LOGINในเช้าของวันที่แสงแดดอ่อน เสียงนกเอี้ยงร้องแว่วจากยอดมะม่วง แม่พลอยจัดผมให้เมษาอยู่หน้าห้องเรือนในด้วยสีหน้าเคร่งครัด เพราะว่าพระยาภูบดินทร์ บิดาของขุนเทวัญกลับมาจากราชการที่หัวเมืองเหนือ และทราบว่าที่เรือนมีหญิงหลงทางมาอยู่อาศัย จึงอยากพบกับเมษา
“ฟังให้ดีนะ เธออย่าเผลอพูดอะไรแปลกหูเหมือนที่ชอบพูดกับฉันต่อหน้าคุณท่านนะ”
“จ้า จะเรียบร้อยแบบกุลสตรีศรีรัตนโกสินทร์เลยแม่พลอย” เมษาเบะปากใส่กระจก
บนเรือนใหญ่ พระยาภูบดินทร์นั่งอยู่ที่ตั่งกลางเรือน เสื้อแพรสีเทาเงินตัดกับผ้าพับอย่างเรียบ เส้นผมขาวแซมข้างหู แต่ดวงตายังคมและนิ่ง ข้าง ๆ กันคือคุณหญิงจันทร์วาด ที่กำลังจิบชาด้วยท่าทางของหญิงชั้นสูง
เมษาเดินเข้ามาด้วยอาการกึ่งประหม่า แต่พยายามทำใจดีสู้เสือ
“กราบสวัสดีค่ะ คุณท่าน คุณหญิง แล้วก็คุณพี่ขุน เอ๊ย ท่านขุนเทวัญค่ะ” มือยกพนมแสนเรียบร้อย แต่เสียงสั่นปลายประโยค
คุณหญิงหรี่ตามองตั้งแต่หัวจรดปลายซิ่น “ขอให้ความเรียบร้อยนั้นอย่าได้หมดอายุภายในห้านาทีเถอะ”
พระยาภูบดินทร์หัวเราะเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินบ่อยในเรือนนี้
“เธอคือแม่เมษาหรือ ดูท่าทางแปลกจากคนบ้านนี้เมืองนี้ยิ่งนัก”
เมษารีบพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง จำได้แค่ว่าโดนฟ้าผ่าเข้ามาในห้อง จากนั้นก็มาอยู่ที่นี่แล้ว” เมษาพยายามเล่าเท่าที่เล่าได้ เพราะขืนบอกไปว่ากำลังไลฟ์ติ๊กต็อกแล้วโดนฟ้าผ่าพาย้อนเวลามา ก็คงจะถูกหาว่าเป็นบ้าแน่ ๆ
พระยาภูบดินทร์พยักหน้า ดวงตาไม่ดุดันแต่สังเกตลึก “เป็นคนความจำเสื่อม แต่กลับดูมีชีวิตชีวาเสียจริง ก็น่าสนใจดี”
คุณหญิงวางถ้วยชาลงช้า ๆ “น่าสนใจไม่เท่าท่าทีของหล่อนเจ้าค่ะ ทำตัวราวกับสนิทกับคนในเรือนนี้มานาน เข้าไปคุยกับคนนู้นที คนนี้ที ช่างออเซาะฉอเลาะยิ่งนัก”
ขุนเทวัญยังไม่พูดอะไร สายตาเพียงจับจ้องมือตัวเองที่วางนิ่งอยู่บนตัก
พระยาภูบดินทร์ยิ้มมุมปาก “หากความจำยังไม่กลับคืน เจ้าก็อยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน ถือว่าช่วยคนตกทุกข์ได้ยากเอาบุญเสียก็แล้วกัน”
เมษาเบิกตากว้างทันที “จริงเหรอเจ้าคะ ขอบพระคุณอย่างยิ่งเจ้าค่ะคุณพ่อ เอ๊ย คุณท่าน ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรให้ลำบากพระทัยเลยแม้แต่นิดเดียวเจ้าค่ะ”
พระยาภูบดินทร์หัวเราะอย่างชอบใจ คุณหญิงกระแอมเบา ๆ แล้วว่าเสียงเย็น “คุณท่านไม่ได้มีเชื้อพระวงศ์ ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์กับท่าน และฉันอยากขอเพียงข้อเดียว อย่าได้ทำกิริยาอย่างม้าดีดกะโหลกในเรือนนี้อีก”
เมษาชะงัก “ฉันจะไม่ดีด ไม่กระโดด ไม่เต้น ไม่ร้อง ไม่รำ จะนิ่งเป็นหมาเหงาเลยค่ะคุณหญิงแม่”
“แล้วก็ห้ามเรียกฉันว่าคุณหญิงแม่ เด็ดขาด” คุณหญิงจันทร์วาดดุเสียงเขียว
“เจ้าค่ะ คุณหญิงจันทร์วาด” เมษาก้มหน้าจ๋อย
คุณท่านหันไปทางลูกชาย “เทวัญ ลูกเห็นเป็นอย่างไร”
ขุนเทวัญเหลือบมองหญิงสาวที่ยืนทำท่ายืนตรงเกินพอดี เขาพยักหน้าเบา ๆ
“ก็ แม่เมษาเธอก็ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร ซ้ำยังตกทุกข์ได้ยากความจำเสื่อม ช่วยเหลือเอาไว้ให้อยู่ในเรือนดูจะได้บุญครับคุณพ่อ”
เมษาหันมายิ้มตาเป็นประกาย แต่คุณหญิงยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ไม่มีพิษมีภัยอันใด แต่เป็นภัยต่อความสงบของเรือน”
เสียงหัวเราะของคุณท่านดังขึ้นอีกครั้ง “บางที การมีเด็กสาวที่มีชีวิตชีวาอยู่ในเรือน อาจจะดีสำหรับบ้านเราบ้างก็ได้นะจันทร์วาด ไม่เงียบเหงา”
คุณหญิงกลอกตาเบา ๆ “มีความวุ่นวายสิไม่ว่า คุณพี่”
เมษายิ้มหวานแบบสุดกำลัง แล้วโค้งตัวลงอีกครั้ง “ขอบพระคุณอีกครั้งเจ้าค่ะ ฉันจะพยายามไม่ให้เรือนนี้วุ่นวาย เอ่อ จะพยายามนะคะ”
และวันนี้ เมษาผู้หญิงหลุดยุค ก็กลายเป็นคนในความดูแลของเรือนขุนเทวัญ ภายใต้สายตาสามคู่ หนึ่งคือพ่อที่รู้สึกเอ็นดู สองคือแม่ที่ยังวางฟอร์ม และสุดท้ายคือลูกชาย ที่เริ่มรู้แล้วว่าความวุ่นวายและความมีชีวิตชีวานี้ ทำให้ทุกอย่างในเรือนเปลี่ยนไป
เช้าตรู่วันต่อมาในเรือนขุนเทวัญ แดดอ่อนส่องผ่านยอดไม้กระทบผิวหญ้า เสียงนกกระจิบร้องเจื้อยแจ้วอยู่ริมระเบียง กลิ่นดอกไม้จากสวนลอยมาตามลมผสมกลิ่นน้ำอบที่แม่พลอยเพิ่งพรมน้ำไว้หน้าห้องพระ
เมษานั่งอยู่บนตั่งหน้าชานในชุดซิ่นลายดอกสีชมพูอ่อน มือถือกลีบมะลิไว้แก้เบื่อ แววตาเหม่อมองออกไปทางประตูเรือน
“แม่พลอย เมื่อไหร่จะมีอะไรให้ทำที่ไม่ใช่พับผ้าหรือเก็บใบตองบ้างนะ”
แม่พลอยหัวเราะ “วันนี้วัดท้ายเรือนมีงานบุญ เทศน์มหาชาติใหญ่เลยล่ะ ทั้งโรงทาน ทั้งสวดมนต์ ทั้งขนมหวานสารพัด”
เมษาหันขวับ ดวงตาเป็นประกายทันที
“วัดเหรอ ไปได้ไหม ฉันอยากไป”
“พวกเราถ้าจะไปไหน ต้องขอนุญาตคุณท่านหรือไม่ก็ท่านขุนก่อน” แม่พลอยตอบยิ้ม ๆ
ขุนเทวัญเดินออกมาจากห้องในพอดี เสื้อแพรสีครามเรียบ ๆ กับผ้าโจงกระเบนอย่างเรียบสะอาด สายตาคมกริบตามสไตล์ท่านขุนหน้านิ่ง
เมษารีบลุกขึ้นยืนแบบเรียบร้อยเกินจริง
“เอ่อคุณพี่ขุนคะ ฉันอยากขออนุญาตไปเที่ยวงานวัดกับแม่พลอยได้มั้ยคะ”
ขุนเทวัญเลิกคิ้ว มองเธอนิ่ง ๆ แล้วครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “งานวัดหรือ ฉันเองก็ไม่ได้ไปมาเสียนานแล้ว หากเธออยากไปก็ไปแต่งตัวให้เรียบร้อย เดี๋ยวฉันจะพาไป”
เมษายิ้มกว้าง “จริงเหรอคะ คุณพี่ขุนจะพาไปวัด ว้าว ทริปบุญแห่งศตวรรษ”
แม่พลอยแอบกลอกตา ส่วนขุนเทวัญถอนหายใจเบา ๆ “เธอนี่ดูจะตื่นเต้นไปได้เสียทุกเรื่อง”
เมษาหัวเราะคิก ในใจอยากจจะพูดออกมาว่า ก็จะมีสักกี่คนที่ได้ย้อนเวลามาเที่ยวงานวัดแบบออริจินัลแบบนี้
งานบุญวัดท้ายตลาดครึกครื้นตั้งแต่สาย กลิ่นธูปจากศาลาใหญ่ลอยปะปนมากับกลิ่นขนมครก กล้วยเชื่อม และน้ำต้มอัญชันเย็นเจี๊ยบ เสียงเด็กวิ่งตามกันใต้ต้นโพธิ์ ชิงช้าสวรรค์โบราณกำลังหมุนช้า ๆ ส่งเสียงเหล็กเสียดสีดังเอียดอาดเป็นจังหวะ
เมษาเดินตามแม่พลอยเข้ามาในวัด วันนี้เรียบร้อยเกินมาตรฐานตัวเองไปไกล แต่ความงุ่นง่านตอนเดินยังคงอยู่ เพราะผ้าซิ่นนั่นก็ยังพันไม่คุ้นสักที
“โอ๊ย ถ้าเป็นยุคฉันนะ แค่หยิบกางเกงยีนส์ขาสั้นกับเสื้อยืดก็เดินลุยงานวัดได้ละ” เมษาบ่นกับแม่พลอย ขณะกวาดตามองรอบงานตาโต
แม่พลอยหัวเราะ“ถ้าแต่งเยี่ยงเจ้าว่าได้ ก็คงไม่เหลือคำว่ากุลสตรีหรอกแม่เมษา”
ด้านหน้าศาลาวัด มีแผงขายของตั้งเรียงราย ขนมต้ม ขนมกลีบลำดวน ข้าวเหนียวแก้ว น้ำลำไยในโอ่งดิน แม่ค้าห่มสไบ ส่งเสียงหวาน ๆ เรียกแขก
ขุนเทวัญที่เดินอยู่ด้านหลังในชุดสุภาพ เรียบขรึมอย่างขุนหนุ่มในนิยาย ได้แต่มองหญิงสาวตรงหน้าเดินสะบัดปลายผ้าซิ่นไปรอบงานเหมือนเด็ก
“เธอดูจะรื่นเริงเสียยิ่งกว่างานบุญ” เขาเอ่ยเบา ๆ เมษาหันมายิ้ม
“แหม คุณพี่ขุนก็ ฉันคือเมษาสายแซ่บ ก็ต้องแซ่บสิคะ”
“พูดกระไร ฟังไม่ได้ความ” ขุนเทวัญมองเธอที่กำลังยืนเคี้ยวขนมต้มตาเป็นประกาย ผมปลิวเบา ๆ ตามลม แววตาเธอสะท้อนความอย่างสดใส
เสียงระฆังจากโบสถ์ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ผู้คนเตรียมตัวฟังเทศน์ แม่พลอยชวนเมษาเดินเข้าไปในโบสถ์ แต่เมษายังเดินดูนั่นนี่ไม่หยุด
“แม่พลอย นั่นอะไรอะ ซุ้มล้วงไข่เสี่ยงทายเหรอ”
“แม่เมษาเจ้าขา รีบเข้าศาลาก่อนฝนจะตกเถอะ” แม่พลอยเริ่มส่งเสียงเรียกเพราะฟ้าเริ่มครึ้มและออกวิ่งนำไปก่อน
เม็ดฝนเริ่มตกกระทบพื้นลานวัดอย่างแรง เสียงของหยดน้ำกระทบดินดังประสานกับเสียงเปรี้ยงเบา ๆ จากฟ้าคำรามในระยะไกล
ขุนเทวัญขยับตัวเข้ามาข้าง ๆ “สงสัยฝนหลงฤดู รีบไปกันเถอะ แม่เมษา”
แต่ยังไม่ทันขยับตัว เม็ดฝนก็เปลี่ยนจากโปรยกลายเป็นสายกระหน่ำ เมษากอดแขนตัวเองไว้แน่น ชุดบาง ๆ ของเธอเริ่มแนบเนื้อเพราะหยาดฝน ลมเย็นพัดวูบจนเธอสะดุ้งเล็กน้อย
ทันใดนั้นขุนเทวัญไม่พูดพล่าม เขาปลดผ้าคาดเอวผืนยาวแล้วกางออกเหนือหัวเมษา แล้วโอบมันลงบังละอองฝน
“ไปหลบที่ศาลากันก่อน” น้ำเสียงเขานิ่ง แต่แววตาที่เหลือบมองเธอชั่วขณะกลับมีบางอย่างอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง
เมษาเหลือบตามองเขา ผ้าของเขากำลังบังฝนให้เธอทั้งตัว แต่ปล่อยให้ตัวเองเปียก
ลมหายใจเธอสะดุดไปครู่หนึ่ง “คุณพี่ขุน จะไม่เปียกเหรอคะ”
ขุนเทวัญหันมามอง “ฝนแค่นี้ ไม่เป็นกระไรหรอก”
เมษาเงยหน้ามองใบหน้าเขาใกล้แค่คืบ ใจเธอก็เต้นผิดจังหวะอีกครั้ง เส้นผมเขาเปียกนิดหน่อย หยดน้ำเกาะอยู่ข้างขมับ กลิ่นกายที่ผสมกลิ่นฝนกับน้ำอบลอยมาแตะปลายจมูกเบา ๆ
ทั้งสองรีบก้าวมาหลบใต้ชายคาศาลาเล็กในวัด เสียงฝนซัดลงบนหลังคาถี่ขึ้น เมษายืนหอบนิด ๆ ด้วยความหนาวและความสั่นในอกที่ไม่แน่ใจว่าเกิดจากฝนหรืออะไร
“คุณพี่ขุน ฉันเคยคิดว่าผู้ชายในยุคนี้จะดูโบราณและถือตัว” เมษาเอ่ยเบา ๆ
ขุนเทวัญเหลือบมอง “แล้วตอนนี้เล่าคิดอย่างไร”
เมษาหันมาสบตาเขาเต็ม ๆ “ฉันว่าคุณพี่ขุน มีเสน่ห์แบบคลาสสิกค่ะ เอาใจใส่และสายเปย์ พูดน้อย แต่พูดทีหนึ่งทำให้ใจมันสั่นได้เฉยเลยอะ”
ขุนเทวัญชะงัก แม้ไม่เข้าใจคำว่าสายเปย์ แต่ใบหูเริ่มมีสีแดงจาง ๆ ถึงอย่างนั้นก็พยายามทำหน้านิ่ง
“เจ้าชอบใช้คำพูดแปลกหูนักแม่เมษา”
“ก็แค่พูดตรงใจ” เมษายิ้ม “หรือว่าคุณพี่ขุนไม่ชอบให้คนชม”
ขุนเทวัญส่ายหน้าน้อย ๆ “ไม่ใช่ไม่ชอบ แค่ไม่ชิน ไม่มีสตรีผู้ใดกล้าเอ่ยชมบุรุษต่อหน้าแบบเธอ”
“ก็บอกแล้วว่าเมษามันสายแซ่บ ชอบก็บอกว่าชอบ อุ๊บ!” เมษายกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ส่วนขุนเทวัญดูท่าทางจะทำตัวไม่ถูกเช่นกัน
เสียงฝนยังตกพรำ เมษายืนเงียบลงครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา
“ฝนตกนานเหมือนกันนะคะเนี่ย”
ขุนเทวัญหันมามอง “ถ้าฝนไม่หยุด ฉันก็จะยืนอยู่ตรงนี้กับเธอ ตราบใดที่เธอยังไม่หนาวเกินไป”
เมษายิ้มหวาน หัวใจเต้นจนกลัวว่าจะหลุดออกจากอก ขุนเทวัญมองเธออีกครั้ง ก่อนจะเบนสายตากลับไปยังลานวัด แต่ริมฝีปากหยักขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนกำลังแอบยิ้ม
กลางดึกคืนนั้น ลมพัดผ่านหน้าต่างเรือน เสียงพื้นเรือนแกรกกรากเบา ๆ คล้ายเสียงบางอย่างที่กระซิบจากอดีต ขุนเทวัญนอนนิ่งอยู่บนฟูก ห่มผ้าผืนบาง แสงจากตะเกียงหัวเตียงไหวระริก เขาเข้าสู่นิทราอย่างเงียบงัน ก่อนจะเข้าสู่ความฝัน ที่เหมือนจริงจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกคนในฝันเขายืนอยู่กลางเรือนไทยไม้สักหลังหนึ่ง ท่ามกลางแสงแดดอ่อนปลายรุ่ง เสียงระฆังวัดดังแว่วจากที่ไกล กลิ่นอบเชยและน้ำอบลอยมาแตะจมูกและตรงหน้าของเขาคือหญิงสาวผู้หนึ่ง สวมสไบเฉียงสีขาวนวล ผ้านุ่งสีแดงเลือดนก จีบหน้านางละเอียด เธอยิ้มพลางใช้มือบางแตะไหล่เขาเบา ๆ แววตาคู่นั้นทั้งคุ้นเคย ทั้งเศร้าและอ่อนหวานปนกัน“ท่านมาช้าอีกแล้ว” เสียงเธอเบาดุจสายลมที่กระซิบข้างหู“แต่ข้ากลับมาแล้ว” เขาพูดเสียงแผ่วตอบกลับทั้งที่ไม่รู้ว่ากำลังพูดกับใคร แม้ว่าจะเจอเธอมาหลายคราในห้วงนิทรา หัวใจแน่นตื้อเหมือนเคยพูดประโยคนี้มานับพันครั้ง“เราจะไม่พรากจากกันอีกใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยเขาคว้ามือเธอไว้ แต่แสงอาทิตย์กลับสว่างวาบ ภาพนั้นค่อย ๆ เลือนหายไป ขุนเทวัญสะดุ้งตื่นในเช้ามืด เหงื่อซึมเล็กน้อยบนหน้าผาก แม้อากาศจะเย็นเขาลุกนั่งนิ่ง สบตากับความเงียบในห้อง เสี
เสียงฝนยังคงพรำลงไม่หยุด ใต้ชายคาศาลาเล็ก ๆ เมษายืนใกล้ขุนเทวัญจนได้กลิ่นไอของผ้าที่ชื้นด้วยฝนและกลิ่นกายของท่านขุนคลุ้งจาง ๆ ขุนเทวัญยังคงถือผ้าคาดเอวผืนยาวที่ใช้บังฝนให้เมษาไว้ในมือ ปลายผ้ายังเปียกอยู่บ้าง แต่มุมหนึ่งแห้งเมษาหันมามองเขา เห็นใบหน้าของขุนเทวัญมีหยดน้ำเกาะอยู่ตามขมับ แก้ม และปลายคาง“คุณพี่ขุนเปียกหมดเลย” เมษาพูดเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือมาหยิบปลายผ้าคาดเอวจากมือเขา ขุนเทวัญชะงักมอง ยังไม่ทันเอ่ยห้าม เมษาก็ยกผ้าผืนนั้นขึ้นอย่างเบามือ แล้วค่อย ๆ เช็ดหยดน้ำที่ข้างแก้มของเขา ขยับเลื่อนไปที่ขมับ และหน้าผากที่มีหยดน้ำเกาะพราว“อยู่เฉย ๆ สิคะจะเช็ดให้” เมษาว่าพลางยิ้มละไมขุนเทวัญยืนนิ่งเหมือนถูกมนตร์สะกด ใบหน้าเขานิ่งแต่หูเริ่มแดง แล้วแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะตอนที่ปลายนิ้วของเมษาแตะลงเบา ๆ ตรงข้างสันกราม“คุณพี่ขุนหน้าแดงอีกแล้ว” เมษาเอียงคอถาม ยิ้มแบบคนรู้ทันขุนเทวัญเบือนหน้าหลบ “เธอนี่ ชอบพูดจาน่าเอามืออุดปากเสียจริง”“คุณพี่ขุนเนี่ยเป็นผู้ชายที่เรียบร๊อย เรียบร้อยนะคะ โดนแซวแค่นี่ถึงกับเขิน แต่ก็น่ารักนะเนี่ย” เมษายักคิ้วขุนเทวัญถึงกับไอออกมาในลำคอ “แม่เมษา พูดจาไม่งามเลย
ในเช้าของวันที่แสงแดดอ่อน เสียงนกเอี้ยงร้องแว่วจากยอดมะม่วง แม่พลอยจัดผมให้เมษาอยู่หน้าห้องเรือนในด้วยสีหน้าเคร่งครัด เพราะว่าพระยาภูบดินทร์ บิดาของขุนเทวัญกลับมาจากราชการที่หัวเมืองเหนือ และทราบว่าที่เรือนมีหญิงหลงทางมาอยู่อาศัย จึงอยากพบกับเมษา“ฟังให้ดีนะ เธออย่าเผลอพูดอะไรแปลกหูเหมือนที่ชอบพูดกับฉันต่อหน้าคุณท่านนะ”“จ้า จะเรียบร้อยแบบกุลสตรีศรีรัตนโกสินทร์เลยแม่พลอย” เมษาเบะปากใส่กระจกบนเรือนใหญ่ พระยาภูบดินทร์นั่งอยู่ที่ตั่งกลางเรือน เสื้อแพรสีเทาเงินตัดกับผ้าพับอย่างเรียบ เส้นผมขาวแซมข้างหู แต่ดวงตายังคมและนิ่ง ข้าง ๆ กันคือคุณหญิงจันทร์วาด ที่กำลังจิบชาด้วยท่าทางของหญิงชั้นสูงเมษาเดินเข้ามาด้วยอาการกึ่งประหม่า แต่พยายามทำใจดีสู้เสือ“กราบสวัสดีค่ะ คุณท่าน คุณหญิง แล้วก็คุณพี่ขุน เอ๊ย ท่านขุนเทวัญค่ะ” มือยกพนมแสนเรียบร้อย แต่เสียงสั่นปลายประโยคคุณหญิงหรี่ตามองตั้งแต่หัวจรดปลายซิ่น “ขอให้ความเรียบร้อยนั้นอย่าได้หมดอายุภายในห้านาทีเถอะ”พระยาภูบดินทร์หัวเราะเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินบ่อยในเรือนนี้“เธอคือแม่เมษาหรือ ดูท่าทางแปลกจากคนบ้านนี้เมืองนี้ยิ่งนัก
เสียงเครื่องยนต์รถยนต์ฝรั่งดังกระหึ่มขณะแล่นไปตามถนนลูกรังในพระนคร เมษานั่งเบียดแม่พลอยอยู่เบาะหลัง ดวงตาโตเท่าไข่ห่าน มองซ้ายขวาไม่หยุดส่วนขุนเทวัญนั่งอยู่เบาะด้านหน้าโดยมีเฟื่องเป็นคนขับรถ รถยนต์สีดำสนิทเงางาม ประทุนเปิดรับลมเย็นบาง ๆ ของช่วงสายวันนั้น“เพิ่งเคยนั่งรถโบราณย้อนยุคครั้งแรก” เมษาตะโกนฝ่าลม“รถโบราณอะไรกันแม่เมษา คันนี้เพิ่งนำเข้ามาจากอังกฤษเลยนะ” ขุนเทวัญพูดโดยไม่หันกลับมามอง“จริงด้วย นี่เรามาอยู่ในยุครัตนโกสินทร์นี่” เมษาบอกกับตัวเองก่อนที่จะหันไปมองทิวทัศน์รอบข้างของพระนครยุครัตนโกสินทร์รถยนต์แล่นมาหยุดที่หน้ากรมพระคลังสินค้า ซึ่งเป็นอาคารสถาปัตยกรรมผสมไทย-ตะวันตก ตัวอาคารสองชั้นทาสีขาวครีม มีบานหน้าต่างโค้งประดับไม้ฉลุลายทอง เสาเรียงรายรับชายคายาว หน้ากรมมีธงชาติสยามปลิวไสว เมษานั่งอ้าปากค้างอยู่เบาะหลัง“โอ้โห นี่หรือคือกรมพระคลังสินค้าของจริง มันทั้งสวยและดูขลังมาก”ขุนเทวัญหันมามองด้วยสีหน้าขรึมแต่แววตาขำ “ดูเธอจะไม่เคยเข้ามากลางพระนครสินะ”เขาก้าวลงจากรถแล้วหันมาทางแม่เมษาและแม่พลอย“ฉันต้องเข้าไปสะสางราชการภายในไม่นานนัก พวกเธอรออยู่แถวนี้ก่อน”“เจ้าค่ะ” แม่
ในคืนนั้น สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านเรือนไม้ เสียงจั๊กจั่นยังดังเป็นจังหวะ กล่อมให้บรรยากาศยามค่ำในพระนครเงียบสงัดยิ่งขึ้นเมษานอนอยู่บนฟูกบาง ๆ ใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่ไหวระริก เสียงลมหายใจเธอสม่ำเสมอก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป และเข้าสู่ห้วงนิทราเธอฝัน แต่มันทั้งชัดเจนและพร่าเบลอในเวลาเดียวกัน ในฝันนั้นเมษายืนอยู่กลางลานกว้าง รอบตัวเป็นสวนไม้สูงเรียงรายเหมือนเขาวงกต กลิ่นกำยานหอมจาง ๆ ลอยมาแตะจมูก ผืนฟ้าเป็นสีแดงใกล้โพล้เพล้ แต่ไม่มีแดด ไม่มีเงา เหมือนเป็นโลกอีกมิติหนึ่งเธอก้มมองตัวเองพบว่าตนเองไม่ได้สวมเสื้อแขนกระบอกหรือผ้าซิ่นแบบทุกวัน แต่เป็นสไบเฉียงสีขาวนวล เนื้อผ้าบางเบา และผ้านุ่งแบบจีบหน้านางสีแดงเข้ม ลวดลายละเอียดประณีตแบบหญิงในสมัยอยุธยา ซึ่งไม่เคยมีใครในยุครัตนโกสินทร์แต่งเช่นนั้นเธอก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เท้าเปล่าสัมผัสพื้นดินอ่อนนุ่มและเย็นจับใจ เมษารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับเคยเดินผ่านตรงนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกาย เสียงที่ทุ้มนุ่ม และอบอุ่นอย่างประหลาด“เจ้ามาแล้วหรือ”เมษาหันขวับ ชายหนุ่มในชุดโจงกระเบนสีดำ สวมเสื้อห่มแพร ผ้าโพกหัวบาง ๆ ดวงตาคมคู่นั้
แดดสายสะท้อนลงบนหลังคามุงจาก กระทบผิวน้ำตลาดปากคลองจนเงาวาว แม่ค้าเขียงหมูเสียงดังแข่งกับเจ้าของร้านขนมฝอยทอง เสียงตะโกนเรียกลูกค้าเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณท่ามกลางความวุ่นวาย เมษาเดินมาในลุคสายช้อปย้อนยุค ผ้าซิ่นลายแดงสดเกือบสะท้อนแสงแดด เสื้อแขนกระบอกพับผิดเล็กน้อย ข้างหนึ่งไหล่ตก ข้างหนึ่งตั้งสง่า มือหนึ่งหิ้วขนมต้ม อีกมือถือทองหยอดมากินเล่น“ว้าว ตลาดนี่คือสวรรค์ของสายกิน นี่ถ้ามีชาไข่มุกให้กินด้วยละก็ ฟินสุด ๆ”แม่พลอยที่เดินตามแทบเอามือปิดหน้าผาก “อย่าพูดอะไรเพี้ยน ๆ ออกมาอีกเลยแม่เมษา แค่นี้คนก็มองกันทั้งตลาดแล้ว”“ก็มองคนสวยไง ไม่เห็นแปลก หรือเธอว่าฉันไม่สวยหรือไงแม่พลอย”“เออ ไอ้สวยน่ะก็สวย แต่แปลกก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน”เมษากรอกตามองบน “จะถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะ”ที่หัวตลาด เสียงวุ่นวายของพ่อค้าแม่ขายยังครึกครื้น แต่ทันทีที่แม่หญิงรำเพยปรากฏกายเดินนวยนาดอย่างงามสง่า ตลาดทั้งแถบก็เหมือนชะงักอารมณ์หนึ่งผ้าไหมสีชมพูทองจับจีบประณีต เสื้อห่มสไบกลิ่นน้ำอบโชยอ่อน ๆเมษาที่เพิ่งหันมาเห็น พึมพำกับแม่พลอยเบา ๆ “นั่นแม่หญิงรำเพยนี่”แม่พลอยพยักหน้า “ใช่ แม่หญิงรำเพย คู่หมายของท่านขุนเทวัญ”“คู







