Masukการกระทำของเจียงเฉินย่อมไม่อาจสำเร็จ
แท้จริงแล้ว ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาแอบย่องเข้าไปในห้องของฉู่มู่ฉืออย่างเงียบเชียบ ก็ถูกจับได้เสียแล้ว ตอนที่ก้าวออกมา สิ่งที่เห็นคือองค์รัชทายาทยืนพิงประตูอยู่ หาวออกมาด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ทันใดนั้นเจียงเฉินก็ตัวแข็งทื่อยืนจังงังอยู่กับที่
"ฝะ...ฝ่าบาท..."
" ถึงกับรบกวนองครักษ์เจียง มาช่วยทำความสะอาดห้องให้ข้า ช่างรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก"
หัวใจของเจียงเฉินแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ มีลางสังหรณ์ว่าเพราะตั๋วเงินสองใบนี้ ตนเองอาจต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างมหาศาล "กระหม่อม…คือ กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จนปัญญาจะพูดอะไรออกมา
ปลายหางตาของฉู่มู่ฉือยกขึ้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้า "หากข้ามองไม่ผิด เมื่อครู่สิ่งที่เจ้านำเข้าไปในห้องคือ 'ตะปูเหล็ก' ใช่หรือไม่? หรือเจ้าตั้งใจจะทำ 'กระบองหนามพกพา' ให้ข้าไว้ป้องกันตัวกันแน่?"
"กระหม่อมเพียงแค่พลั้งเผลอจนหลงทางเท่านั้น..." เจียงเฉินแทบอยากชักดาบออกมาปาดคอตนเองเสียเดี๋ยวนี้ ในยามคับขัน ไม่สนแล้วว่าสิ่งที่พูดจะสมเหตุสมผลหรือไม่ รีบกระโดดลงจากหลังลาอย่างรวดเร็ว "ฝ่าบาทวางใจเถิด! กระหม่อมจะกวาดห้องให้สะอาดหมดจด จากนั้นจะทำกระบองหนามให้พระองค์สักด้าม!"
"ดีมาก บุคลิกไร้ยางอายเช่นนี้ คล้ายกับข้าในอดีตไม่มีผิด" ฉู่มู่ฉือเอื้อมมือมาตบไหล่เขาอย่างสนิทสนม รอยยิ้มเต็มไปด้วยความสำราญใจ "ช่างสมกับเป็นศิษย์ของท่านหญิงเสิ่น ข้าชอบใจยิ่งนัก"
เพียงจบคำพูด กระเบื้องเคลือบหยกบนชายคาก็ร่วงลงมาโดยไม่มีสัญญาณเตือน ตกลงมากระแทกกลางศีรษะของเจียงเฉินอย่างพอดิบพอดี
"ป๊อก!"
เสียงดังชัดเจนก้องกังวาน ทั้งสองคนต่างตกอยู่ในความเงียบงัน จนกระทั่งฉู่มู่ฉือเงยหน้าขึ้นมองหลังคาอย่างหงุดหงิด บ่นพึมพำ "เพิ่งซ่อมไปเมื่อสองวันก่อน ทำไมถึงพังได้? แปลกจริงๆ"
ฝ่าบาท! แม้แต่หลังคาที่แข็งแรง ยังทนพลังอัปมงคลของพระองค์ไม่ไหวเลย!
เจียงเฉินใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่ไหลอาบหน้าไปลวกๆ ก่อนจะรีบก้าวฉับๆ เข้าไปในห้องเพื่อเก็บกวาดหลักฐานการก่ออาชญากรรมอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาคิดเพียงอย่างเดียว ต้องออกไปจากสถานที่อัปมงคลนี้ให้เร็วที่สุด ไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว หากชักช้าไปกว่านี้ เกรงว่าจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอีก
เขาก็แค่คนธรรมดา ต่อกรกับภูติผีปีศาจระดับสูงไม่ได้หรอก!
ส่วนเรื่องที่เสิ่นอวี้เจาจะรู้ความจริงเมื่อใดนั้น ก็เป็นเรื่องของอนาคตแล้ว
ขณะนั้นเอง เสิ่นอวี้เจากำลังกินขนมกุ้ยฮวา มองเจียงเฉินที่เดินเข้าเดินออก คอยเติมน้ำอุ่นลงในถังอาบน้ำไม่หยุด สังเกตอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"หัวเจ้าไปโดนใครฟาดมา?"
"เรียนท่านหญิง ข้าโชคร้าย โดนไท่จื่อตบไหล่เข้าให้เท่านั้นเองขอรับ"
"อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้" นางพยักหน้าพลางลูบคางด้วยท่าทีสงบนิ่ง "เช่นนั้นเจ้าควรถือว่าโชคดีแล้วที่ยังมีชีวิตอยู่"
เจียงเฉิน "..." ข้าต้องขอบคุณบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรเลยสินะ!
เสิ่นอวี้เจาก้าวไปข้างหน้า ยื่นมือแตะน้ำอุ่นในถัง "พอได้แล้ว เจ้าออกไปเถอะ"
เจียงเฉินเดินออกไปอย่างเซื่องซึม พอใกล้ถึงประตูก็หันกลับมามอง สีหน้าขมขื่นเหมือนคนหมดสิ้นความหวัง เอ่ยถามด้วยความอัดอั้น "นายหญิง เหตุใดท่านไม่เคยได้รับผลกระทบจากไท่จื่อเลย?"
เขาเฝ้าดูนางกับฉู่มู่ฉือแกล้งกันไปมาอยู่ทุกวัน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นฝ่ายได้เปรียบเสมอไป แต่ก็ถือว่าสูสี นี่นางมียันต์วิเศษคุ้มครองหรือไร ถึงรอดพ้นจากหายนะอัปมงคลขององค์รัชทายาทมาได้?
"ใครบอก? ข้าแค่ผ่านพ้นช่วงเวลาถูกกดขี่มาได้เท่านั้น"
เสิ่นอวี้เจาปลดกระดุมออกครึ่งหนึ่งแล้วก็หยุดลง สีหน้าไร้อารมณ์ ขณะถ่ายทอดประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง "หากดวงชะตาของเจ้าแข็งไม่พอจะต้านเขา ก็จงเรียนรู้ที่จะ ลงมือก่อนเป็นต่อ จัดการเขาให้เรียบร้อย ก่อนที่เขาจะหาเรื่องเจ้า"
"..."
เจียงเฉินรู้ตัวว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้อีกแล้วในชาตินี้ เมื่อคิดได้ดังนั้น ความมั่นใจทั้งหมดก็หายไป ร่างกายของเขายังเผยให้เห็นความเศร้าหมองและความหดหู่ แต่น่าเสียดายที่เขาถอยออกไปเร็วเกินไป จึงพลาดเห็นฉากวุ่นวายที่ตามมา
ไอน้ำหมุนวนไปทั่ว กลิ่นหอมของกลีบกุหลาบ ลอยอบอวลอยู่ในอากาศ ขณะที่เสิ่นอวี้เจาปลดเปลื้องอาภรณ์ และลงไปในอ่างอาบน้ำ จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องโกลาหลดังขึ้นจากนอกประตู
“จับนักฆ่า! มีนักฆ่าบุกตำหนัก!”
นางหงุดหงิดใจ คิดว่านักฆ่าคนใดที่ดูเหมือนจะอยากตายถึงได้กล้าทำตัวอุกอาจในตำหนักของรัชทายาท ที่อบอวลไปด้วยพลังลึกลับเช่นนี้ เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นฉู่มู่ฉือยิ้มพลางถีบประตูเปิดเข้ามา ราวกับหน้าผากของเขาควรมีคำว่า “ตำหนักนี้ข้าจะไปไหนมาไหนก็ได้” เขียนติดไว้
“แหม ท่านหญิงกำลังอาบน้ำอยู่หรือ ขออภัยจริงๆ ข้ารีบหานักฆ่าจึงเสียมารยาทลืมเคาะประตู”
เสิ่นอวี้เจาหดตัวลงไปในน้ำจนมิด ทิ้งไว้เพียงหัวที่เปียกชุ่ม พร้อมใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย “ฝ่าบาทสงสัยว่านักฆ่าซ่อนอยู่ในอ่างน้ำของหม่อมฉันหรือ? ต้องการตรวจสอบอย่างถึงแก่นเลยหรือไม่?”
ฉู่มู่ฉือหัวเราะพลางกล่าว “ข้าแค่ห่วงความปลอดภัยของท่านหญิง ไม่ควรบิดเบือนความหวังดีของข้าเช่นนี้”
เสิ่นอวี้เจากำลังจะประชดกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ต่อความไร้ยางอายของเขา แต่กลับรู้สึกถึงลมเย็นวูบพัดผ่านหน้าไป ที่แท้เหล่าทหารองครักษ์ของตำหนักก็วิ่งตามมาถึงที่นี่ด้วย!
"นักฆ่าอยู่ในห้องนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมจะเข้าไปจับตัวทันที!"
ได้ยินดังนั้น ฉู่มู่ฉือจึงหันกลับมา เตะหัวหน้าทหารองครักษ์ไปด้วยความหงุดหงิด "จับอะไรกัน? พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าใครคุ้มครอตำหนักนี้อยู่? ทุกคนถอยไปให้หมด! ใครกล้าหันมามอง ให้ไปทิ่มตาตนเองให้บอดเสีย!"
น้ำเสียงชัดเจนว่า เขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์มอง ส่วนคนอื่นห้ามยุ่ง!
เหล่าทหารองครักษ์แตกกระเจิงราวกับฝูงนกตกใจ ต่างเผ่นแน่บไปโดยไม่หันกลับมามอง ราวกับเรื่องตลกเกี่ยวกับนักฆ่าเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
จนกระทั่งแน่ใจว่าทุกคนออกจากห้องไปหมดแล้ว ฉู่มู่ฉือถึงได้พึงพอใจ ปิดประตูห้องลงอย่างเรียบร้อย จากนั้นเดินทอดน่องเข้ามาหยุดอยู่ข้างถังอาบน้ำ ใช้มือข้างหนึ่งเท้าอยู่ที่ขอบถังในท่วงท่าที่ดูสบายๆ
"ท่านหญิงเสิ่นวางใจเถิด อาบน้ำให้สบาย ข้ารับรองว่าจะไม่มีแม้แต่เศษสวะหน้าไหน บังอาจมาคิดไม่ซื่อกับเจ้า"
"เช่นนั้นหรือ?" เสิ่นอวี้เจาเอียงคอเล็กน้อย "แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าในห้องยังมีคนไร้ยางอายอยู่หนึ่งคน"
"ไม่นับข้า" เขาตอบหน้าตาย "ข้าแค่กลัวเจ้าจะเหงา เลยยอมเสี่ยงถูกคนกล่าวหา ฝืนทนความลำบากมาคุ้มครองเจ้าเท่านั้นเอง"
ยังมีใครแสบกว่าไท่จื่ออีกไหมมม เจ้าเล่ห์เก่งงงง
"เหตุใดเจ้าจึงมายืนเพียงลำพัง?""ออกมารับลม" นางตอบอย่างเป็นธรรมชาติ "ที่นี่เย็นสบายและเงียบสงบ อีกทั้งเมื่อครู่องค์หญิงดื่มไปหลายจอก เอะอะโวยวายอยู่ข้างหูตลอดเวลา หม่อมฉันกลัวว่านางจะหาเรื่องทำอะไรแปลกๆ อีก"ฉู่มู่ฉือหัวเราะเบาๆ "ข้าก็ทนเสียงอึกทึกไม่ไหวเช่นกัน เลยตั้งใจจะมาบอกเจ้าสักคำ ใครจะคิดว่าเพียงหันไปมองอีกที เจ้ากลับหายตัวไปเสียแล้ว"เสิ่นอวี้เจาถอนหายใจอย่างหมดหนทาง "หม่อมฉันต้องอาศัยจังหวะที่พวกเขาไม่ทันสังเกต ถึงจะแอบออกมาได้ ไม่เช่นนั้นพวกนั้นคงร่วมมือกันกดหม่อมฉันลงพื้นแน่ๆ"ไท่จื่อหัวเราะลึกกว่าเดิม ขณะที่กำลังจะเอ่ยแซวนางต่อ กลับอยู่ๆ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับก้มตัวลงใช้มือกดที่ท้องของตนเอง"อย่าบอกนะว่าฝ่าบาททรงปวดกระเพาะอีกแล้ว?" นางรีบเข้ามาพยุงเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล "พวกนั้นนี่จริงๆ เลย ให้ฝ่าบาทดื่มเรื่อยๆ แบบนั้น ใครจะทนไหว?""เจ้าดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ ช่างพูดจายืดยาวขึ้น นับเป็นเรื่องแปลกจริงๆ" เขาพิงตัวกับราวเรือ มืออีกข้างกอดนางเอาไว้พร้อมพูดเสียงต่ำ "ไม่ต้องห่วงมาก แค่เจ้าช่วยนวดให้สักหน่อยก็หายแล้ว"ริมฝีปากของฉู่มู่ฉือเผยรอยยิ้มแบบออดอ้อน จนทำให้นางอ
"ฝ่าบาทคิดซื้อของพรรค์นี้มาได้อย่างไร...""เพราะต่างหูของเจ้าเริ่มเก่าแล้ว" เขาพูดเสียงดังฟังชัด "ต่างหูหยกหุ้มทองที่เจ้าใส่มันเก่ามาก อย่าใส่มันอีกเลย ถอดออกเถอะ"เสิ่นอวี้เจาเริ่มเข้าใจ ของตอบแทนอะไรกัน! คนผู้นี้ก็แค่หึงที่นางใส่ต่างหูที่ฉู่หยุนชิงเคยให้มาต่างหาก!"หม่อมฉันแทบไม่เคยซื้อเครื่องประดับ ฝ่าบาทก็ทราบอยู่แก่ใจ" นางปรายตามองเขา ท่าทีงดงามจนใจคนสั่นไหว แฝงด้วยอารมณ์น้อยใจเล็กๆ"ที่หม่อมฉันใส่ก็แค่เพราะไม่อยากเสียเวลาเปลี่ยน ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นของที่องค์ชายห้าให้มา"ฉู่มู่ฉือพยักหน้าอย่างจริงจัง "ข้าเข้าใจดี""จริงหรือ?""ก็ได้ ข้ายอมรับ" เขายิ้มพลางยกต่างหูขึ้นมาระดับสายตานาง "แค่เห็นเจ้าสวมของที่น้องห้าให้ ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ" แววตาของเขาอ่อนโยนยิ่งขึ้น "แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ข้าอยากให้เจ้าสวมสิ่งที่ข้ามอบให้ อยากให้บนตัวเจ้ามีแต่ของๆ ข้าเท่านั้น"
ทว่าความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคิดตื้นเกินไป นิสัยติดตามของฮ่องเต้ จะปล่อยให้คนหนีรอดไปง่ายๆ ได้อย่างไร?หลังปฏิเสธไปเมื่อวาน เช้าวันนี้กองทัพใหญ่ก็มาถึงประตูจวนแล้วฉู่ซั่วกู่ยังมาไม่ถึง แต่เสียงเขาลอยมาก่อน "พี่สาม! ท่านหญิงเสิ่น! ได้ยินมาว่าพวกท่านไม่มีแผนจะไปเจียงหนานหรือ? ที่นั้นงดงามมาก แสงอาทิตย์ยามเช้า ส่องสะท้อนดอกท้อแดงระยับบนผืนน้ำ ท้องฟ้าช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิร่วงโปรยเหมือนสายฝน กลายเป็นพรมชมพูปกคลุมผืนดิน ช่างเหมาะแก่การพูดคุยเรื่องรักใคร่ยิ่งนัก! ทุกคนตกลงไปกันหมดแล้ว เหลือแต่พวกท่าน ไม่รู้สึกอึดอัดในใจบ้างหรือ?"คำพูดยังไม่ทันจบถ้วยน้ำชาก็ลอยมาตรงหน้าผากฉู่ซั่วกู่ ฉู่มู่ฉือเดินออกมาด้วยใบหน้าขุ่นเคืองจ้องเขาเขม็ง"เช้าตรู่เช่นนี้ใยมาส่งเสียดังเอะอะ! นิสัยพูดมากของเจ้าถ้าไม่เลิก วันหน้าข้าจะตีเจ้าทุกครั้งที่พบ!""เพราะนิสัยพูดมากของข้าอย่างไรเล่า เสด็จพ่อจึงให้ข้ามาโน้มน้าวพี่สามกับท่านหญ
ฮ่องสร้างภาพลักษณ์ "จักรพรรดิผู้ทรงธรรม" ให้กับตนเองได้สำเร็จ จนกล่าวได้ว่าการกระทำของพระองค์นั้น "ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว" แต่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทราบดีว่า พระองค์ช่างไร้ยางอายถึงเพียงใด จนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพระองค์ถึงให้กำเนิดโอรสอย่างฉู่มู่ฉือและฉู่ซั่วกู่ได้ผลสรุปของการคัดเลือกบรรดานางสนมในครั้งนี้ คือตกม้าตายกันทั้งขบวน แม้เรื่องราววุ่นวายนั้นจะเป็นที่กล่าวขาน แต่ก็ยังไม่เทียบเท่ากับข่าวการหมั้นหมายกันระหว่างฉู่มู่ฉือและเสิ่นอวี้เจา ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ที่ยิ่งทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงยิ่งกว่าแม้แต่องค์หญิงฉู่เหม่ยหลินเองก็ยังงุนงง เมื่อเห็นเสิ่นอวี้เจาที่อยู่ๆ กลับไปปรากฏตัวในตำหนักของรัชทายาท นางคิดในแง่ร้ายว่าไท่จื่ออาจใช้วิธีบังคับลักพาตัว แต่เมื่อรีบไปช่วยเหลือกลับพบว่า ทั้งสองนั่งจิบชาอย่างสบายใจในศาลา ชวนคุยราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น"พี่หญิง! พี่ได้ยินข่าวในวังแล้วหรือไม่?""ได้ยินแล้ว" เสิ่นอวี้เจา พยักหน้ารับอย่างสงบน
"ค่ำคืนอากาศหนาวเย็น ฝ่าบาทรีบกลับตำหนักไปเถิด ถ้าโดนลมหนาวจนป่วย หม่อมฉันคงมิอาจรับผิดชอบได้"แม้ในใจนางจะรู้สึกว่าควรจะดีใจที่ได้เจอฉู่มู่ฉือ แต่กลับห้ามตนเองไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด โดยเฉพาะเมื่อเขาเอ่ยถึงฉู่หยุนชิไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ก็ตามนางอยากจะฟาดหน้าเขาสักทีทำไมถึงไม่เคยพูดจากกันดีๆ ถ้าชอบใครสักคน ต้องตามเกี้ยวแบบนี้หรือ? นางไม่ค่อยฉลาดกับความรู้สึกของตนเองเท่าไร และเขาเองก็รักอย่างโง่เง่าไม่ต่างกันแต่โชคดีที่ครั้งนี้ฉู่มู่ฉือไม่ได้ทำตัวงี่เง่าเกินไป เพราะทันทีที่นางหมุนตัว เขาก็คว้ามือของนางไว้ ใช้แรงเพียงข้างเดียวดึงเสิ่นอวี้เจาเข้ามาในอ้อมกอด"ข้าไม่หนาว แต่ถ้าท่านหญิงเสิ่นหนาว ข้ายินดีมอบอ้อมกอดอบอุ่นให้""...ขอร้องล่ะฝ่าบาท อย่าพูดอะไรน่าชวนขนลุกเช่นนี้อีกหม่อมฉันฟังแล้วไม่ชิน"คิ้วดกหนาของเขาขมวดเล็กน้อย "หรือว่าท่านหญิงเสิ่นอยากจะทะเลาะกั
แผนนี้ได้ผลดียิ่งนักเสิ่นอวี้เจาแอบชื่นชมในความชาญฉลาดของตนเอง ก่อนจะแสดงสีหน้าจริงจัง "สมแล้วที่คนไม่เหมือนชื่อ อ่อนโยนเรียบร้อย ที่แท้เป็นเพียงเปลือกนอก ต่อหน้าข้ายังเสียกิริยาเยี่ยงนี้ หากได้พบฝ่าบาทจะเป็นเช่นไร สำหรับคนที่เสียมารยาทเมื่อครู่ทั้งหมด นำตัวไปยังห้องราชกิจ รับรางวัลแล้วกลับบ้านไปเถิด"เมื่อเป็นเช่นนี้ รายชื่อหญิงงามที่เหลืออยู่จึงลดลงไปเกือบครึ่ง เสิ่นอวี้เจาพอใจกับผลงานตนเองเป็นอย่างยิ่งเมื่อสถานที่กลับมาสงบลงอีกครั้ง รอบตัวเหลือเพียงสองคน นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉู่หยุนชิง"องค์ชายห้า ข้าทำเกินไปหรือไม่?" แม้นางไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำผิดอะไร แต่ในฐานะหญิงผู้คัดเลือก เมื่อมองย้อนกลับไปยังหน้าที่ที่ตนเองทำสำเร็จ เสิ่นอวี้เจาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดช่างเหลวไหล"ตอนนี้มองดูอาจเหมือนใจร้าย แต่ภายหลังพวกนางจะรู้สึกขอบคุณเจ้า" ฉู่หยุนชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่







