มื้ออาหารแห่งความสุข
หลังจากเดินซื้อของในตลาดเสร็จ ซูหนิงเหยียนก็พาลูก ๆ กลับมาถึงเรือน เด็กทั้งสามคนวิ่งเข้าบ้านด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ซูหนิงเหยียนถือถุงของกินมากมายตามเข้าไป "วันนี้ท่านแม่จะทำอะไรให้พวกเรากินหรือเจ้าคะ?" เด็กหญิงฝาแฝดเดินตามมาอย่างตื่นเต้น เด็กชายคนโตช่วยแม่ถือของไปวางที่ห้องครัว ก่อนจะหันมามองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น "ข้าก็อยากรู้เช่นกัน ท่านแม่ซื้อของมาตั้งเยอะ!" ซูหนิงเหยียนยิ้มบาง ๆ พลางลูบศีรษะลูก ๆ "วันนี้… ท่านแม่จะทำอาหารที่พวกเจ้าไม่เคยกินมาก่อนให้ลองชิมกัน" "จริงหรือ!?" เด็ก ๆ ตาโตเป็นประกายด้วยความดีใจ พวกเขาไม่เคยเห็นแม่ทำอาหารด้วยท่าทางตั้งใจเช่นนี้มาก่อน ซูหนิงเหยียนเริ่มลงมือทำอาหาร นางใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในเรือน รวมกับของที่ซื้อมาจากตลาด แล้วค่อย ๆ ปรุงแต่งรสชาติให้คล้ายกับอาหารจากยุคอนาคตให้มากที่สุด เมนูที่เธอเลือกทำคือ "ข้าวผัดไข่" เธอจุดเตา ใส่น้ำมันหมูลงไปในกระทะ พอเริ่มร้อนก็ใส่ไข่ไก่ลงไปตีจนฟู ตามด้วยข้าวสวยหุงใหม่ที่เธอเตรียมไว้ นางใช้ตะหลิวไม้ค่อย ๆ คลุกข้าวกับไข่ให้เข้ากันดี จากนั้นก็ใส่หมูสามชั้นหั่นเต๋า เพิ่มผักซอยเล็กน้อย ปรุงรสด้วยเกลือและซอสถั่วเหลืองที่เธอเจอในห้องครัว เสียงข้าวผัดกระทบกับกระทะร้อน ๆ ดัง ฉ่า ๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วเรือน เด็ก ๆ ที่ยืนดูอยู่ถึงกับกลืนน้ำลาย "กลิ่นหอมจังเลย!" "ท่านแม่เคยทำอาหารแบบนี้มาก่อนหรือ?" ซูหนิงเหยียนหัวเราะเบา ๆ "ท่านแม่เคยทำมาหลายครั้งแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้พวกเจ้ากิน" หลังจากข้าวผัดเสร็จ นางก็ตักใส่จานไม้ให้ลูก ๆ พร้อมกับยื่นตะเกียบให้ "ลองชิมดูสิ ว่าอร่อยหรือไม่?" เด็ก ๆ รีบหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบข้าวเข้าปากทันที "อร่อยมาก!" "ข้าไม่เคยกินข้าวแบบนี้มาก่อนเลย!" เด็กหญิงฝาแฝดเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ ตาเป็นประกายด้วยความชอบใจ ส่วนเด็กชายคนโตแม้จะไม่พูดมาก แต่ก็กินข้าวคำแล้วคำเล่าไม่หยุด ซูหนิงเหยียนมองลูก ๆ ด้วยความอบอุ่น "ถ้าพวกเจ้าชอบ วันหลังท่านแม่จะทำให้กินอีก" เด็ก ๆ ยิ้มกว้าง ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินต่อ วันนี้เป็นวันแรก… ที่เด็ก ๆ ได้กินอาหารอร่อย ๆ จนอิ่มจนพุงกาง และเป็นวันแรก… ที่พวกเขารู้สึกถึงความรักจากแม่ของตนเองอย่างแท้จริง กลิ่นหอมที่ลอยไปถึงเรือนข้าง ๆ ซูหนิงเหยียนมองลูก ๆ ที่กำลังตักข้าวผัดไข่เข้าปากคำแล้วคำเล่าอย่างเอร็ดอร่อย นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ แต่ในขณะที่พวกเขากำลังกินกันอย่างมีความสุข กลิ่นหอมของข้าวผัดไข่ ก็ลอยตามลมออกไปจากเรือน จนไปถึง… เรือนของแม่หม้ายข้างบ้าน "หืม… กลิ่นอะไรหอมนัก?" หวังซื่อ แม่หม้ายวัยกลางคนที่อาศัยอยู่เรือนติดกัน หรี่ตาแล้วสูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มจมูก เธอวางตะเกียบลง เพราะทันทีที่ได้กลิ่นนั้น อาหารจืด ๆ บนโต๊ะของตัวเองก็ดูไม่น่ากินขึ้นมาทันที "แม่! ข้าหิว!" เสียงลูกชายวัยห้าขวบของนางดังขึ้นข้าง ๆ หวังซื่อขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองลูกชาย นางมองดูข้าวต้มจืดชืดในถ้วย แล้วเปรียบเทียบกับกลิ่นหอมที่ลอยมาจากเรือนข้าง ๆ มันต่างกันราวฟ้ากับเหว! "เจ้ารอก่อน!" นางเอ่ยเสียงแข็ง ก่อนจะลุกขึ้น เดินไปที่ประตูรั้วเรือนของตนเอง แล้วแอบชะเง้อมองเข้าไปในเรือนของซูหนิงเหยียน และนั่น… ทำให้นางต้องตาโตด้วยความตกตะลึง! เด็กทั้งสามคนนั่งกินข้าวกันอย่างมีความสุข! "เป็นไปได้อย่างไร!?" หวังซื่ออดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง ก็เมื่อก่อน… หญิงซูหนิงเหยียนคนนั้นขี้เกียจและใจร้ายกับลูกของตนเองมิใช่หรือ? นางจำได้ว่าเด็ก ๆ มักจะอดอยาก และแทบไม่ได้กินอาหารดี ๆ เลย แต่ตอนนี้… พวกเขากำลังกินข้าวผัดไข่หอมกรุ่น แถมหน้าตาของเด็ก ๆ ยังดูสดใสขึ้นกว่าเดิมมาก! หวังซื่อยิ่งสงสัย นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปหา เคาะ! เคาะ! เคาะ! เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ซูหนิงเหยียนเงยหน้าขึ้นมอง เด็ก ๆ ก็หันไปมองเช่นกัน "ท่านแม่ มีคนมา" เด็กชายคนโตกระซิบเบา ๆ ซูหนิงเหยียนวางตะเกียบลงก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตู พอเห็นว่าเป็น หวังซื่อ นางก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "แม่นางหวัง มีอะไรหรือ?" หวังซื่อพยายามยิ้มให้อ่อนโยนที่สุด "ข้าแค่เดินผ่านมาพอดี แล้วก็ได้กลิ่นหอมของอาหาร เลยอยากมาถามว่า… เจ้าทำอะไรกินหรือ?" ซูหนิงเหยียนมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ "ข้าทำข้าวผัดไข่ ให้ลูก ๆ กิน" หวังซื่อตาเป็นประกาย "ข้าวผัดไข่หรือ? ทำไมถึงหอมเช่นนี้?" "ข้าเพียงใช้วัตถุดิบธรรมดา แต่ใส่ใจในการปรุงรส" ซูหนิงเหยียนตอบเสียงเรียบ หวังซื่อกลืนน้ำลาย จริงสิ! นางเองก็อยากลองกินดูบ้าง! "เอ่อ… แม่นางซู" หวังซื่อยิ้มแหย ๆ "ไม่ทราบว่าข้าจะลองชิมได้หรือไม่?" ซูหนิงเหยียนมองหญิงตรงหน้าก่อนจะยิ้มเล็กน้อย นางเดินไปตักข้าวผัดไข่ใส่ถ้วยใบเล็กแล้วยื่นให้ "เชิญชิมได้" หวังซื่อรีบรับมาแล้วตักเข้าปากทันที ดวงตาของนางเบิกกว้าง! "อร่อยมาก!" นางตกใจจนเผลออุทานออกมา ข้าวผัดไข่ของซูหนิงเหยียนอร่อยกว่าที่คิดไว้มาก! ไข่นุ่ม หอมกลิ่นกระทะ ข้าวเม็ดเรียงตัวสวยและเคลือบซอสอย่างลงตัว รสชาติเค็มนิด ๆ หวานหน่อย ๆ มันแตกต่างจากอาหารจืดชืดที่นางกินทุกวันโดยสิ้นเชิง! หวังซื่อเงยหน้าขึ้นมองซูหนิงเหยียนด้วยความตกใจ "เจ้าทำอาหารเก่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?" ซูหนิงเหยียนหัวเราะเบา ๆ "ไม่นานมานี้เอง" หวังซื่อพยักหน้า ถ้านางสามารถทำอาหารอร่อยขนาดนี้ได้ ก็น่าจะหาเงินจากการขายอาหารได้ไม่น้อย! หวังซื่อคิดอะไรบางอย่างก่อนจะยิ้มออกมา "แม่นางซู ข้ามีเรื่องอยากคุยด้วย เจ้าสนใจจะร่วมมือกับข้าไหม?" ซูหนิงเหยียนขมวดคิ้ว "ร่วมมือ?" "ใช่!" หวังซื่อยิ้มกว้าง "ข้ามีคนรู้จักที่เปิดร้านอาหารในตลาด หากเจ้าสนใจ ข้าสามารถช่วยเจ้าไปฝากขายอาหารที่ร้านนั้นได้!" ซูหนิงเหยียนนิ่งคิด โอกาสในการหาเงินมาถึงแล้ว!ทุกสิ่งเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากการเปิดเผยความจริงนั้น ทุกคนในราชวงศ์ต่างจับตามองการดำเนินการของลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียน เมื่อมีการเตรียมการทางการทหารและการเมืองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อปกป้องอาณาจักรจากภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้น ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่อาจจะเข้ามาโจมตีได้ทุกเมื่อ ทั้งสองมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถทำลายแผนการของศัตรูได้อย่างรวดเร็ว หากพวกเขาทำงานร่วมกันและสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ ลู่เหรินเจ๋อ "ตอนนี้เราไม่สามารถถอยหลังได้แล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของเราต้องเป็นการเคลื่อนไหวที่มุ่งมั่นเพื่อชัยชนะ" ซูหนิงเหยียน: "เราจะไม่ยอมให้ทุกสิ่งที่เรารักถูกทำลาย เราจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับราชวงศ์นี้" ทั้งสองมองไปข้างหน้า ด้วยความมั่นใจและความรักที่ไม่มีวันเสื่อมคลายเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความมุ่งมั่นที่ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนได้พยายามกันมาเริ่มเห็นผล ความรักและการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับทั้งสองฝ่าย ทำให้พวกเขาเผชิญหน้ากับอุปสรรคและอันตรายต่างๆ ได้อย่างมั่นคงทั้งสองได้ร่วมมือกันหาวิธีป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จ
ในห้องที่เงียบสงบของตำหนักหลังใหญ่แห่งนี้ ทั้งพระเอกและซูหนิงเหยียนนั่งอยู่ข้างกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันมานี้ แม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ทั้งสองคนรู้ดีว่าความจริงนั้นแฝงไปด้วยความซับซ้อนและอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา“ข้ารู้ดีว่าเรากำลังจะเผชิญกับอะไร...” องค์ชายเจ็ดกล่าวเสียงแหบต่ำ รู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดนั้นอย่างมาก ขณะที่สายตาของเขาจ้องไปยังนางเอกซูหญิงเหยียนมองกลับไปด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและไม่หวั่นไหว “สิ่งที่เราเผชิญนั้นยากลำบากแน่นอน แต่เราก็ต้องยืนหยัดและเผชิญมันไปพร้อมกัน ข้าจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาพรากสิ่งที่เรามีไป”คำพูดของซูหนิงเหยียนนั้นจริงจังและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มันเหมือนการบอกกับองค์ชายเจ็ดว่า นางพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้ว่าจะเป็นอันตรายแค่ไหน แต่เธอเชื่อมั่นว่า ถ้าทั้งสองคนร่วมมือกัน ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะเอาชนะไม่ได้องค์ชายเจ็ดพยักหน้าเล็กน้อยและยิ้มบางๆ “ข้าเองก็เช่นกัน ถ้าเราทำทุกอย่างไปด้วยกัน ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว”ในขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อ
ความมืดของค่ำคืนไม่สามารถหยุดยั้งความมุ่งมั่นของทั้งองค์ชายเจ็ดและซูหนิงเหยียนได้ ความจริงที่พวกเขาค้นพบในค่ายทหารทำให้พวกเขาตระหนักถึงความร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นในราชสำนัก พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มขุนนางที่มีอำนาจและวางแผนลับเหล่านั้นระหว่างการเดินทางกลับที่ตำหนักหลวง องค์ชายเจ็ดหันไปมองซูหนิงเหยียนและกล่าวเสียงต่ำ “เราอาจต้องใช้วิธีที่ไม่เป็นทางการในการหาความจริง อาจจะต้องทำให้พวกขุนนางเหล่านั้นเชื่อว่าเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน”ซูหนิงเหยียนนิ่งเงียบก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเรียบ “ข้ารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ข้าไม่อยากให้ใครตกเป็นเหยื่อของการสมคบคิดนี้อีก”เมื่อกลับถึงตำหนัก หลายสิ่งที่พวกเขาต้องทำยังคงรออยู่ การเตรียมการเพื่อเข้าร่วมในวงการขุนนางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การได้รู้จักและชักชวนผู้อื่นให้ร่วมมือกับพวกเขาจะเป็นเรื่องที่ท้าทายมากองค์ชายเจ็ดจึงเริ่มพิจารณาแผนการที่จะต้องใช้ในการเข้าใกล้กลุ่มขุนนางเหล่านั้น ทันทีที่คิดได้ เขาก็ส่งสัญญาณให้ทหารผู้ไว้ใจและผู้ที่ทำงานในตำหนักมาร่วมช่วยกันสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มขุนนางในราชสำนัก“เราไม่สา
ความมืดของคืนนี้ยังคงปกคลุมไปทั่วเมืองหลวง ขณะที่องค์ชายและนางเอกยืนอยู่ตรงหน้าฝ่าบาทที่ถูกลักพาตัวไป พวกเขาก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความลับที่ซ่อนอยู่ภายในตำหนักและความเคลื่อนไหวของขุนนางที่ไม่ชัดเจนทำให้สถานการณ์ยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้นฝ่าบาทที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ท่ามกลางความมืดพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่แผ่วเบาและจริงจัง“ทุกอย่างมันซับซ้อนมากกว่าที่เจ้าทั้งสองคิด ความขัดแย้งในราชวงศ์นี้ไม่ได้เกิดจากคนภายนอก แต่มันมาจากภายใน เหล่าขุนนางบางกลุ่มกำลังวางแผนที่จะทำให้การปกครองของข้าอ่อนแอลง”องค์ชายมองไปที่ฝ่าบาทด้วยความตระหนัก เขารู้ว่าแผนการของศัตรูในราชวงศ์นั้นซับซ้อนยิ่งกว่าแค่การลักพาตัวฝ่าบาทเพียงอย่างเดียว“หมายความว่า...การลักพาตัวครั้งนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น?” พระเอกถามเสียงต่ำ พร้อมจับตามองฝ่าบาทด้วยท่าทีที่จริงจังฝ่าบาทพยักหน้า “ใช่ การลักพาตัวของข้าเป็นแค่การทดสอบความพร้อมของฝ่ายขุนนางบางกลุ่ม พวกเขากำลังจับตาดูข้าและคอยหาจังหวะที่ข้าอ่อนแอเพื่อลงมือทำบางอย่างที่ยิ่งใหญ่”ซูหนิงเหยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฟังแล้วรู้สึกกังวลใจ เธอรู้ดีว่าการต่อสู้ทางการเมืองในรา
ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนเดินมาถึงศาลาใต้ดินที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของตำหนัก ศาลานี้เป็นที่เก็บข้อมูลลับที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด โดยมีเพียงไม่กี่คนในราชวงศ์ที่รู้ว่ามันมีอยู่ ซูหนิงเหยียนหยิบคัมภีร์เก่าขึ้นมาเล่มหนึ่งที่พระเอกเพิ่งจัดการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเงามืดในราชวงศ์“หากเราไม่หาข้อมูลจากที่นี่ เราจะไม่สามารถรู้ทันศัตรูได้” บู่เหรินเจ๋อพูดขึ้นขณะที่นางเอกกำลังอ่านข้อความในคัมภีร์“เรื่องนี้มันซับซ้อนเกินไป... ข้าไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะหยุดแค่การโจมตีครั้งนี้” นางเอกกล่าวด้วยความกังวลในใจลู่เหรินเจ๋อหันมามองซูหนิงเหยียนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ข้ารู้ แต่ข้าคิดว่าเราควรตั้งรับและโจมตีพวกเขาก่อน พวกเขากำลังรวบรวมอำนาจในทุกๆ ด้าน หากเราช้าเกินไป เราจะถูกซ้อนเร้นและถูกทำลาย”ลู่เหรินเจ๋อมองไปยังแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะ โดยมีสัญลักษณ์ของหน่วยต่างๆ ในราชวงศ์ที่พยายามวางแผนการคุมเมืองและเสริมอำนาจให้มากขึ้น“เราต้องกระชับทุกสิ่งในมือไว้ เราต้องรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของพวกเขา” ลู่เหรินเจ๋อกล่าวต่อขณะที่พระเอกพูดอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่มาจากทางด้า
เสียงกรีดร้องจากด้านนอกทำให้นางเอกสะดุ้ง เธอไม่รอช้า รีบหยิบมีดครัวในมือเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทันทีที่เธอก้าวออกจากครัวไป ก็เห็นเงาร่างของคนหลายคนวิ่งข้ามประตูเข้ามาในตำหนักของตน“มีคนบุกเข้ามา!” นางตะโกนออกไปอย่างรวดเร็วลู่เหรินเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างนางก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะสั่งการให้บ่าวรับใช้จัดการกับการป้องกันรอบตำหนักอย่างเร่งด่วน "อย่าปล่อยให้ใครเข้ามาใกล้!"ทันทีที่คำสั่งถูกออกมา คนในตำหนักก็เริ่มกระจายไปยังจุดต่างๆ ของวังหลวงเพื่อปิดทางและป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้าถึงตัวซูหนิงเหยียนขณะที่เสียงดังอึกทึกจากการต่อสู้ดังขึ้น เสียงของลู่เหรินเจ๋อก็ดังตามมา "ห้ามทำร้ายใคร!" ลู่เหรินเจ๋อก้าวเข้ามาด้วยท่าทางมั่นคงและดวงตาแสดงออกถึงความตั้งใจที่จะปกป้องซูหนิงเหยียนอย่างสุดความสามารถศัตรูที่บุกเข้ามาคือกลุ่มผู้คนที่ได้รับการว่าจ้างจากพระสนมเหมยฮวาเพื่อทำลายความเชื่อถือของซูหนิงเหยียนและสร้างความสับสนให้กับคนในวังหลวง แต่เมื่อเห็นลู่เหรินเจ๋อเข้ามา ทุกคนก็ลังเลและหยุดชะงัก"พระองค์จะทำอะไร?" หนึ่งในคนร้ายถามด้วยเสียงที่สั่นลู่เหรอนเจ๋อยิ้มเย็น "ไม่ต้องถามคำถามที่รู้คำตอบ" เข