“หลิ่วจี..เจ้าเอามีดมาเสียบอกข้าไปเสียเลยดีกว่ามาเตือนให้ข้าต้องปวดใจเช่นนี้นะ” หญิงสาวร่ำร้อง รู้สึกเจ็บจี๊ดเข้าไปถึงขั้วหัวใจอย่างสุดซึ้ง
“อ๊ะ!!” ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาคุยกับหลิ่วจี หญิงสาวก็ตกใจกับภาพตรงหน้าจนร่างสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
ก้อนเลือดสีแดงสดใสอีก 9 ก้อน!! ทีแรกนางมีก้อนเลือด 10 ก้อนเดินรายล้อมอยู่รอบกายก็สุขใจเหลือเกินแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่าภายในหอหงไถนี้ยังมีลาภปากเพิ่มขึ้นมาอีกถึง 9 ก้อนเลยทีเดียว!
“พ..พ..พวกเจ้า อาศัยอยู่ที่นี่กันทั้งหมดเลยหรือ” หญิงสาวยื่นมืออันสั่นเทาของตนเองออกไปลูบคลำศีรษะของเด็กหน้าใหม่อีก 9 คนที่เพิ่งได้พบหน้า
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ พี่สาว!!” เด็กชายหญิงเก้าคนเองก็ดีใจไม่น้อยที่เห็นมีหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่แล้วเข้ามาเยี่ยมเยียนพวกตนในหอหงไถ พวกเขาเต็มใจลืมภาพเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่กับทำเป็นมองไม่เห็นเศษใบไม้และฝุ่นดินที่เกาะเต็มอยู่ทั่วร่างของพี่สาวผู้มาใหม่
ฉู่หลิงดีใจจนเนื้อเต้น แก้มสั่นระริกด้วยความมันเขี้ยว ได้แต่ร่ำร้องหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความดีใจ มนุษย์! มนุษย์ตัวเป็นๆ ตั้งแต่ถูกกัดตอนอายุ 12 บัดนี้นางอายุ 19 ปีแล้ว 7 ปีที่ผ่านมาในโลกก่อนมีโอกาสพบเจอมนุษย์ตัวเป็นๆ อย่างนี้ได้ง่ายๆ เสียเมื่อไรเล่า?
“เจียวจ้านเจ้ารีบไปก่อไฟตั้งน้ำอุ่นๆ ให้พี่สาวหลิงหลิงได้อาบก่อนจะดีกว่า ดูสินางหนาวสั่นไปทั้งตัวแล้ว” เจียวจูรู้สึกสงสารฉู่หลิงขึ้นมาจับจิต เมื่อเห็นอีกฝ่ายตัวสั่นไปจนถึงรากฟัน
ฉู่หลิงถูกเด็กๆ เดินห้อมล้อมจับจูงเข้าไปในห้องพักห้องหนึ่งในชั้นล่างของหอหงไถ ด้านในมีอ่างอาบน้ำที่ทำจากไม้ขนาดพอเหมาะอยู่หนึ่งใบ นั่งเคลิ้มฝันถึงอนาคตอันหอมหวนของตัวเองอยู่ไม่นาน ครู่เดียวเจียวจ้านกับเด็กชายอายุพอๆ กับเขาอีกสองคนก็ช่วยกันหาบน้ำมาผสมใส่อ่างให้นางได้ชำระร่างกาย
ขณะที่ร่างงามลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำ นอกหน้าต่างก็มีศีรษะเล็กๆ ของเด็กหญิงอีกหลายคนโผล่หน้ามาคอยแอบมองจนหญิงสาวรู้สึกขำกับการพยายามยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ ดวงตาที่โผล่พ้นง่ามนิ้วมือเล็กๆ สอดส่ายเข้ามาในห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น คล้ายว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ตนมองไม่เห็นพวกนาง
“นี่แน่ะ!!” ฉู่หลิงวักน้ำในอ่างสาดไปทางหน้าต่างที่มีศีรษะเล็กๆ โผล่ออกมา
“ไอหย๋า!! พี่สาวเห็นพวกเราแล้ว หนีก่อนเร็ว”
เสียงเล็กแหลมเบาหวีดหวิวนั้นจะเป็นผู้ใดไม่ได้นอกจากหลิ่วจี ดูท่านางจะเป็นหัวโจกที่พาน้องสาวตัวเล็กๆ อีกหลายคนมาที่นี่นั่นเอง
เมื่อไม่มีคนกวนใจ ฉู่หลิวก็หลับตาพริ้มดื่มด่ำกับความสุขที่ตนไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้มายาวนานเช่นกัน
“พี่สาวท่านอาบน้ำเสร็จหรือยังเจ้าคะ ข้าเอาเสื้อผ้ามาให้ผลัดเปลี่ยน” เจียวจูเคาะประตูหน้าห้องที่ฉู่หลิงอยู่ด้านใน
“ข้าเสร็จแล้วเจียวจู เจ้าเข้ามาได้เลย” หญิงสาวร้องบอก แต่ตนเองยังคงนั่งแช่ตัวอยู่ในน้ำ
อันที่จริงฉู่หลิงก็ไม่คิดจะอายกับการเผยร่างกายต่อหน้าเจียวจู แต่นางพบแล้วว่าเด็กสาวผู้นี้โตเกินอายุ และยังเจ้าระเบียบวินัย นางจึงเลือกซ่อนกายอยู่ใต้น้ำต่อไป
เจียวจูเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเสื้อผ้าและรองเท้ากองหนึ่ง นางส่งของเสร็จก็รีบเดินออกจากห้องและปิดประตูให้เรียบร้อยโดยไม่เคลื่อนย้ายสายตาไปที่ฉู่หลิงแม้แต่นิดเดียว การกระทำอันละเอียดอ่อนรอบคอบของเด็กสาวดูเป็นธรรมชาติราวกับนางทำเรื่องเหล่านี้เป็นประจำมาเนิ่นนาน
ฉู่หลิงเลือกสวมชุดสีเหลืองอ่อนที่ดูธรรมดาที่สุดในผ้ากองโตหลากสีสันที่เจียวจูนำมาให้นางเลือก ผ้าคาดเอวรองเท้ารวมทั้งผ้าผูกผมจูเจียวก็จัดให้เป็นชุดๆ หยิบใช้ได้อย่างง่ายดาย
พอเปิดประก้าวออกจากห้องพักที่เข้าไปอาบน้ำเมื่อครู่ หญิงสาวก็เพิ่งได้เห็นสภาพภายในหอหงไถที่เมื่อครู่ตนตัวมัวแต่หน้ามืดตาลายมองเห็นสิ่งใดก็มีแต่ภาพก้อนเลือดวิ่งไปวิ่งมา
“แม่เจ้า!!” นางรู้สึกตงิดๆ กับความรู้สึกที่ต้องแตกตื่นของตนเกือบจะทุกครึ่งชั่วโมงเหลือเกินแล้ว บ้านใหม่ของนางมีเรื่องให้น่าตกใจบ่อยจนเกินไป
หอหงไถเป็นอาคารสองชั้นขนาดใหญ่โตสมควร ด้านล่างมีห้องโถงกว้างขวางมีเวทีเตี้ยๆ คาดเดาว่าเป็นพื้นที่สำหรับแสดงการร่ายรำหรือบรรเลงเครื่องดนตรี ตรงกลางมีโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกทิ้งเอาไว้กองระเกะระกะอยู่จำนวนหนึ่ง รอบๆ ส่วนโถงตรงกลางมีห้องแยกขนาดเล็กลงไปอีกนิดหน่อยคล้ายว่าเป็นห้องส่วนตัวซึ่งสามารถจุคนได้ราว 8-10 คนอีกหลายห้อง
นางเห็นช่องทางเดินแคบๆ ซึ่งมีผ้าม่านขาดๆ กั้นเอาไว้สำหรับเดินไปทางด้านหลัง ซึ่งน่าจะเป็นส่วนพื้นที่ของครัวหรือห้องเก็บของอะไรทำนองนั้น
ด้านบนมีบันไดทางขึ้นจากมุมหนึ่งของโถงชั้นล่าง มีผ้าสีสันสดใสที่เก่าซีดและบางส่วนก็ขาดไปบ้างจากการไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ประดับเอาไว้ตลอดทางตั้งแต่ราวบันไดไปจนตลอดริมระเบียงทางเดินที่ล้อมเป็นวงกลม หากขึ้นไปยืนอยู่ด้านบนก็สามารถมองเห็นพื้นที่โถงตรงกลางในชั้นล่างได้ทั่วถึงเช่นกัน นางประเมินด้วยสายตาว่าด้านบนก็เป็นห้องหับที่แบ่งเป็นห้องเล็กๆ อีกมากกว่า 10 ห้อง
สิ่งที่น่าตกตะลึงนั้นไม่ใช่ขนาดความใหญ่โตของหอหงไถหรือจำนวนห้องที่มากมายแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ฉู่หลิงตกตะลึงพรึงเพริดอย่างหนักก็คือ สภาพความเละเทะของสถานที่แห่งนี้โดยเฉพาะห้องโถงตรงกลางที่เป็นพื้นที่ส่วนรวมที่กว้างขวางที่สุด
เมื่อครั้งที่แม่เล้าและนางคณิกาเดินทางออกจากหอหงไถไป พวกนางคงจะนำของติดตัวไปได้เฉพาะส่วนที่เป็นสมบัติของตนจริงๆ ได้เท่านั้น เครื่องประดับประเภทแจกัน โคมไฟ ภาพวาด ผ้าปูโต๊ะ ถ้วยจาน โต๊ะเก้าอี้ ทุกสิ่งอย่างถูกทิ้งเอาไว้ในหอหงไถทั้งหมดและกลายเป็นสนามเด็กเล่นขนาดย่อมของเด็กๆ 19 คน
หญิงสาวตกใจกับพลังการทำลายล้างจากน้ำมือมนุษย์ตัวจ้อยเหล่านี้ต่างหาก!!
“พวกเจ้าหยุดอยู่นิ่งๆ กันเดี๋ยวนี้เลย หากใครไม่เชื่อฟังวันนี้ข้าจะไม่ให้กินข้าว!” เจียวจูรู้สึกอับอายจนหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นพี่สาวหลิงหลิงยืนค้างนิ่งอยู่เนิ่นนาน
สาบานได้ นางพยายามสั่งสอนน้องๆ ให้ช่วยกันทำความสะอาดแล้วจริงๆ นะ แต่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันมันก็กลับกลายมาเป็นสภาพสกปรกเลอะเทอะได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินว่าจะไม่ได้กินข้าว เด็กๆ ที่กำลังเอาถ้วยจานมาปาเล่นกันอยู่ก็หยุดชะงักและรีบวางสิ่งของในมือ เดินมาเข้าแถวต่อหน้าฉู่หลิงโดยพร้อมเพรียงกัน
“พวกเขาทิ้งเด็กหลายคนไว้ลำพังแบบนี้ได้อย่างไรกัน” ฉู่หลิงพยายามมองในแง่มุมของมนุษย์ที่นางเคยเป็นมาก่อน แน่นอนว่าเจียวจูคือเด็กหญิงที่โตที่สุดในที่นี้แล้วนางก็ยังเพิ่งอายุ 12 นอกนั้นก็ลดหลั่นกันลงมาและที่ดูเด็กที่สุดก็น่าจะมีอายุราว 5-6 ปีเท่านั้น พวกเขา 19 ชีวิตซึ่งไม่มีรายได้จะอยู่กันได้อย่างไร และอยู่มาได้อย่างไรถึงสามปี หญิงสาวรู้สึกหดหู่ไม่น้อย
“แต่เดิมมีพวกเราอยู่ที่นี่กันแค่ 8 คนเจ้าค่ะ ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ถูกคนนำมาทิ้งไว้เพิ่มขึ้นเรื่อย จนตอนนี้พวกเราก็มีกัน 19 คนแล้ว” เจียวจูชี้มือไปที่เด็กหลายคน
เด็กชายหญิงทั้งหมดแปดคน ซึ่งรวมเจียวจู เจียวจ้านและหลิ่วจีที่ฉู่หลิงจำชื่อได้ขึ้นใจแล้ว พวกเขาแยกกันมายืนอยู่ฝั่งหนึ่งเป็นการแสดงตัวว่าเป็นเด็กดั้งเดิมแปดคนของหอหงไถ
คำกล่าวนี้ยิ่งทำให้ฉู่หลิงแปลกใจยิ่งกว่าเก่า เด็กแปดคนก็ยังพอทำเนา ยังมีคนใจร้ายนำลูกหลานของตนมาทิ้งให้อดตายหมู่เพิ่มขึ้นอีกด้วยเช่นนั้นหรือ?
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องแบ่งแยกว่าใครมาก่อนมาหลัง อย่างไรพวกเจ้าก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วไม่ใช่หรือ เอาอย่างนี้เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงยืนแยกกันก่อน ข้าจะดูว่าพวกเจ้ามีจำนวนเท่าใด” กล่าวตามตรงสำหรับเด็กกลุ่มนี้ทรงผมที่ไว้ยาวแตกแห้งจนเป็นสีเหลืองราวกับฟางข้าว กับการแต่งกายด้วยเสื้อคลุมตัวยาวนางแยกไม่ออกว่าคนไหนเป็นเด็กชาย คนไหนเป็นเด็กหญิง
ได้ยินคำสั่งของพี่สาวคนงาม เด็กทุกคนก็รีบจัดการแยกตัวเองเป็นสองกลุ่มอย่างว่าง่ายเป็นที่สุด
พอแยกเป็นกลุ่มหญิงชายฉู่หลิงก็นับเด็กหญิงได้ทั้งหมด 7 คน ส่วนอีก 12 คนล้วนเป็นเด็กชายทั้งหมด ฝ่ายเด็กหญิงมีเจียวจูอายุ 12 ปีเป็นหัวหน้ากลุ่ม ด้านเด็กชายก็มีเจียวจ้านอายุ 10 ปีเป็นหัวหน้ากลุ่ม ด้วยจำนวนเด็กชายที่มีมากกว่าและอยู่ในวัยซุกซนโดยไม่มีผู้ใหญ่ควบคุม นางก็ไม่แปลกใจสำหรับพลังทำลายล้างอันเกินต้านของพวกเขาแล้ว“จากนี้ข้าจะขอเข้ามาอาศัยอยู่ในหอหงไถร่วมกับพวกเจ้า และแน่นอนว่าจะมีการจัดระเบียบสถานที่และอีกหลายๆ อย่าง ข้าอยากขอให้พวกเจ้าช่วยข้าด้วยได้หรือไม่” ในเมื่อนางต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสามปี นางจะไม่ทนนอนอยู่กับขยะกองใหญ่เช่นนี้เป็นแน่ เด็กๆ ก็ควรมีสุขอนามัยที่ดีขึ้นเช่นกัน เลือดมนุษย์กลุ่มแรกที่นางจะลิ้มลองสมควรเป็นอาหารเกรดเอ!เด็กๆ ไม่ได้ตอบรับคำแวมไพร์สาวพวกเขามองหน้ากันแล้วจับกลุ่มเป็นวงกลมเหมือนที่เคยทำ“ข้าบอกแล้วให้เก็บกวาดหอหงไถให้สะอาด ไม่อยากนั้นจะไม่มีพวกพี่ชายมาเที่ยวที่นี่” เด็กหญิงในกลุ่มคนหนึ่งส่งเสียงตำหนิกลุ่มเด็กชาย“ก็เมื่อก่อนไม่มีพี่สาวนี่นา ไม่มีพี่สาวก็ไม่มีคนมาที่นี่อยู่แล้ว” เด็กชายตัวเล็กทำหน้าเบี้ยวหาข้ออ้างมากลบเกลื่อนความผิดของพวกตน“พวกเจ้าอย่าโง่ ข้า
เจียวจูอดร้องไห้ออกมาไม่ได้ นางเหนื่อยจริงๆ กับหน้าที่รับผิดชอบที่ใหญ่เกินตัวหลายเท่าครั้งนี้ แต่นางไม่สามารถทอดทิ้งน้องๆ ไปได้ ได้ยินคำชมเป็นครั้งแรกในรอบสามปี เด็กหญิงถึงกับโผเข้ามาซุกในอ้อมกอดของฉู่หลิงโหยหาคำปลอบใจจากใครสักคนบ้างแวมไพร์สาวลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น นางไม่ได้รู้สึกกระหายเลือดแต่นางกำลังหวั่นไหว!! ความรู้สึกถึงความรักเอื้ออาทรระหว่างคนในครอบครัวที่หลงลืมไปนานย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำของนางอีกครั้ง “ไม่ต้องร้อง มีข้าแล้ว ข้าจะสนับสนุนเจ้าทุกอย่าง ข้าจะเป็นมือที่ค้ำฟ้าไม่ให้ถล่มใส่เจ้าและน้องๆ ทุกคนเอง” “พี่สาว..มีที่ใดกันท้องฟ้าถล่มใส่คน” เด็กสาวหัวเราะออกมาได้ในที่สุด แม้ว่าพี่สาวจะสติไม่ค่อยดี แต่นางกลับรู้สึกว่าคำกล่าวเมื่อครู่ช่างน่าฟังเสียเหลือเกิน“เอาล่ะๆ ล้างสะอาดแล้ว ทีนี้เจ้าเล่าเรื่องไปเก็บข้าวข้างกำแพงสิ มันยังไงกัน”“นั่นไงเจ้าคะ พวกเขากลับมานู่นแล้ว” เด็กสาวพยักพเยิดใบหน้าไปในครัว ตามเสียงเอะอะโวยวายของเด็กชายที่หอบถุงผ้าเล็กๆ ไว้ในมือมาคนละถุงด้วยความดีใจเวลาต่อมาฉู่หลิงจึงได้รู้ว่า เป็นเพราะหอหงไถถูกยึดไปเป็นของหลวง บ่อยครั้งนายอำเภอเขตซิ่งอันก
“ต้มผักก็ไม่ยากเลยนี่ พวกเจ้ากินสิ่งนี้กันทุกวันเช่นนั้นหรือ” หญิงสาวจัดการต้มผักป่าในกระทะใบโต ซึ่งมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการรอน้ำให้เดือด เทผักลงไปเติมเกลือเล็กน้อยก็เสร็จแล้วกินเพื่ออยู่น่ะพอได้ แต่กินให้เติบโตแข็งแรงผลิตเลือดเกรดเอให้นาง เท่านี้ไม่พอ! แวมไพร์สาวคิดในใจอาหารมื้อแรกในยุคโบราณของฉู่หลิงผ่านไปอย่างรวดเร็ว และก็เป็นอย่างที่นางคิด ดูจากสีหน้าของเด็กๆ และเสียงท้องร้องโครกครากที่ดังแว่วมาบ่อยๆ พวกเขาย่อมไม่อิ่มเจียวจูเองก็เป็นเด็กสาวที่เด็ดขาดพอสมควร ถึงทุกคนจะไม่อิ่มและอ้อนวอนขอข้าวเพิ่ม นางก็ยืนยันจะเก็บข้าวที่แบ่งส่วนเอาไว้ เพราะการมีกินไปทุกวัน ดีกว่าต้องอดในบางวันที่ไม่มีคนมาโยนข้าวสารไว้ให้ ก่อนหน้านี้นางเคยสงสารน้องๆ จึงต้มข้าวทั้งหมดที่มีไปจนหมด ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวชาวบ้านยุ่งอยู่กับการเพาะปลูกในที่ดินของพวกเขา จึงไม่มีเวลามาใส่ใจเด็กในหอหงไถกอปรกับต่างคนต่างก็คิดว่าคงมีคนมาโยนข้าวไว้ให้บ้างแล้ว นางและน้องๆ ต้องอดข้าวไปถึง 6 วัน ได้กินแต่ผักป่าที่เด็กๆ ไม่ชอบกินเพื่อประทังชีวิตไปเท่านั้นต่อมานางจึงรู้ว่าควรจัดการกับเรื่องอาหารอย่างไร และทำให้ทุกๆ คนมีข้าวเ
“ปลาเยอะมากเลย” ตงเหม่ยแทบจะน้ำตาไหล ไม่คิดมาก่อนว่าปลาที่นางเคยมองอยู่เกือบทุกครั้งที่เดินผ่านลำธาร วันนี้นางจะได้กินพวกมันสมใจ“ทีนี้เชื่อข้าหรือยัง ว่ามีข้าอยู่พวกเจ้าจะได้กินอิ่ม” หญิงสาวมองดูปลาที่ดิ้นกระแด่วอยู่เต็มถังไม้สองใบ อดยกยอตัวเองอยู่อีกหลายประโยคไม่ได้ด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเชื่อแล้วเจ้าค่ะพี่สาว” หลิ่วจีรีบวิ่งมากอดแขนหญิงสาวเอาไว้พร้อมกับส่งเสียงออดอ้อนของลูกแมวน้อย“พวกเราก็เชื่อ แต่ว่า..พี่สาวให้พวกเราเล่นน้ำกันอีกสักครู่ได้ไหมขอรับ ไหนๆ พวกเราก็ตัวเปียกกันแล้ว” เว่ยหลงต่อรองทันที พวกเขาและเด็กชายที่เหลือต่างก็ยังคงอิดออดไม่ยอมขึ้นจากน้ำมารวมกลุ่มกับพวกเด็กผู้หญิง“ให้เล่นอีกพักเดียวพอนะ พวกเรายังมีงานต้องกลับไปทำอีกเยอะเลยทีเดียว” แวมไพร์สาวใจอ่อนลงทันทีเมื่อมีอาหารอยู่ในมือ อีกอย่างเด็กๆ ก็ควรได้พักผ่อนหย่อนใจกันบ้างเอ๋..ข้าเป็นคนมีเมตตาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? หญิงสาวรู้สึกติดขัดอยู่ในใจลึกๆ แต่ก็เลือกโทษว่าคงเป็นเพราะสารเคมีที่ถูกฉีดเข้าไปในร่างกายมีผลกับจิตใจที่เหี้ยมโหดของตน……….เนื่องจากปลาเต็มสองถังมีน้ำหนักมากเกินไป ฉู่หลิงจึงต้องแบ่งปลาออกไปใส่ไว้ในอกเ
“พวกเจ้าอยู่จัดการที่นี่ต่อไปก่อนนะ ข้าจะขึ้นไปดูข้างบนเสียหน่อย” ฉู่หลิงเห็นว่าเด็กๆ จัดการทำความสะอาดครัวจนเกือบจะแล้วเสร็จ นางคิดจะไปค้นดูห้องด้านบนเผื่อจะพบของมีค่าที่นำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินมาได้บ้าง ห้องโถงด้านล่างแม้จะมีเครื่องเรือนประเภทแจกันและภาพวาด แต่ของเหล่านั้นส่วนใหญ่จะวาดลวดลายเป็นรูปสัปดนในเชิงยั่วยุกามารมณ์ หากนำออกไปขายย่อมต้องมีคนคิดได้ว่าเป็นสิ่งของจากหอหงไถ นางยังไม่กล้าเสี่ยงสร้างปัญหากับคนของทางการพวกโต๊ะเก้าอี้หรือเครื่องเรือนขนาดใหญ่ที่มีมากเกินความจำเป็น ของพวกนี้อยู่ในสภาพปกติแต่ก็ชิ้นใหญ่เกินกว่าจะลักลอบขนออกไปขายได้ และนางยังไม่รู้ว่านำไปขายให้ผู้ใดด้วย สิ่งที่หญิงสาวมองหาก็คือเศษเงินหรือเครื่องประดับของนางคณิกาที่อาจจะยังตกหล่นหลงตาอยู่บ้างบนขั้นบันไดเด็กๆ คงจะใช้เป็นสนามเด็กเล่นส่วนตัวของพวกเขามันจึงไม่ค่อยมีฝุ่นจับ แต่เมื่อก้าวขึ้นมาถึงชั้นบนตามทางเดินเต็มไปด้วยฝุ่นจับตัวหนา คาดว่าตลอดสามปีที่ผ่านมาเด็กๆ คงไม่เดินขึ้นมาสักเท่าใดนักฉู่หลิงเปิดประตูเข้าไปค้นหาสิ่งของทีละห้องซึ่งมีทั้งหมด 14 ห้องอย่างใจเย็น “เสื้อผ้า ผ้าและผ้า!” ค้นดูไปหลายห้องแล้วนาง
“ฮึก!!” เสียงกลั้นสะอื้นดังมาจากหลิ่วจีเป็นคนแรก และตามด้วยอีกหลายเฮือกของบรรดาเด็กๆ ทั้งหมดที่นั่งรวมตัวกันอยู่“เอาละช่วยกันเก็บถ้วยจานไปล้าง แล้วอาบน้ำให้สะอาด วันนี้พวกเราจะนอนข้างล่างกันเหมือนเดิม พรุ่งนี้คงต้องจัดการเรื่องที่หลับที่นอนให้เสร็จไปอีกเรื่อง” หญิงสาวโบกมือไล่เด็กๆ แข็งใจไม่ยอมหันไปมองหน้าหลิ่วจีที่นั่งกลั้นก้อนสะอื้นจนตัวสั่น“คืนนี้ข้าจะเป็นคนดับตะเกียงเอง เจ้านอนหลับให้สบายเถิดเจียวจู” หญิงสาวเรียกตัวเจียวจูมาคุยก่อนที่นางจะแยกไปนอนที่ห้องพักเดิมที่นางเคยเข้าไปอาบน้ำ ยามนี้นางรู้แล้วว่าห้องเล็กเพียงห้องเดียวในชั้นล่าง เป็นห้องนอนส่วนตัวของนายหญิง หรือก็คือแม่เล้าประจำหอหงไถนั่นเอง ต่อไปฉู่หลิงก็ตั้งใจจะพักอยู่ในห้องนี้เพื่อคอยดูแลความเรียบร้อยและรอดับไฟตะเกียงให้เด็กๆ ยามค่ำคืน“เว่ยหลง ข้าจะแง้มประตูเอาไว้ หากเจ้าเกิดปวดท้องตอนกลางคืนก็มาเรียกข้า ข้าจะพาเจ้าไปเข้าส้วมเอง เข้าใจหรือไม่” เด็กชายตัวน้อยยืนบิดตัวหน้าแดงเอียงอายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบรับแล้ววิ่งหายไปนอนรวมกับกลุ่มเด็กชายในห้องรับรองแขกอีกด้านกลางดึกขณะที่ทั่วทั้งหอหงไถอยู่ในความมืดและเงียบส
“ช่วยข้าก่อไฟต้มน้ำที” ป้ายยาลงคอเว่ยหลงแล้ว หญิงชราก็หันมาชี้มือไปยังเตาไฟที่ก่อจากหินอย่างง่ายๆ หน้าเรือน สั่งให้เจียวจ้านใช้ไฟจากตะเกียงไปจุดเตาอีกทีหนึ่ง พอเจียวจ้านตั้งน้ำได้ นางก็ขอยืมตะเกียงกลับเข้าไปในเรือนอีกครั้ง และกลับมาพร้อมกับห่อผ้าเล็กๆ อีกห่อเทวัตถุสีน้ำตาลแห้งๆ ที่คล้ายว่าจะเป็นสมุนไพรตากแห้งอะไรเทือกนั้นลงหม้อ โชคดีที่ระหว่างรอต้มยา เว่ยหลงก็อ่อนแรงจนเผลอหลับไปและเขาไม่ได้ถ่ายของเสียออกมาอีก เว่ยหลงถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาดื่มยาและตามด้วยน้ำเกลือที่เหลืออีกครึ่งถ้วย เขาถ่ายเหลวอีกสองครั้ง แต่ก็เว้นระยะห่างออกไปพอสมควรฉู่หลิงคาดคะเนว่าระยะเวลาที่พวกนางเฝ้ารอดูอาหารของเว่ยหลง รวมทั้งขอยืมใช้ส้วมในเรือนผู้อื่นอีกสองครั้ง ก็น่าจะราวๆ สามชั่วโมง หรือเทียบเท่ากับเกือบสองชั่วยามตามเวลาที่คนในยุคนี้ใช้เปรียบเทียบก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยปากขอร้องให้เด็กที่เหลือได้นอนค้างคืนที่บ้านหญิงชราจนถึงเช้า อีกฝ่ายก็ชิงเอ่ยคำออกมาเสียก่อน“อาการน่าจะดีขึ้นแล้วล่ะ แบกเขากลับไปเอายาที่เหลือติดหม้อเทใส่ถ้วยไปด้วยก็แล้วกัน หากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ต้องมาที่นี่กันอีก” นางกล่าวจบก็ลุกเดินเข้าไปในเร
“ท่านบอกว่าหากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมา แต่ข้ามีเรื่องจำเป็นเจ้าค่ะ” ฉู่หลิงรีบเดินเข้าไปให้ถึงแคร่ไม้ตัวเล็กหน้าเรือนท่านยาย เอาสิ! หากท่านสาดน้ำมาอีกก็เปียกเรือนตัวเองนะ“มีอะไรก็รีบว่ามา เด็กนั่นยังไม่หายป่วยหรือ? เจ้าก็พาเขาไปหาหมอสิ ข้าไม่ใช่หมอ” หญิงชราทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็เริ่มออกเสียงบ่นว่า“ข้ามาขอบคุณท่านยายต่างหาก เว่ยหลงอาการดีขึ้นตั้งแต่ดื่มยาจากท่านไปเจ้าค่ะ และนี่ปลา ข้านำมันมาตอบแทนค่ายาที่ท่านต้องเสียไป”“เอาวางไว้นั่นล่ะ เสร็จธุระแล้วเจ้าก็รีบไปเสียสิ” หญิงชรากล่าวโดยไม่หันมามองหน้าฉู่หลิง นางยังคงก้มหน้าวุ่นวายอยู่กับการก่อไฟบนเตาที่ใช้หินมาเรียงซ้อนกัน“ไม่กลับจนกว่าข้าจะรู้ว่าเด็กๆ เคยไปทำอะไรให้ท่านต้องเดือดเนื้อร้อนใจหรือไร เหตุใดท่านจึงต้องทำท่าโกรธเคืองขับไล่พวกเราด้วยเล่า?” ฉู่หลิงยิ่งรู้สึกว่ามันผิดปกติมากเกินไปแล้วจริงๆ นางจึงเอ่ยปากถามออกมาโดยไม่อ้อมค้อม“เด็กพวกนั้นไม่เคยทำอะไรให้ข้าต้องเจ็บช้ำน้ำใจ แต่เป็นหญิงคณิกาชั้นต่ำอย่างเจ้าต่างหากที่ข้ารังเกียจ!” หญิงชราลุกขึ้นยืนหันหน้ามาเผชิญกับฉู่หลิงโดยตรงแวมไพร์สาวถึงกับตาเหลือกงุนงงเป็นไก่ตาแตก นา
“ท่านลุง ท่านป้า ข้าเองเจียวจ้าน!” เจียวจ้านกับฝานเจิ้งสลับกันตะโกนร้องเรียกหาสองสามีภรรยาไม่หยุดพวกเขารู้ดีว่าชาวบ้านได้รับคำเตือนให้ซ่อนตัวให้มิดชิด แต่หากยังไม่ได้เห็นคนทั้งสองกับตาว่าปลอดภัย เด็กชายทั้งสองคนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี“เจียวจ้าน ฝานเจิ้ง! มาทำอะไรที่นี่! เข้ามาหลบในนี้ก่อนเร็วเข้า!” เถ้าแก่หลี่โผล่หน้าออกมาจากเตาดินเผาขนาดใหญ่ กวักมือเรียกเด็กชายทั้งสองให้เข้ามาซ่อนตัวด้วยความร้อนใจ“พวกท่านปลอดภัย ข้าดีใจเหลือเกินขอรับ” เจียวจ้านถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เวลานี้มีปีศาจที่บุกรุกเข้ามาด้านในมากขึ้นแล้ว ระหว่างทางพวกเขายังได้สังหารพวกมันไปหลายคนเลยทีเดียว“เจ้าสองคนเข้ามาในนี้ก่อนเร็วเข้า อย่าชักช้าอยู่” เถ้าแก่หลี่เร่งเด็กชายทั้งสอง ด้านนอกเริ่มมีเสียงกรีดร้องของผู้คนดังเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วเจียวจ้านกับฝานเจิ้งยิ้มแห้งให้สองสามีภรรยา ดูเอาเถิดเตาดินเผาแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่พอมีคนสองคนเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ก็ไม่สามารถบดบังร่างพวกเขาได้มิดชิด เท้าของเถ้าแก่หลี่ที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าก็ยังโผล่พ้นออกมาด้านนอกอยู่เลย แล้วจะให้เขาสองคนเข้าไปข้างในอีกได้อย่างไรกันขณะนั้นเองปีศาจดูดเลื
เห็นความตั้งใจจริงของทุกคนฉู่หลิงก็ยินยอมแต่โดยดี เอาจริงก่อนจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้นางก็ไม่คิดฝันมาก่อนว่าการย้อนเวลามาครั้งนี้จะมีมนุษย์ตัวเป็นๆ มายื่นคอให้นางกัดโดยไม่ต้องล่าทหารและชาวบ้านร้อยกว่าชีวิต เข้าแถวมาทีละคนเพื่อให้ฉู่หลิงดื่มเลือดพวกเขา แวมไพร์สาวรู้สึกอิ่มจนพุงกาง สุดท้ายก็ต้องให้หวังหยวนมาช่วยแบ่งเบาภาระเพิ่มอีกคน เพราะทุกคนในที่นี้มีเพียงหวังหยวนเพียงผู้เดียวที่เคยได้ลิ้มลองเลือดมนุษย์ไปแล้ว นางไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาแปดเปื้อนเพิ่มขึ้นอีก“พร้อมกันแล้วใช่หรือไม่” แวมไพร์สาวกระโดดขึ้นไปอยู่บนกำแพงจวน ส่งเสียงคำรามและปลุกระดมความฮึกเหิมให้กับเหล่าสาวกเบื้องล่าง“แฮ่!!!” ทหารชาวบ้านและเด็กๆ ที่กลายเป็นปีศาจดูดเลือดทั้งหมด แยกเขี้ยวกางเล็บส่งเสียงคำรามตอบกลับ สตรีชาวบ้านบางคนอย่างเช่นนางจวงหญิงอ้วนที่ไม่เคยกระโดดพ้นยอดหญ้า รีบทดลองปีนป่ายขึ้นกำแพงก่อนจะหัวเราะชอบใจชักชวนให้สตรีคนอื่น ๆ ทดลองตามอย่างบ้าง“เราจะช้าไม่ได้แล้ว ระหว่างทางพวกท่านค่อยๆ ปรับสภาพร่างกายกันเอาเองก็แล้วกัน อ้อ! ทุกคนตัดต้นไผ่ติดมือกันไปให้มากที่สุดด้วย ไป!!” แม้จะไม่เข้าใจว่าฉู่หลิงให้พวกตนตัดต้นไผ่ไ
“พวกเขาเป็นปีศาจดูดเลือดก็จริง แต่พวกเขาอยู่ฝ่ายเรา เรื่องนี้ข้าจะอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจภายหลัง” โจวเฉิงรีบหันเหความสนใจของคนทั้งห้ากลับมาที่ตนเองอีกครั้งผู้พิทักษ์ทั้งห้าคนหันมองหน้ากันไปมา คำกล่าวของโจวเฉิงก็คล้ายว่าจะจริง ปีศาจดูดเลือดทุกคนที่พวกตนเห็นอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นทหารและเด็กที่อยู่ในจวนผู้ตรวจการมาก่อนทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีท่าทีจะเข้ามาโจมตีแต่อย่างใดแต่นี่มันแปลกประหลาดเกินไปหรือไม่ ในตำนานหรือตำราไม่เคยมีบันทึกมาก่อนว่าสายเลือดผู้พิทักษ์กับปีศาจดูดเลือดจะร่วมงานกันได้อย่างสันติ!“ไม่เคยเห็นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หนึ่งในห้ายักไหล่ขึ้นมา เป็นอันสรุปว่าพวกเขายินยอมเชื่อคำของโจวเฉิงซึ่งเป็นผู้นำ“ทำไมพวกเจ้าทั้งห้าจึงมาทางนี้ ใช่ว่าเวลานี้ควรช่วยกันปิดทางแพร่กระจายของเหล่าปีศาจดูดเลือดไม่ให้ลุกลามไปยังเขตเมืองอื่นอยู่หรอกหรือ” “คนของเราแบ่งกำลังไปสกัดเส้นทางไปเมืองทั้งสามโดยรอบเอาไว้แล้วขอรับ จุดศูนย์รวมของพวกมันเวลานี้กระจายอยู่เป็นกลุ่มในเขตเมืองสือเจียมากที่สุด และเวลานี้พวกมันพุ่งเป้าไปที่กำแพงเมืองเป็นจำนวนมาก พวกเรากำลังจะตามไปสนับสนุนที่เมืองสือเจียเลยแวะมารายงานท่านก
แต่แล้วใบหน้าที่ค่อยๆ ซีดขาวลงไปทุกทีของผู้พิทักษ์ทั้งสามก็ต้องแตกตื่นตกใจในทันทีที่ตนหลั่งโลหิตใส่ถ้วยครบทั้ง 13 ใบ เด็กชายหญิงที่ดูสดใสไร้เดียงสา คว้าเอาถ้วยบรรจุของเหลวสีแดงฉานส่งกลิ่นคาวคลุ้งขึ้นไปดื่มอักๆ ไม่เกรงใจผู้ใด เมื่อดื่มเสร็จยังวิพากษ์วิจารณ์ว่าเลือดของผู้พิทักษ์จะแตกต่างกับเลือดกระต่ายที่เจียวจูดื่มทุกวันอย่างไรบ้าง “ข้าว่าต้องหวานกว่าเลือดกระต่ายแน่นอน ข้าดมอยู่ทุกวันเลือดกระต่ายเหม็นคาวกว่านี้หลายเท่าตัว” เจียวจ้านเช็ดเลือดที่มุมปากออกแล้วออกความเห็นเป็นคนแรก“กระต่ายน่ารักกว่าพี่ชายท่านนี้ตั้งเยอะ ข้าว่าเลือดกระต่ายน่าจะอร่อยกว่านะ” ไป๋ซุนตัวน้อยเบ้หน้าเล็กน้อยแสดงอาการไม่เห็นด้วยกับพี่ชายใหญ่“แต่ข้าว่า..” หลินอีกำลังจะติเตียนอะไรบางอย่างแต่ถูกโจวเฉิงยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ก่อน“พอที! พวกเจ้าสมควรเป็นน้องของนางจริงๆ” ไม่ต้องมีใครถามก็รู้ว่าผู้ตรวจการโจวกำลังกล่าวพาดพิงถึงผู้ใด เขากับฉู่หลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่มีปากเสียงกันอยู่เป็นประจำ“พวกเราต้องพัก การหลั่งโลหิตของพวกเราทำให้พวกเราเสียพลังและอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง” โจวเฉิงผุดลุกขึ้นยืน ร่างสูงโอนเอนเล็กน้อยจนเจียวจ้า
พลังของผู้พิทักษ์สายเลือดแท้ของโจวเฉิง เมื่อเข้าใกล้มายังกลุ่มปีศาจดูดเลือดที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่งก็กดข่มพลังของปีศาจดูดเลือดระดับต่ำไว้ได้ส่วนหนึ่งจนพวกมันรู้สึกตัวกลุ่มของฉู่หลิงและพวกทหารที่กลายมาเป็นปีศาจดูดเลือดก็รับรู้ได้ถึงการมาของโจวเฉิงและพรรคพวกของเขาอีกสองคนเช่นกัน แต่เป็นเพราะพวกเขาล้วนถูกกัดจากฉู่หลิงทั้งสิ้นจึงมีความต้านทานสูงกว่าพวกระดับต่ำ“ถอยกลับเข้าไปในกำแพง ทางด้านนอกนี้ปล่อยให้ผู้พิทักษ์จัดการ พวกเขาแข็งแกร่งมาก!” ฉู่หลิงรีบร้องเตือนพรรคพวกของตนให้กลับเข้าไปจัดการปีศาจดูดเลือดที่หลุดรอดเข้าไปในจวน นางต้องพาทุกคนออกไปให้ไกลจากโจวเฉิงเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ภายในจวนฝ่ายชาวบ้านกับทหารที่ยังไม่ถูกกัดสามารถควบคุมเอาไว้ได้ ฉู่หลิงก็พาปีศาจดูดเลือดทุกคนที่นางเพิ่งกัดหนีเข้าไปในป่า ตั้งใจจะไปตั้งหลักที่อุโมงค์เพื่อรอดูท่าทีกันก่อนโจวเฉิงและพรรคพวกเข้าร่วมการต่อสู้กับทหารและชาวบ้านที่ยังคงสภาพเป็นมนุษย์อยู่อีกพักใหญ่ พวกปีศาจดูดเลือดก็เริ่มแตกกระจายหลบหนีไปได้บ้าง ส่วนที่ถูกสังหารจบดับสิ้นก็มีไม่น้อย“เจ้าสองคนออกไปดูรอบๆ อีกครั้งให้แน่ใจ เมื่อครู่เราสังหารได้เพียง
เมื่อท้องฟ้าสิ้นแสงตะวัน เวลานี้ผู้คนในจวนผู้ตรวจการพิเศษทั้งหมดจึงได้เห็นกับตาว่าฉู่หลิงไม่ได้คิดไปเอง ปีศาจดูดเลือดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่พวกเขาแข็งแรงกว่าและมีเขี้ยวยาวพยายามบุกเข้ามาภายในจวนผู้ตรวจการพิเศษเป็นจำนวนมาก“เล็งไปที่หัวใจ! ตัดคอมัน!” มู่เจียเหยียนตะโกนก้องระหว่างที่ทหารและชาวบ้านข่มกลั้นต่อความหวาดกลัวและพยายามเอาชีวิตรอดให้ถึงที่สุด พวกเขาก็ได้เห็นร่างของ ฉู่หลิง หวังหยวน ท่านยายเฉิน และเด็กกลุ่มหนึ่งที่มองแทบไม่ออกว่าคือใครบ้างพุ่งโจมตีด้วยความรุนแรงไปที่อีกฝ่ายแต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือคนกลุ่มนี้มีเขี้ยวเล็บไม่ต่างจากปีศาจดูดเลือดที่ดาหน้าเข้ามาโจมตีจวนผู้ตรวจการไม่มีผิด แต่ทุกคนแข็งแรงกว่ากระโดดได้สูงกว่าอีกฝ่ายมากนักและยังไม่ได้โจมตีมนุษย์ แต่กำลังเร่งกำจัดปีศาจดูดเลือดเช่นเดียวกันกับพวกเขา“แม่นางฉู่ หวังหยวน ท่านยาย..” มู่เจียเหยียนตกตะลึงอย่างหนัก เมื่อได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลายร่างที่กำลังปกป้องผู้คนในจวนผู้ตรวจการเอาไว้เต็มกำลังทหารและชาวบ้านเองก็ได้เห็นกับตาแล้วว่ายามนี้พวกตนเป็นเพียงแค่มดปลวกตัวจ้อย ทหารยังพอทำเนาพวกเขาใช้อาวุธกันได้คล่องมือพ
“เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ข้าจะรั้งอยู่ที่นี่เพื่อกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก” หวังหยวนทุบกำปั้นไปที่ฝ่ามือตัวเอง“ปีศาจดูดเลือดที่แท้จริงไม่ใช่นักล่าสังหาร สายเลือดแท้หรือเจ้าแห่งหมอกควันแต่ดั้งเดิมดื่มเลือดมนุษย์เพื่อเป็นอาหารและไม่รุกรานเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สูญสิ้น แต่พวกเผี่ยนฮกนั้นต่างกันพวกเขาตั้งใจจะครอบครองแผ่นดินทั้งหมดอย่างโง่เขลา" ฉู่หลิงรำพันนางรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น แวมไพร์ระดับต่ำจะตอบสนองเพียงต้องการกินดื่ม พวกมันจึงต้องมีพวกระดับสูงไว้ควบคุม เพื่อไม่ให้แหล่งอาหารหมดไปในระยะเวลาอันสั้น แต่ชนเผ่าเผี่ยนฮกเหล่านี้ถูกกัดโดยหวังหยวนรวมทั้งดื่มกินเลือดแวมไพร์กันเอง หวังหยวนอ่อนแอกว่าจะควบคุมพวกมันเอาไว้ได้อีกไม่นานพวกกระหายเลือดจะเพิ่มมากขึ้นอย่างไร้การควบคุม หายนะกำลังจะเกิดกับเหล่ามนุษย์!“เราต้องกลับไปปกป้องจวนผู้ตรวจการพิเศษ ทุกชั่วยามที่เรากำลังคุยกันอยู่นี่ปีศาจดูดเลือดระดับต่ำก็กำลังเพิ่มจำนวนกันตลอดเวลา ผู้พิทักษ์มีจำนวนน้อยเกินกว่าจะแบ่งคนไปปกป้องชาวบ้านที่อำเภอซิ่งอันเอาไว้”ฉู่หลิงรู้ดีว่าผู้พิทักษ์อย่างไรก็มีร่างกายเป็นมนุษย์พวกเขาต้องหลับนอนดื่มกิน ไม่สามารถต่อสู้กับ
“ท่านอามีความแค้นและอยากเป็นปีศาจดูดเลือดมาตลอด หรือว่าเขาจะไปที่ชายแดนแล้วพี่หลิงหลิง” เจียวจูเริ่มกังวลใจบ้างแล้ว ฉู่หลิงเองก็คิดเห็นตรงกับเจียวจู เจียวจูมีความผูกพันกับเด็กและชาวบ้านที่อำเภอซิ่งอัน ต่อให้นางกระหายเลือดก็ยังรู้จักยับยั้งชั่งใจ แต่กับหวังหยวนเขามีเพียงความแค้นล้นอก ซ้ำยังเดินทางได้แม้เวลากลางวัน แวมไพร์สาวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม หวั่นเกรงว่าอาจจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นบนแผ่นดินในไม่ช้า……….เพียงไม่กี่ชั่วยามที่หวังหยวนบุกฝ่าไปที่ชายแดนเพียงลำพัง เขาไม่ได้มีความอดทนอดกลั้นเหมือนอย่างเจียวจู เมื่อเห็นทหารหูรวมทั้งพวกชนเผ่า หวังหยวนก็ไล่ล่าสังหารรวมทั้งกัดพวกมันบางคนไปด้วยความกระหายเลือดอย่างรุนแรงพอพวกชนเผ่าบางคนได้กลายเป็นปีศาจดูดเลือดสมใจ พวกมันถึงกับรุมทึ้งฉีกร่างปีศาจดูดเลือดตนนั้นเพื่อเอาเลือดมาเปลี่ยนสภาพของพวกมันอย่างรวดเร็ว ตลอดทั้งวันการขยายเผ่าพันธุ์ปีศาจดูดเลือดระดับต่ำก็เพิ่มจำนวนขึ้นมากในฝั่งทัพแคว้นหูจนอยู่ในระดับที่น่าตกใจ“ปีศาจดูดเลือดปรากฏตัวขึ้นแล้วจริงๆ แบ่งกองกำลังของเราออกไปให้ทั่วพื้นที่ ตามผู้พิทักษ์ที่เหลืออยู่ให้มารวมตัวกันโดยเร็วที่สุด” โ
ฉู่หลิงกระโดดอยู่บนยอดไม้ผ่านกลุ่มเด็กทั้งห้าคนที่พยายามกลับไปที่จวนให้เร็วที่สุด แต่นางไม่มีเวลาหยุดคุยกับเด็กทั้งห้า ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้วนางเป็นห่วงเจียวจูเพียงผู้เดียว แวมไพร์สาวพยายามสื่อสารพูดคุยกับเจียวจูตามวิธีของแวมไพร์แต่นางกลับทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสามารถของนางยังกลับมาไม่สมบูรณ์หรือเป็นเพราะนางกับเจียวจูอยู่ห่างไกลกันเกินไปกันแน่เมื่อมาถึงจวนผู้ตรวจการพิเศษหญิงสาวเห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นางเข้าใจ เวลานี้ทหารและชาวบ้านหลายคนกำลังลำเลียงศพฝ่ายตรงข้ามออกไปฝังที่สุสาน นางจึงลงจากยอดไม้แล้วเดินเข้าไปในจวนตรงๆ ทางประตูหลัง“แม่นางฉู่ ท่านกลับมาแล้วหรือ” ชาวบ้านหลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาฉู่หลิงทักทายนางระเรื่อยมาตลอดทางจนถึงตัวอาคาร “เจ้ามาแล้วหรือ เข้ามาก่อนเร็วเจียวจ้านพานางไปพักข้างบนแล้ว” ท่านยายเฉินที่รอท่าอยู่ก่อนแล้วรีบเดินมาดึงฉู่หลิงแยกออกจากผู้คนเข้าไปภายในจวน“นางเป็นอย่างไรบ้าง เกิดอะไรขึ้นที่นี่ท่านยาย” “เจียวจ้านพบนางก่อนข้า ยังไม่ทันได้ถามความอะไรกันเขาก็ต้องรีบพาเจียวจูไปข้างบนก่อน ไม่เช่นนั้นนางจะถูกแสงแดด ข้าก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรมากนักเห็นนาง