Masukใครจะไปคาดคิดว่าคำพูดต่อมาของนาง จะทำให้เขากลับสู่ความจริงอย่างโหดร้าย "ถ้าฝ่าบาทเป็นอะไรไป ทรัพย์สินที่เหลืออยู่ก็ต้องขายให้ข้ามิใช่หรือ? เช่นนั้นคงต้องเจรจากับฮ่องเต้เสียหน่อย"
"ท่านหญิง ช่วยจริงจังหน่อยได้หรือไม่ขอรับ!"
"อ่า รู้แล้ว ข้าจะไปดูสักหน่อยแล้วกัน?" เสิ่นอวี้เจามองเขาด้วยแววตาดูถูก "ดูเจ้าเถอะ ไม่มีอนาคตเลยจริงๆ ทั้งวันเอาแต่ทำให้ข้าขายหน้า แล้วข้าจะหาใครมาเป็นคู่ให้เจ้าในเบื้องหน้าได้อย่างไร?"
"..." นี่มันความผิดเขาหรือ?!
เจียงเฉินอยากจะอธิบายให้กระจ่างนัก อยากบอกว่านับว่ายังโชคดี ที่เขายอมใช้หัวใจและจิตวิญญาณ ทำหน้าที่องครักษ์ที่ดีให้นาง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครทนกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของนางได้ แต่เมื่อสัมผัสตั๋วเงินหอมหวาน ในที่สุดเขาก็กล้ำกลืนอดทนต่อไป
ยังมีเวลาอีกยาวนานที่เขาต้องทนรับความอัปยศนี้
เสิ่นอวี้เจาเดินไปที่หน้าห้องของฉู่มู่ฉือ พลางหาวระหว่างทาง และทันเห็นสาวใช้คนหนึ่ง กำลังถือชามข้าวต้มขาวเดินมาแต่ไกล นางโบกมือเรียกก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"ฝ่าบาทเป็นอะไรหรือ?"
สาวใช้มองนางด้วยความประหม่า และเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา "กระเพาะของฝ่าบาทไม่ค่อยดีตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ไม่สามารถเสวยอาหารรสเผ็ดได้ ไม่เช่นนั้นจะทรงปวดท้อง ยามที่ฝ่าบาททรงปวดท้อง พวกหม่อมฉันกลับไม่ได้อยู่รับใช้ แม้แต่ชามข้าวต้มก็ยังไม่ได้ยกไปถวาย"
"เช่นนั้นหรือ? ฝ่าบาทยังไม่หายจากอาการนั้นอีก?"
"เพราะฝ่าบาททรงมีอารมณ์ร้อนเหลือเกิน พวกหม่อมฉันจึงกลัว..." กลัวว่าจะโชคร้ายหากพลาดพลั้งแม้แต่นิดเดียว
เสิ่นอวี้เจากล่าวเสียงเรียบ "อ่า" และไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ เพียงยื่นมือออกไปรับชามข้าวต้มและถ้วยยา "ข้าจะนำไปให้เอง พวกเจ้ากลับไปพักเถิด"
สาวใช้ดูเหมือนจะได้รับการปลดปล่อย รีบโค้งคำนับลึกและหันหลังกลับวิ่งหนีไปทันที แสดงให้เห็นว่ารัชทายาท ได้ทิ้งร่องรอยความหวาดกลัวในใจผู้คนไว้มากมายเพียงใด
เสิ่นอวี้เจายืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจไม่เคาะประตู แต่เตะประตูเข้าไปในห้องแทน
นางกับฉู่มู่ฉือพูดจากันด้วยคำสุภาพเสมอ เช่น “ฝ่าบาท” “ท่านหญิงเสิ่น” แต่ในความเป็นจริง หากต้องทำร้ายกันก็จะลงมือทันทีโดยไม่ลังเล การแสร้งเป็นมิตรดูเหมือนจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ดูไม่ลงรอยหนักขึ้น
“ฝ่าบาท หม่อมฉันนำอาหารมื้อดึกมาถวาย” นางหยุดเล็กน้อยก่อนจะเสริม “ในข้าวต้มไม่มีพริก”
“ท่านหญิงเสิ่นนี่ช่างเป็นคนใกล้ชิดที่เข้าใจข้าจริงๆ แม้ดึกดื่นยังไม่ลืมดูแลสุขภาพของข้า”
เสิ่นอวี้เจาลอบสบถในใจ “ทั้งครอบครัวของฝ่าบาท คงจะเป็นพวกช่างประจบเช่นนี้สินะ” นางคิดว่าคนตรงหน้ายังเล่นล้อเลียนได้ คงไม่ได้ปวดท้องอะไรมาก
แต่ความจริงก็แสดงให้เห็นว่านางคิดผิด เมื่อเห็นฉู่มู่ฉือนั่งพิงเตียง ใบหน้าซีดขาวจนเสื้อซับในเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ นางจึงค่อยตระหนักว่าคนผู้นี้เจ็บหนักจริงๆ
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าองค์รัชทายาท มีรสนิยมการเสวยที่แปลกประหลาดเช่นนี้ แต่เอาเถอะ ที่ผ่านมานางก็ไม่เคยใส่ใจเรื่องส่วนตัวของเขาอยู่แล้ว ด้วยความเป็นสตรีที่ยังคงมีจิตใจเมตตาเล็กน้อย เสิ่นอวี้เจาจึงรู้สึกผิดเล็กหน่อยๆ ในตอนนี้นางวางสีหน้าจริงจังพลางยื่นชามข้าวต้มให้
“ฝ่าบาท เสวยข้าวต้มและดื่มยา”
“ไม่”
“…”
ดวงตาหงส์ของฉู่มู่ฉือหรี่ลงอย่างเกียจคร้าน น้ำเสียงของเขาฟังดูแฝงความขี้เล่น “แต่หากเจ้าป้อนให้ด้วยมือ ข้าก็อาจจะพิจารณาอีกที”
เสิ่นอวี้เจาตอบกลับด้วยความจริงจัง “ดูเหมือนว่าอาการของฝ่าบาท จะไม่ได้ร้ายแรงเท่าไหร่ เช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องลากลับไปพักผ่อนแล้ว คืนนี้ยังอีกยาวไกล หม่อมฉันยังอยากนอนให้เต็มอิ่ม”
“ท่านหญิงเสิ่นมีใจจะทอดทิ้งข้าจริงหรือ? เตียงของข้าก็ใหญ่พอสำหรับเราสองคน ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไร เพียงอยากเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพราะการได้พบกันอย่าง ‘เปิดเปลือย’ เป็นก้าวแรกของการเปิดใจ”
“เปิดเปลือย” นี่มันอะไรกัน? คำพูดนี้ควรจะหมายถึงแค่สิ่งที่ได้ยินใช่หรือไม่?
เสิ่นอวี้เจามองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะกดลงบนท้องของฉู่มู่ฉืออย่างแรง แน่นอนว่าเขาร้องครวญครางทันที งอตัวเข้าหากัน ความเกียจคร้านและขี้เล่นเมื่อครู่หายไปในพริบตา
“ฝ่าบาท หากปวดมากเช่นนี้อย่าฝืนเลย หม่อมฉันแนะนำว่าให้เสวยข้าวต้มแล้วดื่มยาเสียก่อนจะดีกว่า ฝ่าบาทจะเสวยหรือไม่? หรือจะให้หม่อมฉันต้องใช้วิธีพิเศษ?” นางพูดอย่างเยือกเย็นและแฝงความข่มขู่
ฉู่มู่ฉือเหมือนจะอยากเถียงอีกสองสามคำ แต่ทันใดนั้นช้อนข้าวต้มก็ถูกยัดเข้าปากเขา จนแทบสำลัก
เสิ่นอวี้เจายังรักษาสีหน้าไร้ความรู้สึกไว้เหมือนเดิม ค่อยๆ ป้อนข้าวต้มทีละคำ “เสวยเถิดฝ่าบาท จะได้ฟื้นตัวเร็วๆ อีกไม่กี่วันหม่อมฉันต้องหาคู่ที่เหมาะสมสำหรับพระองค์ ต้องเป็นพระชายาที่ทั้งงดงามและเก่งกาจ แถมยังทำอาหารเป็น...อ้อ หม่อมฉันคงต้องไปดูดวงชะตานางด้วย จะได้มั่นใจว่านางจะไม่ตายทันทีหลังอภิเษก”
ทันทีที่พูดจบ ฉู่มู่ฉือคว้าช้อนแล้วแทงเข้าไปในปากของเสิ่นอวี้เจาแทน พลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ขอบคุณน้ำใจจากเจ้านัก”
เสิ่นอวี้เจารู้สึกเหมือนหัวระเบิด ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในใจ ช้อนนี้…เมื่อครู่มันเพิ่งเปื้อนน้ำลายของเขาใช่หรือไม่? นางใช้ชาล้างปากทั้งวันทั้งคืน รู้สึกเหมือนตนเองเสียเปรียบหนัก ปากของนางแตะช้อนที่เขาใช้ นี่ไม่เท่ากับว่าเสีย “จูบแรก” ไปครึ่งหนึ่งแล้วหรือ?
แต่จูบแรกของนาง นางเตรียมไว้สำหรับองค์ชายห้าต่างหาก!
ถูกจูบทางอ้อมไม่รู้ตัววว กัดกันยังไงก่อนน ไท่จื่ออ่อยขนาดนี้ หวังอะไรรึเปล่านะ
"เหตุใดเจ้าจึงมายืนเพียงลำพัง?""ออกมารับลม" นางตอบอย่างเป็นธรรมชาติ "ที่นี่เย็นสบายและเงียบสงบ อีกทั้งเมื่อครู่องค์หญิงดื่มไปหลายจอก เอะอะโวยวายอยู่ข้างหูตลอดเวลา หม่อมฉันกลัวว่านางจะหาเรื่องทำอะไรแปลกๆ อีก"ฉู่มู่ฉือหัวเราะเบาๆ "ข้าก็ทนเสียงอึกทึกไม่ไหวเช่นกัน เลยตั้งใจจะมาบอกเจ้าสักคำ ใครจะคิดว่าเพียงหันไปมองอีกที เจ้ากลับหายตัวไปเสียแล้ว"เสิ่นอวี้เจาถอนหายใจอย่างหมดหนทาง "หม่อมฉันต้องอาศัยจังหวะที่พวกเขาไม่ทันสังเกต ถึงจะแอบออกมาได้ ไม่เช่นนั้นพวกนั้นคงร่วมมือกันกดหม่อมฉันลงพื้นแน่ๆ"ไท่จื่อหัวเราะลึกกว่าเดิม ขณะที่กำลังจะเอ่ยแซวนางต่อ กลับอยู่ๆ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับก้มตัวลงใช้มือกดที่ท้องของตนเอง"อย่าบอกนะว่าฝ่าบาททรงปวดกระเพาะอีกแล้ว?" นางรีบเข้ามาพยุงเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล "พวกนั้นนี่จริงๆ เลย ให้ฝ่าบาทดื่มเรื่อยๆ แบบนั้น ใครจะทนไหว?""เจ้าดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ ช่างพูดจายืดยาวขึ้น นับเป็นเรื่องแปลกจริงๆ" เขาพิงตัวกับราวเรือ มืออีกข้างกอดนางเอาไว้พร้อมพูดเสียงต่ำ "ไม่ต้องห่วงมาก แค่เจ้าช่วยนวดให้สักหน่อยก็หายแล้ว"ริมฝีปากของฉู่มู่ฉือเผยรอยยิ้มแบบออดอ้อน จนทำให้นางอ
"ฝ่าบาทคิดซื้อของพรรค์นี้มาได้อย่างไร...""เพราะต่างหูของเจ้าเริ่มเก่าแล้ว" เขาพูดเสียงดังฟังชัด "ต่างหูหยกหุ้มทองที่เจ้าใส่มันเก่ามาก อย่าใส่มันอีกเลย ถอดออกเถอะ"เสิ่นอวี้เจาเริ่มเข้าใจ ของตอบแทนอะไรกัน! คนผู้นี้ก็แค่หึงที่นางใส่ต่างหูที่ฉู่หยุนชิงเคยให้มาต่างหาก!"หม่อมฉันแทบไม่เคยซื้อเครื่องประดับ ฝ่าบาทก็ทราบอยู่แก่ใจ" นางปรายตามองเขา ท่าทีงดงามจนใจคนสั่นไหว แฝงด้วยอารมณ์น้อยใจเล็กๆ"ที่หม่อมฉันใส่ก็แค่เพราะไม่อยากเสียเวลาเปลี่ยน ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นของที่องค์ชายห้าให้มา"ฉู่มู่ฉือพยักหน้าอย่างจริงจัง "ข้าเข้าใจดี""จริงหรือ?""ก็ได้ ข้ายอมรับ" เขายิ้มพลางยกต่างหูขึ้นมาระดับสายตานาง "แค่เห็นเจ้าสวมของที่น้องห้าให้ ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ" แววตาของเขาอ่อนโยนยิ่งขึ้น "แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ข้าอยากให้เจ้าสวมสิ่งที่ข้ามอบให้ อยากให้บนตัวเจ้ามีแต่ของๆ ข้าเท่านั้น"
ทว่าความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคิดตื้นเกินไป นิสัยติดตามของฮ่องเต้ จะปล่อยให้คนหนีรอดไปง่ายๆ ได้อย่างไร?หลังปฏิเสธไปเมื่อวาน เช้าวันนี้กองทัพใหญ่ก็มาถึงประตูจวนแล้วฉู่ซั่วกู่ยังมาไม่ถึง แต่เสียงเขาลอยมาก่อน "พี่สาม! ท่านหญิงเสิ่น! ได้ยินมาว่าพวกท่านไม่มีแผนจะไปเจียงหนานหรือ? ที่นั้นงดงามมาก แสงอาทิตย์ยามเช้า ส่องสะท้อนดอกท้อแดงระยับบนผืนน้ำ ท้องฟ้าช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิร่วงโปรยเหมือนสายฝน กลายเป็นพรมชมพูปกคลุมผืนดิน ช่างเหมาะแก่การพูดคุยเรื่องรักใคร่ยิ่งนัก! ทุกคนตกลงไปกันหมดแล้ว เหลือแต่พวกท่าน ไม่รู้สึกอึดอัดในใจบ้างหรือ?"คำพูดยังไม่ทันจบถ้วยน้ำชาก็ลอยมาตรงหน้าผากฉู่ซั่วกู่ ฉู่มู่ฉือเดินออกมาด้วยใบหน้าขุ่นเคืองจ้องเขาเขม็ง"เช้าตรู่เช่นนี้ใยมาส่งเสียดังเอะอะ! นิสัยพูดมากของเจ้าถ้าไม่เลิก วันหน้าข้าจะตีเจ้าทุกครั้งที่พบ!""เพราะนิสัยพูดมากของข้าอย่างไรเล่า เสด็จพ่อจึงให้ข้ามาโน้มน้าวพี่สามกับท่านหญ
ฮ่องสร้างภาพลักษณ์ "จักรพรรดิผู้ทรงธรรม" ให้กับตนเองได้สำเร็จ จนกล่าวได้ว่าการกระทำของพระองค์นั้น "ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว" แต่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทราบดีว่า พระองค์ช่างไร้ยางอายถึงเพียงใด จนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพระองค์ถึงให้กำเนิดโอรสอย่างฉู่มู่ฉือและฉู่ซั่วกู่ได้ผลสรุปของการคัดเลือกบรรดานางสนมในครั้งนี้ คือตกม้าตายกันทั้งขบวน แม้เรื่องราววุ่นวายนั้นจะเป็นที่กล่าวขาน แต่ก็ยังไม่เทียบเท่ากับข่าวการหมั้นหมายกันระหว่างฉู่มู่ฉือและเสิ่นอวี้เจา ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ที่ยิ่งทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงยิ่งกว่าแม้แต่องค์หญิงฉู่เหม่ยหลินเองก็ยังงุนงง เมื่อเห็นเสิ่นอวี้เจาที่อยู่ๆ กลับไปปรากฏตัวในตำหนักของรัชทายาท นางคิดในแง่ร้ายว่าไท่จื่ออาจใช้วิธีบังคับลักพาตัว แต่เมื่อรีบไปช่วยเหลือกลับพบว่า ทั้งสองนั่งจิบชาอย่างสบายใจในศาลา ชวนคุยราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น"พี่หญิง! พี่ได้ยินข่าวในวังแล้วหรือไม่?""ได้ยินแล้ว" เสิ่นอวี้เจา พยักหน้ารับอย่างสงบน
"ค่ำคืนอากาศหนาวเย็น ฝ่าบาทรีบกลับตำหนักไปเถิด ถ้าโดนลมหนาวจนป่วย หม่อมฉันคงมิอาจรับผิดชอบได้"แม้ในใจนางจะรู้สึกว่าควรจะดีใจที่ได้เจอฉู่มู่ฉือ แต่กลับห้ามตนเองไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด โดยเฉพาะเมื่อเขาเอ่ยถึงฉู่หยุนชิไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ก็ตามนางอยากจะฟาดหน้าเขาสักทีทำไมถึงไม่เคยพูดจากกันดีๆ ถ้าชอบใครสักคน ต้องตามเกี้ยวแบบนี้หรือ? นางไม่ค่อยฉลาดกับความรู้สึกของตนเองเท่าไร และเขาเองก็รักอย่างโง่เง่าไม่ต่างกันแต่โชคดีที่ครั้งนี้ฉู่มู่ฉือไม่ได้ทำตัวงี่เง่าเกินไป เพราะทันทีที่นางหมุนตัว เขาก็คว้ามือของนางไว้ ใช้แรงเพียงข้างเดียวดึงเสิ่นอวี้เจาเข้ามาในอ้อมกอด"ข้าไม่หนาว แต่ถ้าท่านหญิงเสิ่นหนาว ข้ายินดีมอบอ้อมกอดอบอุ่นให้""...ขอร้องล่ะฝ่าบาท อย่าพูดอะไรน่าชวนขนลุกเช่นนี้อีกหม่อมฉันฟังแล้วไม่ชิน"คิ้วดกหนาของเขาขมวดเล็กน้อย "หรือว่าท่านหญิงเสิ่นอยากจะทะเลาะกั
แผนนี้ได้ผลดียิ่งนักเสิ่นอวี้เจาแอบชื่นชมในความชาญฉลาดของตนเอง ก่อนจะแสดงสีหน้าจริงจัง "สมแล้วที่คนไม่เหมือนชื่อ อ่อนโยนเรียบร้อย ที่แท้เป็นเพียงเปลือกนอก ต่อหน้าข้ายังเสียกิริยาเยี่ยงนี้ หากได้พบฝ่าบาทจะเป็นเช่นไร สำหรับคนที่เสียมารยาทเมื่อครู่ทั้งหมด นำตัวไปยังห้องราชกิจ รับรางวัลแล้วกลับบ้านไปเถิด"เมื่อเป็นเช่นนี้ รายชื่อหญิงงามที่เหลืออยู่จึงลดลงไปเกือบครึ่ง เสิ่นอวี้เจาพอใจกับผลงานตนเองเป็นอย่างยิ่งเมื่อสถานที่กลับมาสงบลงอีกครั้ง รอบตัวเหลือเพียงสองคน นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉู่หยุนชิง"องค์ชายห้า ข้าทำเกินไปหรือไม่?" แม้นางไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำผิดอะไร แต่ในฐานะหญิงผู้คัดเลือก เมื่อมองย้อนกลับไปยังหน้าที่ที่ตนเองทำสำเร็จ เสิ่นอวี้เจาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดช่างเหลวไหล"ตอนนี้มองดูอาจเหมือนใจร้าย แต่ภายหลังพวกนางจะรู้สึกขอบคุณเจ้า" ฉู่หยุนชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่







