เสิ่นอวี้เจากล่าวอย่างสงบนิ่ง "อ้อ เช่นนั้นรึ หม่อมฉันคงใจแคบไปเอง แต่ขอแก้เสียหน่อย มิใช่เรื่องแปลกเลยที่ฝ่าบาทจะถูกคนตำหนิ เพราะนั่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติตั้งแต่ฝ่าบาทยังเยาว์วัย”
ฉู่มู่ฉือยิ้มรับอย่างจริงใจ "ที่เจ้ากล่าวไม่ผิดแม้แต่น้อย แต่เจ้าจะยังนอนแช่น้ำแล้วคุยกับข้าแบบนี้ต่อไปหรือไม่?"
"ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทมีข้อเสนออะไรที่ดีกว่าหรือ?"
"ตัวอย่างเช่น ข้าผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา จะช่วยอาบน้ำเป็นคู่กับเจ้า"
เสิ่นอวี้เจากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง "ไม่จำเป็น หากอาบน้ำร่วมกับฝ่าบาท หม่อมฉันเกรงว่าจะจมน้ำตายเสียก่อน"
พูดจบ นางก็ตวัดมือน้ำในอ่างสาดใส่ใบหน้าของฉู่มู่ฉือ ก่อนจะกระโดดพรวดออกจากอ่างน้ำ มือขวาคว้าอาภรณ์ด้านหลังมาสวมคลุมตัวอย่างรวดเร็ว พลิกตัวลงยืนบนพื้นอย่างมั่นคง ท่วงท่าของนางนั้นลื่นไหลและสง่างาม เมื่อฉู่มู่ฉือเช็ดน้ำออกจากหน้าและลืมตาขึ้น นางก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
"ท่านหญิงเสิ่นช่างมีฝีมือเยี่ยมจริงๆ"
"ฝ่าบาทชมเกินไปแล้ว หม่อมฉันเล่าเรียนกับพวกองค์ชายตั้งแต่เล็ก หากไม่มีฝีมือแล้วจะเอาหน้าไปพบใครได้?"
ฉู่มู่ฉือยกคิ้วมองนางจากหัวจรดเท้า ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจ "งามจริงแท้ สตรีที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จนั้นช่างมีเสน่ห์นัก เครื่องแต่งกายนี้ยิ่งทำให้เจ้างดงาม จนข้าอดฝันกลางวันมิได้เลย"
"เช่นนั้นฝ่าบาทก็ฝันไปเรื่อยๆ หากเบื่อฝันก็จงดื่มน้ำให้เต็มท้อง แล้วค่อยฝันต่อเถิด" เสิ่นอวี้เจาสบถเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง "คืนนี้หม่อมฉันจะเปลี่ยนห้องนอน ให้ที่นี่เป็นของฝ่าบาทแล้วกัน"
สองวันต่อมา
หลังจากพักผ่อนจนร่างกายสดชื่น เสิ่นอวี้เจาปรากฏตัวที่ลานบ้าน ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องแสงนวล นางก้าวไปยังห้องของฉู่มู่ฉือ เปิดประตูด้วยการถีบอย่างสวยงาม มือหนึ่งถือประทัดที่จุดไฟแล้วโยนใส่เตียงของอีกฝ่าย ก่อนจะออกไปอย่างไร้ร่องรอย
เสียงระเบิดที่ดังสนั่นปลุกทุกคนขึ้นมา ใครไม่รู้เรื่องอาจคิดว่าตำหนักรัชทายาทถูกฟ้าพิโรธ แต่ความจริงมันไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น เพียงแค่ไท่จื่อผู้เป็นที่รักของบ่าวไพร่ถูกระเบิดจนแทบคลั่ง
รุ่งเช้าวันถัดมา
เสิ่นอวี้เจานอนหลับอย่างสบายใจ เมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ปรารถนา ใบหน้าหล่อเหลาของฉู่มู่ฉือมืดครึ้มยิ่งกว่าเดิม เส้นผมข้างหนึ่งของเขายังชี้โด่เด่อย่างไม่เป็นระเบียบ แลดูไม่สมส่วนอย่างประหลาด
"ประทัดร้านนี้ค้าขายอย่างมีจรรยาบรรณเสียจริง" นางหัวเราะเบาๆ "ในอนาคตควรส่งป้ายแสดงความขอบคุณ หรือไม่ก็ช่วยจับคู่แต่งงานให้ลูกชายของเถ้าแก่ เพื่อขอราคาพิเศษ"
เมื่อรัชทายาททรงพิโรธ ผลที่ตามมาก็คือทุกคนในตำหนักต้องลำบากไปด้วย
ในเวลาเที่ยง เสิ่นอวี้เจาได้รับมื้ออาหารกลางวัน ที่เต็มไปด้วยอาหารชั้นเลิศบนโต๊ะ พร้อมด้วยยาระบายคุณภาพสูงปะปนอยู่ในทุกจาน แต่ด้วยความเฉลียวฉลาด นางไม่ได้รีบร้อนที่จะลิ้มลองอาหารเหล่านั้น กลับเชิญเจียงเฉินมาชิมแทน
ผลลัพธ์คือ เจียงเฉินท้องเสียทั้งบ่าย จนกระทั่งเกือบขาดน้ำและหมดสติไป
เสิ่นอวี้เจา ผู้ซึ่งท้องว่างและมีจิตใจเด็ดเดี่ยว ได้ไล่บรรดาพ่อครัว แม่ครัวและผู้ช่วยออกจากครัวทั้งหมด แล้วตั้งใจจะทำอาหารเย็นด้วยตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลอบวางยาจากคนที่มีใจคดโกง
"มานี่สิ ข้าขอถามหน่อย ปกติไท่จื่อมีรสนิยมการเสวยอาหารแบบใด?"
แม่ครัวหญิงที่โชคดีถูกเลือกให้ตอบคำถามยืนนิ่งอยู่กับที่ มองใบหน้าที่เย็นชาของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยด้วยความลังเล "ฝ่าบาท...ฝ่าบาทมักโปรดอาหารรสจืด ไม่สามารถเสวยอาหารที่มีน้ำมันหรือเผ็ดเกินไปได้ เพราะ..."
"ดี ข้าเข้าใจแล้ว" เสิ่นอวี้เจาตัดบทอย่างกระชับ พลางยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งให้แม่ครัว "นี่เป็นรางวัลสำหรับความร่วมมือของเจ้า ไปซื้อเครื่องประดับที่เจ้าชอบเถอะ"
"ขอบพระคุณ ท่านหญิงเสิ่น!"
ตามหลักแล้ว เสิ่นอวี้เจาควรเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ ทว่านางมีใบหน้าที่เย็นชาและไร้อารมณ์เกินกว่าจะทำได้ ส่งผลให้การแสดงออกของนาง ยังคงดูหนักแน่นและจริงจัง ราวกับพร้อมจะออกไปรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เสิ่นอวี้เจาออกคำสั่ง ให้คนรับใช้ยกอาหารเย็นหรูหรา สี่จานเย็นและสี่จานร้อนเข้าไปในห้องของฉู่มู่ฉือ หมูสามชั้นผัดพริก เผือกตุ๋นเนื้อวัว หัวปลานึ่งพริก และตับห่านในน้ำมันพริก ทุกจานถูกปรุงให้ออกรสเค็ม เผ็ด และมันจนเกินไป แม้แต่น้ำแกที่จัดมา ก็เป็นน้ำแกงพริกที่เพียงแค่มองก็ทำให้หน้าแดงและลิ้นแห้งได้
ฉู่มู่ฉือนั่งอยู่ข้างโต๊ะ พร้อมรอยยิ้มที่มุมปากสั่นเล็กน้อย "เจ้าเป็นผู้ทำอาหารเหล่านี้ด้วยตนเองหรือ? ช่างเป็นคนที่ทั้ง ‘เก่งในวังและเชี่ยวชาญในครัว’ จริงๆ"
"ฝ่าบาททรงเข้าใจหม่อมฉันอย่างลึกซึ้งนัก รู้ว่าหม่อมฉันเป็นคนที่ ‘ปากเต็มไปด้วยวรรณกรรม และมือจับโจรได้อย่างชำนาญ’ ตั้งใจจะกำจัดความอยุติธรรมในโลกนี้ให้สิ้น" เสิ่นอวี้เจากล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง ก่อนเปลี่ยนเรื่องและกล่าวเตือนอย่างใส่ใจ "ฝ่าบาททรงยังไม่ลองหรือ? อาหารไม่ควรถูกละเลย การทิ้งขว้างอาหารจะถูกฟ้าผ่า หม่อมฉันพูดจริงนะ"
ใบหน้าหล่อเหลาของฉู่มู่ฉือมืดครึ้มลงเล็กน้อย เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้ววนไปรอบๆ อาหารบนโต๊ะอยู่หลายรอบ ท่าทางลังเลที่จะตัดสินใจชิม
"เหตุใดฝ่าบาทไม่ทรงเสวย? หรือทรงไม่เชื่อใจหม่อมฉัน กลัวว่าจะใส่ยาระบายในอาหารหรือ?" เสิ่นอวี้เจากล่าวพลางเคี้ยวหัวปลาอย่างเอร็ดอร่อย น้ำเสียงเจตนาเกินจริง "หม่อมฉันไม่เคยทำเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนั้น ฝ่าบาทวางพระทัยเถิด!"
"..." ฉู่มู่ฉือกัดฟันกรอดในใจ แต่ยังคงยิ้มพลางเงยหน้า "จะเป็นไปได้อย่างไร? คนที่ข้าเชื่อมั่นที่สุดก็คือเจ้า หากเจ้าทำอาหารด้วยใจให้ข้า ย่อมต้องกินทุกคำ"
ผลคือ เสิ่นอวี้เจามองด้วยความอึ้ง ขณะที่เขากวาดอาหารทุกจานบนโต๊ะ จนเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ราวกับสายลมพัดเมฆไป ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาดื่มน้ำแกงพริกจนหมดเกลี้ยง
โชคดีมักพาไปสู่ความทุกข์ เมื่อเสิ่นอวี้เจากำลังจะพูดบางอย่าง นางกลับพบว่าก้างปลาติดคอ จึงก้มตัวลงไออย่างแรง
"ไอ้คนผู้นี้ต้องแช่งข้าในใจแน่ๆ" เสิ่นอวี้เจานึกในใจ "นี่มันศัตรูคู่กรรมชัดๆ!"
ยามค่ำคืน
ฃเจียงเฉินได้รับข่าวสารจากสาวใช้ในตำหนัก เขายืนอยู่ท่ามกลางสายลมหนาวลังเลอยู่นาน ก่อนจะรวบรวมความกล้าพอที่จะเคาะประตูห้องใหญ่ เพื่อปลุกนายหญิงผู้ที่มีนิสัยแย่ๆ ในการลุกจากเตียง
หนึ่ง สอง สาม...ไม่มีเสียงตอบรับ สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ...
ประตูถูกกระแทกเปิดจากด้านใน เสิ่นอวี้เจายืนอยู่ตรงหน้าเขาในสภาพผมยุ่งเหยิง ใบหน้าเย็นชาขณะที่คว้าคอเสื้อเจียงเฉินแล้วเหวี่ยงเขาออกไป องครักษ์หนุ่มยังคงคร่ำครวญกลางอากาศ "บรรพบุรุษที่ยังมีชีวิตอยู่พวกนี้ ไม่มีใครที่จะทำให้ข้าได้อยู่สบายเลยใช่หรือไม่!"
"ท่านหญิงใจเย็นก่อน มีบางอย่างเกิดขึ้นกับฝ่าบาท!"
"พูดให้ชัด เกิดเรื่องอะไรขึ้น?" เสิ่นอวี้เจาพูดอย่างไม่เต็มตื่น
เจียงเฉินนอนอยู่บนพื้น ยกแขนขึ้นลูบเอวที่เกือบจะหัก พลางเอ่ยด้วยเสียงโศกเศร้า "สาวใช้คนหนึ่งบอกข้าว่า ฝ่าบาททรงเจ็บปวดมากจนแทบจะสลบแล้ว"
ทันทีที่ได้ยิน เสิ่นอวี้เจาก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที "สลบเช่นนั้นหรือ?"
"ขอรับ!" เจียงเฉินมองดูใบหน้าที่ครุ่นคิดของนาง ด้วยแววตาแห่งความหวัง ในใจคิดว่านายหญิงของเขายังมีความเมตตาอยู่บ้างในยามคับขัน!
เสิ่นอวี้เจาคิดว่าหากยังอยู่ตรงนี้ต่อ คงต้องถูกทรมานจนเจียนตาย หรือไม่นางอาจถึงขั้นจุดไฟเผาตำหนักรัชทายาทก็เป็นได้ จึงรีบออกไปข้างนอกเพื่อระบายความเครียดนางเดินออกไปด้วยท่าทีไม่แยแส ทิ้งคำพูดไว้ว่า“ขอตัวไปตรวจสอบหญิงสาวในราชสำนักก่อน” พร้อมห้ามเจียงเฉินติดตาม จากนั้นก็หายลับไปจากประตูสีแดงทองถนนในเมืองหลวงยังคงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน พ่อค้าแม่ค้าเร่ต่างร้องเรียกขายของ กลิ่นหอมจากร้านค้าสองฝั่งถนนลอยมาเป็นระยะ เพียงเดินเล่นช้าๆ ไปตามถนนนี้ ก็ทำให้จิตใจสดชื่นขึ้น เสิ่นอวี้เจาเดินไปพลางกินไป ตั้งแต่ขนมเปี๊ยะเม็ดบัว ตีนไก่ต้ม จนถึงในที่สุด นางถือฮวาเหมยเคลือบน้ำตาลก่อนจะเดินเข้าร้านหยกร้านแห่งนี้เป็นร้านชื่อดังในเมืองหลวง นางอยากเลือกต่างหู ที่เหมาะสมสักคู่ให้ตนเอง เพื่อสนองความต้องการเล็กๆ แก้ความเบื่อหน่าย แม้ว่าตอนนี้นางจะดูไม่มีความเป็นหญิงเลยก็ตาม“เถ้าแก่ ต่างหูคู่นี้ราคาเท่าไหร่?&rd
ใครจะไปคาดคิดว่าคำพูดต่อมาของนาง จะทำให้เขากลับสู่ความจริงอย่างโหดร้าย "ถ้าฝ่าบาทเป็นอะไรไป ทรัพย์สินที่เหลืออยู่ก็ต้องขายให้ข้ามิใช่หรือ? เช่นนั้นคงต้องเจรจากับฮ่องเต้เสียหน่อย""ท่านหญิง ช่วยจริงจังหน่อยได้หรือไม่ขอรับ!""อ่า รู้แล้ว ข้าจะไปดูสักหน่อยแล้วกัน?" เสิ่นอวี้เจามองเขาด้วยแววตาดูถูก "ดูเจ้าเถอะ ไม่มีอนาคตเลยจริงๆ ทั้งวันเอาแต่ทำให้ข้าขายหน้า แล้วข้าจะหาใครมาเป็นคู่ให้เจ้าในเบื้องหน้าได้อย่างไร?""..." นี่มันความผิดเขาหรือ?!เจียงเฉินอยากจะอธิบายให้กระจ่างนัก อยากบอกว่านับว่ายังโชคดี ที่เขายอมใช้หัวใจและจิตวิญญาณ ทำหน้าที่องครักษ์ที่ดีให้นาง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครทนกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของนางได้ แต่เมื่อสัมผัสตั๋วเงินหอมหวาน ในที่สุดเขาก็กล้ำกลืนอดทนต่อไปยังมีเวลาอีกยาวนานที่เขาต้องทนรับความอัปยศนี้เสิ่นอวี้เจาเดินไปที่หน้าห้องของฉู่มู่
เสิ่นอวี้เจากล่าวอย่างสงบนิ่ง "อ้อ เช่นนั้นรึ หม่อมฉันคงใจแคบไปเอง แต่ขอแก้เสียหน่อย มิใช่เรื่องแปลกเลยที่ฝ่าบาทจะถูกคนตำหนิ เพราะนั่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติตั้งแต่ฝ่าบาทยังเยาว์วัย”ฉู่มู่ฉือยิ้มรับอย่างจริงใจ "ที่เจ้ากล่าวไม่ผิดแม้แต่น้อย แต่เจ้าจะยังนอนแช่น้ำแล้วคุยกับข้าแบบนี้ต่อไปหรือไม่?""ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทมีข้อเสนออะไรที่ดีกว่าหรือ?""ตัวอย่างเช่น ข้าผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา จะช่วยอาบน้ำเป็นคู่กับเจ้า"เสิ่นอวี้เจากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง "ไม่จำเป็น หากอาบน้ำร่วมกับฝ่าบาท หม่อมฉันเกรงว่าจะจมน้ำตายเสียก่อน"พูดจบ นางก็ตวัดมือน้ำในอ่างสาดใส่ใบหน้าของฉู่มู่ฉือ ก่อนจะกระโดดพรวดออกจากอ่างน้ำ มือขวาคว้าอาภรณ์ด้านหลังมาสวมคลุมตัวอย่างรวดเร็ว พลิกตัวลงยืนบนพื้นอย่างมั่นคง ท่วงท่าของนางนั้นลื่นไหลและสง่างาม เมื่อฉู่มู่ฉือเช็ดน้ำออกจากหน้าและลืมตาขึ้น นางก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว"ท่านหญิงเสิ่นช่
การกระทำของเจียงเฉินย่อมไม่อาจสำเร็จแท้จริงแล้ว ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาแอบย่องเข้าไปในห้องของฉู่มู่ฉืออย่างเงียบเชียบ ก็ถูกจับได้เสียแล้ว ตอนที่ก้าวออกมา สิ่งที่เห็นคือองค์รัชทายาทยืนพิงประตูอยู่ หาวออกมาด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ทันใดนั้นเจียงเฉินก็ตัวแข็งทื่อยืนจังงังอยู่กับที่"ฝะ...ฝ่าบาท..."" ถึงกับรบกวนองครักษ์เจียง มาช่วยทำความสะอาดห้องให้ข้า ช่างรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก"หัวใจของเจียงเฉินแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ มีลางสังหรณ์ว่าเพราะตั๋วเงินสองใบนี้ ตนเองอาจต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างมหาศาล "กระหม่อม…คือ กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จนปัญญาจะพูดอะไรออกมาปลายหางตาของฉู่มู่ฉือยกขึ้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้า "หากข้ามองไม่ผิด เมื่อครู่สิ่งที่เจ้านำเข้าไปในห้องคือ'ตะปูเหล็ก' ใช่หรือไม่? หรือเจ้าตั้งใจจะทำ'กระบองหนามพกพา' ให้ข้าไว้ป้องกันตัวกันแน่?""กระหม่อมเพีย
เพื่อระบายความคับแค้นใจ นางถือกรรไกรในมือ ตัดผมมวยของเหล่าคนรับใช้ ที่มาจากตำหนักองค์รัชทายาทซึ่งยืนเรียงรายกันอยู่หน้าประตูโดยไม่มีความลังเล เสียงร้องโอดครวญดังก้องไปทั่วบริเวณ"ลำพังแค่รับใช้ไท่จื่อก็ลำบากกันจะแย่แล้ว คราวนี้ยังต้องมาเผชิญภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดอีก ข้าเองก็จนปัญญาเช่นกัน"เสิ่นอวี้เจาเอ่ยถ้อยคำด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ประหนึ่งเหตุโกลาหลเมื่อครู่นั้นเป็นฝีมือของใครสักคนที่ผ่านมา มิใช่นางเองแม้แต่น้อยทว่าแม้ทุกคนจะรู้ดีว่า ใคร คือต้นเหตุของหายนะ พวกเขากลับทำได้เพียงกลืนคำไว้ในลำคอ หอบเอาความโกรธเคล้าความสิ้นหวังเก็บลงไปใต้แววตาขมขื่นมือข้างหนึ่งลูบศีรษะเบาๆ ตรงบริเวณที่ผมบางจนนับเส้นได้ พร้อมคำถามในใจที่ไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยสรุปแล้วพวกข้ายังมีผมเหลืออยู่กี่เส้นกันแน่…ชีวิตช่างยากลำบากนัก!จนกระทั่งเสียงทุ้มของบุรุษดังขึ้นจากข้างหลัง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่น่าหมั่นไส้"ฝีมือดีมาก มีเอกลักษณ์ ข้าชอบยิ่งนัก"แน่นอนว่าเจ้าของเสียงคือ องค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ นั่นเอง!เสิ่นอวี้เจานั้นคือสตรีผู้ใช้ชีวิตตามใจ มิใช่เพราะไร้เหตุผล หากแต่เพราะนางเชื่อมั่นในตรรกะของตนเอง และเลือกจ
ทั่วทั้งเมืองหลวงเมื่อลองนับดูแล้ว คงมีเพียงสองคนเท่านั้น ที่สามารถส่งผลต่ออารมณ์ของเสิ่นอวี้เจาได้ คนแรกคือองค์ชายห้าฉู่หยุนชิง ส่วนอีกคนคือ องค์รัชทายาทฉู่มู่ฉือสำหรับคนแรกนั้นเป็นความลับของเสิ่นอวี้เจา จึงยังไม่ต้องพูดถึงในตอนนี้ ส่วนคนหลังกลับกลายเป็นคนที่นางนับว่าเป็นศัตรูโดยแท้ ว่ากันว่าโชคชะตาของฉู่มู่ฉือนั้นแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในวังหลวง เพราะมีข่าวลือว่าตั้งแต่แรกเกิด องค์รัชทายาทก็ทำให้ ฮองเฮาต้วนฮุ่ย ต้องสิ้นพระชนม์จากการคลอดยาก หลังจากนั้นพี่เลี้ยงก็ลื่นล้มขาหักโดยไม่ทราบสาเหตุ บ่าวไพร่ที่รับใช้ใกล้ชิด ก็ล้วนมีอันเป็นไปในหลากหลายรูปแบบ กล่าวได้ว่าเพียงแค่ได้ยินชื่อก็เศร้าใจ พอได้เห็นก็ยิ่งอยากร้องไห้ถึงกับมีการเชิญนักพรตชื่อดังที่สุดในเมืองหลวงมาเข้าวัง นักพรตได้ประกาศว่า โชคชะตาขององค์รัชทายาทคือดาวพิฆาต ที่ปรากฏครั้งหนึ่งในรอบร้อยปี ใครที่อยู่ใกล้จะโชคร้าย แต่งงานยาก ทำลายครอบครัว สร้างความบาดหมางกับพี่น้อง หากไม่ใช่เพราะ พลังแห่งมังกร คุ้มครองไว้ แม้แต่ฮ่องเต้เองก็อาจถูกดึงเข้าไปในหายนะด้วยสำหรับเสิ่นอวี้เจา นางได้ลิ้มรสความโชคร้าย ที่ฉู่มู่ฉือ