LOGIN
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 จนถึงศตวรรษที่ 21 ‘แวมไพร์’ เคยถูกขนานนามให้เป็นปีศาจร้ายที่บ้าเลือดและคลั่งไคล้ในการฆ่าผู้คน โดยการสูบดูดกินเลือดและฆ่าเหยื่อให้เหลือแต่เพียงแค่หนังหุ้มกระดูกของร่างที่ไร้วิญญาณและเลือดเนื้ออย่างน่าสยดสยอง ความโหดร้ายและการฆ่าล้างกันเพื่อการอยู่เอาตัวรอดในแต่ละเผ่าพันธ์ุประวัติศาสตร์ที่เคยถูกขีดเขียนมาทั้งหมดและการออกล่าตามฆ่าเหล่าแวมไพร์ที่เคยมีมาตลอดหลายร้อยปี
ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้นที่ล้วนแต่เคยเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อในตำนานเรื่องเล่าเหล่านั้น ได้ถูกทำลายลงไปด้วยความเชื่อของคนสมัยใหม่ที่สวมรอยเข้ามาแทนที่กันแทน แล้วเปลี่ยนจากการที่แวมไพร์นั้นต้องเคยอยู่อย่างการเป็นผู้ล่าในรัตติกาล ไปเป็นการผลันตัวมาอาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายกับมนุษย์ โดยมีสื่อกลางที่ช่วยรักษาความปลอดภัยระหว่างกัน ที่ถูกเรียกเอาไว้อย่างเลิศหรูว่า ‘ธนาคารเลือดสำหรับแวมไพร์สายคิ้วท์ที่เบื่อหน่ายการออกล่า’ ซึ่งกฏระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์ที่ถูกตั้งขึ้นมาอย่างชัดเจนนับตั้งแต่ปีศตวรรษที่ 22 นี้เป็นต้นไป นั่นก็คือ 1. แวมไพร์ไม่สามารถที่จะล่าเหยื่อหรือฆ่ามนุษย์อย่างตามใจชอบได้อีกต่อไป มิเช่นนั้น จะโดนโทษสูงสุดโดนการถูกจับตรึงเอาไว้กับเสาเงินสัมฤทธิ์แล้วโดนจับมัดให้โดนแดดทั้งเป็นจนร่างสลายไป 2. ในกรณีที่แวมไพร์ไม่สามารถที่จะละทิ้งสัญชาตญาณความเป็นนักล่าของตนเอง และไม่สามารถที่จะทนกินแต่เลือดแต่ในทหารเลือดได้ แวมไพร์สามารถกินเลือดของมนุษย์ได้เช่นกัน โดยมีข้อแม้ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะต้องยินยอม และต้องสมยอมด้วยกันทั้งคู่ 3. มนุษย์และแวมไพร์สามารถคบหาและแต่งงานด้วยกันได้ แต่จะต้องแต่งงานกันในเวลาเที่ยงคืนเท่านั้น และเพราะกฏทั้งสามข้อที่ได้ถูกตั้งขึ้นมาอย่างเรียบง่ายและเป็นการเอาแต่ใจของพวกมนุษย์เหล่านี้ แท้ที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการนำโซ่ที่มองไม่เห็นไปรัดเอาไว้ทั่วทั้งร่างของเหล่าแวมไพร์ราวกับเป็นการถูกเปลี่ยนตัวตนจากการเป็นพยัคฆ์ที่แสนดุร้าย ให้กลายไปเป็นแมวหง่าวที่ถูกสวมใส่ปลอกคอที่มีกระดิ่งเลยแม้แต่น้อย นั่นจึงได้เป็นเหตุที่ทำให้ในตอนนี้ ร่างสูงของแวมไพร์หนุ่มเลือดร้อน เจ้าของเรือนผมสีเทาควันบุหรี่ที่รับกันกับใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจจึงได้แต่กำลังเดินวนไปวนมาอยู่แถวถนนย่านที่เต็มไปด้วยผับ บาร์และสถานบันเทิงด้วยใบหน้าที่กำลังสื่อถึงความเบื่อหน่ายอย่างชัดเจน และเหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้เขากำลังตกอยู่ในสภาพที่ซังกะตายแบบนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าในช่วงเวลากว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ ‘ดันเต้’ มักที่จะประสบเข้ากับปัญหาเดิมๆ จนทำให้ตัวของเขาเองนั้นอดที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ กับการที่ดันเต้นั้นไม่สามารถที่จะหาเหยื่อและรสชาติที่ถูกใจของเขาได้เลย เพราะนอกจากเหยื่อที่เขาคว้าติดมือมาในช่วงหลังๆ มานี้จะมีรสชาติที่ขมปร่าจากการมีแอลกอฮอล์ในร่างกายในจำนวนที่มากเกินไป แล้วไหนจะความน่ารำคาญของหญิงสาวเหล่านั้นที่ชอบมาเกาะแกะแล้วขอให้เขาทำให้พวกเธอกลายเป็นแวมไพร์เพราะอยากที่จะมีชีวิตที่เป็นอมตะกัน มันจึงทำให้ในท้ายที่สุดแล้ว ร่างสูงของแวมไพร์หน้าหล่ออย่างดันเต้ที่ไม่มีที่จะไปและขี้เกียจที่จะต้องกลับคอนโดของตนเองไปตั้งแต่สองทุ่มแบบนี้ จึงได้แต่ก้าวขายาวๆ เดินตรงเข้าไปภายในร้านขายชานมไข่มุกของรุ่นพี่แวมไพร์ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี (— นับตั้งแต่ที่อีกฝ่ายนั้นยังไม่ตกเป็นทาสเมียและเป็นแวมไพร์สายแบ๊วแบบนี้) นั่นจึงทำให้ในตอนนี้ในทันทีที่ดันเต้นั้นได้ก้าวเท้าเดินเข้าไปภายในร้านชานมที่ถูกตกแต่งด้วยโทนร้านสีเหลืองและสีชมพูพาสเทลสดใสจนดูแสบตา ซึ่งขัดกับบุคลิกและนิสัยของเขาอย่างสิ้นเชิง ทำให้เมื่อได้เห็นแบบนั้น มือหนาจึงได้แต่จัดการยกมือขึ้นมาปิดตาของตนเองเอาไว้อย่างเป็นการเอ่ยแซวให้กับความน่ารักสดใสภายในร้านแห่งนี้ ในขณะที่ร่างหนาๆ ที่เต็มไปด้วยกล้ามปูของแวมไพร์รุ่นพี่อย่างพี่คลาวน์เองก็กำลังเดินอ้อมจากทางเคาน์เตอร์ข้างหลังจนมายืนอยู่ตรงหน้ากัน พลางเอ่ยทักทายเขาออกมาไปด้วยอย่างอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้ “เฮ้! ดันเต้น้องรัก! ลมอะไรหอบมากันเนี่ย ถึงได้ทำให้แวมไพร์พ่อหนุ่มนักรักอย่างนายมาโผล่หน้าในร้านชานมที่แสนสดใสของฉันได้?” ดันเต้กรอกตาไปมาอย่างนึกรำคาญ แล้วได้จัดการยื่นมือไปตบที่บ่าของแวมไพร์อายุมากกว่าตรงหน้านี้ไปด้วยอยู่สองสามทีอย่างเซ็งจิตสุดๆ “เบื่อ เลือดไม่อร่อย เจอแต่ผู้หญิงน่ารำคาญ เลือดขมปี๋ ไม่มีใครเด็ดโดนใจ แต่ละคนร้องอย่างกับกำลังจะโดนฆ่าตาย” “เพราะอย่างนี้ถึงมาหาฉันที่นี่?” “อันที่จริงแล้ว ผมก็ไม่ได้คิดที่จะมาหาพี่โดยตรงหรอกนะ แค่ต้องการเปลี่ยนสถานที่หาเหยื่อนิดหน่อยน่ะ เผื่อจะเจออะไรดีๆ ที่ไม่น่าเบื่อเข้า” “โอเค๊! แล้วจะสั่งชานมหรือเครื่องดื่มหวานๆ อะไรมั๊ย?” “ไม่ล่ะ แค่อาหารตาอย่างเดียวก็หวานมากพอแล้ว” พูดจบ ร่างสูงของแวมไพร์หนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเทาควันบุหรี่ก็ได้จัดการทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งด้านในสุดของร้านในทันที พร้อมกันกับดวงตาคู่คมและนัยน์ตาที่มีสีเดียวกันกับเส้นผมที่ได้กวาดสายตามองไปทั่วทั้งบริเวณอย่างนึกสำรวจ หากแต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของดันเต้ก็มีเพียงแต่เด็ก เด็ก เด็กแล้วก็เด็กทั้งนั้น! ทำให้เมื่อยิ่งได้เห็นออกมาแบบนั้นแล้ว ดันเต้จึงได้แต่ยกมือขึ้นมายีที่เส้นผมของตัวเองอย่างแรงๆ อยู่ประมาณสองสามที พลางจัดการเดินลากเท้าตรงเข้าไปที่หน้าเคาน์เตอร์อีกครั้ง แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูยานคางตามประสาคนที่กำลังเซ็งอย่างสุดขีดยกกำลังสองไปด้วย “ผมเปลี่ยนใจแล้วพี่คลาวน์ ขอสั่งดาร์กโกโก้แก้วนึงก็แล้วกัน” คลาวน์ยิ้มกว้างออกมาเมื่อทุกอย่างมันได้เป็นไปอย่างที่เขานั้นได้คิดเอาไว้ไม่มีผิด ในขณะที่ร่างสูงของดันเต้เองก็ได้แต่ยืนเอาตัวพิงเข้ากับเคาน์เตอร์อยู่แบบนั้นระหว่างรอเครื่องดื่มที่กำลังทำอยู่โดยแฟนสาวที่เป็นมนุษย์ของพี่คลาวน์ที่ได้ยืนอยู่ทางด้านหลังตรงโซนครัวด้านใน พร้อมกันกับดันเต้ที่ได้จัดการหยิบหลอดสีฟ้าและสีเหลืองสองอันขึ้นมาผูกกันเล่นเป็นรูปร่างแปลกๆ ไปด้วยอย่างเป็นการฆ่าเวลา โดยที่ตัวของเขาเองนั้นแทบที่จะไม่รู้ตัวเลยว่า ในขณะที่เขานั้นกำลังยืนเล่นหลอดอยู่อย่างหมดมาดของแวมไพร์หนุ่มนักรักสุดฮ็อต มันก็ได้เป็นวินาทีเดียวกันกับตอนที่ประตูกระใสนั้นได้ถูกเปิดออกมาอีกครั้งนึง ตามมาด้วยเสียงทุ้มหวานของใครบางคนที่ได้จัดการเอ่ยออกมาไปด้วย “ชานมไต้หวันไข่มุกแก้วนึงค่ะ” และเมื่อได้ยินเสียงหวานที่ได้ดังออกมาแบบนั้นอยู่ที่ข้างใบหูของตนเอง พร้อมกันกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คล้ายกันกับกลิ่นของดอกลิลลี่อันหอมหวานที่ได้ลอยเข้ามาแตะที่จมูกอย่างแผ่วเบา มันก็ได้ทำให้ดันเต้ที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมหวานอันยั่วใจของมนุษย์ผู้ที่มาใหม่ได้แบบนั้นจึงได้แต่จัดการหันใบหน้าหล่อคมเข้าไปมองที่ร่างบางของมนุษย์ตัวหอมที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน พลางจุดยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างแสดงความพึงพอใจไปด้วย อืม…ช่างเป็นเหยื่อที่ไม่เลวเลยจริงๆ“ไม่ต้องกลัวครับ ผมจะพยายามทำมันออกมาให้เบาที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากสำหรับผม…แต่ผมก็จะพยายามทำมันเพื่อคุณนะครับชานม”ความป่าเถื่อนถูกกดซ่อนเอาไว้อยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ แล้วเปลี่ยนไปเป็นถ้อยคำอันหวานล้ำที่พยายามเอ่ยอย่างหลอกล่อเหยื่อตัวน้อยของตนเองอย่างใจเย็น“อื้อ…”สำเร็จ!ดันเต้เผยยิ้มกว้างออกมาเมื่อได้ยินคำตอบรับตกลงจากมนุษย์หน้าสวยใต้ร่าง พร้อมกันกับในวินาทีถัดมาที่ร่างสูงของแวมไพร์หนุ่มผมเทานั้นได้จัดการเอื้อมมือหนาทั้งสองข้างไปกอบกุมที่มือเรียวเล็กของชานมเอาไว้ พลางออกแรงดึงให้คนตัวบางลงไปนอนราบอยู่บนเตียงนุ่มด้วยความรวดเร็ว ตามด้วยร่างของดันเต้ที่โน้มตัวลงไปคร่อมทับตาม ดวงตาของพวกเขาทั้งสองต่างจ้องมองสอดประสานกันอยู่แบบนั้นอย่างแน่นิ่งท่ามกลางความมืดมิดภายในห้องนอนที่มีเพียงแค่แสงสว่างจากแสงไฟสีอ่อนจากภายนอกระเบียงส่งผ่านมาและนัยน์ตาสีแดงชาดกับนัยน์ตากลมโตสีฟ้าน้ำทะเลที่ได้จ้องมองสบตากันอย่างสะท้อนไปที่ใบหน้าของกันและกันและเพียงแค่ชั่วอึดใจ ริมฝีปากหยักของดันเต้ก็ได้จัดการเริ่มประกบจูบลงไปที่ริมฝีปากบางอันบวมเจ่อของคนใต้ร่างอีกครั้ง จนชานมนั้นเผลอสะดุ้งเฮือกด้วยความ
“ฉันตกลงที่จะยอมให้นายกินเลือดของฉันแล้วนะ แต่ถ้าหากว่านายกัดหรือว่าทำฉันแรงๆ ล่ะก็…ฉันสัญญาว่าฉันจะถีบนายให้ตกเตียงเลยคอยดู!!”ดันเต้เหยียดยิ้มขำขันขึ้นมาในทันทีที่ได้ฟังจบ พลางจัดการยื่นหน้าเข้าไปใกล้กันกับใบหน้าหวานของคนตัวบางอีกครั้ง แล้วจัดการเอ่ยออกมาที่ข้างใบหูนิ่มด้วยน้ำเสียงแหบต่ำที่ฟังดูอันตรายไปด้วย“คงจะยากแล้วล่ะครับคนสวย เพราะว่าผมบังเอิญเป็นแวมไพร์ที่ชอบมีเซ็กส์ซาดิสม์ด้วยนี่สิ”ดวงตาคู่กลมที่มองดูคล้ายกันกับลูกแก้วสีฟ้าใสได้แต่จัดการเบิกค้างเอาไว้อยู่แบบนั้นด้วยความตกใจให้กับสิ่งที่ตนเองนั้นได้ยิน พร้อมกับในวินาทีถัดมาที่มือเรียวนั้นได้ยกขึ้นมาดันที่หน้าอกแกร่งของแวมไพร์หน้าหล่อที่กำลังเอาแต่จุดยิ้มขึ้นมาที่มุมปากด้วยความพึงพอใจ พลางพยายามที่จะโน้มใบหน้าเข้ามากัดที่ปากของเธออีกรอบนึงไปด้วยเพราะติดใจในรสชาติของเลือดที่ยังคงแตะสัมผัสอยู่ที่ปลายลิ้นอย่างหอมหวาน“แบบนี้มันเป็นการขี้โกงกันนี่!! ทำไมนายถึงไม่บอกฉันก่อนว่านายเป็นประเภทที่ชอบใช้ความรุนแรงอ่ะ!! แบบนี้ฉันจะไม่ช้ำตายคาอกของนายหรอห๊ะ!!”“อันนั้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ”“นี่!!!”“แต่ในเมื่อคุณตกลงที่จะให้ผมกินเลื
ดูเหมือนว่าเขาจะได้เจอเข้ากับเหยื่อที่น่าสนใจขึ้นมาจริงๆซะแล้วล่ะตัวก็หอม หน้าก็หวาน ผิวก็ขาวน่ากัดเห็นแล้วคันเขี้ยวเลยเนี่ย!!!และเมื่อได้เจอเข้ากับเหยื่อที่ถูกใจ ดันเต้จึงไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปประชิดเข้ากับร่างบางของมนุษย์หน้าหวานที่ยืนอยู่ข้างกัน อย่างต้องการที่จะทำความรู้จักและเข้าใกล้อย่างมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะได้แอบสูดดมความหอมหวานนั่นได้อย่างมากกว่าเดิม หากแต่ว่ายังไม่ทันที่ร่างสูงของดันเต้นั้นจะทันได้ก้าวเดินเข้าไปใกล้กันกับอีกฝ่ายขึ้นอีก มือเรียวของมนุษย์หญิงคนสวยตรงหน้าก็ได้จัดการยกขึ้นมาดันที่แผงอกแกร่งของเขาเอาไว้เสียก่อน พลางเอ่ยออกมาอย่างกับรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรต่อไปด้วย“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ ฉันไม่ค่อยถูกชะตากับพวกแวมไพร์เสียเท่าไหร่นัก”“ทำไมล่ะครับ?ใบหน้าหวานได้จัดการเบนหันมามองที่ใบหน้าของแวมไพร์หนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกันอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ในวินาทีถัดมาดวงตาคู่กลมโตเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าดูสดใสที่รับกันกับเส้นผมสีน้ำตาลเปลือกไม้ และริมฝีปากบางที่ดูคล้ายกันกับกลีบของดอกกุหลาบสีชมพูสวยจะได้จัดการเอ่ยออกมา พลางจ้องมองมาที่ใบหน้าของเขาด้วยสายตาที่แอบแฝงไปด้วยความโกรธไปด้ว
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 จนถึงศตวรรษที่ 21 ‘แวมไพร์’ เคยถูกขนานนามให้เป็นปีศาจร้ายที่บ้าเลือดและคลั่งไคล้ในการฆ่าผู้คน โดยการสูบดูดกินเลือดและฆ่าเหยื่อให้เหลือแต่เพียงแค่หนังหุ้มกระดูกของร่างที่ไร้วิญญาณและเลือดเนื้ออย่างน่าสยดสยอง ความโหดร้ายและการฆ่าล้างกันเพื่อการอยู่เอาตัวรอดในแต่ละเผ่าพันธ์ุประวัติศาสตร์ที่เคยถูกขีดเขียนมาทั้งหมดและการออกล่าตามฆ่าเหล่าแวมไพร์ที่เคยมีมาตลอดหลายร้อยปีทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้นที่ล้วนแต่เคยเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อในตำนานเรื่องเล่าเหล่านั้น ได้ถูกทำลายลงไปด้วยความเชื่อของคนสมัยใหม่ที่สวมรอยเข้ามาแทนที่กันแทน แล้วเปลี่ยนจากการที่แวมไพร์นั้นต้องเคยอยู่อย่างการเป็นผู้ล่าในรัตติกาล ไปเป็นการผลันตัวมาอาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายกับมนุษย์ โดยมีสื่อกลางที่ช่วยรักษาความปลอดภัยระหว่างกัน ที่ถูกเรียกเอาไว้อย่างเลิศหรูว่า ‘ธนาคารเลือดสำหรับแวมไพร์สายคิ้วท์ที่เบื่อหน่ายการออกล่า’ซึ่งกฏระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์ที่ถูกตั้งขึ้นมาอย่างชัดเจนนับตั้งแต่ปีศตวรรษที่ 22 นี้เป็นต้นไป นั่นก็คือ1. แวมไพร์ไม่สามารถที่จะล่าเหยื่อหรือฆ่ามนุษย์อย่างตาม







