“ปลามันว่ายเร็วเกินไป พวกเราจับไม่ได้หรอกพี่สาว” เจียวจ้านตอบพลางกลืนน้ำลาย ใช่ว่าตนไม่อยากกิน แต่กินไม่ได้ต่างหาก
“เหอะ!!” ฉู่หลิงสบถในลำคอ ส่งสายตาเหยียดหยามให้เด็กๆ คราวหนึ่ง แล้วรีบเดินข้ามลำธารสายเล็กไปยังอีกฝั่ง จัดการปลดตะกร้าบนหลังวางไว้กับพื้น
“เดี๋ยวพวกเจ้าคอยดู” หญิงสาวก้าวอาดๆ ไปริมลำธาร เลือกถอดรองเท้าผ้าปักลายสีสันสดใสวางไว้บนที่แห้ง แล้วยกชุดกระโปรงขึ้นสูงเดินลุยน้ำไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ ท่ามกลางการลุ้นระทึกของเด็กทุกคน
ฉู่หลิงใช้สายตาอันเฉียบคมของตนมองหาเป้าหมายได้ตัวหนึ่ง นางใช้มือเปล่าเพียงข้างเดียวคว้าหมับลงไปใต้น้ำ!
“ห๊ะ!!” หญิงสาวแตกตื่นจนถึงขีดสุด นางไม่เคยพลาดเป้าเลยสักครั้งนี่นา!
ใบหน้างามหันมามองใบหน้าเหยเกของเด็กๆ แล้วก็อดหน้าแดงด้วยความอับอายไม่ได้ ปลาตัวใหญ่สองตัวแหวกว่ายมาตอดนิ้วเท้าของหญิงสาวคล้ายเป็นการเย้ยหยัน ทำให้หญิงสาวโมโหสุดขีดยกขาข้างหนึ่งกระทืบลงไปใต้น้ำที่สูงเพียงเข่าอย่างแรง
“ซ่า!”
“ว้าก!”
“ตูม!”
“เพ่ย!”
เด็กสิบคนตัดสินใจนั่งลงกับพื้นดิน นั่งชมภาพการต่อสู้ระหว่างพี่สาวคนงามกับฝูงปลาที่พากันแหวกว่ายมาท้าทายหญิงสาวอย่างไม่กลัวเกรงด้วยความสนุกสนาน อีกใจก็ช่วยกันลุ้นให้พี่สาวคนสวยจับปลาขึ้นมาได้จริงๆ
"ทำไมอ่อนแอขนาดนี้กันนะ เจ็บใจจริงเชียว!!” ฉู่หลิงเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองมากขึ้น นางขาดสายตาที่เฉียบคมราวกับงูพิษ ขาดความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ที่สำคัญเวลานี้นางขาดความเย่อหยิ่งจองหองเหลือเพียงความพ่ายแพ้ที่น่าอดสูเป็นที่สุด นางแพ้ปลา!!
“พี่สาว ท่านขึ้นจากน้ำมาก่อนเถิดเจ้าค่ะ เปียกปอนหมดแล้วเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ พวกเรากินแต่ผักมาตั้งนานไม่เห็นเป็นไรเลย เราไม่กินปลาก็ได้เจ้าค่ะ” หลิ่วจีสงสารพี่สาวคนงามเป็นที่สุด
ฉู่หลิงก้มมองสภาพที่เปียกปอนไปทั้งตัวตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าก็ยิ่งรู้สึกสังเวชใจ ยินยอมเดินกลับขึ้นฝั่งมาด้วยดวงตาแดงก่ำน้ำตาพลันไหลออกมาด้วยความทุกข์ระทม
“มีเลือดก็กินไม่ได้ มีปลาให้เห็นตรงหน้าก็ยังจับไม่ได้อีก อดตายก่อนจะครบสามปีเสียแล้วกระมังเรา" แวมไพร์สาวสะอึกสะอื้นก้มลงดึงสายสะพายตะกร้าผักเตรียมยกขึ้นใส่หลัง
ความรู้สึกหนักอึ้งและอบอุ่นเข้ามาประชิดร่างงามอย่างรวดเร็วจนฉู่หลิงตื่นจากความเศร้า
“พี่สาวอย่าร้อง พวกเราเลี้ยงดูท่านได้” กลุ่มเด็กชายหญิงล้อมวงมากอดร่างงามเอาไว้ตรงกลาง ส่งเสียงปลอบใจกันยกใหญ่
ภาพความทรงจำที่นางหลงลืมไปนานพลันย้อนกลับเข้ามาในสมองของแวมไพร์สาว นางเคยเป็นเด็กที่มีพ่อแม่ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เมื่อแวมไพร์บนแผ่นดินโลกมีเพิ่มมากขึ้น พ่อและแม่ช่วยกันต่อเติมบ้านให้มิดชิดและยังสร้างห้องลับซุกซ่อนนางไว้ภายในอยู่นานนับปี
ทุกวันพ่อและแม่จะหายตัวไปเพื่อหาอาหารและมักจะกลับมาในช่วงค่ำมืด ถึงเวลากลางคืนพวกเขาก็จะเข้ามานอนในห้องลับเพื่อกอดตนเอาไว้พร้อมกับเสียงปลอบให้คลายความหวาดกลัวเหมือนเช่นเวลานี้
หัวใจที่เคยแข็งแกร่งไม่แยแสผู้ใดมาเนิ่นนานของฉู่หลิงถึงกับสั่นสะเทือนไปจนถึงเบื้องลึกของจิตใจ แต่นางก็พยายามขัดขืนไม่ยินยอมเป็นผู้อ่อนแอ
“ลุกขึ้น ข้าต่างหากที่ต้องเลี้ยงดูพวกเจ้า” หญิงสาวพยายามยืนยันความคิดเดิมเอาไว้ให้มั่น นางต้องเลี้ยงดูเด็กกลุ่มนี้ให้เติบโตจะได้มีเลือดสดๆ หอมหวานเอาไว้ดื่มในยามที่ฟื้นตัวจากฤทธิ์ยา
ได้ยินคำมั่นที่ทรงพลังยิ่งนักในความคิดของเด็กๆ พวกเขาเม้มปากทำตัวเข้มแข็งแบบเดียวกับพี่สาวหลิงหลิงทำ แต่ละคนลุกเดินไปเก็บผักและฟืนที่ถือติดมากันคนละกองขึ้นจากพื้น นำทางฉู่หลิงกลับไปยังหอหงไถต่อไป
“เราพาพี่สาวกลับเข้าไปทางประตูด้านหลังจะดีกว่า จะให้ผู้อื่นเห็นพี่สาวในสภาพนี้ไม่ได้เด็ดขาด” จูเจียวหยุดเดินแล้วชี้มือไปยังทิศทางหนึ่ง
ด้านหน้าอีกไม่ไกลเท่าใดนักก็จะเข้าสู่เขตบ้านเรือนของชาวบ้าน แม้จะไม่หนาแน่นเหมือนอย่างในตัวเมือง แต่ก็มีคนพลุกพล่านพอสมควร
อีกด้านหนึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องเดินผ่านที่ดินเพาะปลูกของชาวบ้าน ระยะทางอ้อมไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ปลอดภัยกว่าเส้นทางหลักหลายเท่าตัว เจียวจูไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าในหอหงไถมีสตรีงดงามมาอาศัยอยู่ในเวลานี้
“เจ้ากลัวพวกชาวบ้านจะมาทำร้ายข้าสินะเจียวจู” ฉู่หลิงทักขึ้นมาอย่างรู้ทัน
เจียวจูเบิกตาโพลงไม่คิดฝันว่าพี่สาวหลิงหลิงที่สติไม่ค่อยจะดีเท่าใดสามารถคิดเห็นได้แม่นยำราวกับอ่านใจตนออก
“ดีแล้ว เจ้ารอบคอบมากสมควรแล้วที่ข้าคิดจะให้เจ้าเป็นสมุนมือหนึ่งของข้า” หญิงสาวยกนิ้วโป้งให้เด็กสาวคราวหนึ่ง ท่าทางภูมิอกภูมิใจอย่างหนัก
แต่กิริยายกนิ้วกับคำกล่าวทะแม่งๆ ของพี่สาวหลิงหลิง ก็ทำให้เจียวจูต้องหัวตกลงไปอีกครั้ง ต่อให้ฉลาดแล้วอย่างไร พี่สาวก็ยังเป็นคนแปลกพิลึกอยู่ดี
……….
เส้นทางจากป่าจนมองเห็นกำแพงสูงที่เจียวจ้านชี้บอกกับฉู่หลิงว่าสถานที่แห่งนั้นคือหอหงไถ หญิงสาวคะเนคร่าวๆ ว่าระยะทางรวมทั้งหมดน่าจะไม่เกิน 5 กิโลเมตร แต่กว่าจะมาถึงนางก็แทบจะคลานมาอยู่แล้ว หากไม่ได้เด็กๆ ที่ดูเหมือนว่าจะอ่อนแอกว่าตนสลับกันมาช่วยพยุงและให้กำลังใจ นางคงต้องเดินมาไม่ถึงเป็นแน่
“ถึงแล้วหรือ ขอข้าพักสักเดี๋ยวได้หรือไม่ ข้าหายใจไม่ทัน” ฉู่หลิงทิ้งร่างลงกับพื้นดินอย่างไม่คิดจะเอาอะไรอีกแล้ว สภาพนางเวลานี้ด้วยเส้นผมและเสื้อผ้าที่เปียกชุ่ม เมื่อคลุกลงกับฝุ่นดินที่ล้มลุกคลุกคลานมาเกือบตลอดทางก็ยิ่งมอมแมมดูไม่ได้
“เจียวจ้าน เสื้อผ้าชุดนี้ข้ารับรองจะซักคืนเจ้าให้สะอาดเอี่ยมเลย ขอบใจมากนะ” ฉู่หลิงยอมแพ้ให้กับความมีน้ำใจของเด็กๆ นางนั่งอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจขอโทษและกล่าวคำขอบคุณเด็กชายที่คอยดูแลตนไม่ห่างมาตลอดทาง
“ไม่เป็นไรพี่สาว เสื้อผ้าในหอหงไถมีตั้งมากมาย ท่านไม่ซักก็มีพอใส่ได้หลายเดือนเชียวล่ะ” เด็กชายยื่นหน้ามาใกล้พี่สาวคนงามทันทีที่อีกฝ่ายเริ่มพูดคุยกับตนด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรกว่าเก่า
“อืม เอาล่ะข้าดีขึ้นแล้ว พวกเราไปต่อกันเถิด อีกนิดเดียวก็จะถึงอยู่แล้วเชียวข้านี่แย่จริง” หญิงสาวสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ส่งกำลังใจให้ตัวเองฮึดสู้ต่อ
เจียวจ้านและเด็กชายอีกสองคนวิ่งนำหน้ากลุ่มสตรีไปเปิดประตูต้อนรับสมาชิกใหม่ เด็กหญิงหลายคนรวมทั้งเจียวจูก็รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น พวกนางอยากจะอวดน้องๆ ที่อยู่ด้านในจะแย่อยู่แล้วว่าต่อจากนี้ไปจะมีพี่สาวเข้ากลับเข้ามาอยู่ในหอหงไถอีกครั้ง
“อ้าว! พี่สาวหลิงหลิงเล่า?” เจียวจูหันมองย้อนกลับมาหาฉู่หลิง แต่กลับไม่พบว่านางเดินตามมาแต่อย่างใด
เด็กเก้าคนที่เหลือซึ่งกำลังจะวิ่งไปส่งข่าวให้พี่น้องที่วิ่งสวนออกมาต้อนรับการกลับมาของพวกตน พลอยหยุดชะงักจนเกือบล้ม พวกเขาเดินออกไปนอกประตูไม้ด้านหลังอีกครั้ง
“พี่สาวหลิงหลิง ท่านกำลังทำอะไรอยู่เจ้าคะ” จูเจียวต้องอ้าปากตาค้างไปอีกรอบกับท่าทางแปลกประหลาดของพี่สาวคนงาม
ฉู่หลิงปลุกกำลังใจให้ตนเองฮึดสู้จนลืมตัวไปนิด แวมไพร์อย่างนางเคยกระโดดข้ามกำแพงได้สบายๆ ยิ่งในโลกที่ไม่มีมนุษย์หลงเหลืออยู่ ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทผู้ดีอันใด นางไม่เคยเดินเข้าทางประตู!! แต่เวลานี้นางโดดข้ามกำแพงไม่ขึ้น!!
ภาพหญิงสาวผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าบนร่างกายทั้งสกปรกทั้งเปียกปอน กำลังยกมือสองข้างตะเกียกตะกายอยู่ข้างกำแพง ปรากฏต่อหน้าเด็กสิบคนแรก นอกจากนี้ยังมีเด็กชายหญิงอีกเก้าคนที่วิ่งย้อนออกมาจากด้านในตามมาสมทบอีกกลุ่มใหญ่
“หมดกัน!!” เด็กสิบคนกลุ่มแรก ยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเอง ออกเสียงพร้อมกับส่ายหน้าโดยพร้อมเพรียง
เกือบจะดีอยู่แล้วเชียวพี่สาว! เมื่อครู่ท่านยังแสดงท่าทางอ่อนโยน พูดคุยกับเจียวจ้านด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอยู่เลย เวลานี้เกิดคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมาอีกแล้วเล่า? ภาพหญิงงามที่พวกตนอยากให้น้องๆ ที่เหลือเห็น จบสิ้นกันพอดี!!
“ขอโทษ ข้าเข้าผิดทางไปหน่อย” ฉู่หลิงรู้ตัวแล้วว่าตนเองพลาดไปอีกครั้ง นางก้มหน้าจนปลายคางชิดกับอก เดินลากขากับรองเท้าที่มีแต่คราบดินมาหาเด็กๆ ด้วยความอับอายขั้นสุด
“ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลยเจ้าค่ะพี่หลิงหลิง ท่านยิ่งอธิบายผู้อื่นก็ยิ่งสับสนไปกันใหญ่” หลิ่วจีเดินเอาศีรษะมาแนบกับท่อนแขนคนงามให้กำลังใจ ผิดทาง? พี่สาวไม่เข้าทางประตูแล้วมีทางอื่นให้เดินเข้าด้วยเช่นนั้นหรือ? หลิ่วจีรู้สึกว่าวันนี้ตนมีเรื่องให้คิดหลายเรื่องเหลือเกินแล้ว
“ข้าขอโทษ..ข้าขอโทษ เจ้าเชื่อข้าเถิด ข้าก็จะปกป้องพวกเขาเช่นกัน แต่ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้ฉู่หลิง” โจวเฉิงเปิดเผยคำพูดออกมาจากหัวใจจริงๆเจียวจ้านเข้าใจเจตนาดีของโจวเฉิงเช่นกัน และเขาเองก็ยินดีด้วยซ้ำที่โจวเฉิงเลือกทำเช่นนี้ พวกเขาต้องพลัดพรากจากพี่น้องทั้ง 6 มีพี่สาวฉู่หลิงอยู่กับพวกตนอีกคนก็ยังดีกว่า“เรากลับไปที่จวนกันเถิด” เจียวจ้านสั่งน้องที่เหลือ แล้วเดินออกจากอุโมงค์ไปพร้อมกับผู้พิทักษ์ชุดสีม่วงคนอื่น ๆ ที่รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดด้วยกันโจวเฉิงปล่อยให้หญิงสาวระบายความเศร้าโศกออกมาเต็มที่อยู่อีกเนิ่นนาน เขาไม่กล้าปล่อยมือออกจากร่างงามแม้เพียงเสี้ยวอึดใจด้วยเกรงว่าฉู่หลิงจะหนีไปหาพี่น้องปีศาจดูดเลือดของนาง“ข้ารู้ว่าท่านหวังดี พวกเขาจากไปไกลแล้ว ปล่อยข้าเถิด” ฉู่หลิงเลิกล้มความตั้งใจเดิม อย่างไรนางก็ยังมีน้องอีก 13 คนและท่านยายเฉินอยู่ที่นี่“ไม่ปล่อย เจ้าดื่มเลือดข้าก่อน” ชายหนุ่มลูบฝ่ามือไปที่คมดาบจนเกิดบาดแผล ก่อนจะยื่นมือเปื้อนเลือดส่งให้หญิงสาวฉู่หลิงปรายตามองเลือดสีแดงสดบนฝ่ามือของอีกฝ่ายสายตาหยามหยัน“ข้าไม่ดื่มเลือดจากมือท่าน ก่อนจะกลับเป็นมนุษย์ให้ข้าได้กัดผู้พิทักษ์สักครั้
ฉู่หลิงรอน้องทั้งหกกับกลุ่มของมู่เจียเหยียนอยู่ภายในจวนผู้ตรวจการพิเศษอีกสามวันพวกเขาก็ยังไม่กลับมาจนหญิงสาวเริ่มร้อนใจ“ท่านยาย ข้าสังหรณ์ใจว่าพวกเขาจะกลับเข้าไปอยู่ในถ้ำ ข้าจะกลับไปดูสักครั้ง ฝากเด็กๆ ทางนี้ด้วยนะเจ้าคะ” ฉู่หลิงยังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางมีสัมผัสบางเบาเป็นครั้งคราวว่าเจียวจูกับคนอื่น ๆ อยู่ใกล้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงยังไม่กลับมา“พี่หลิงหลิง ข้าไปด้วยขอรับ” เจียวจ้านกับเด็กคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดของฉู่หลิงกับท่านยายเฉินเข้าพอดี พวกเขารีบรุมล้อมมาข้างตัวฉู่หลิงจนอีกฝ่ายแทบจะหมดแรงจากพลังของผู้พิทักษ์ที่ยืนรายล้อมรอบตัว“ไปสิ ไปด้วยกัน หากพวกเขาอยู่ที่นั่นก็จะได้ใช้เลือดของพวกเจ้าในการแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้พอดี” หญิงสาวยิ้มรับคำอบอุ่นเดินทางมาถึงเขตลำธารสายเล็กที่ทุกคนเคยมาจับปลาด้วยกัน ฉู่หลิงก็รู้สึกถึงตัวตนของปีศาจดูดเลือดชัดเจนยิ่งขึ้นและยิ่งมั่นใจว่าน้องที่เหลือยังคงอยู่ในถ้ำ และไม่แน่ว่ามู่เจียเหยียนกับพวกฉีฟ่งก็จะอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน“พี่เจียวจู ทำไมไม่กลับไปหาพวกเรา เรารอมาสองวันแล้วนะเจ้าคะ” ตงเหม่ยวิ่งเข้าไปหาเจียวจูก่อนผู้ใด “มือปราบมู่ ท่านอาฟ่ง เด
“ช้าก่อน!! พวกที่หลบหนีไปในตอนนี้อย่างไรพวกมันก็ต้องเลือกหาที่หลบซ่อนตัวเป็นอันดับแรก ยังไม่สร้างความเดือดร้อนให้เราค้นหาได้ง่ายเป็นแน่” ท่านยายเฉินก้าวออกมาอีกคนหนึ่งสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง“เราต้องกลับไปที่จวนผู้ตรวจการกันสักครู่ แม้เราจะไม่ต้องดื่มกินอาหาร แต่เรายังมีความกระหายอยู่ ที่นั่นมีกระต่าย!”หวังหยวนอยากจะตบมือดังๆ ให้ท่านยายเฉินเสียเหลือเกินที่ออกหน้าเป็นตัวแทนของคนในหมู่บ้าน พวกเขากระหายเลือดจริงๆ นั่นล่ะ สู้กันมาครึ่งค่อนคืนจนถึงเช้ากลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่วเมืองสือเจีย พวกตนได้แต่ข่มกลั้นความกระหายเอาไว้จนเขี้ยวสั่นแล้วที่จวนผู้ตรวจการก็มีสิ่งที่พวกเขาต้องการโดยไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใด กระต่ายอ้วนพี 4 คอก แบ่งๆ กันดื่มก็ยังพอช่วยดับกระหายให้มีแรงสู้ต่อไปได้อีกหน่อยพอพูดถึงกระต่ายแวมไพร์สาวก็รู้สึกปวดไส้หิวกระหายขึ้นมาบ้างแล้ว นางพยักหน้าตอบรับท่านยายเฉินครั้งหนึ่ง กลุ่มปีศาจดูดเลือดที่มีทั้งทหาร ชาวบ้านและเด็กๆ ก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วทางทิศของอำเภอซิ่งอัน“ใต้เท้า นาง..มือปราบมู่..เด็กๆและชาวบ้าน?” ผู้พิทักษ์ฝ่ายตรวจการพิเศษที่ยังไม่รู้เรื่องของชาวอำเภอซ
“ท่านลุง ท่านป้า ข้าเองเจียวจ้าน!” เจียวจ้านกับฝานเจิ้งสลับกันตะโกนร้องเรียกหาสองสามีภรรยาไม่หยุดพวกเขารู้ดีว่าชาวบ้านได้รับคำเตือนให้ซ่อนตัวให้มิดชิด แต่หากยังไม่ได้เห็นคนทั้งสองกับตาว่าปลอดภัย เด็กชายทั้งสองคนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี“เจียวจ้าน ฝานเจิ้ง! มาทำอะไรที่นี่! เข้ามาหลบในนี้ก่อนเร็วเข้า!” เถ้าแก่หลี่โผล่หน้าออกมาจากเตาดินเผาขนาดใหญ่ กวักมือเรียกเด็กชายทั้งสองให้เข้ามาซ่อนตัวด้วยความร้อนใจ“พวกท่านปลอดภัย ข้าดีใจเหลือเกินขอรับ” เจียวจ้านถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เวลานี้มีปีศาจที่บุกรุกเข้ามาด้านในมากขึ้นแล้ว ระหว่างทางพวกเขายังได้สังหารพวกมันไปหลายคนเลยทีเดียว“เจ้าสองคนเข้ามาในนี้ก่อนเร็วเข้า อย่าชักช้าอยู่” เถ้าแก่หลี่เร่งเด็กชายทั้งสอง ด้านนอกเริ่มมีเสียงกรีดร้องของผู้คนดังเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วเจียวจ้านกับฝานเจิ้งยิ้มแห้งให้สองสามีภรรยา ดูเอาเถิดเตาดินเผาแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่พอมีคนสองคนเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ก็ไม่สามารถบดบังร่างพวกเขาได้มิดชิด เท้าของเถ้าแก่หลี่ที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าก็ยังโผล่พ้นออกมาด้านนอกอยู่เลย แล้วจะให้เขาสองคนเข้าไปข้างในอีกได้อย่างไรกันขณะนั้นเองปีศาจดูดเลื
เห็นความตั้งใจจริงของทุกคนฉู่หลิงก็ยินยอมแต่โดยดี เอาจริงก่อนจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้นางก็ไม่คิดฝันมาก่อนว่าการย้อนเวลามาครั้งนี้จะมีมนุษย์ตัวเป็นๆ มายื่นคอให้นางกัดโดยไม่ต้องล่าทหารและชาวบ้านร้อยกว่าชีวิต เข้าแถวมาทีละคนเพื่อให้ฉู่หลิงดื่มเลือดพวกเขา แวมไพร์สาวรู้สึกอิ่มจนพุงกาง สุดท้ายก็ต้องให้หวังหยวนมาช่วยแบ่งเบาภาระเพิ่มอีกคน เพราะทุกคนในที่นี้มีเพียงหวังหยวนเพียงผู้เดียวที่เคยได้ลิ้มลองเลือดมนุษย์ไปแล้ว นางไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาแปดเปื้อนเพิ่มขึ้นอีก“พร้อมกันแล้วใช่หรือไม่” แวมไพร์สาวกระโดดขึ้นไปอยู่บนกำแพงจวน ส่งเสียงคำรามและปลุกระดมความฮึกเหิมให้กับเหล่าสาวกเบื้องล่าง“แฮ่!!!” ทหารชาวบ้านและเด็กๆ ที่กลายเป็นปีศาจดูดเลือดทั้งหมด แยกเขี้ยวกางเล็บส่งเสียงคำรามตอบกลับ สตรีชาวบ้านบางคนอย่างเช่นนางจวงหญิงอ้วนที่ไม่เคยกระโดดพ้นยอดหญ้า รีบทดลองปีนป่ายขึ้นกำแพงก่อนจะหัวเราะชอบใจชักชวนให้สตรีคนอื่น ๆ ทดลองตามอย่างบ้าง“เราจะช้าไม่ได้แล้ว ระหว่างทางพวกท่านค่อยๆ ปรับสภาพร่างกายกันเอาเองก็แล้วกัน อ้อ! ทุกคนตัดต้นไผ่ติดมือกันไปให้มากที่สุดด้วย ไป!!” แม้จะไม่เข้าใจว่าฉู่หลิงให้พวกตนตัดต้นไผ่ไ
“พวกเขาเป็นปีศาจดูดเลือดก็จริง แต่พวกเขาอยู่ฝ่ายเรา เรื่องนี้ข้าจะอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจภายหลัง” โจวเฉิงรีบหันเหความสนใจของคนทั้งห้ากลับมาที่ตนเองอีกครั้งผู้พิทักษ์ทั้งห้าคนหันมองหน้ากันไปมา คำกล่าวของโจวเฉิงก็คล้ายว่าจะจริง ปีศาจดูดเลือดทุกคนที่พวกตนเห็นอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นทหารและเด็กที่อยู่ในจวนผู้ตรวจการมาก่อนทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีท่าทีจะเข้ามาโจมตีแต่อย่างใดแต่นี่มันแปลกประหลาดเกินไปหรือไม่ ในตำนานหรือตำราไม่เคยมีบันทึกมาก่อนว่าสายเลือดผู้พิทักษ์กับปีศาจดูดเลือดจะร่วมงานกันได้อย่างสันติ!“ไม่เคยเห็นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หนึ่งในห้ายักไหล่ขึ้นมา เป็นอันสรุปว่าพวกเขายินยอมเชื่อคำของโจวเฉิงซึ่งเป็นผู้นำ“ทำไมพวกเจ้าทั้งห้าจึงมาทางนี้ ใช่ว่าเวลานี้ควรช่วยกันปิดทางแพร่กระจายของเหล่าปีศาจดูดเลือดไม่ให้ลุกลามไปยังเขตเมืองอื่นอยู่หรอกหรือ” “คนของเราแบ่งกำลังไปสกัดเส้นทางไปเมืองทั้งสามโดยรอบเอาไว้แล้วขอรับ จุดศูนย์รวมของพวกมันเวลานี้กระจายอยู่เป็นกลุ่มในเขตเมืองสือเจียมากที่สุด และเวลานี้พวกมันพุ่งเป้าไปที่กำแพงเมืองเป็นจำนวนมาก พวกเรากำลังจะตามไปสนับสนุนที่เมืองสือเจียเลยแวะมารายงานท่านก