LOGINเสียงเครื่องยนต์รถยนต์ฝรั่งดังกระหึ่มขณะแล่นไปตามถนนลูกรังในพระนคร เมษานั่งเบียดแม่พลอยอยู่เบาะหลัง ดวงตาโตเท่าไข่ห่าน มองซ้ายขวาไม่หยุด
ส่วนขุนเทวัญนั่งอยู่เบาะด้านหน้าโดยมีเฟื่องเป็นคนขับรถ รถยนต์สีดำสนิทเงางาม ประทุนเปิดรับลมเย็นบาง ๆ ของช่วงสายวันนั้น
“เพิ่งเคยนั่งรถโบราณย้อนยุคครั้งแรก” เมษาตะโกนฝ่าลม
“รถโบราณอะไรกันแม่เมษา คันนี้เพิ่งนำเข้ามาจากอังกฤษเลยนะ” ขุนเทวัญพูดโดยไม่หันกลับมามอง
“จริงด้วย นี่เรามาอยู่ในยุครัตนโกสินทร์นี่” เมษาบอกกับตัวเองก่อนที่จะหันไปมองทิวทัศน์รอบข้างของพระนครยุครัตนโกสินทร์
รถยนต์แล่นมาหยุดที่หน้ากรมพระคลังสินค้า ซึ่งเป็นอาคารสถาปัตยกรรมผสมไทย-ตะวันตก ตัวอาคารสองชั้นทาสีขาวครีม มีบานหน้าต่างโค้งประดับไม้ฉลุลายทอง เสาเรียงรายรับชายคายาว หน้ากรมมีธงชาติสยามปลิวไสว เมษานั่งอ้าปากค้างอยู่เบาะหลัง
“โอ้โห นี่หรือคือกรมพระคลังสินค้าของจริง มันทั้งสวยและดูขลังมาก”
ขุนเทวัญหันมามองด้วยสีหน้าขรึมแต่แววตาขำ “ดูเธอจะไม่เคยเข้ามากลางพระนครสินะ”
เขาก้าวลงจากรถแล้วหันมาทางแม่เมษาและแม่พลอย
“ฉันต้องเข้าไปสะสางราชการภายในไม่นานนัก พวกเธอรออยู่แถวนี้ก่อน”
“เจ้าค่ะ” แม่พลอยรับคำเรียบร้อย
เมษาเพียงพยักหน้า สายตาดูจะตื่นเต้นกับสถาปัตยกรรมอันสวยงามของกรมพระคลังสินค้า
“กลับมาไว ๆ นะคะคุณพี่ขุนสุดหล่อ เมษาจะรอ”
ขุนเทวัญส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในอาคาร ทิ้งกลิ่นน้ำอบจาง ๆ ไว้ในอากาศ
เมษาเดินวนไปรอบสนามหน้าอาคารด้วยท่าทางของคนตื่นตาตื่นใจสุดขีด มือซ้ายถือขนมสอดไส้ที่แม่พลอยซื้อมาหาบเร่แถวนั้น มือขวาชี้โน่นชี้นี่
“แม่พลอย นี่มันโซนเมืองเก่าที่แท้ทรู ถ้ามีมือถือฉันจะถ่ายรูปทุกมุมเลย”
แม่พลอยยกพัดขึ้นพัดช้า ๆ “พูดภาษาอะไรไม่รู้เรื่องอีกแล้วแม่เมษา”
เมษาไม่สนใจ เดินไปจนถึงเสาใหญ่หน้ากรม ลูบเบา ๆ แล้วพูดกับเสา
“เสานี้ยังอยู่ถึงปีสองพันยี่สิบห้ามั้ยนะ นี่คือหลักฐานของประวัติศาสตร์ที่ฉันได้สัมผัสจริง ๆ”
จากนั้นเธอก็เดินมานั่งบนม้าหินใต้ต้นพิกุลข้างสนาม ดอกพิกุลร่วงลงมาบางเบา เมษาหยิบขึ้นมาเล่นก่อนจะเงยหน้ามองอาคารอีกครั้ง สีครีมตัดกับฟ้าช่วงสายได้อย่างพอดี
ไม่นานนักเมื่อขุนเทวัญกลับออกมา เมษารีบยืนเด้งขึ้นจากม้านั่งใต้ต้นพิกุล
“คุณพี่ขุนมาแล้ว ฉันพร้อมที่จะทัวร์เมืองกรุงแล้วค่ะ”
รถยนต์เปิดประทุนคันหรูเคลื่อนตัวมาหยุดที่ปากทางเข้าตลาดน้ำริมคลองโอ่งอ่าง ย่านนี้แม้จะไม่ใช่ตลาดหลวงใหญ่โต แต่วิถีชาวบ้านกลับเปี่ยมชีวิตชีวายิ่งนัก
แสงแดดยามสายสะท้อนผืนน้ำเป็นประกายระยับ เสียงไม้พายกระทบผืนน้ำดังสลับกับเสียงแม่ค้าขานขายของอย่างขยันขันแข็ง
“ลอดช่องจ้า ใส่น้ำตาลโตนดเคี่ยวหอม ๆ จ้า”
กลิ่นหอมของน้ำอบจากร้านขายเครื่องหอมริมคลองลอยแตะจมูก พร้อมกลิ่นกล้วยเชื่อม น้ำตาลปี๊บเคี่ยวควันฉุย ๆ จากหม้อทองเหลืองที่ตั้งอยู่ริมแพ
เมษายังไม่ทันรอให้รถจอดสนิทดี ก็เปิดประตูเองแล้วกระโดดลงไปแทบจะทันที เสียงร้องตื่นเต้นของเธอดังลั่นยิ่งกว่าแม่ค้าร้องขายของเสียอีก
“นี่มันตลาดน้ำของแท้เลยนะ ของจริง ไม่ใช่ตลาดน้ำที่เอาไว้ถ่ายคอนเท้นต์”
แม่พลอยหัวเราะพลางคว้าตะกร้าหวายจากหลังรถ “เธอก็นี่ดูตื่นเต้นจนเกินจริงไปแล้วนะแม่เมษา”
ขุนเทวัญก้าวลงจากรถเป็นคนสุดท้าย สีหน้าเรียบนิ่งตามเคย แต่สายตานั้นมองตามเรือนร่างของหญิงสาวที่กระดี๊กระด๊าอยู่ข้างแพขายน้ำตาลสด
เขาไม่พูดอะไร เพียงยืนดูอยู่เงียบ ๆ แต่ทุกครั้งที่เมษาหัวเราะออกมาดัง ๆ หรือแกล้งแซวแม่ค้าด้วยคำพูดแปลกหู หางคิ้วเขาก็คล้ายจะกระตุก และมุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
เมษาเดินเลียบแพไม้ พลางจ้องเรือขายเครื่องหอมอย่างสนใจ เธอหยิบขวดน้ำหอมแบบฝรั่งขึ้นมาเปิดดมดมอย่างจริงจัง
“กลิ่นหอมจัง ตลาดนี่มีน้ำหอมฝรั่งขายด้วย”
ขุนเทวัญเดินเข้ามาเงียบ ๆ ด้านหลัง “เธออยากได้หรือ”
“ค่ะ แต่ว่าฉันไม่มีเงิน” เมษาพูดแต่ไม่หันกลับไปมองขุนเทวัญ สายตายังจับจ้องอยู่ที่ขวดน้ำหอมในมือ
“ถ้าอยากได้ เดี๋ยวฉันซื้อให้”
“จริงเหรอ ซื้อให้ฉันจริง ๆ นะ คุณพี่ขุนนี่สายเปย์จริง ๆ” สายตาเมษาเป็นประกายเมื่อรู้ว่าขุนเทวัญจะซื้อน้ำหอมให้ มือยกขวดน้ำหอมแนบอก
“จริงสิ ถือเสียว่าเป็นของขวัญ เนื่องในโอกาส เอ่อ ในโอกาสที่รู้จักกัน” ขุนเทวัญไม่รู้ว่าจะใช้โอกาสพิเศษอะไรซื้อให้
“อะไรของคุณพี่ขุนเนี่ย เราก็รู้จักกันมาเป็นเดือน ๆ แล้วนะ พูดจาพิลึก”
ขุนเทวัญไม่ตอบอะไร เพียงพยักหน้าเบา ๆ แล้วล้วงเงินออกมาส่งให้แม่ค้า
ระหว่างที่แม่พลอยกำลังเลือกผ้าซิ่นอยู่กับแม่ค้า เมษาเดินถือขวดน้ำหอมตามขุนเทวัญไปช้า ๆ สองคนเดินเลียบคลองไปด้วยกัน ด้านหนึ่งคือแพขายของที่โยกไหวตามแรงน้ำ อีกด้านคืออาคารไม้เก่าที่ยังสงบเหมือนวันวาน
เมษาไม่รู้เลยว่าทำไมบรรยากาศตอนนี้มันเงียบดีจัง แต่หัวใจของเธอกลับเต้นดัง
“คุณพี่ขุนคะ เคยพาใครมาเดินตลาดน้ำด้วยกันมั้ยคะ”
ขุนเทวัญเหลือบมอง “เคย”
เมษาหน้าเจื่อน “คนรักหรือ”
“ขุนภัทร เพื่อนฉันเอง มีอะไรรึ”
เมษายิ้มบาง ๆ “เปล่าค่ะ แค่อยากรู้ว่าคุณพี่ขุนมีแฟน เอ่อ คนรักหรือยัง” เธอพูดเสียงเบา แล้วรีบหันไปอีกทาง
ขุนเทวัญมองเธอเงียบ ๆ สักพัก ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันยังไม่มีคนรักหรอก”
“แล้วแม่หญิงรำเพยล่ะคะ เห็นอว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายของคุณพี่ขุน ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันกับรำเพยเติบโตมาด้วยกันในฐานะพี่ชายกับน้องสาว ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ส่วนเรื่องการผูกมั่นปั้นหมาย เป็นเรื่องของผู้ใหญ่คุยกัน ฉันไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วย”
“แล้วจะขัดคำสั่งผู้ใหญ่ได้เหรอคะ ยุคนี้สมัยนี้ก็ยังมีการคลุมถุงชนอยู่นี่”
ขุนเทวัญหยุดเดิน แล้วหันกลับมาจนเมษาแทบจะเดินชน “ตัวเราเองย่อมรู้จักหัวใจตัวเองดีกว่าใคร และตัวเราเองควรได้เลือกในสิ่งที่ตนต้องการเป็นสำคัญ รวมถึงเรื่องของความรักด้วย หากเธอรู้สึกดีกับใคร ก็จงอยู่ใกล้คนผู้นั้นไว้ให้มากที่สุดเถิด”
เมษาหัวใจกระตุกวาบ เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการสื่ออะไร แต่คำพูดแสนเรียบง่ายของขุนเทวัญ ก็ทำให้หัวใจของเมษาร้อนผ่าว
บ่ายคล้อยลงเล็กน้อย เมื่อล้อรถยนต์เคลื่อนตัวออกจากย่านบางตลาดน้ำ เสียงเมืองเริ่มจางลง เบื้องหน้าคือวัดโพธิ์หรือวัดพระเชตุพนฯ อันเงียบสงบ
ภายใต้ร่มไม้ใหญ่และหลังคาวัดที่ทอดเงาสะท้อนแดด รถจอดหน้าอุโบสถ แม่พลอยลงจากรถก่อน เดินไปด้านในเพื่อหาน้ำล้างมือจากบ่อน้ำหินข้างโบสถ์ เมษาตามหลังไป แต่มัวหยุดยืนมองแผ่นหินจารึกคำสอนโบราณที่ฝังไว้ใต้ต้นโพธิ์ เธอหลุดอยู่ในโลกของตัวอักษรจนไม่รู้เลยว่าแม่พลอยเดินหายไปอีกทาง
“แม่พลอยหายไปไหนแล้วล่ะนั่น” เมษากวาดสายตามองไปรอบ ๆ
วันนี้มีคนมาวัดเยอะกว่าปกติ เสียงสวดแผ่วเบาจากพระภิกษุในอุโบสถกำลังไหว้พระกันเป็นหมู่ กลิ่นธูปลอยอ่อน ๆ เข้าจมูก เธอหมุนตัวหาทางกลับ แต่กลับสะดุดกับใครบางคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
ขุนเทวัญยืนสงบใต้ร่มไม้ ดวงตาคมทอดมองมาเงียบ ๆ
“มองหาใครอยู่หรือแม่เมษา”
“แม่พลอยค่ะ ไม่รู้แม่พลอยหายไปไหน สงสัยจะคลาดกันตอนที่เดินมา ฉันมันแต่อ่านศิลาจารึกอยู่ แต่จริง ๆ ก็อ่านไม่ออกหรอกนะคะ” เมษายิ้มแหย ๆ
ขุนเทวัญไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ย “เช่นนั้น ไปไหว้พระกับฉันก่อนเถิด ที่นี่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์ ขอพรอะไรจะได้ดังหวัง”
ขุนเทวัญออกเดินนำเมษาไปยังพระอุโบสถที่ภายในนั้นเงียบสงบ แสงอาทิตย์ลอดผ่านตกลงบนพื้น เบื้องหน้าคือองค์พระประธานตั้งสง่ากลางโถง
เมษาคุกเข่าลงข้างขุนเทวัญ มือประนมแนบอก หัวใจที่ว้าวุ่นมาตลอดทั้งวันกลับเงียบลงจนน่าแปลก
“ฉันอยู่ในวัดกับท่านขุนสองคน ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครเลย นี่มันฉากที่นางเอกในละครต้องคิดอะไรฟุ้ง ๆ แล้วกล้องแพนช้า ๆ เข้าใบหน้าแน่นอน’
แต่แทนที่เธอจะปล่อยความคิดเหล่านั้นไหลไป สิ่งที่เมษารู้สึกกลับกลายเป็นความอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด คล้ายเคยเกิดขึ้นมาแล้วสักครั้ง คล้ายเคยไหว้พระกับเขาอย่างนี้มาก่อน
“ขอให้ได้กลับบ้าน” เธออธิษฐานเบา ๆ แต่ก็อยากอยู่กับท่านขุนไปนาน ๆ”
หลังจบการไหว้ ขุนเทวัญหันมาสนทนา “เธออธิษฐานสิ่งใด”
เมษานิ่งงัน “ขอสองเรื่องค่ะ ฉันขอให้ได้กลับบ้าน ส่วนอีกเรื่อง ไม่บอกหรอก แล้วคุณพี่ขุนล่ะ” เธอพูดพลางอมยิ้ม
“ฉันก็ไม่บอกหรอก” ขุนเทวัญพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ขี้โกงนี่ ทีฉันยังบอกไปตั้งเรื่องหนึ่งเลย”
“ฉันขอไปเรื่องเดียว แต่คงบอกไม่ได้หรอก” ขุนเทวัญยิ้มอีกครั้ง
“คุณพี่ขุน ขี้โกง” เมษาบ่นอุบแล้วลุกขึ้น
ทั้งสองเดินออกจากอุโบสถพร้อมกัน แสงบ่ายอ่อน ๆ ส่องลอดซุ้มประตูวัด ใบโพธิ์ปลิวหล่นลงมาใบหนึ่ง เมษาเงยหน้ามองมันร่วงสู่พื้น ก่อนจะเผลอพูดเบา ๆ กับตัวเอง
“อยากกลับบ้านก็อยาก แต่อยากอยู่แบบนี้ก็อยาก”
ขุนเทวัญเดินนำอยู่ไม่ไกล แต่หางตาของเขาก็ยังมองหญิงสาวที่เดินตามอยู่ข้างหลัง คล้ายรู้ คล้ายได้ยิน แม้เมษาจะไม่ได้พูดออกมาดัง ๆ ก็ตาม ภายในใจบอกกับตัวเองเบา ๆ ว่าสิ่งที่เมษาพูดอย่างที่สอง ก็คือสิ่งเดียวกับที่เขาอธิษฐาน
กลางดึกคืนนั้น ลมพัดผ่านหน้าต่างเรือน เสียงพื้นเรือนแกรกกรากเบา ๆ คล้ายเสียงบางอย่างที่กระซิบจากอดีต ขุนเทวัญนอนนิ่งอยู่บนฟูก ห่มผ้าผืนบาง แสงจากตะเกียงหัวเตียงไหวระริก เขาเข้าสู่นิทราอย่างเงียบงัน ก่อนจะเข้าสู่ความฝัน ที่เหมือนจริงจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกคนในฝันเขายืนอยู่กลางเรือนไทยไม้สักหลังหนึ่ง ท่ามกลางแสงแดดอ่อนปลายรุ่ง เสียงระฆังวัดดังแว่วจากที่ไกล กลิ่นอบเชยและน้ำอบลอยมาแตะจมูกและตรงหน้าของเขาคือหญิงสาวผู้หนึ่ง สวมสไบเฉียงสีขาวนวล ผ้านุ่งสีแดงเลือดนก จีบหน้านางละเอียด เธอยิ้มพลางใช้มือบางแตะไหล่เขาเบา ๆ แววตาคู่นั้นทั้งคุ้นเคย ทั้งเศร้าและอ่อนหวานปนกัน“ท่านมาช้าอีกแล้ว” เสียงเธอเบาดุจสายลมที่กระซิบข้างหู“แต่ข้ากลับมาแล้ว” เขาพูดเสียงแผ่วตอบกลับทั้งที่ไม่รู้ว่ากำลังพูดกับใคร แม้ว่าจะเจอเธอมาหลายคราในห้วงนิทรา หัวใจแน่นตื้อเหมือนเคยพูดประโยคนี้มานับพันครั้ง“เราจะไม่พรากจากกันอีกใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยเขาคว้ามือเธอไว้ แต่แสงอาทิตย์กลับสว่างวาบ ภาพนั้นค่อย ๆ เลือนหายไป ขุนเทวัญสะดุ้งตื่นในเช้ามืด เหงื่อซึมเล็กน้อยบนหน้าผาก แม้อากาศจะเย็นเขาลุกนั่งนิ่ง สบตากับความเงียบในห้อง เสี
เสียงฝนยังคงพรำลงไม่หยุด ใต้ชายคาศาลาเล็ก ๆ เมษายืนใกล้ขุนเทวัญจนได้กลิ่นไอของผ้าที่ชื้นด้วยฝนและกลิ่นกายของท่านขุนคลุ้งจาง ๆ ขุนเทวัญยังคงถือผ้าคาดเอวผืนยาวที่ใช้บังฝนให้เมษาไว้ในมือ ปลายผ้ายังเปียกอยู่บ้าง แต่มุมหนึ่งแห้งเมษาหันมามองเขา เห็นใบหน้าของขุนเทวัญมีหยดน้ำเกาะอยู่ตามขมับ แก้ม และปลายคาง“คุณพี่ขุนเปียกหมดเลย” เมษาพูดเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือมาหยิบปลายผ้าคาดเอวจากมือเขา ขุนเทวัญชะงักมอง ยังไม่ทันเอ่ยห้าม เมษาก็ยกผ้าผืนนั้นขึ้นอย่างเบามือ แล้วค่อย ๆ เช็ดหยดน้ำที่ข้างแก้มของเขา ขยับเลื่อนไปที่ขมับ และหน้าผากที่มีหยดน้ำเกาะพราว“อยู่เฉย ๆ สิคะจะเช็ดให้” เมษาว่าพลางยิ้มละไมขุนเทวัญยืนนิ่งเหมือนถูกมนตร์สะกด ใบหน้าเขานิ่งแต่หูเริ่มแดง แล้วแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะตอนที่ปลายนิ้วของเมษาแตะลงเบา ๆ ตรงข้างสันกราม“คุณพี่ขุนหน้าแดงอีกแล้ว” เมษาเอียงคอถาม ยิ้มแบบคนรู้ทันขุนเทวัญเบือนหน้าหลบ “เธอนี่ ชอบพูดจาน่าเอามืออุดปากเสียจริง”“คุณพี่ขุนเนี่ยเป็นผู้ชายที่เรียบร๊อย เรียบร้อยนะคะ โดนแซวแค่นี่ถึงกับเขิน แต่ก็น่ารักนะเนี่ย” เมษายักคิ้วขุนเทวัญถึงกับไอออกมาในลำคอ “แม่เมษา พูดจาไม่งามเลย
ในเช้าของวันที่แสงแดดอ่อน เสียงนกเอี้ยงร้องแว่วจากยอดมะม่วง แม่พลอยจัดผมให้เมษาอยู่หน้าห้องเรือนในด้วยสีหน้าเคร่งครัด เพราะว่าพระยาภูบดินทร์ บิดาของขุนเทวัญกลับมาจากราชการที่หัวเมืองเหนือ และทราบว่าที่เรือนมีหญิงหลงทางมาอยู่อาศัย จึงอยากพบกับเมษา“ฟังให้ดีนะ เธออย่าเผลอพูดอะไรแปลกหูเหมือนที่ชอบพูดกับฉันต่อหน้าคุณท่านนะ”“จ้า จะเรียบร้อยแบบกุลสตรีศรีรัตนโกสินทร์เลยแม่พลอย” เมษาเบะปากใส่กระจกบนเรือนใหญ่ พระยาภูบดินทร์นั่งอยู่ที่ตั่งกลางเรือน เสื้อแพรสีเทาเงินตัดกับผ้าพับอย่างเรียบ เส้นผมขาวแซมข้างหู แต่ดวงตายังคมและนิ่ง ข้าง ๆ กันคือคุณหญิงจันทร์วาด ที่กำลังจิบชาด้วยท่าทางของหญิงชั้นสูงเมษาเดินเข้ามาด้วยอาการกึ่งประหม่า แต่พยายามทำใจดีสู้เสือ“กราบสวัสดีค่ะ คุณท่าน คุณหญิง แล้วก็คุณพี่ขุน เอ๊ย ท่านขุนเทวัญค่ะ” มือยกพนมแสนเรียบร้อย แต่เสียงสั่นปลายประโยคคุณหญิงหรี่ตามองตั้งแต่หัวจรดปลายซิ่น “ขอให้ความเรียบร้อยนั้นอย่าได้หมดอายุภายในห้านาทีเถอะ”พระยาภูบดินทร์หัวเราะเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินบ่อยในเรือนนี้“เธอคือแม่เมษาหรือ ดูท่าทางแปลกจากคนบ้านนี้เมืองนี้ยิ่งนัก
เสียงเครื่องยนต์รถยนต์ฝรั่งดังกระหึ่มขณะแล่นไปตามถนนลูกรังในพระนคร เมษานั่งเบียดแม่พลอยอยู่เบาะหลัง ดวงตาโตเท่าไข่ห่าน มองซ้ายขวาไม่หยุดส่วนขุนเทวัญนั่งอยู่เบาะด้านหน้าโดยมีเฟื่องเป็นคนขับรถ รถยนต์สีดำสนิทเงางาม ประทุนเปิดรับลมเย็นบาง ๆ ของช่วงสายวันนั้น“เพิ่งเคยนั่งรถโบราณย้อนยุคครั้งแรก” เมษาตะโกนฝ่าลม“รถโบราณอะไรกันแม่เมษา คันนี้เพิ่งนำเข้ามาจากอังกฤษเลยนะ” ขุนเทวัญพูดโดยไม่หันกลับมามอง“จริงด้วย นี่เรามาอยู่ในยุครัตนโกสินทร์นี่” เมษาบอกกับตัวเองก่อนที่จะหันไปมองทิวทัศน์รอบข้างของพระนครยุครัตนโกสินทร์รถยนต์แล่นมาหยุดที่หน้ากรมพระคลังสินค้า ซึ่งเป็นอาคารสถาปัตยกรรมผสมไทย-ตะวันตก ตัวอาคารสองชั้นทาสีขาวครีม มีบานหน้าต่างโค้งประดับไม้ฉลุลายทอง เสาเรียงรายรับชายคายาว หน้ากรมมีธงชาติสยามปลิวไสว เมษานั่งอ้าปากค้างอยู่เบาะหลัง“โอ้โห นี่หรือคือกรมพระคลังสินค้าของจริง มันทั้งสวยและดูขลังมาก”ขุนเทวัญหันมามองด้วยสีหน้าขรึมแต่แววตาขำ “ดูเธอจะไม่เคยเข้ามากลางพระนครสินะ”เขาก้าวลงจากรถแล้วหันมาทางแม่เมษาและแม่พลอย“ฉันต้องเข้าไปสะสางราชการภายในไม่นานนัก พวกเธอรออยู่แถวนี้ก่อน”“เจ้าค่ะ” แม่
ในคืนนั้น สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านเรือนไม้ เสียงจั๊กจั่นยังดังเป็นจังหวะ กล่อมให้บรรยากาศยามค่ำในพระนครเงียบสงัดยิ่งขึ้นเมษานอนอยู่บนฟูกบาง ๆ ใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่ไหวระริก เสียงลมหายใจเธอสม่ำเสมอก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป และเข้าสู่ห้วงนิทราเธอฝัน แต่มันทั้งชัดเจนและพร่าเบลอในเวลาเดียวกัน ในฝันนั้นเมษายืนอยู่กลางลานกว้าง รอบตัวเป็นสวนไม้สูงเรียงรายเหมือนเขาวงกต กลิ่นกำยานหอมจาง ๆ ลอยมาแตะจมูก ผืนฟ้าเป็นสีแดงใกล้โพล้เพล้ แต่ไม่มีแดด ไม่มีเงา เหมือนเป็นโลกอีกมิติหนึ่งเธอก้มมองตัวเองพบว่าตนเองไม่ได้สวมเสื้อแขนกระบอกหรือผ้าซิ่นแบบทุกวัน แต่เป็นสไบเฉียงสีขาวนวล เนื้อผ้าบางเบา และผ้านุ่งแบบจีบหน้านางสีแดงเข้ม ลวดลายละเอียดประณีตแบบหญิงในสมัยอยุธยา ซึ่งไม่เคยมีใครในยุครัตนโกสินทร์แต่งเช่นนั้นเธอก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เท้าเปล่าสัมผัสพื้นดินอ่อนนุ่มและเย็นจับใจ เมษารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับเคยเดินผ่านตรงนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกาย เสียงที่ทุ้มนุ่ม และอบอุ่นอย่างประหลาด“เจ้ามาแล้วหรือ”เมษาหันขวับ ชายหนุ่มในชุดโจงกระเบนสีดำ สวมเสื้อห่มแพร ผ้าโพกหัวบาง ๆ ดวงตาคมคู่นั้
แดดสายสะท้อนลงบนหลังคามุงจาก กระทบผิวน้ำตลาดปากคลองจนเงาวาว แม่ค้าเขียงหมูเสียงดังแข่งกับเจ้าของร้านขนมฝอยทอง เสียงตะโกนเรียกลูกค้าเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณท่ามกลางความวุ่นวาย เมษาเดินมาในลุคสายช้อปย้อนยุค ผ้าซิ่นลายแดงสดเกือบสะท้อนแสงแดด เสื้อแขนกระบอกพับผิดเล็กน้อย ข้างหนึ่งไหล่ตก ข้างหนึ่งตั้งสง่า มือหนึ่งหิ้วขนมต้ม อีกมือถือทองหยอดมากินเล่น“ว้าว ตลาดนี่คือสวรรค์ของสายกิน นี่ถ้ามีชาไข่มุกให้กินด้วยละก็ ฟินสุด ๆ”แม่พลอยที่เดินตามแทบเอามือปิดหน้าผาก “อย่าพูดอะไรเพี้ยน ๆ ออกมาอีกเลยแม่เมษา แค่นี้คนก็มองกันทั้งตลาดแล้ว”“ก็มองคนสวยไง ไม่เห็นแปลก หรือเธอว่าฉันไม่สวยหรือไงแม่พลอย”“เออ ไอ้สวยน่ะก็สวย แต่แปลกก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน”เมษากรอกตามองบน “จะถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะ”ที่หัวตลาด เสียงวุ่นวายของพ่อค้าแม่ขายยังครึกครื้น แต่ทันทีที่แม่หญิงรำเพยปรากฏกายเดินนวยนาดอย่างงามสง่า ตลาดทั้งแถบก็เหมือนชะงักอารมณ์หนึ่งผ้าไหมสีชมพูทองจับจีบประณีต เสื้อห่มสไบกลิ่นน้ำอบโชยอ่อน ๆเมษาที่เพิ่งหันมาเห็น พึมพำกับแม่พลอยเบา ๆ “นั่นแม่หญิงรำเพยนี่”แม่พลอยพยักหน้า “ใช่ แม่หญิงรำเพย คู่หมายของท่านขุนเทวัญ”“คู







