LOGINในคืนนั้น สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านเรือนไม้ เสียงจั๊กจั่นยังดังเป็นจังหวะ กล่อมให้บรรยากาศยามค่ำในพระนครเงียบสงัดยิ่งขึ้น
เมษานอนอยู่บนฟูกบาง ๆ ใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่ไหวระริก เสียงลมหายใจเธอสม่ำเสมอก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป และเข้าสู่ห้วงนิทรา
เธอฝัน แต่มันทั้งชัดเจนและพร่าเบลอในเวลาเดียวกัน ในฝันนั้นเมษายืนอยู่กลางลานกว้าง รอบตัวเป็นสวนไม้สูงเรียงรายเหมือนเขาวงกต กลิ่นกำยานหอมจาง ๆ ลอยมาแตะจมูก ผืนฟ้าเป็นสีแดงใกล้โพล้เพล้ แต่ไม่มีแดด ไม่มีเงา เหมือนเป็นโลกอีกมิติหนึ่ง
เธอก้มมองตัวเองพบว่าตนเองไม่ได้สวมเสื้อแขนกระบอกหรือผ้าซิ่นแบบทุกวัน แต่เป็นสไบเฉียงสีขาวนวล เนื้อผ้าบางเบา และผ้านุ่งแบบจีบหน้านางสีแดงเข้ม ลวดลายละเอียดประณีตแบบหญิงในสมัยอยุธยา ซึ่งไม่เคยมีใครในยุครัตนโกสินทร์แต่งเช่นนั้น
เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เท้าเปล่าสัมผัสพื้นดินอ่อนนุ่มและเย็นจับใจ เมษารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับเคยเดินผ่านตรงนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกาย เสียงที่ทุ้มนุ่ม และอบอุ่นอย่างประหลาด
“เจ้ามาแล้วหรือ”
เมษาหันขวับ ชายหนุ่มในชุดโจงกระเบนสีดำ สวมเสื้อห่มแพร ผ้าโพกหัวบาง ๆ ดวงตาคมคู่นั้นทำให้เธอจำได้ทันที ขุนเทวัญยืนอยู่เบื้องหน้า
เธอยืนนิ่ง มือเย็นเฉียบ หัวใจเต้นรัวเหมือนเพิ่งลงจากลู่วิ่งไฟฟ้าตอนไปคาร์ดิโอที่ยิม
“คุณพี่ขุนเทวัญ” เสียงเธอในฝันสั่นเล็กน้อย
ชายหนุ่มมองเธอด้วยสายตาอาวรณ์แล้วพูดว่า “ข้ารอเจ้าอยู่ทุกภพชาติ”
ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะค่อย ๆ จางหายไป พร้อมเสียงระฆังวัดดังแว่วมาเมื่อถึงรุ่งสาง
เมษาสะดุ้งตื่นเหงื่อซึมที่หน้าผาก หัวใจยังเต้นแรงราวกับเพิ่งวิ่งหนีอะไรมา เธอลูบคอตัวเองเบา ๆ สัมผัสถึงสร้อยเส้นเดิมที่ยังอยู่กับเธอ
เธอหลุบตาลง กระซิบเบา ๆ กับตัวเอง “ฝันแบบนี้อีกแล้วเหรอ”
เธอจำได้ว่าตอนที่ยังไม่ได้ย้อนเวลามา เธอก็เคยฝันแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน และก็เริ่มจำได้ว่าผู้ชายที่อยู่ในฝันก็คือขุนเทวัญ ทั้งที่เธอไม่เคยเจอเขามาก่อน
แสงตะเกียงยังไหวระริก ข้างนอกลมพัดเอื่อยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ภายในใจของหญิงสาวจากอนาคต บางอย่างเริ่มสั่นไหวทีละน้อย เหมือนกับประตูของเรื่องราวในอดีตกำลังจะถูกเปิดออกอีกครั้ง โดยที่มีเธอเป็นตัวละคร
รุ่งเช้าที่เรือนขุนเทวัญ เมษาเดินออกจากห้องด้วยท่าทีเรียบร้อยผิดวิสัย ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีแม้กระทั่งมุกประจำตัวอย่างคุณพี่ขุนสุดหล่อเจ้าขา
มีเพียงความเงียบ และหัวใจที่เต้นอยู่ในอกแผ่วเบา มือเรียวของเธอกำชายผ้าซิ่นไว้แน่นจนยับ
สองเท้าก้าวผ่านชานเรือนลงสู่สวนอย่างเงียบเชียบ เธอไม่ได้ตั้งใจจะไปไหน แค่ปล่อยให้ขาเดินตามใจเพราะใจมันยังวนเวียนอยู่กับความฝัน
ฝันเมื่อคืนที่เธอสวมชุดไทยโบราณยืนอยู่เคียงข้างชายผู้หนึ่ง ใบหน้าเขาชัดเจนราวภาพวาด แม้ตื่นมาก็ยังจำชัด และชายคนนั้นก็คือขุนเทวัญ
เท้าของเธอเดินผ่านทางกรวด กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นชายในชุดสีครามอ่อนนั่งอยู่ในศาลาริมสวน ดวงตาก้มลงอ่านหนังสือจดหมายราชการ ลมเช้าพัดชายโจงกระเบนไหวเบา ๆ และแสงแดดก็เหมือนตั้งใจสาดส่องเขาคนเดียว ภาพนั้นทำเอาหัวใจเมษากระตุกวูบ
“เหมือนในฝันเลย” ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก ร้อนวูบวาบแต่ไม่กล้าเข้าใกล้ เธอหันหลังจะกลับ แต่ไม่ทันก้าวเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นก่อน
“แม่เมษา จะยืนหลบเงาอยู่หลังเสาไปถึงเมื่อไร มีการใดจะคุยหรือ”
เมษาสะดุ้งเหมือนถูกจับโป๊ะ เธอรีบเดินออกมาจากเงาไม้แบบเก้ ๆ กัง ๆ น้ำเสียงอ้อมแอ้ม ปากยิ้มแต่หน้าร้อนฉ่า
“เอ่อ อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ ท่านขุน”
ขุนเทวัญเลิกคิ้วเล็กน้อย สายตาคมนั้นจับจ้องเธออย่างพินิจ เหมือนพยายามจะอ่านใจคนที่ปกติพูดจายียวนไม่หยุด แต่วันนี้กลับนิ่ง ราวกับเป็นคนละคน
“วันนี้เธอดูแปลกไปนัก มีอะไรหรือเปล่า บอกฉันได้”
เมษาทำตาโต ฝืนหัวเราะแห้ง ริมฝีปากยิ้มน้อย ๆ แต่ปลายหูขึ้นสีแดงเรื่อ
“ไม่กล้าพูดแล้วค่ะ มันน่าจะดูไร้สาระในสายตาท่านขุน”
“ไม่เรียกฉันว่าคุณพี่ขุนแล้วหรือ” ขุนเทวัญถาม
“วันนี้ไม่มีอารมณ์เรียกค่ะ ยังไม่อยากลามปาม”
ขุนเทวัญหลุดยิ้มมุมปาก เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังในลำคอ “หรือเธอฝันร้าย เล่าให้ฟังได้นะ”
เมษาชะงัก ใจเต้นแรงยิ่งขึ้น แต่เธอพยักหน้าเบา ๆ แบบขอจบเรื่องไว ๆ “ท่านขุนนี่ดูท่าจะเป็นหมอดูนะคะ ทักแม๊นแม่น แต่ก็แค่ฝันแปลก ๆ ไม่มีอะไรหรอก”
ขุนเทวัญมองเธอนิ่ง ริมฝีปากหยักขึ้นนิด ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ
“เช่นนั้นก็ไปพักเถิดแม่เมษา ก่อนที่เจ้าจะหน้าแดงจนเป็นไข้ไปเสียก่อน”
เมษารีบก้มหน้ารับคำ “ค่ะท่านขุน” แล้วก็รีบเดินจากไปแบบที่ผ้าซิ่นแทบจะพันขากันเอง และไม่กล้าหันกลับไปมองเขาอีก ใครจะกล้าเล่าล่ะว่าฝันถึงท่านขุนแบบโรแมนติกสุด ๆ
ทว่าขุนเทวัญนั่งมองตามเงานั้นที่ค่อย ๆ ลับตา พลางเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ “แม่เมษาวันนี้ พอทำตัวเรียบร้อยแล้วก็น่ารักไปอีกแบบ เหมือนที่เราเคยเจอในฝันเลย”
มือเขายังวางบนหน้าหนังสือ แต่ตาไม่ได้อ่านแม้แต่บรรทัดเดียว
ริมท่าน้ำเรือนขุนเทวัญ เมษากอดเข่าอยู่ที่ท่าน้ำ ผ้าซิ่นลายขิดพาดไปข้าง ขาสองข้างจุ่มลงในน้ำเย็นใส มืออีกข้างโยนก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ลงน้ำทีละก้อน
จ๋อม... จ๋อม...จ๋อม…
“โอ๊ย เบื่อ เบื่อเป็นบ้า! ในโลกที่ไม่มีมือถือ ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีอะไรเลย แถมยังต้องมาอยู่ตัวคนเดียวด้วย แบบนี้ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม กระโดดน้ำตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดดีมั้ยยัยเมษา” เธอบ่นเสียงอุบอิบ
เสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินมาทางด้านหลัง ก่อนที่เสียงทุ้มคุ้นเคยจะเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเบา “แม่เมษา กำลังโกรธหิน โกรธน้ำ หรือโกรธชีวิตกันแน่”
เมษาหันขวับเจอขุนเทวัญยืนอยู่ในชุดครึ่งทางการ เสื้อสีเข้มกับโจงกระเบนสีเรียบ ท่านขุนดูเรียบร้อยวางท่า แต่แววตากำลังกลั้นยิ้ม
“อ๊ะ! เปล่านะคะ แค่โยนหินเล่น ๆ”
ขุนเทวัญยกมุมปากเล็กน้อย เดินเข้ามาใกล้ “ฉันเห็นเธอไม่สดชื่นตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว หากวันนี้เธอเบื่อ ฉันมีกิจราชการต้องไปที่กรมพระคลังสินค้า หลังจากจัดการกิจธุระเสร็จ อาจพอมีเวลาพาเธอไปเปิดหูเปิดตา อยากจะติดรถไปด้วยหรือไม่”
เมษานิ่งไปครู่หนึ่ง ตาเริ่มเป็นประกายเหมือนเด็กเจอคำว่าจะพาไปเที่ยว
“จริงเหรอคะ ไปด้วยได้เหรอ จะให้ฉันนั่งรถด้วยจริง ๆ เหรอคะ”
“ก็แค่จะไปเที่ยว ดีใจขนาดนั้นเลยหรือ” ขุนเทวัญหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
เมษารีบยืนขึ้นปัดผ้าซิ่นจนฝุ่นปลิว “แค่จะออกจากเรือนได้ ฉันก็ดีใจยิ่งกว่าถูกหวยลอตเตอรี่แล้วค่ะ เอ๊ย...คือ ดีใจมากค่ะคุณพี่ขุน”
ขุนเทวัญมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างกลั้นขำ “ให้ไปชวนแม่พลอยไปเป็นเพื่อน ครู่หนึ่งจะออกเดินทาง”
เมษาพยักหน้ารัว ๆ ตาใสเป็นประกาย ขุนเทวัญส่ายหน้าเบา ๆ แต่ในแววตานั้นมีแสงอ่อนโยนวาบขึ้นอย่างที่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้
“รีบไปเตรียมตัวเถิดแม่เมษา ที่กลางพระนครมีที่เที่ยวมากมาย”
เมษารีบแจ้นไปตามแม่พลอยอย่างเร็วจี๋ แต่ขณะวิ่งจากไปก็ยังตะโกนกลับมาเสียงใส “รอแป๊บนะคะคุณพี่ขุนเจ้าขา”
กลางดึกคืนนั้น ลมพัดผ่านหน้าต่างเรือน เสียงพื้นเรือนแกรกกรากเบา ๆ คล้ายเสียงบางอย่างที่กระซิบจากอดีต ขุนเทวัญนอนนิ่งอยู่บนฟูก ห่มผ้าผืนบาง แสงจากตะเกียงหัวเตียงไหวระริก เขาเข้าสู่นิทราอย่างเงียบงัน ก่อนจะเข้าสู่ความฝัน ที่เหมือนจริงจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกคนในฝันเขายืนอยู่กลางเรือนไทยไม้สักหลังหนึ่ง ท่ามกลางแสงแดดอ่อนปลายรุ่ง เสียงระฆังวัดดังแว่วจากที่ไกล กลิ่นอบเชยและน้ำอบลอยมาแตะจมูกและตรงหน้าของเขาคือหญิงสาวผู้หนึ่ง สวมสไบเฉียงสีขาวนวล ผ้านุ่งสีแดงเลือดนก จีบหน้านางละเอียด เธอยิ้มพลางใช้มือบางแตะไหล่เขาเบา ๆ แววตาคู่นั้นทั้งคุ้นเคย ทั้งเศร้าและอ่อนหวานปนกัน“ท่านมาช้าอีกแล้ว” เสียงเธอเบาดุจสายลมที่กระซิบข้างหู“แต่ข้ากลับมาแล้ว” เขาพูดเสียงแผ่วตอบกลับทั้งที่ไม่รู้ว่ากำลังพูดกับใคร แม้ว่าจะเจอเธอมาหลายคราในห้วงนิทรา หัวใจแน่นตื้อเหมือนเคยพูดประโยคนี้มานับพันครั้ง“เราจะไม่พรากจากกันอีกใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยเขาคว้ามือเธอไว้ แต่แสงอาทิตย์กลับสว่างวาบ ภาพนั้นค่อย ๆ เลือนหายไป ขุนเทวัญสะดุ้งตื่นในเช้ามืด เหงื่อซึมเล็กน้อยบนหน้าผาก แม้อากาศจะเย็นเขาลุกนั่งนิ่ง สบตากับความเงียบในห้อง เสี
เสียงฝนยังคงพรำลงไม่หยุด ใต้ชายคาศาลาเล็ก ๆ เมษายืนใกล้ขุนเทวัญจนได้กลิ่นไอของผ้าที่ชื้นด้วยฝนและกลิ่นกายของท่านขุนคลุ้งจาง ๆ ขุนเทวัญยังคงถือผ้าคาดเอวผืนยาวที่ใช้บังฝนให้เมษาไว้ในมือ ปลายผ้ายังเปียกอยู่บ้าง แต่มุมหนึ่งแห้งเมษาหันมามองเขา เห็นใบหน้าของขุนเทวัญมีหยดน้ำเกาะอยู่ตามขมับ แก้ม และปลายคาง“คุณพี่ขุนเปียกหมดเลย” เมษาพูดเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือมาหยิบปลายผ้าคาดเอวจากมือเขา ขุนเทวัญชะงักมอง ยังไม่ทันเอ่ยห้าม เมษาก็ยกผ้าผืนนั้นขึ้นอย่างเบามือ แล้วค่อย ๆ เช็ดหยดน้ำที่ข้างแก้มของเขา ขยับเลื่อนไปที่ขมับ และหน้าผากที่มีหยดน้ำเกาะพราว“อยู่เฉย ๆ สิคะจะเช็ดให้” เมษาว่าพลางยิ้มละไมขุนเทวัญยืนนิ่งเหมือนถูกมนตร์สะกด ใบหน้าเขานิ่งแต่หูเริ่มแดง แล้วแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะตอนที่ปลายนิ้วของเมษาแตะลงเบา ๆ ตรงข้างสันกราม“คุณพี่ขุนหน้าแดงอีกแล้ว” เมษาเอียงคอถาม ยิ้มแบบคนรู้ทันขุนเทวัญเบือนหน้าหลบ “เธอนี่ ชอบพูดจาน่าเอามืออุดปากเสียจริง”“คุณพี่ขุนเนี่ยเป็นผู้ชายที่เรียบร๊อย เรียบร้อยนะคะ โดนแซวแค่นี่ถึงกับเขิน แต่ก็น่ารักนะเนี่ย” เมษายักคิ้วขุนเทวัญถึงกับไอออกมาในลำคอ “แม่เมษา พูดจาไม่งามเลย
ในเช้าของวันที่แสงแดดอ่อน เสียงนกเอี้ยงร้องแว่วจากยอดมะม่วง แม่พลอยจัดผมให้เมษาอยู่หน้าห้องเรือนในด้วยสีหน้าเคร่งครัด เพราะว่าพระยาภูบดินทร์ บิดาของขุนเทวัญกลับมาจากราชการที่หัวเมืองเหนือ และทราบว่าที่เรือนมีหญิงหลงทางมาอยู่อาศัย จึงอยากพบกับเมษา“ฟังให้ดีนะ เธออย่าเผลอพูดอะไรแปลกหูเหมือนที่ชอบพูดกับฉันต่อหน้าคุณท่านนะ”“จ้า จะเรียบร้อยแบบกุลสตรีศรีรัตนโกสินทร์เลยแม่พลอย” เมษาเบะปากใส่กระจกบนเรือนใหญ่ พระยาภูบดินทร์นั่งอยู่ที่ตั่งกลางเรือน เสื้อแพรสีเทาเงินตัดกับผ้าพับอย่างเรียบ เส้นผมขาวแซมข้างหู แต่ดวงตายังคมและนิ่ง ข้าง ๆ กันคือคุณหญิงจันทร์วาด ที่กำลังจิบชาด้วยท่าทางของหญิงชั้นสูงเมษาเดินเข้ามาด้วยอาการกึ่งประหม่า แต่พยายามทำใจดีสู้เสือ“กราบสวัสดีค่ะ คุณท่าน คุณหญิง แล้วก็คุณพี่ขุน เอ๊ย ท่านขุนเทวัญค่ะ” มือยกพนมแสนเรียบร้อย แต่เสียงสั่นปลายประโยคคุณหญิงหรี่ตามองตั้งแต่หัวจรดปลายซิ่น “ขอให้ความเรียบร้อยนั้นอย่าได้หมดอายุภายในห้านาทีเถอะ”พระยาภูบดินทร์หัวเราะเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินบ่อยในเรือนนี้“เธอคือแม่เมษาหรือ ดูท่าทางแปลกจากคนบ้านนี้เมืองนี้ยิ่งนัก
เสียงเครื่องยนต์รถยนต์ฝรั่งดังกระหึ่มขณะแล่นไปตามถนนลูกรังในพระนคร เมษานั่งเบียดแม่พลอยอยู่เบาะหลัง ดวงตาโตเท่าไข่ห่าน มองซ้ายขวาไม่หยุดส่วนขุนเทวัญนั่งอยู่เบาะด้านหน้าโดยมีเฟื่องเป็นคนขับรถ รถยนต์สีดำสนิทเงางาม ประทุนเปิดรับลมเย็นบาง ๆ ของช่วงสายวันนั้น“เพิ่งเคยนั่งรถโบราณย้อนยุคครั้งแรก” เมษาตะโกนฝ่าลม“รถโบราณอะไรกันแม่เมษา คันนี้เพิ่งนำเข้ามาจากอังกฤษเลยนะ” ขุนเทวัญพูดโดยไม่หันกลับมามอง“จริงด้วย นี่เรามาอยู่ในยุครัตนโกสินทร์นี่” เมษาบอกกับตัวเองก่อนที่จะหันไปมองทิวทัศน์รอบข้างของพระนครยุครัตนโกสินทร์รถยนต์แล่นมาหยุดที่หน้ากรมพระคลังสินค้า ซึ่งเป็นอาคารสถาปัตยกรรมผสมไทย-ตะวันตก ตัวอาคารสองชั้นทาสีขาวครีม มีบานหน้าต่างโค้งประดับไม้ฉลุลายทอง เสาเรียงรายรับชายคายาว หน้ากรมมีธงชาติสยามปลิวไสว เมษานั่งอ้าปากค้างอยู่เบาะหลัง“โอ้โห นี่หรือคือกรมพระคลังสินค้าของจริง มันทั้งสวยและดูขลังมาก”ขุนเทวัญหันมามองด้วยสีหน้าขรึมแต่แววตาขำ “ดูเธอจะไม่เคยเข้ามากลางพระนครสินะ”เขาก้าวลงจากรถแล้วหันมาทางแม่เมษาและแม่พลอย“ฉันต้องเข้าไปสะสางราชการภายในไม่นานนัก พวกเธอรออยู่แถวนี้ก่อน”“เจ้าค่ะ” แม่
ในคืนนั้น สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านเรือนไม้ เสียงจั๊กจั่นยังดังเป็นจังหวะ กล่อมให้บรรยากาศยามค่ำในพระนครเงียบสงัดยิ่งขึ้นเมษานอนอยู่บนฟูกบาง ๆ ใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่ไหวระริก เสียงลมหายใจเธอสม่ำเสมอก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป และเข้าสู่ห้วงนิทราเธอฝัน แต่มันทั้งชัดเจนและพร่าเบลอในเวลาเดียวกัน ในฝันนั้นเมษายืนอยู่กลางลานกว้าง รอบตัวเป็นสวนไม้สูงเรียงรายเหมือนเขาวงกต กลิ่นกำยานหอมจาง ๆ ลอยมาแตะจมูก ผืนฟ้าเป็นสีแดงใกล้โพล้เพล้ แต่ไม่มีแดด ไม่มีเงา เหมือนเป็นโลกอีกมิติหนึ่งเธอก้มมองตัวเองพบว่าตนเองไม่ได้สวมเสื้อแขนกระบอกหรือผ้าซิ่นแบบทุกวัน แต่เป็นสไบเฉียงสีขาวนวล เนื้อผ้าบางเบา และผ้านุ่งแบบจีบหน้านางสีแดงเข้ม ลวดลายละเอียดประณีตแบบหญิงในสมัยอยุธยา ซึ่งไม่เคยมีใครในยุครัตนโกสินทร์แต่งเช่นนั้นเธอก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เท้าเปล่าสัมผัสพื้นดินอ่อนนุ่มและเย็นจับใจ เมษารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับเคยเดินผ่านตรงนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกาย เสียงที่ทุ้มนุ่ม และอบอุ่นอย่างประหลาด“เจ้ามาแล้วหรือ”เมษาหันขวับ ชายหนุ่มในชุดโจงกระเบนสีดำ สวมเสื้อห่มแพร ผ้าโพกหัวบาง ๆ ดวงตาคมคู่นั้
แดดสายสะท้อนลงบนหลังคามุงจาก กระทบผิวน้ำตลาดปากคลองจนเงาวาว แม่ค้าเขียงหมูเสียงดังแข่งกับเจ้าของร้านขนมฝอยทอง เสียงตะโกนเรียกลูกค้าเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณท่ามกลางความวุ่นวาย เมษาเดินมาในลุคสายช้อปย้อนยุค ผ้าซิ่นลายแดงสดเกือบสะท้อนแสงแดด เสื้อแขนกระบอกพับผิดเล็กน้อย ข้างหนึ่งไหล่ตก ข้างหนึ่งตั้งสง่า มือหนึ่งหิ้วขนมต้ม อีกมือถือทองหยอดมากินเล่น“ว้าว ตลาดนี่คือสวรรค์ของสายกิน นี่ถ้ามีชาไข่มุกให้กินด้วยละก็ ฟินสุด ๆ”แม่พลอยที่เดินตามแทบเอามือปิดหน้าผาก “อย่าพูดอะไรเพี้ยน ๆ ออกมาอีกเลยแม่เมษา แค่นี้คนก็มองกันทั้งตลาดแล้ว”“ก็มองคนสวยไง ไม่เห็นแปลก หรือเธอว่าฉันไม่สวยหรือไงแม่พลอย”“เออ ไอ้สวยน่ะก็สวย แต่แปลกก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน”เมษากรอกตามองบน “จะถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะ”ที่หัวตลาด เสียงวุ่นวายของพ่อค้าแม่ขายยังครึกครื้น แต่ทันทีที่แม่หญิงรำเพยปรากฏกายเดินนวยนาดอย่างงามสง่า ตลาดทั้งแถบก็เหมือนชะงักอารมณ์หนึ่งผ้าไหมสีชมพูทองจับจีบประณีต เสื้อห่มสไบกลิ่นน้ำอบโชยอ่อน ๆเมษาที่เพิ่งหันมาเห็น พึมพำกับแม่พลอยเบา ๆ “นั่นแม่หญิงรำเพยนี่”แม่พลอยพยักหน้า “ใช่ แม่หญิงรำเพย คู่หมายของท่านขุนเทวัญ”“คู







