LOGINเสียงฝนยังคงพรำลงไม่หยุด ใต้ชายคาศาลาเล็ก ๆ เมษายืนใกล้ขุนเทวัญจนได้กลิ่นไอของผ้าที่ชื้นด้วยฝนและกลิ่นกายของท่านขุนคลุ้งจาง ๆ ขุนเทวัญยังคงถือผ้าคาดเอวผืนยาวที่ใช้บังฝนให้เมษาไว้ในมือ ปลายผ้ายังเปียกอยู่บ้าง แต่มุมหนึ่งแห้ง
เมษาหันมามองเขา เห็นใบหน้าของขุนเทวัญมีหยดน้ำเกาะอยู่ตามขมับ แก้ม และปลายคาง
“คุณพี่ขุนเปียกหมดเลย” เมษาพูดเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือมาหยิบปลายผ้าคาดเอวจากมือเขา ขุนเทวัญชะงักมอง ยังไม่ทันเอ่ยห้าม เมษาก็ยกผ้าผืนนั้นขึ้นอย่างเบามือ แล้วค่อย ๆ เช็ดหยดน้ำที่ข้างแก้มของเขา ขยับเลื่อนไปที่ขมับ และหน้าผากที่มีหยดน้ำเกาะพราว
“อยู่เฉย ๆ สิคะจะเช็ดให้” เมษาว่าพลางยิ้มละไม
ขุนเทวัญยืนนิ่งเหมือนถูกมนตร์สะกด ใบหน้าเขานิ่งแต่หูเริ่มแดง แล้วแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะตอนที่ปลายนิ้วของเมษาแตะลงเบา ๆ ตรงข้างสันกราม
“คุณพี่ขุนหน้าแดงอีกแล้ว” เมษาเอียงคอถาม ยิ้มแบบคนรู้ทัน
ขุนเทวัญเบือนหน้าหลบ “เธอนี่ ชอบพูดจาน่าเอามืออุดปากเสียจริง”
“คุณพี่ขุนเนี่ยเป็นผู้ชายที่เรียบร๊อย เรียบร้อยนะคะ โดนแซวแค่นี่ถึงกับเขิน แต่ก็น่ารักนะเนี่ย” เมษายักคิ้ว
ขุนเทวัญถึงกับไอออกมาในลำคอ “แม่เมษา พูดจาไม่งามเลยนะ”
เมษาหัวเราะร่า “โอ๊ย นี่มันยุคสมัยใหม่แล้วนะคะ”
ขุนเทวัญไม่ตอบ แต่เบือนหน้าไปอีกทาง พร้อมยกมือขึ้นแตะใบหูที่ร้อนผ่าว ภายนอกเขานิ่งแต่ในอกซ้าย หัวใจเต้นดังยิ่งกว่าเสียงฝนตกที่กระทบหลังคา
เสียงฝนเบาลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็หยุดสนิทลง ขุนเทวัญขยับปลายแขนเสื้อเล็กน้อย พลางพูดขึ้นเสียงเรียบ
“ฝนหยุดแล้ว ไปฟังเทศน์กันเถิด”
เมษาเพิ่งจะหุบยิ้มจากการแซวเมื่อครู่ “ได้เลยค่ะคุณพี่ขุน”
ทั้งสองกำลังจะก้าวออกจากใต้ชายคาศาลา แต่เสียงเรียกหวาน ๆ เจืออำนาจบางอย่างก็ดังแทรกสายลมมา
“พี่เทวัญเจ้าคะ” แม่หญิงรำเพยปรากฏกายกลางลานวัด ในชุดสไบผ้าแพรบางสีชมพูอ่อน ท่าทางสะอาดผุดผ่อง ข้างหลังมีบ่าวหญิงตามหนึ่งคนถือร่มพับ
“บังเอิญเหลือเกินเจ้าค่ะที่รำเพยแวะมาทำบุญที่วัดนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับพี่เทวัญและแม่เมษา”
เมษายิ้มยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “บังเอิญเหลือเกินเจ้าค่ะ แม่หญิงรำเพยขา วัดทั้งพระนครก็มีมากมาย แต่เลือกมาที่วัดนี้พอดีเลยเนอะ”
รำเพยหัวเราะเบา ๆ อย่างนางในละคร “บุญคงพาฉันมาเจอ หรืออาจเป็นบาปของใครบางคนที่ไม่สมควรอยู่ตรงนี้”
ขุนเทวัญกล่าวขึ้นตัดบท “เอาล่ะ ไหน ๆ ก็มาเจอกันแล้ว ไปฟังเทศน์ด้วยกันเถิด”
“ค่ะพี่เทวัญ” รำเพยปรายตามองเมษาตั้งแต่หัวจรดปลายซิ่น “เธอคงจะไม่ว่านะแม่เมษา ที่ฉันจะไปฟังเทศน์ร่วมกับเธอ”
เมษาหัวเราะเสียงใส “ฉันจะว่าแม่หญิงรำเพยได้ยังไง วัดก็ไม่ใช่ของฉัน หลวงพ่อก็ไม่ใช่ของฉัน”
รำเพยเงียบไปชั่วครู่ แต่มือยังพัดกลิ่นน้ำอบเบา ๆ “ฉันขอเดินเข้าโบสถ์ไปกับท่านพี่เทวัญด้วยนะเจ้าคะ เผื่อบุญเราจะนำพา”
ขุนเทวัญพยักหน้าช้า ๆ ด้วยความสุภาพ เมษามองบนเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังไปเบะปากแล้วพึมพำเบา ๆ “แหวะ ตอแหล อย่างเธอไปนอนรอรับดอกไม้จันทน์ที่เมรุเถอะ”
แสงแดดหลังฝนตกสาดลอดหน้าต่างโบสถ์ลงมากระทบพื้น เสียงพระสวดเทศน์มหาชาติแว่วขับออกมาด้วยจังหวะราบเรียบ กล่อมผู้คนให้สงบใจ ทั้งสามคนนั่งเรียงกันบนเสื่อผืนเดียว ขุนเทวัญนั่งกลาง เมษานั่งทางซ้าย และแม่หญิงรำเพยนั่งทางขวา
แม่หญิงรำเพยนั่งหลังตรง คอเชิด ผ้าสไบบาง ๆ คลี่พาดกับตักอย่างเรียบร้อย สายตาเหลือบมองเมษาเป็นระยะ เหมือนจะเช็คว่าคิดจะมาอ่อยท่านขุนหรือเปล่า
เสียงพระเทศน์ว่า “ชาติหนึ่งเมื่อยังไม่พ้นทุกข์ ก็ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร”
เมษาเบนหน้ามากระซิบเบา ๆ กับขุนเทวัญ “ท่านพี่ขุนคะ ชาติหนึ่งที่ยังไม่พ้นทุกข์นี่ หมายถึงชาตินี้หรือชาติหน้าคะ”
ขุนเทวัญเหลือบตามองเธอแวบหนึ่ง ไม่ตอบ แต่ไอเบา ๆ แม่หญิงรำเพยปรายตาหลังได้ยินแว่ว ๆ แต่ยิ้มละไม “แม่เมษานี่ช่างช่างพูด พูดเสียจนเสียงพระดูจะเบาลงไปถนัด ธรรมะเขาให้ตั้งใจฟัง มิใช่ให้พึมพำเหมือนท่องสูตรขนมครก”
เมษาหันไปยิ้มงาม ๆ “ขอโทษเจ้าค่ะ พอดีฉันเคยชินกับฟังไลฟ์สดค่ะ ต้องมีคอมเมนต์ข้าง ๆ หน้าจอ”
“พูดกระไร ไม่เห็นรู้ความ” แม่หญิงรำเพยหน้านิ่วคิ้วฉงน ส่วนขุนเทวัญทำเพียงแค่ยิ้ม ด้วยเพราะชินคำพูดแปลกประหลาดของเมษามาหลายครา
พระเทศน์ว่า “...อันความรักในโลกล้วนมีหลายหลาก แต่ถ้ารักแล้วให้ทุกข์ นั้นจักพึงปล่อยวาง...”
เมษากระซิบเบา ๆ “แต่ถ้ารักแล้วให้ใจฟู พี่จะรับหนูไว้ในใจมั้ยคะ”
แม่หญิงรำเพยขยับตัว “ใยแม่เมษาพูดน่าเกลียดแบบนั้นเล่า”
“อ้าว ก็หญิงยุคใหม่ ขืนเล่นตัวมัวเหนียมอาย มีหวังได้โดนฉก ผู้ชายดี ๆ หายากนะเจ้าคะแม่หญิง”
ขุนเทวัญหันไปพนมมือแนบอก “เงียบหน่อยเถิดทั้งสองคน ข้าฟังพระท่านเทศนามิรู้ความใดแล้ว”
เสียงพระสวดเทศน์ยังคงดำเนินไป แต่อุณหภูมิในอากาศกลับร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แม้เพิ่งผ่านฝนตกไปไม่นาน
เสียงพระสวดบทสุดท้ายดังขึ้นเบา ๆ ก่อนจะจบลงด้วยเสียงสาธุของผู้คนทั่วศาลา ขุนเทวัญลุกขึ้นช้า ๆ พนมมือด้วยท่วงท่าสงบงาม เมษาลุกตามด้วยสีหน้าเรียบเฉยกว่าปกติ แม่หญิงรำเพยยืนขึ้นอย่างนุ่มนวล สะบัดสไบให้เข้ารูปอย่างผู้ดีในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ก่อนจะหันมาทางขุนเทวัญ
“ขอตัวกลับก่อนเจ้าคะ พรุ่งนี้คุณหญิงแม่จะไปเยี่ยมที่เรือนคุณป้าจันทร์วาด ฉันคงได้พบพี่เทวัญอีก”
ขุนเทวัญพยักหน้า “เดินทางดี ๆ รำเพย”
“เจ้าค่ะ”
แล้วรำเพยก็หันมายิ้มให้เมษา “ฉันไปก่อนนะแม่เมษา” รอยยิ้มบาง ๆ แต่ดวงตานั้นจ้องแน่นิ่งราวกับกำลังประเมินศัตรู
เมษาก็ยิ้มกลับ แต่ในใจคิดว่านี่ไม่ใช่รอยยิ้มแบบผูกมิตร แต่คือรอยยิ้มแบบตัวร้ายในซีรีส์เกาหลีชัด ๆ
ขุนเทวัญเดินนำหน้าเงียบ ๆ แม่พลอยเดินไปช่วยบ่าวที่โรงทาน เหลือเพียงเมษากับท่านขุน ที่เดินเคียงกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ
“เงียบเชียว” ขุนเทวัญพูดขึ้นเบา ๆ แต่เมษาไม่ตอบ
“เธอหนาวเพราะเปียกฝน หรือมีเรื่องใดจึงไม่พูดจา”
เมษายังนิ่ง ขุนเทวัญจึงหยุดเดินและหันมามอง “แม่เมษา”
“คะ” เสียงเมษามาแบบเสียงแข็งนิด ๆ
“เธอเป็นอะไร”
เมษาหยุดเดิน หันมามองตรง ๆ “ไม่มีอะไรค่ะ ท่านขุนอย่าได้กังวลเลย ถึงแม้ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่าง แต่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ”
“พูดเสียยืดยาว” ขุนเทวัญเลิกคิ้ว แต่เขาเลือกไม่ถามต่อ ได้แต่เดินเงียบ ๆ
คืนนั้น เมษานั่งอยู่ริมหน้าต่างในห้องสายลมพัดผ้าม่านไหวเบา ๆ แสงตะเกียงสะท้อนบนผิวหน้าของหญิงสาวที่ยังคงคิดถึงเหตุการณ์ทั้งวัน
แม่หญิงรำเพย ผู้หญิงที่สวย สง่า พูดจาเป็นแบบนางในวัง เดินเรียบร้อย พูดไพเราะ ยิ้มมีจริต แตกต่างจากสาวสมัยใหม่แบบเธอคนละขั้ว
เมษานั่งกอดเข่า สบตาตัวเองในกระจกไม้เก่า “นี่ฉันกำลังหึงจริงจังแล้วเหรอ ที่แรกก็แค่แอบแซวเล่น ๆ แซ่บ ๆ เอง”
เธอยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว “ถ้างั้นในเมื่อศึกนี้เริ่มแล้ว ฉันก็จะไปให้สุด เมษาจะทำทุกอย่าง ให้คุณพี่ขุนเทวัญ เป็นของเมษาสุดแซ่บให้ได้”
กลางดึกคืนนั้น ลมพัดผ่านหน้าต่างเรือน เสียงพื้นเรือนแกรกกรากเบา ๆ คล้ายเสียงบางอย่างที่กระซิบจากอดีต ขุนเทวัญนอนนิ่งอยู่บนฟูก ห่มผ้าผืนบาง แสงจากตะเกียงหัวเตียงไหวระริก เขาเข้าสู่นิทราอย่างเงียบงัน ก่อนจะเข้าสู่ความฝัน ที่เหมือนจริงจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกคนในฝันเขายืนอยู่กลางเรือนไทยไม้สักหลังหนึ่ง ท่ามกลางแสงแดดอ่อนปลายรุ่ง เสียงระฆังวัดดังแว่วจากที่ไกล กลิ่นอบเชยและน้ำอบลอยมาแตะจมูกและตรงหน้าของเขาคือหญิงสาวผู้หนึ่ง สวมสไบเฉียงสีขาวนวล ผ้านุ่งสีแดงเลือดนก จีบหน้านางละเอียด เธอยิ้มพลางใช้มือบางแตะไหล่เขาเบา ๆ แววตาคู่นั้นทั้งคุ้นเคย ทั้งเศร้าและอ่อนหวานปนกัน“ท่านมาช้าอีกแล้ว” เสียงเธอเบาดุจสายลมที่กระซิบข้างหู“แต่ข้ากลับมาแล้ว” เขาพูดเสียงแผ่วตอบกลับทั้งที่ไม่รู้ว่ากำลังพูดกับใคร แม้ว่าจะเจอเธอมาหลายคราในห้วงนิทรา หัวใจแน่นตื้อเหมือนเคยพูดประโยคนี้มานับพันครั้ง“เราจะไม่พรากจากกันอีกใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยเขาคว้ามือเธอไว้ แต่แสงอาทิตย์กลับสว่างวาบ ภาพนั้นค่อย ๆ เลือนหายไป ขุนเทวัญสะดุ้งตื่นในเช้ามืด เหงื่อซึมเล็กน้อยบนหน้าผาก แม้อากาศจะเย็นเขาลุกนั่งนิ่ง สบตากับความเงียบในห้อง เสี
เสียงฝนยังคงพรำลงไม่หยุด ใต้ชายคาศาลาเล็ก ๆ เมษายืนใกล้ขุนเทวัญจนได้กลิ่นไอของผ้าที่ชื้นด้วยฝนและกลิ่นกายของท่านขุนคลุ้งจาง ๆ ขุนเทวัญยังคงถือผ้าคาดเอวผืนยาวที่ใช้บังฝนให้เมษาไว้ในมือ ปลายผ้ายังเปียกอยู่บ้าง แต่มุมหนึ่งแห้งเมษาหันมามองเขา เห็นใบหน้าของขุนเทวัญมีหยดน้ำเกาะอยู่ตามขมับ แก้ม และปลายคาง“คุณพี่ขุนเปียกหมดเลย” เมษาพูดเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือมาหยิบปลายผ้าคาดเอวจากมือเขา ขุนเทวัญชะงักมอง ยังไม่ทันเอ่ยห้าม เมษาก็ยกผ้าผืนนั้นขึ้นอย่างเบามือ แล้วค่อย ๆ เช็ดหยดน้ำที่ข้างแก้มของเขา ขยับเลื่อนไปที่ขมับ และหน้าผากที่มีหยดน้ำเกาะพราว“อยู่เฉย ๆ สิคะจะเช็ดให้” เมษาว่าพลางยิ้มละไมขุนเทวัญยืนนิ่งเหมือนถูกมนตร์สะกด ใบหน้าเขานิ่งแต่หูเริ่มแดง แล้วแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะตอนที่ปลายนิ้วของเมษาแตะลงเบา ๆ ตรงข้างสันกราม“คุณพี่ขุนหน้าแดงอีกแล้ว” เมษาเอียงคอถาม ยิ้มแบบคนรู้ทันขุนเทวัญเบือนหน้าหลบ “เธอนี่ ชอบพูดจาน่าเอามืออุดปากเสียจริง”“คุณพี่ขุนเนี่ยเป็นผู้ชายที่เรียบร๊อย เรียบร้อยนะคะ โดนแซวแค่นี่ถึงกับเขิน แต่ก็น่ารักนะเนี่ย” เมษายักคิ้วขุนเทวัญถึงกับไอออกมาในลำคอ “แม่เมษา พูดจาไม่งามเลย
ในเช้าของวันที่แสงแดดอ่อน เสียงนกเอี้ยงร้องแว่วจากยอดมะม่วง แม่พลอยจัดผมให้เมษาอยู่หน้าห้องเรือนในด้วยสีหน้าเคร่งครัด เพราะว่าพระยาภูบดินทร์ บิดาของขุนเทวัญกลับมาจากราชการที่หัวเมืองเหนือ และทราบว่าที่เรือนมีหญิงหลงทางมาอยู่อาศัย จึงอยากพบกับเมษา“ฟังให้ดีนะ เธออย่าเผลอพูดอะไรแปลกหูเหมือนที่ชอบพูดกับฉันต่อหน้าคุณท่านนะ”“จ้า จะเรียบร้อยแบบกุลสตรีศรีรัตนโกสินทร์เลยแม่พลอย” เมษาเบะปากใส่กระจกบนเรือนใหญ่ พระยาภูบดินทร์นั่งอยู่ที่ตั่งกลางเรือน เสื้อแพรสีเทาเงินตัดกับผ้าพับอย่างเรียบ เส้นผมขาวแซมข้างหู แต่ดวงตายังคมและนิ่ง ข้าง ๆ กันคือคุณหญิงจันทร์วาด ที่กำลังจิบชาด้วยท่าทางของหญิงชั้นสูงเมษาเดินเข้ามาด้วยอาการกึ่งประหม่า แต่พยายามทำใจดีสู้เสือ“กราบสวัสดีค่ะ คุณท่าน คุณหญิง แล้วก็คุณพี่ขุน เอ๊ย ท่านขุนเทวัญค่ะ” มือยกพนมแสนเรียบร้อย แต่เสียงสั่นปลายประโยคคุณหญิงหรี่ตามองตั้งแต่หัวจรดปลายซิ่น “ขอให้ความเรียบร้อยนั้นอย่าได้หมดอายุภายในห้านาทีเถอะ”พระยาภูบดินทร์หัวเราะเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินบ่อยในเรือนนี้“เธอคือแม่เมษาหรือ ดูท่าทางแปลกจากคนบ้านนี้เมืองนี้ยิ่งนัก
เสียงเครื่องยนต์รถยนต์ฝรั่งดังกระหึ่มขณะแล่นไปตามถนนลูกรังในพระนคร เมษานั่งเบียดแม่พลอยอยู่เบาะหลัง ดวงตาโตเท่าไข่ห่าน มองซ้ายขวาไม่หยุดส่วนขุนเทวัญนั่งอยู่เบาะด้านหน้าโดยมีเฟื่องเป็นคนขับรถ รถยนต์สีดำสนิทเงางาม ประทุนเปิดรับลมเย็นบาง ๆ ของช่วงสายวันนั้น“เพิ่งเคยนั่งรถโบราณย้อนยุคครั้งแรก” เมษาตะโกนฝ่าลม“รถโบราณอะไรกันแม่เมษา คันนี้เพิ่งนำเข้ามาจากอังกฤษเลยนะ” ขุนเทวัญพูดโดยไม่หันกลับมามอง“จริงด้วย นี่เรามาอยู่ในยุครัตนโกสินทร์นี่” เมษาบอกกับตัวเองก่อนที่จะหันไปมองทิวทัศน์รอบข้างของพระนครยุครัตนโกสินทร์รถยนต์แล่นมาหยุดที่หน้ากรมพระคลังสินค้า ซึ่งเป็นอาคารสถาปัตยกรรมผสมไทย-ตะวันตก ตัวอาคารสองชั้นทาสีขาวครีม มีบานหน้าต่างโค้งประดับไม้ฉลุลายทอง เสาเรียงรายรับชายคายาว หน้ากรมมีธงชาติสยามปลิวไสว เมษานั่งอ้าปากค้างอยู่เบาะหลัง“โอ้โห นี่หรือคือกรมพระคลังสินค้าของจริง มันทั้งสวยและดูขลังมาก”ขุนเทวัญหันมามองด้วยสีหน้าขรึมแต่แววตาขำ “ดูเธอจะไม่เคยเข้ามากลางพระนครสินะ”เขาก้าวลงจากรถแล้วหันมาทางแม่เมษาและแม่พลอย“ฉันต้องเข้าไปสะสางราชการภายในไม่นานนัก พวกเธอรออยู่แถวนี้ก่อน”“เจ้าค่ะ” แม่
ในคืนนั้น สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านเรือนไม้ เสียงจั๊กจั่นยังดังเป็นจังหวะ กล่อมให้บรรยากาศยามค่ำในพระนครเงียบสงัดยิ่งขึ้นเมษานอนอยู่บนฟูกบาง ๆ ใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่ไหวระริก เสียงลมหายใจเธอสม่ำเสมอก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป และเข้าสู่ห้วงนิทราเธอฝัน แต่มันทั้งชัดเจนและพร่าเบลอในเวลาเดียวกัน ในฝันนั้นเมษายืนอยู่กลางลานกว้าง รอบตัวเป็นสวนไม้สูงเรียงรายเหมือนเขาวงกต กลิ่นกำยานหอมจาง ๆ ลอยมาแตะจมูก ผืนฟ้าเป็นสีแดงใกล้โพล้เพล้ แต่ไม่มีแดด ไม่มีเงา เหมือนเป็นโลกอีกมิติหนึ่งเธอก้มมองตัวเองพบว่าตนเองไม่ได้สวมเสื้อแขนกระบอกหรือผ้าซิ่นแบบทุกวัน แต่เป็นสไบเฉียงสีขาวนวล เนื้อผ้าบางเบา และผ้านุ่งแบบจีบหน้านางสีแดงเข้ม ลวดลายละเอียดประณีตแบบหญิงในสมัยอยุธยา ซึ่งไม่เคยมีใครในยุครัตนโกสินทร์แต่งเช่นนั้นเธอก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เท้าเปล่าสัมผัสพื้นดินอ่อนนุ่มและเย็นจับใจ เมษารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับเคยเดินผ่านตรงนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกาย เสียงที่ทุ้มนุ่ม และอบอุ่นอย่างประหลาด“เจ้ามาแล้วหรือ”เมษาหันขวับ ชายหนุ่มในชุดโจงกระเบนสีดำ สวมเสื้อห่มแพร ผ้าโพกหัวบาง ๆ ดวงตาคมคู่นั้
แดดสายสะท้อนลงบนหลังคามุงจาก กระทบผิวน้ำตลาดปากคลองจนเงาวาว แม่ค้าเขียงหมูเสียงดังแข่งกับเจ้าของร้านขนมฝอยทอง เสียงตะโกนเรียกลูกค้าเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณท่ามกลางความวุ่นวาย เมษาเดินมาในลุคสายช้อปย้อนยุค ผ้าซิ่นลายแดงสดเกือบสะท้อนแสงแดด เสื้อแขนกระบอกพับผิดเล็กน้อย ข้างหนึ่งไหล่ตก ข้างหนึ่งตั้งสง่า มือหนึ่งหิ้วขนมต้ม อีกมือถือทองหยอดมากินเล่น“ว้าว ตลาดนี่คือสวรรค์ของสายกิน นี่ถ้ามีชาไข่มุกให้กินด้วยละก็ ฟินสุด ๆ”แม่พลอยที่เดินตามแทบเอามือปิดหน้าผาก “อย่าพูดอะไรเพี้ยน ๆ ออกมาอีกเลยแม่เมษา แค่นี้คนก็มองกันทั้งตลาดแล้ว”“ก็มองคนสวยไง ไม่เห็นแปลก หรือเธอว่าฉันไม่สวยหรือไงแม่พลอย”“เออ ไอ้สวยน่ะก็สวย แต่แปลกก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน”เมษากรอกตามองบน “จะถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะ”ที่หัวตลาด เสียงวุ่นวายของพ่อค้าแม่ขายยังครึกครื้น แต่ทันทีที่แม่หญิงรำเพยปรากฏกายเดินนวยนาดอย่างงามสง่า ตลาดทั้งแถบก็เหมือนชะงักอารมณ์หนึ่งผ้าไหมสีชมพูทองจับจีบประณีต เสื้อห่มสไบกลิ่นน้ำอบโชยอ่อน ๆเมษาที่เพิ่งหันมาเห็น พึมพำกับแม่พลอยเบา ๆ “นั่นแม่หญิงรำเพยนี่”แม่พลอยพยักหน้า “ใช่ แม่หญิงรำเพย คู่หมายของท่านขุนเทวัญ”“คู







