้มให้แล้วเดินจากไปมีมี่รู้สึกแปลกใจกับคำถามของพนักงานคนนี้มาก รู้สึกว่าถูกจับจ้องจนเกินความจำเป็น แต่ก็ไม่ทันจะถาม อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้วกระเป๋าสองใบวางไว้ที่พื้น มีมี่ทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าต่างมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ในห้องโดยสารส่วนตัวที่จองไว้ทั้งสองเตียงนั้
เสียงผู้คนเดินสัญจรไปมา สลับกับเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์จากอาคารใหญ่ในย่านสุขุมวิท หญิงสาวผมสั้นประบ่าในชุดพนักงานออฟฟิศสวมแว่นกันแดด หน้าตาของเธอนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่าสาวสวยคนหนึ่งสำหรับออฟฟิศบริษัทใหญ่ที่เธอทำงาน“หัวหน้า! พวกเราไปกินข้าวที่ไหนดี” เสียงพนักงานรุ่นน้องถาม ทว่าคนตรงหน้าก็หันกลับมา“สาว ๆ พวกเรามีงานด่วน บอสแจ้งว่าลูกค้าชาวจีนตกลงคุยงานที่โรงแรมเชอราตัน เดี๋ยวไปกินข้าวที่นู่นเลย”“หัวหน้า! คุณคงไม่หลอกพาพวกเราไปขายใช่ไหม” รุ่นน้องถามอย่างระแวง“กินไม่กิน!”“กิน ๆ !” สองสาวรีบเดินคล้องแขนรุ่นพี่คนสวยไปที่ลานจอดรถซูซูกิฮัตสเลอร์สีชมพูจอดอยู่ในลานจอดรถใต้ตึกใหญ่ มีมี่จอดรถแล้วจัดเสื้อผ้า “พวกเราระ...” สองสาวกะพริบตาถี่ ๆ เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่สาวนั้นเตรียมตัวเสร็จแล้ว และกำลังเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเอาเอกสารและปริ้นสัญญาที่จะใช้ในวันนี้ออกมา“พี่มีออฟฟิศในรถด้วยหรอค่ะ”“เผื่อไว้ พวกเธอเร็วหน่อยจะเที่ยงแล้ว” มีมี่พูดจบก็เอาเอกสารใส่แฟ้มแล้วปิดท้ายรถ “ป่ะ พี่เสร็จละ”พอถึงหน้าภัตตาคารก็แจ้งกับพนักงานว่าได้นัดไว้กับชาวจีน “ฉัน มีมี่ คนที่จะมาคุยเรื่องสัญญาวันนี้ค่ะ ทางนี้คือรุ่น
หลังจากที่จินเซียงไปถึงเมืองหลวงของเผ่ามองก้าร์แล้ว นางก็ตรงไปหาข่านสูงสุดของเผ่าเพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมนำตัวคนผิดที่ถูกองค์ชายสี่จับมาส่งมอบอย่างเป็นทางการ ทำให้สงครามของทุกเผ่ายุติลงในเวลาอันรวดเร็ว เพราะชนเผ่าอื่นต่างเกรงกลัวในพลังอำนาจและอิทธิพลที่มองก้าร์มีต่อ “อันเตรีย” หรือ “จินเซียง”นางใช้เวลาในแถบทุ่งหญ้าเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน จับจอมธนูผู้มีฝีมือและเป็นมือขวาของข่านแห่งมองก้าร์ มาสอนลูกสาวทั้งสองยิงธนูบนหลังม้าอย่างเข้มงวดจินเซียงมักตั้งกระโจมพักกลางทุ่งกับครอบครัว กินข้าวชมดาวเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตอันวุ่นวายของนาง แต่รอบ ๆ กระโจมกลับมีแต่คนของมองก้าร์มาคอยคุ้มกันห่าง ๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อสตรีผู้มีอำนาจล้นฟ้าคนนี้“ท่านแม่~ เมื่อไหร่เราจะกลับอ่ะเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวงอแงเล็กน้อย“ช่าย~” ไต้เจียงเสริมทัพ ทั้งสองพี่น้องต่างเรียกร้อง แต่กลับนอนหนุนตักแม่สบาย“ไม่กี่วันก็กลับแล้ว แม่พาพวกเจ้ามาเที่ยวไง” จินเซียงลูบผมลูกสาวด้วยความอ่อนโยน“น้องเจียงง่วงแย้ว” ไต้เจียงที่นอนหนุนตักเผยอิงอยู่เริ่มงอแง“รอดูดาวตกก่อนสิคนดี... เขาว่าถ้าอธิษฐานอะไรก็จะสมปรารถนา” จินเซ







![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)