Masukเสิ่นอวี้เจากล่าวอย่างสงบนิ่ง "อ้อ เช่นนั้นรึ หม่อมฉันคงใจแคบไปเอง แต่ขอแก้เสียหน่อย มิใช่เรื่องแปลกเลยที่ฝ่าบาทจะถูกคนตำหนิ เพราะนั่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติตั้งแต่ฝ่าบาทยังเยาว์วัย”
ฉู่มู่ฉือยิ้มรับอย่างจริงใจ "ที่เจ้ากล่าวไม่ผิดแม้แต่น้อย แต่เจ้าจะยังนอนแช่น้ำแล้วคุยกับข้าแบบนี้ต่อไปหรือไม่?"
"ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทมีข้อเสนออะไรที่ดีกว่าหรือ?"
"ตัวอย่างเช่น ข้าผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา จะช่วยอาบน้ำเป็นคู่กับเจ้า"
เสิ่นอวี้เจากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง "ไม่จำเป็น หากอาบน้ำร่วมกับฝ่าบาท หม่อมฉันเกรงว่าจะจมน้ำตายเสียก่อน"
พูดจบ นางก็ตวัดมือน้ำในอ่างสาดใส่ใบหน้าของฉู่มู่ฉือ ก่อนจะกระโดดพรวดออกจากอ่างน้ำ มือขวาคว้าอาภรณ์ด้านหลังมาสวมคลุมตัวอย่างรวดเร็ว พลิกตัวลงยืนบนพื้นอย่างมั่นคง ท่วงท่าของนางนั้นลื่นไหลและสง่างาม เมื่อฉู่มู่ฉือเช็ดน้ำออกจากหน้าและลืมตาขึ้น นางก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
"ท่านหญิงเสิ่นช่างมีฝีมือเยี่ยมจริงๆ"
"ฝ่าบาทชมเกินไปแล้ว หม่อมฉันเล่าเรียนกับพวกองค์ชายตั้งแต่เล็ก หากไม่มีฝีมือแล้วจะเอาหน้าไปพบใครได้?"
ฉู่มู่ฉือยกคิ้วมองนางจากหัวจรดเท้า ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจ "งามจริงแท้ สตรีที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จนั้นช่างมีเสน่ห์นัก เครื่องแต่งกายนี้ยิ่งทำให้เจ้างดงาม จนข้าอดฝันกลางวันมิได้เลย"
"เช่นนั้นฝ่าบาทก็ฝันไปเรื่อยๆ หากเบื่อฝันก็จงดื่มน้ำให้เต็มท้อง แล้วค่อยฝันต่อเถิด" เสิ่นอวี้เจาสบถเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง "คืนนี้หม่อมฉันจะเปลี่ยนห้องนอน ให้ที่นี่เป็นของฝ่าบาทแล้วกัน"
สองวันต่อมา
หลังจากพักผ่อนจนร่างกายสดชื่น เสิ่นอวี้เจาปรากฏตัวที่ลานบ้าน ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องแสงนวล นางก้าวไปยังห้องของฉู่มู่ฉือ เปิดประตูด้วยการถีบอย่างสวยงาม มือหนึ่งถือประทัดที่จุดไฟแล้วโยนใส่เตียงของอีกฝ่าย ก่อนจะออกไปอย่างไร้ร่องรอย
เสียงระเบิดที่ดังสนั่นปลุกทุกคนขึ้นมา ใครไม่รู้เรื่องอาจคิดว่าตำหนักรัชทายาทถูกฟ้าพิโรธ แต่ความจริงมันไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น เพียงแค่ไท่จื่อผู้เป็นที่รักของบ่าวไพร่ถูกระเบิดจนแทบคลั่ง
รุ่งเช้าวันถัดมา
เสิ่นอวี้เจานอนหลับอย่างสบายใจ เมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ปรารถนา ใบหน้าหล่อเหลาของฉู่มู่ฉือมืดครึ้มยิ่งกว่าเดิม เส้นผมข้างหนึ่งของเขายังชี้โด่เด่อย่างไม่เป็นระเบียบ แลดูไม่สมส่วนอย่างประหลาด
"ประทัดร้านนี้ค้าขายอย่างมีจรรยาบรรณเสียจริง" นางหัวเราะเบาๆ "ในอนาคตควรส่งป้ายแสดงความขอบคุณ หรือไม่ก็ช่วยจับคู่แต่งงานให้ลูกชายของเถ้าแก่ เพื่อขอราคาพิเศษ"
เมื่อรัชทายาททรงพิโรธ ผลที่ตามมาก็คือทุกคนในตำหนักต้องลำบากไปด้วย
ในเวลาเที่ยง เสิ่นอวี้เจาได้รับมื้ออาหารกลางวัน ที่เต็มไปด้วยอาหารชั้นเลิศบนโต๊ะ พร้อมด้วยยาระบายคุณภาพสูงปะปนอยู่ในทุกจาน แต่ด้วยความเฉลียวฉลาด นางไม่ได้รีบร้อนที่จะลิ้มลองอาหารเหล่านั้น กลับเชิญเจียงเฉินมาชิมแทน
ผลลัพธ์คือ เจียงเฉินท้องเสียทั้งบ่าย จนกระทั่งเกือบขาดน้ำและหมดสติไป
เสิ่นอวี้เจา ผู้ซึ่งท้องว่างและมีจิตใจเด็ดเดี่ยว ได้ไล่บรรดาพ่อครัว แม่ครัวและผู้ช่วยออกจากครัวทั้งหมด แล้วตั้งใจจะทำอาหารเย็นด้วยตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลอบวางยาจากคนที่มีใจคดโกง
"มานี่สิ ข้าขอถามหน่อย ปกติไท่จื่อมีรสนิยมการเสวยอาหารแบบใด?"
แม่ครัวหญิงที่โชคดีถูกเลือกให้ตอบคำถามยืนนิ่งอยู่กับที่ มองใบหน้าที่เย็นชาของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยด้วยความลังเล "ฝ่าบาท...ฝ่าบาทมักโปรดอาหารรสจืด ไม่สามารถเสวยอาหารที่มีน้ำมันหรือเผ็ดเกินไปได้ เพราะ..."
"ดี ข้าเข้าใจแล้ว" เสิ่นอวี้เจาตัดบทอย่างกระชับ พลางยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งให้แม่ครัว "นี่เป็นรางวัลสำหรับความร่วมมือของเจ้า ไปซื้อเครื่องประดับที่เจ้าชอบเถอะ"
"ขอบพระคุณ ท่านหญิงเสิ่น!"
ตามหลักแล้ว เสิ่นอวี้เจาควรเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ ทว่านางมีใบหน้าที่เย็นชาและไร้อารมณ์เกินกว่าจะทำได้ ส่งผลให้การแสดงออกของนาง ยังคงดูหนักแน่นและจริงจัง ราวกับพร้อมจะออกไปรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เสิ่นอวี้เจาออกคำสั่ง ให้คนรับใช้ยกอาหารเย็นหรูหรา สี่จานเย็นและสี่จานร้อนเข้าไปในห้องของฉู่มู่ฉือ หมูสามชั้นผัดพริก เผือกตุ๋นเนื้อวัว หัวปลานึ่งพริก และตับห่านในน้ำมันพริก ทุกจานถูกปรุงให้ออกรสเค็ม เผ็ด และมันจนเกินไป แม้แต่น้ำแกที่จัดมา ก็เป็นน้ำแกงพริกที่เพียงแค่มองก็ทำให้หน้าแดงและลิ้นแห้งได้
ฉู่มู่ฉือนั่งอยู่ข้างโต๊ะ พร้อมรอยยิ้มที่มุมปากสั่นเล็กน้อย "เจ้าเป็นผู้ทำอาหารเหล่านี้ด้วยตนเองหรือ? ช่างเป็นคนที่ทั้ง ‘เก่งในวังและเชี่ยวชาญในครัว’ จริงๆ"
"ฝ่าบาททรงเข้าใจหม่อมฉันอย่างลึกซึ้งนัก รู้ว่าหม่อมฉันเป็นคนที่ ‘ปากเต็มไปด้วยวรรณกรรม และมือจับโจรได้อย่างชำนาญ’ ตั้งใจจะกำจัดความอยุติธรรมในโลกนี้ให้สิ้น" เสิ่นอวี้เจากล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง ก่อนเปลี่ยนเรื่องและกล่าวเตือนอย่างใส่ใจ "ฝ่าบาททรงยังไม่ลองหรือ? อาหารไม่ควรถูกละเลย การทิ้งขว้างอาหารจะถูกฟ้าผ่า หม่อมฉันพูดจริงนะ"
ใบหน้าหล่อเหลาของฉู่มู่ฉือมืดครึ้มลงเล็กน้อย เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้ววนไปรอบๆ อาหารบนโต๊ะอยู่หลายรอบ ท่าทางลังเลที่จะตัดสินใจชิม
"เหตุใดฝ่าบาทไม่ทรงเสวย? หรือทรงไม่เชื่อใจหม่อมฉัน กลัวว่าจะใส่ยาระบายในอาหารหรือ?" เสิ่นอวี้เจากล่าวพลางเคี้ยวหัวปลาอย่างเอร็ดอร่อย น้ำเสียงเจตนาเกินจริง "หม่อมฉันไม่เคยทำเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนั้น ฝ่าบาทวางพระทัยเถิด!"
"..." ฉู่มู่ฉือกัดฟันกรอดในใจ แต่ยังคงยิ้มพลางเงยหน้า "จะเป็นไปได้อย่างไร? คนที่ข้าเชื่อมั่นที่สุดก็คือเจ้า หากเจ้าทำอาหารด้วยใจให้ข้า ย่อมต้องกินทุกคำ"
ผลคือ เสิ่นอวี้เจามองด้วยความอึ้ง ขณะที่เขากวาดอาหารทุกจานบนโต๊ะ จนเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ราวกับสายลมพัดเมฆไป ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาดื่มน้ำแกงพริกจนหมดเกลี้ยง
โชคดีมักพาไปสู่ความทุกข์ เมื่อเสิ่นอวี้เจากำลังจะพูดบางอย่าง นางกลับพบว่าก้างปลาติดคอ จึงก้มตัวลงไออย่างแรง
"ไอ้คนผู้นี้ต้องแช่งข้าในใจแน่ๆ" เสิ่นอวี้เจานึกในใจ "นี่มันศัตรูคู่กรรมชัดๆ!"
ยามค่ำคืน
ฃเจียงเฉินได้รับข่าวสารจากสาวใช้ในตำหนัก เขายืนอยู่ท่ามกลางสายลมหนาวลังเลอยู่นาน ก่อนจะรวบรวมความกล้าพอที่จะเคาะประตูห้องใหญ่ เพื่อปลุกนายหญิงผู้ที่มีนิสัยแย่ๆ ในการลุกจากเตียง
หนึ่ง สอง สาม...ไม่มีเสียงตอบรับ สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ...
ประตูถูกกระแทกเปิดจากด้านใน เสิ่นอวี้เจายืนอยู่ตรงหน้าเขาในสภาพผมยุ่งเหยิง ใบหน้าเย็นชาขณะที่คว้าคอเสื้อเจียงเฉินแล้วเหวี่ยงเขาออกไป องครักษ์หนุ่มยังคงคร่ำครวญกลางอากาศ "บรรพบุรุษที่ยังมีชีวิตอยู่พวกนี้ ไม่มีใครที่จะทำให้ข้าได้อยู่สบายเลยใช่หรือไม่!"
"ท่านหญิงใจเย็นก่อน มีบางอย่างเกิดขึ้นกับฝ่าบาท!"
"พูดให้ชัด เกิดเรื่องอะไรขึ้น?" เสิ่นอวี้เจาพูดอย่างไม่เต็มตื่น
เจียงเฉินนอนอยู่บนพื้น ยกแขนขึ้นลูบเอวที่เกือบจะหัก พลางเอ่ยด้วยเสียงโศกเศร้า "สาวใช้คนหนึ่งบอกข้าว่า ฝ่าบาททรงเจ็บปวดมากจนแทบจะสลบแล้ว"
ทันทีที่ได้ยิน เสิ่นอวี้เจาก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที "สลบเช่นนั้นหรือ?"
"ขอรับ!" เจียงเฉินมองดูใบหน้าที่ครุ่นคิดของนาง ด้วยแววตาแห่งความหวัง ในใจคิดว่านายหญิงของเขายังมีความเมตตาอยู่บ้างในยามคับขัน!
"เหตุใดเจ้าจึงมายืนเพียงลำพัง?""ออกมารับลม" นางตอบอย่างเป็นธรรมชาติ "ที่นี่เย็นสบายและเงียบสงบ อีกทั้งเมื่อครู่องค์หญิงดื่มไปหลายจอก เอะอะโวยวายอยู่ข้างหูตลอดเวลา หม่อมฉันกลัวว่านางจะหาเรื่องทำอะไรแปลกๆ อีก"ฉู่มู่ฉือหัวเราะเบาๆ "ข้าก็ทนเสียงอึกทึกไม่ไหวเช่นกัน เลยตั้งใจจะมาบอกเจ้าสักคำ ใครจะคิดว่าเพียงหันไปมองอีกที เจ้ากลับหายตัวไปเสียแล้ว"เสิ่นอวี้เจาถอนหายใจอย่างหมดหนทาง "หม่อมฉันต้องอาศัยจังหวะที่พวกเขาไม่ทันสังเกต ถึงจะแอบออกมาได้ ไม่เช่นนั้นพวกนั้นคงร่วมมือกันกดหม่อมฉันลงพื้นแน่ๆ"ไท่จื่อหัวเราะลึกกว่าเดิม ขณะที่กำลังจะเอ่ยแซวนางต่อ กลับอยู่ๆ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับก้มตัวลงใช้มือกดที่ท้องของตนเอง"อย่าบอกนะว่าฝ่าบาททรงปวดกระเพาะอีกแล้ว?" นางรีบเข้ามาพยุงเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล "พวกนั้นนี่จริงๆ เลย ให้ฝ่าบาทดื่มเรื่อยๆ แบบนั้น ใครจะทนไหว?""เจ้าดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ ช่างพูดจายืดยาวขึ้น นับเป็นเรื่องแปลกจริงๆ" เขาพิงตัวกับราวเรือ มืออีกข้างกอดนางเอาไว้พร้อมพูดเสียงต่ำ "ไม่ต้องห่วงมาก แค่เจ้าช่วยนวดให้สักหน่อยก็หายแล้ว"ริมฝีปากของฉู่มู่ฉือเผยรอยยิ้มแบบออดอ้อน จนทำให้นางอ
"ฝ่าบาทคิดซื้อของพรรค์นี้มาได้อย่างไร...""เพราะต่างหูของเจ้าเริ่มเก่าแล้ว" เขาพูดเสียงดังฟังชัด "ต่างหูหยกหุ้มทองที่เจ้าใส่มันเก่ามาก อย่าใส่มันอีกเลย ถอดออกเถอะ"เสิ่นอวี้เจาเริ่มเข้าใจ ของตอบแทนอะไรกัน! คนผู้นี้ก็แค่หึงที่นางใส่ต่างหูที่ฉู่หยุนชิงเคยให้มาต่างหาก!"หม่อมฉันแทบไม่เคยซื้อเครื่องประดับ ฝ่าบาทก็ทราบอยู่แก่ใจ" นางปรายตามองเขา ท่าทีงดงามจนใจคนสั่นไหว แฝงด้วยอารมณ์น้อยใจเล็กๆ"ที่หม่อมฉันใส่ก็แค่เพราะไม่อยากเสียเวลาเปลี่ยน ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นของที่องค์ชายห้าให้มา"ฉู่มู่ฉือพยักหน้าอย่างจริงจัง "ข้าเข้าใจดี""จริงหรือ?""ก็ได้ ข้ายอมรับ" เขายิ้มพลางยกต่างหูขึ้นมาระดับสายตานาง "แค่เห็นเจ้าสวมของที่น้องห้าให้ ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ" แววตาของเขาอ่อนโยนยิ่งขึ้น "แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ข้าอยากให้เจ้าสวมสิ่งที่ข้ามอบให้ อยากให้บนตัวเจ้ามีแต่ของๆ ข้าเท่านั้น"
ทว่าความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคิดตื้นเกินไป นิสัยติดตามของฮ่องเต้ จะปล่อยให้คนหนีรอดไปง่ายๆ ได้อย่างไร?หลังปฏิเสธไปเมื่อวาน เช้าวันนี้กองทัพใหญ่ก็มาถึงประตูจวนแล้วฉู่ซั่วกู่ยังมาไม่ถึง แต่เสียงเขาลอยมาก่อน "พี่สาม! ท่านหญิงเสิ่น! ได้ยินมาว่าพวกท่านไม่มีแผนจะไปเจียงหนานหรือ? ที่นั้นงดงามมาก แสงอาทิตย์ยามเช้า ส่องสะท้อนดอกท้อแดงระยับบนผืนน้ำ ท้องฟ้าช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิร่วงโปรยเหมือนสายฝน กลายเป็นพรมชมพูปกคลุมผืนดิน ช่างเหมาะแก่การพูดคุยเรื่องรักใคร่ยิ่งนัก! ทุกคนตกลงไปกันหมดแล้ว เหลือแต่พวกท่าน ไม่รู้สึกอึดอัดในใจบ้างหรือ?"คำพูดยังไม่ทันจบถ้วยน้ำชาก็ลอยมาตรงหน้าผากฉู่ซั่วกู่ ฉู่มู่ฉือเดินออกมาด้วยใบหน้าขุ่นเคืองจ้องเขาเขม็ง"เช้าตรู่เช่นนี้ใยมาส่งเสียดังเอะอะ! นิสัยพูดมากของเจ้าถ้าไม่เลิก วันหน้าข้าจะตีเจ้าทุกครั้งที่พบ!""เพราะนิสัยพูดมากของข้าอย่างไรเล่า เสด็จพ่อจึงให้ข้ามาโน้มน้าวพี่สามกับท่านหญ
ฮ่องสร้างภาพลักษณ์ "จักรพรรดิผู้ทรงธรรม" ให้กับตนเองได้สำเร็จ จนกล่าวได้ว่าการกระทำของพระองค์นั้น "ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว" แต่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทราบดีว่า พระองค์ช่างไร้ยางอายถึงเพียงใด จนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพระองค์ถึงให้กำเนิดโอรสอย่างฉู่มู่ฉือและฉู่ซั่วกู่ได้ผลสรุปของการคัดเลือกบรรดานางสนมในครั้งนี้ คือตกม้าตายกันทั้งขบวน แม้เรื่องราววุ่นวายนั้นจะเป็นที่กล่าวขาน แต่ก็ยังไม่เทียบเท่ากับข่าวการหมั้นหมายกันระหว่างฉู่มู่ฉือและเสิ่นอวี้เจา ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ที่ยิ่งทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงยิ่งกว่าแม้แต่องค์หญิงฉู่เหม่ยหลินเองก็ยังงุนงง เมื่อเห็นเสิ่นอวี้เจาที่อยู่ๆ กลับไปปรากฏตัวในตำหนักของรัชทายาท นางคิดในแง่ร้ายว่าไท่จื่ออาจใช้วิธีบังคับลักพาตัว แต่เมื่อรีบไปช่วยเหลือกลับพบว่า ทั้งสองนั่งจิบชาอย่างสบายใจในศาลา ชวนคุยราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น"พี่หญิง! พี่ได้ยินข่าวในวังแล้วหรือไม่?""ได้ยินแล้ว" เสิ่นอวี้เจา พยักหน้ารับอย่างสงบน
"ค่ำคืนอากาศหนาวเย็น ฝ่าบาทรีบกลับตำหนักไปเถิด ถ้าโดนลมหนาวจนป่วย หม่อมฉันคงมิอาจรับผิดชอบได้"แม้ในใจนางจะรู้สึกว่าควรจะดีใจที่ได้เจอฉู่มู่ฉือ แต่กลับห้ามตนเองไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด โดยเฉพาะเมื่อเขาเอ่ยถึงฉู่หยุนชิไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ก็ตามนางอยากจะฟาดหน้าเขาสักทีทำไมถึงไม่เคยพูดจากกันดีๆ ถ้าชอบใครสักคน ต้องตามเกี้ยวแบบนี้หรือ? นางไม่ค่อยฉลาดกับความรู้สึกของตนเองเท่าไร และเขาเองก็รักอย่างโง่เง่าไม่ต่างกันแต่โชคดีที่ครั้งนี้ฉู่มู่ฉือไม่ได้ทำตัวงี่เง่าเกินไป เพราะทันทีที่นางหมุนตัว เขาก็คว้ามือของนางไว้ ใช้แรงเพียงข้างเดียวดึงเสิ่นอวี้เจาเข้ามาในอ้อมกอด"ข้าไม่หนาว แต่ถ้าท่านหญิงเสิ่นหนาว ข้ายินดีมอบอ้อมกอดอบอุ่นให้""...ขอร้องล่ะฝ่าบาท อย่าพูดอะไรน่าชวนขนลุกเช่นนี้อีกหม่อมฉันฟังแล้วไม่ชิน"คิ้วดกหนาของเขาขมวดเล็กน้อย "หรือว่าท่านหญิงเสิ่นอยากจะทะเลาะกั
แผนนี้ได้ผลดียิ่งนักเสิ่นอวี้เจาแอบชื่นชมในความชาญฉลาดของตนเอง ก่อนจะแสดงสีหน้าจริงจัง "สมแล้วที่คนไม่เหมือนชื่อ อ่อนโยนเรียบร้อย ที่แท้เป็นเพียงเปลือกนอก ต่อหน้าข้ายังเสียกิริยาเยี่ยงนี้ หากได้พบฝ่าบาทจะเป็นเช่นไร สำหรับคนที่เสียมารยาทเมื่อครู่ทั้งหมด นำตัวไปยังห้องราชกิจ รับรางวัลแล้วกลับบ้านไปเถิด"เมื่อเป็นเช่นนี้ รายชื่อหญิงงามที่เหลืออยู่จึงลดลงไปเกือบครึ่ง เสิ่นอวี้เจาพอใจกับผลงานตนเองเป็นอย่างยิ่งเมื่อสถานที่กลับมาสงบลงอีกครั้ง รอบตัวเหลือเพียงสองคน นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉู่หยุนชิง"องค์ชายห้า ข้าทำเกินไปหรือไม่?" แม้นางไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำผิดอะไร แต่ในฐานะหญิงผู้คัดเลือก เมื่อมองย้อนกลับไปยังหน้าที่ที่ตนเองทำสำเร็จ เสิ่นอวี้เจาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดช่างเหลวไหล"ตอนนี้มองดูอาจเหมือนใจร้าย แต่ภายหลังพวกนางจะรู้สึกขอบคุณเจ้า" ฉู่หยุนชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่







