เสิ่นอวี้เจาคิดว่าหากยังอยู่ตรงนี้ต่อ คงต้องถูกทรมานจนเจียนตาย หรือไม่นางอาจถึงขั้นจุดไฟเผาตำหนักรัชทายาทก็เป็นได้ จึงรีบออกไปข้างนอกเพื่อระบายความเครียด
นางเดินออกไปด้วยท่าทีไม่แยแส ทิ้งคำพูดไว้ว่า “ขอตัวไปตรวจสอบหญิงสาวในราชสำนักก่อน” พร้อมห้ามเจียงเฉินติดตาม จากนั้นก็หายลับไปจากประตูสีแดงทอง
ถนนในเมืองหลวงยังคงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน พ่อค้าแม่ค้าเร่ต่างร้องเรียกขายของ กลิ่นหอมจากร้านค้าสองฝั่งถนนลอยมาเป็นระยะ เพียงเดินเล่นช้าๆ ไปตามถนนนี้ ก็ทำให้จิตใจสดชื่นขึ้น เสิ่นอวี้เจาเดินไปพลางกินไป ตั้งแต่ขนมเปี๊ยะเม็ดบัว ตีนไก่ต้ม จนถึงในที่สุด นางถือฮวาเหมยเคลือบน้ำตาลก่อนจะเดินเข้าร้านหยก
ร้านแห่งนี้เป็นร้านชื่อดังในเมืองหลวง นางอยากเลือกต่างหู ที่เหมาะสมสักคู่ให้ตนเอง เพื่อสนองความต้องการเล็กๆ แก้ความเบื่อหน่าย แม้ว่าตอนนี้นางจะดูไม่มีความเป็นหญิงเลยก็ตาม
“เถ้าแก่ ต่างหูคู่นี้ราคาเท่าไหร่?”
เจ้าของร้านผู้มีใบหน้ายิ้มแย้ม ตอบกลับอย่างใจดี “คุณหนูตาแหลมจริงๆ นี่คือต่างหูหิมะหยกฝังทอง เป็นคู่ที่สวยมากทีเดียว!”
นางมองเขาด้วยสายตาเฉยชา “แน่นอนข้ารู้ว่ามันสวย บอกแค่ราคาอย่าพูดมาก”
“หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง”
ราคานี้เป็นสิ่งที่นางคาดไว้แล้ว เสิ่นอวี้เจารู้สึกพอใจและเตรียมจ่ายเงิน แต่ไม่ทันไรก็มีคนมาคว้าต่างหูไปก่อน พร้อมกับยื่นตั๋วเงินให้เจ้าของร้าน และเสียงชายหนุ่มทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างหูนาง
“ข้ารับต่างหูคู่นี้”
นางเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ และได้พบกับดวงตาสีดำสนิท โค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว บุรุษผู้สุภาพสง่างามราวหยกโน้มศีรษะลงเล็กน้อย พลางยื่นกล่องเครื่องประดับโบราณให้นาง ริมฝีปากบางเผยยิ้มอบอุ่นราวสายลมฤดูใบไม้ผลิในเดือนมีนาคม
"ไม่คาดคิดว่าจะพบท่านหญิงเสิ่นที่นี่ ข้าใช้สิ่งนี้เป็นของกำนัล สำหรับการพบกันในครั้งนี้"
ชายผู้นั้นคือ ฉู่หยุนชิง องค์ชายห้าผู้เลื่องชื่อของแคว้น! นี่หรือเรียกว่าบังเอิญเจอ "ดอกท้อผลิบาน" ในร้านเครื่องประดับ สวรรค์ช่างเมตตาจริง ๆ!
แต่เสิ่นอวี้เจารู้ตัวอย่างรวดเร็วว่าเรื่องสำคัญคืออะไร นางเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันที "องค์ชายห้า เหตุใดท่านจึงมาที่ร้านหยก? หรือว่าท่านกำลังเลือกของหมั้นหมายสำหรับสาวงามในดวงใจ?"
ความสงสัยในดวงตาของนางชัดเจนจนเกินไป ฉู่หยุนชิงยิ้มกว้างขึ้น และอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบศีรษะของนางเบาๆ "หากข้ามีคนรักจริงๆ คงไม่ลืมไปหาแม่สื่ออันดับหนึ่ง ของเมืองหลวงอย่างเจ้ามาช่วยจัดการหรอก เพียงแต่ข้าเห็นเจ้าบนถนนเมื่อครู่ จึงรู้สึกแปลกใจและตามมาดู"
"แปลกใจเรื่องอันใด?"
"ที่แท้ท่านหญิงเสิ่นก็ชอบเครื่องประดับเหมือนสตรีทั่วไป"
เสิ่นอวี้เจารู้สึกอายจนใบหน้าแทบแดง แต่โชคดีที่ใบหน้าเย็นชาเป็นธรรมชาติของนางช่วยปกปิดไว้ พยายามกู้ภาพลักษณ์ที่ดูเหมือนจะพังไปต่อหน้าเขา "องค์ชายห้า ท่านลืมไปหรือว่าข้าเองก็เป็นสตรี"
"ที่ข้าหมายถึงคือ ท่านหญิงเสิ่นยุ่งกับการจัดงานสมรสให้ราชวงศ์ทั้งวัน คงไม่มีเวลาสนใจเรื่องของตนเองนัก"
"เช่นนั้นในภายหน้า คงไม่มีใครอยากแต่งงานกับข้าหรอก" นางกล่าวอย่างจริงใจ "ในฐานะแม่สื่อ การอยู่คนเดียวมันน่าอายเกินกว่าจะพูดออกไปได้"
ฉู่หยุนชิงยิ้มอบอุ่น "ท่านหญิงเสิ่นทั้งงดงาม ฉลาดปราดเปรื่อง และมีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ ใครที่ได้แต่งงานกับเจ้าคงต้องมีบุญถึงสามชาติ ทำไมต้องสร้างปัญหาให้ตนเองโดยไม่จำเป็น?"
เสิ่นอวี้เจาอยากถามนักว่า "ถ้าข้าวิเศษขนาดนั้น การแต่งงานกับองค์ชายห้าจะเป็นไปได้หรือไม่?" แต่สุดท้ายนางก็ยังรักษาความระมัดระวังเอาไว้ ไม่เอ่ยสิ่งใดออกไป และเพียงพยักหน้ารับอย่างคลุมเครือ
"น้ำใจขององค์ชายห้าข้าขอรับไว้ แต่การได้รับของกำนัลล้ำค่าเช่นนี้โดยกะทันหัน ทำให้ข้ารู้สึกลำบากใจนัก"
"ก็แค่การแสดงน้ำใจ ถ้าท่านหญิงเสิ่นตั้งใจปฏิเสธจริงๆ เช่นนั้นข้าผู้นี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว"
แววตาของเขาช่างใสกระจ่างและสงบ จนแม้เพียงชำเลืองมองก็ทำให้หัวใจของนางเต้นรัว เสิ่นอวี้เจาเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเกิดความคิดแจ่มแจ้งขึ้นมาในที่สุด นางเปิดปากเชื้อเชิญทันที "ตามธรรมเนียมแล้ว สุภาพบุรุษย่อมต้องตอบแทนของขวัญเพื่อแสดงความขอบคุณ เช่นนั้นแล้วข้าชวนองค์ชายห้าไปร่วมดื่มด้วยกันดีหรือไม่?"
นางค้นพบว่าตนเองช่างฉลาดเหลือเกิน! จริงดังว่า การเป็นแม่สื่อมานาน ทำให้ความคิดเรื่องความรักของนางเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ฉู่หยุนชิงจ้องมองนางครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามของเขาโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว จากนั้นเขาก็พยักหน้าตอบตกลงอย่างเปิดเผย
"เช่นนั้นข้ารับคำเชิญด้วยความยินดี"
ที่เมืองหลวงแห่งแคว้นฉี หอเทพเซียนเมามาย เป็นสถานที่สำหรับอาหารชั้นสูง การตกแต่งหรูหรา บริการเอาใจใส่ หากจะเชิญแขกใครสักคน สถานที่นี้ย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้มีหน้าเชิดหน้าชูตา
เสิ่นอวี้เจาถือเมนูไว้ในมือ สายตากวาดมองด้วยท่าทางสงบงดงาม แต่เมื่อกล่าวชื่ออาหารออกมา กลับลื่นไหลดั่งสายน้ำ เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ของกระเพาะอาหารโดยไม่ตั้งใจ นอกจากนี้ นางยังอยากทำตัวให้ดูใจกว้างและโดดเด่นในสายตาขององค์ชายห้า
จนกระทั่ง ฉู่หยุนชิงวางมือบนมือของนางและเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ "มีแค่สองคนเราเอง ถ้าสั่งเยอะเกินไปจะเสียของเปล่าๆ"
"องค์ชายหน้าวางใจเถะ ข้ารับรองว่าจะไม่เสียของแน่ๆ" เสิ่นอวี้เจาพูดอย่างมั่นใจ แต่เมื่อพูดจบกลับเพิ่งรู้สึกตัวว่าปลายนิ้วของอีกฝ่ายยังแตะอยู่บนหลังมือนาง ความเย็นจากปลายนิ้วนั้นกลับทำให้ใบหน้านางร้อนวูบขึ้น "แต่ถ้าท่านบอกว่าไม่ต้องสั่งเพิ่ม ข้าก็จะหยุด" นางพูดพร้อมดึงมือกลับอย่างเขินอาย
อย่างไรก็ตาม ความเขินอายนั้นอยู่ได้ไม่นาน เมื่อชายหนุ่มผู้มีท่าทีสง่างาม ซึ่งสามารถครองใจสตรีในทุกตระกูลอย่างฉู่หยุนชิง คลี่ยิ้มบางเบา แต่มุมปากกลับเปี่ยมด้วยเสน่ห์อันอบอุ่น "อาหารที่ท่านหญิงโปรดปราน ดูไปแล้วช่างคล้ายกับที่ข้าชอบอย่างไม่น่าเชื่อ"
เสิ่นอวี้เจา จ้องมองดวงตาเปล่งประกายดั่งแสงแดดอบอุ่นของเขา แล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จำได้ดีว่าองค์ชายห้าชอบกินอะไรบ้าง"
"จำได้ทุกอย่างเลยหรือ?"
"ตราบใดที่องค์ชายห้าเคยกล่าวถึง ข้าก็จดจำไว้หมด"
แววตาที่เดิมทีคมกริบของเขากลับอ่อนโยนลง "ท่านหญิงคงลำบากไม่น้อย"
"เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ใครใช้ให้องค์ชายห้าคอยดูแลข้ามาตลอดหลายปีเช่นนี้เล่า"
ทั้งสองสนทนาอย่างถูกคอ ไม่นานนักอาหารที่สั่งไว้ก็ทยอยมาเสิร์ฟ สีสันสดใสหลากหลายจนเต็มโต๊ะ โดยตรงกลางโต๊ะนั้นมีแจกันเงินทรงงดงามบรรจุเหล้าชั้นเลิศของที่นี่
ฉู่หยุนชิงรินเหล้าลงในจอกสองใบ ก่อนผลักจอกใบหนึ่งไปตรงหน้านางด้วยท่าทางอ่อนโยน แต่ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น สายตากลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเสิ่นอวี้เจากำลังเล่นตะเกียบด้วยความสนุกสนาน ทันใดนั้นเอง จานของเขาก็เต็มไปด้วยอาหารที่นางคีบมาให้
ฉู่หยุนชิงหัวเราะออกมาเบาๆ "ท่านหญิงเลือกกินสิ่งที่ตนเองชอบเถิด ไม่ต้องดูแลข้ามากนัก"
"ข้ากลัวว่าองค์ชายห้าจะเกรงใจจนไม่ยอมวางตะเกียบ" เสิ่นอวี้เจา พูดอย่างสบายๆ "อาหารที่ข้าคีบให้องค์ชายล้วนแต่ดีที่สุด เช่นจานนี้เป็ดแปดสมบัติ ทำจากเนื้อส่วนที่นุ่มที่สุดและไขมันน้อยที่สุด หรือจานนี้ทำจากหน่อไม้สด ที่เก็บมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง และจานกุ้งของหอเทพเซียนเมามายก็สุดยอด ตั้งแต่การทอดไปจนถึงน้ำปรุงรส ทุกอย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ..."
แม้ในวันธรรมดา ลิ้นที่คมกริบของนาง จะเป็นอาวุธที่หาผู้ทัดเทียมได้ยาก แต่มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ทำให้นางพูดด้วยความตื่นเต้นได้ หนึ่งคือการจับคู่ให้ดูตัว และสองคือการลิ้มรสอาหารเลิศรส
ปลายนิ้วเรียวของ ฉู่หยุนชิงลูบไล้ขอบถ้วยเหล้า สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้างดงามของนางด้วยท่าทางสงบ ออกจะเอ็นดูเล็กน้อย เขาฟังนางพูดอย่างอดทน จนกระทั่งนางพูดจนเหนื่อยและหยุด จึงเลิกคิ้วส่งสัญญาณให้นางยกถ้วย
"ถ้วยนี้ ข้าขอขอบคุณท่านหญิงเสิ่นสำหรับการต้อนรับ"
"องค์ชายห้าเกรงใจเกินไปแล้ว"
ใครจะคาดคิดว่าในช่วงเวลาที่ถ้วยทั้งสองกำลังจะชนกัน กลับมีเศษหินเล็กๆ ลอยมาตกกลางถ้วยของฉู่หยุนชิง จนทำให้เหล้าเย็นๆ สาดกระจายออกมาในทันที
สุภาพแสนดีแบบองค์ชายห้า ส่วนใหญ่เป็นได้แค่….ไหมนะ
เสิ่นอวี้เจาคิดว่าหากยังอยู่ตรงนี้ต่อ คงต้องถูกทรมานจนเจียนตาย หรือไม่นางอาจถึงขั้นจุดไฟเผาตำหนักรัชทายาทก็เป็นได้ จึงรีบออกไปข้างนอกเพื่อระบายความเครียดนางเดินออกไปด้วยท่าทีไม่แยแส ทิ้งคำพูดไว้ว่า“ขอตัวไปตรวจสอบหญิงสาวในราชสำนักก่อน” พร้อมห้ามเจียงเฉินติดตาม จากนั้นก็หายลับไปจากประตูสีแดงทองถนนในเมืองหลวงยังคงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน พ่อค้าแม่ค้าเร่ต่างร้องเรียกขายของ กลิ่นหอมจากร้านค้าสองฝั่งถนนลอยมาเป็นระยะ เพียงเดินเล่นช้าๆ ไปตามถนนนี้ ก็ทำให้จิตใจสดชื่นขึ้น เสิ่นอวี้เจาเดินไปพลางกินไป ตั้งแต่ขนมเปี๊ยะเม็ดบัว ตีนไก่ต้ม จนถึงในที่สุด นางถือฮวาเหมยเคลือบน้ำตาลก่อนจะเดินเข้าร้านหยกร้านแห่งนี้เป็นร้านชื่อดังในเมืองหลวง นางอยากเลือกต่างหู ที่เหมาะสมสักคู่ให้ตนเอง เพื่อสนองความต้องการเล็กๆ แก้ความเบื่อหน่าย แม้ว่าตอนนี้นางจะดูไม่มีความเป็นหญิงเลยก็ตาม“เถ้าแก่ ต่างหูคู่นี้ราคาเท่าไหร่?&rd
ใครจะไปคาดคิดว่าคำพูดต่อมาของนาง จะทำให้เขากลับสู่ความจริงอย่างโหดร้าย "ถ้าฝ่าบาทเป็นอะไรไป ทรัพย์สินที่เหลืออยู่ก็ต้องขายให้ข้ามิใช่หรือ? เช่นนั้นคงต้องเจรจากับฮ่องเต้เสียหน่อย""ท่านหญิง ช่วยจริงจังหน่อยได้หรือไม่ขอรับ!""อ่า รู้แล้ว ข้าจะไปดูสักหน่อยแล้วกัน?" เสิ่นอวี้เจามองเขาด้วยแววตาดูถูก "ดูเจ้าเถอะ ไม่มีอนาคตเลยจริงๆ ทั้งวันเอาแต่ทำให้ข้าขายหน้า แล้วข้าจะหาใครมาเป็นคู่ให้เจ้าในเบื้องหน้าได้อย่างไร?""..." นี่มันความผิดเขาหรือ?!เจียงเฉินอยากจะอธิบายให้กระจ่างนัก อยากบอกว่านับว่ายังโชคดี ที่เขายอมใช้หัวใจและจิตวิญญาณ ทำหน้าที่องครักษ์ที่ดีให้นาง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครทนกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของนางได้ แต่เมื่อสัมผัสตั๋วเงินหอมหวาน ในที่สุดเขาก็กล้ำกลืนอดทนต่อไปยังมีเวลาอีกยาวนานที่เขาต้องทนรับความอัปยศนี้เสิ่นอวี้เจาเดินไปที่หน้าห้องของฉู่มู่
เสิ่นอวี้เจากล่าวอย่างสงบนิ่ง "อ้อ เช่นนั้นรึ หม่อมฉันคงใจแคบไปเอง แต่ขอแก้เสียหน่อย มิใช่เรื่องแปลกเลยที่ฝ่าบาทจะถูกคนตำหนิ เพราะนั่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติตั้งแต่ฝ่าบาทยังเยาว์วัย”ฉู่มู่ฉือยิ้มรับอย่างจริงใจ "ที่เจ้ากล่าวไม่ผิดแม้แต่น้อย แต่เจ้าจะยังนอนแช่น้ำแล้วคุยกับข้าแบบนี้ต่อไปหรือไม่?""ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทมีข้อเสนออะไรที่ดีกว่าหรือ?""ตัวอย่างเช่น ข้าผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา จะช่วยอาบน้ำเป็นคู่กับเจ้า"เสิ่นอวี้เจากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง "ไม่จำเป็น หากอาบน้ำร่วมกับฝ่าบาท หม่อมฉันเกรงว่าจะจมน้ำตายเสียก่อน"พูดจบ นางก็ตวัดมือน้ำในอ่างสาดใส่ใบหน้าของฉู่มู่ฉือ ก่อนจะกระโดดพรวดออกจากอ่างน้ำ มือขวาคว้าอาภรณ์ด้านหลังมาสวมคลุมตัวอย่างรวดเร็ว พลิกตัวลงยืนบนพื้นอย่างมั่นคง ท่วงท่าของนางนั้นลื่นไหลและสง่างาม เมื่อฉู่มู่ฉือเช็ดน้ำออกจากหน้าและลืมตาขึ้น นางก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว"ท่านหญิงเสิ่นช่
การกระทำของเจียงเฉินย่อมไม่อาจสำเร็จแท้จริงแล้ว ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาแอบย่องเข้าไปในห้องของฉู่มู่ฉืออย่างเงียบเชียบ ก็ถูกจับได้เสียแล้ว ตอนที่ก้าวออกมา สิ่งที่เห็นคือองค์รัชทายาทยืนพิงประตูอยู่ หาวออกมาด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ทันใดนั้นเจียงเฉินก็ตัวแข็งทื่อยืนจังงังอยู่กับที่"ฝะ...ฝ่าบาท..."" ถึงกับรบกวนองครักษ์เจียง มาช่วยทำความสะอาดห้องให้ข้า ช่างรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก"หัวใจของเจียงเฉินแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ มีลางสังหรณ์ว่าเพราะตั๋วเงินสองใบนี้ ตนเองอาจต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างมหาศาล "กระหม่อม…คือ กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จนปัญญาจะพูดอะไรออกมาปลายหางตาของฉู่มู่ฉือยกขึ้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้า "หากข้ามองไม่ผิด เมื่อครู่สิ่งที่เจ้านำเข้าไปในห้องคือ'ตะปูเหล็ก' ใช่หรือไม่? หรือเจ้าตั้งใจจะทำ'กระบองหนามพกพา' ให้ข้าไว้ป้องกันตัวกันแน่?""กระหม่อมเพีย
เพื่อระบายความคับแค้นใจ นางถือกรรไกรในมือ ตัดผมมวยของเหล่าคนรับใช้ ที่มาจากตำหนักองค์รัชทายาทซึ่งยืนเรียงรายกันอยู่หน้าประตูโดยไม่มีความลังเล เสียงร้องโอดครวญดังก้องไปทั่วบริเวณ"ลำพังแค่รับใช้ไท่จื่อก็ลำบากกันจะแย่แล้ว คราวนี้ยังต้องมาเผชิญภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดอีก ข้าเองก็จนปัญญาเช่นกัน"เสิ่นอวี้เจาเอ่ยถ้อยคำด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ประหนึ่งเหตุโกลาหลเมื่อครู่นั้นเป็นฝีมือของใครสักคนที่ผ่านมา มิใช่นางเองแม้แต่น้อยทว่าแม้ทุกคนจะรู้ดีว่า ใคร คือต้นเหตุของหายนะ พวกเขากลับทำได้เพียงกลืนคำไว้ในลำคอ หอบเอาความโกรธเคล้าความสิ้นหวังเก็บลงไปใต้แววตาขมขื่นมือข้างหนึ่งลูบศีรษะเบาๆ ตรงบริเวณที่ผมบางจนนับเส้นได้ พร้อมคำถามในใจที่ไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยสรุปแล้วพวกข้ายังมีผมเหลืออยู่กี่เส้นกันแน่…ชีวิตช่างยากลำบากนัก!จนกระทั่งเสียงทุ้มของบุรุษดังขึ้นจากข้างหลัง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่น่าหมั่นไส้"ฝีมือดีมาก มีเอกลักษณ์ ข้าชอบยิ่งนัก"แน่นอนว่าเจ้าของเสียงคือ องค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ นั่นเอง!เสิ่นอวี้เจานั้นคือสตรีผู้ใช้ชีวิตตามใจ มิใช่เพราะไร้เหตุผล หากแต่เพราะนางเชื่อมั่นในตรรกะของตนเอง และเลือกจ
ทั่วทั้งเมืองหลวงเมื่อลองนับดูแล้ว คงมีเพียงสองคนเท่านั้น ที่สามารถส่งผลต่ออารมณ์ของเสิ่นอวี้เจาได้ คนแรกคือองค์ชายห้าฉู่หยุนชิง ส่วนอีกคนคือ องค์รัชทายาทฉู่มู่ฉือสำหรับคนแรกนั้นเป็นความลับของเสิ่นอวี้เจา จึงยังไม่ต้องพูดถึงในตอนนี้ ส่วนคนหลังกลับกลายเป็นคนที่นางนับว่าเป็นศัตรูโดยแท้ ว่ากันว่าโชคชะตาของฉู่มู่ฉือนั้นแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในวังหลวง เพราะมีข่าวลือว่าตั้งแต่แรกเกิด องค์รัชทายาทก็ทำให้ ฮองเฮาต้วนฮุ่ย ต้องสิ้นพระชนม์จากการคลอดยาก หลังจากนั้นพี่เลี้ยงก็ลื่นล้มขาหักโดยไม่ทราบสาเหตุ บ่าวไพร่ที่รับใช้ใกล้ชิด ก็ล้วนมีอันเป็นไปในหลากหลายรูปแบบ กล่าวได้ว่าเพียงแค่ได้ยินชื่อก็เศร้าใจ พอได้เห็นก็ยิ่งอยากร้องไห้ถึงกับมีการเชิญนักพรตชื่อดังที่สุดในเมืองหลวงมาเข้าวัง นักพรตได้ประกาศว่า โชคชะตาขององค์รัชทายาทคือดาวพิฆาต ที่ปรากฏครั้งหนึ่งในรอบร้อยปี ใครที่อยู่ใกล้จะโชคร้าย แต่งงานยาก ทำลายครอบครัว สร้างความบาดหมางกับพี่น้อง หากไม่ใช่เพราะ พลังแห่งมังกร คุ้มครองไว้ แม้แต่ฮ่องเต้เองก็อาจถูกดึงเข้าไปในหายนะด้วยสำหรับเสิ่นอวี้เจา นางได้ลิ้มรสความโชคร้าย ที่ฉู่มู่ฉือ