“หลิ่วจี..เจ้าเอามีดมาเสียบอกข้าไปเสียเลยดีกว่ามาเตือนให้ข้าต้องปวดใจเช่นนี้นะ” หญิงสาวร่ำร้อง รู้สึกเจ็บจี๊ดเข้าไปถึงขั้วหัวใจอย่างสุดซึ้ง
“อ๊ะ!!” ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาคุยกับหลิ่วจี หญิงสาวก็ตกใจกับภาพตรงหน้าจนร่างสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
ก้อนเลือดสีแดงสดใสอีก 9 ก้อน!! ทีแรกนางมีก้อนเลือด 10 ก้อนเดินรายล้อมอยู่รอบกายก็สุขใจเหลือเกินแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่าภายในหอหงไถนี้ยังมีลาภปากเพิ่มขึ้นมาอีกถึง 9 ก้อนเลยทีเดียว!
“พ..พ..พวกเจ้า อาศัยอยู่ที่นี่กันทั้งหมดเลยหรือ” หญิงสาวยื่นมืออันสั่นเทาของตนเองออกไปลูบคลำศีรษะของเด็กหน้าใหม่อีก 9 คนที่เพิ่งได้พบหน้า
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ พี่สาว!!” เด็กชายหญิงเก้าคนเองก็ดีใจไม่น้อยที่เห็นมีหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่แล้วเข้ามาเยี่ยมเยียนพวกตนในหอหงไถ พวกเขาเต็มใจลืมภาพเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่กับทำเป็นมองไม่เห็นเศษใบไม้และฝุ่นดินที่เกาะเต็มอยู่ทั่วร่างของพี่สาวผู้มาใหม่
ฉู่หลิงดีใจจนเนื้อเต้น แก้มสั่นระริกด้วยความมันเขี้ยว ได้แต่ร่ำร้องหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความดีใจ มนุษย์! มนุษย์ตัวเป็นๆ ตั้งแต่ถูกกัดตอนอายุ 12 บัดนี้นางอายุ 19 ปีแล้ว 7 ปีที่ผ่านมาในโลกก่อนมีโอกาสพบเจอมนุษย์ตัวเป็นๆ อย่างนี้ได้ง่ายๆ เสียเมื่อไรเล่า?
“เจียวจ้านเจ้ารีบไปก่อไฟตั้งน้ำอุ่นๆ ให้พี่สาวหลิงหลิงได้อาบก่อนจะดีกว่า ดูสินางหนาวสั่นไปทั้งตัวแล้ว” เจียวจูรู้สึกสงสารฉู่หลิงขึ้นมาจับจิต เมื่อเห็นอีกฝ่ายตัวสั่นไปจนถึงรากฟัน
ฉู่หลิงถูกเด็กๆ เดินห้อมล้อมจับจูงเข้าไปในห้องพักห้องหนึ่งในชั้นล่างของหอหงไถ ด้านในมีอ่างอาบน้ำที่ทำจากไม้ขนาดพอเหมาะอยู่หนึ่งใบ นั่งเคลิ้มฝันถึงอนาคตอันหอมหวนของตัวเองอยู่ไม่นาน ครู่เดียวเจียวจ้านกับเด็กชายอายุพอๆ กับเขาอีกสองคนก็ช่วยกันหาบน้ำมาผสมใส่อ่างให้นางได้ชำระร่างกาย
ขณะที่ร่างงามลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำ นอกหน้าต่างก็มีศีรษะเล็กๆ ของเด็กหญิงอีกหลายคนโผล่หน้ามาคอยแอบมองจนหญิงสาวรู้สึกขำกับการพยายามยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ ดวงตาที่โผล่พ้นง่ามนิ้วมือเล็กๆ สอดส่ายเข้ามาในห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น คล้ายว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ตนมองไม่เห็นพวกนาง
“นี่แน่ะ!!” ฉู่หลิงวักน้ำในอ่างสาดไปทางหน้าต่างที่มีศีรษะเล็กๆ โผล่ออกมา
“ไอหย๋า!! พี่สาวเห็นพวกเราแล้ว หนีก่อนเร็ว”
เสียงเล็กแหลมเบาหวีดหวิวนั้นจะเป็นผู้ใดไม่ได้นอกจากหลิ่วจี ดูท่านางจะเป็นหัวโจกที่พาน้องสาวตัวเล็กๆ อีกหลายคนมาที่นี่นั่นเอง
เมื่อไม่มีคนกวนใจ ฉู่หลิวก็หลับตาพริ้มดื่มด่ำกับความสุขที่ตนไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้มายาวนานเช่นกัน
“พี่สาวท่านอาบน้ำเสร็จหรือยังเจ้าคะ ข้าเอาเสื้อผ้ามาให้ผลัดเปลี่ยน” เจียวจูเคาะประตูหน้าห้องที่ฉู่หลิงอยู่ด้านใน
“ข้าเสร็จแล้วเจียวจู เจ้าเข้ามาได้เลย” หญิงสาวร้องบอก แต่ตนเองยังคงนั่งแช่ตัวอยู่ในน้ำ
อันที่จริงฉู่หลิงก็ไม่คิดจะอายกับการเผยร่างกายต่อหน้าเจียวจู แต่นางพบแล้วว่าเด็กสาวผู้นี้โตเกินอายุ และยังเจ้าระเบียบวินัย นางจึงเลือกซ่อนกายอยู่ใต้น้ำต่อไป
เจียวจูเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเสื้อผ้าและรองเท้ากองหนึ่ง นางส่งของเสร็จก็รีบเดินออกจากห้องและปิดประตูให้เรียบร้อยโดยไม่เคลื่อนย้ายสายตาไปที่ฉู่หลิงแม้แต่นิดเดียว การกระทำอันละเอียดอ่อนรอบคอบของเด็กสาวดูเป็นธรรมชาติราวกับนางทำเรื่องเหล่านี้เป็นประจำมาเนิ่นนาน
ฉู่หลิงเลือกสวมชุดสีเหลืองอ่อนที่ดูธรรมดาที่สุดในผ้ากองโตหลากสีสันที่เจียวจูนำมาให้นางเลือก ผ้าคาดเอวรองเท้ารวมทั้งผ้าผูกผมจูเจียวก็จัดให้เป็นชุดๆ หยิบใช้ได้อย่างง่ายดาย
พอเปิดประก้าวออกจากห้องพักที่เข้าไปอาบน้ำเมื่อครู่ หญิงสาวก็เพิ่งได้เห็นสภาพภายในหอหงไถที่เมื่อครู่ตนตัวมัวแต่หน้ามืดตาลายมองเห็นสิ่งใดก็มีแต่ภาพก้อนเลือดวิ่งไปวิ่งมา
“แม่เจ้า!!” นางรู้สึกตงิดๆ กับความรู้สึกที่ต้องแตกตื่นของตนเกือบจะทุกครึ่งชั่วโมงเหลือเกินแล้ว บ้านใหม่ของนางมีเรื่องให้น่าตกใจบ่อยจนเกินไป
หอหงไถเป็นอาคารสองชั้นขนาดใหญ่โตสมควร ด้านล่างมีห้องโถงกว้างขวางมีเวทีเตี้ยๆ คาดเดาว่าเป็นพื้นที่สำหรับแสดงการร่ายรำหรือบรรเลงเครื่องดนตรี ตรงกลางมีโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกทิ้งเอาไว้กองระเกะระกะอยู่จำนวนหนึ่ง รอบๆ ส่วนโถงตรงกลางมีห้องแยกขนาดเล็กลงไปอีกนิดหน่อยคล้ายว่าเป็นห้องส่วนตัวซึ่งสามารถจุคนได้ราว 8-10 คนอีกหลายห้อง
นางเห็นช่องทางเดินแคบๆ ซึ่งมีผ้าม่านขาดๆ กั้นเอาไว้สำหรับเดินไปทางด้านหลัง ซึ่งน่าจะเป็นส่วนพื้นที่ของครัวหรือห้องเก็บของอะไรทำนองนั้น
ด้านบนมีบันไดทางขึ้นจากมุมหนึ่งของโถงชั้นล่าง มีผ้าสีสันสดใสที่เก่าซีดและบางส่วนก็ขาดไปบ้างจากการไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ประดับเอาไว้ตลอดทางตั้งแต่ราวบันไดไปจนตลอดริมระเบียงทางเดินที่ล้อมเป็นวงกลม หากขึ้นไปยืนอยู่ด้านบนก็สามารถมองเห็นพื้นที่โถงตรงกลางในชั้นล่างได้ทั่วถึงเช่นกัน นางประเมินด้วยสายตาว่าด้านบนก็เป็นห้องหับที่แบ่งเป็นห้องเล็กๆ อีกมากกว่า 10 ห้อง
สิ่งที่น่าตกตะลึงนั้นไม่ใช่ขนาดความใหญ่โตของหอหงไถหรือจำนวนห้องที่มากมายแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ฉู่หลิงตกตะลึงพรึงเพริดอย่างหนักก็คือ สภาพความเละเทะของสถานที่แห่งนี้โดยเฉพาะห้องโถงตรงกลางที่เป็นพื้นที่ส่วนรวมที่กว้างขวางที่สุด
เมื่อครั้งที่แม่เล้าและนางคณิกาเดินทางออกจากหอหงไถไป พวกนางคงจะนำของติดตัวไปได้เฉพาะส่วนที่เป็นสมบัติของตนจริงๆ ได้เท่านั้น เครื่องประดับประเภทแจกัน โคมไฟ ภาพวาด ผ้าปูโต๊ะ ถ้วยจาน โต๊ะเก้าอี้ ทุกสิ่งอย่างถูกทิ้งเอาไว้ในหอหงไถทั้งหมดและกลายเป็นสนามเด็กเล่นขนาดย่อมของเด็กๆ 19 คน
หญิงสาวตกใจกับพลังการทำลายล้างจากน้ำมือมนุษย์ตัวจ้อยเหล่านี้ต่างหาก!!
“พวกเจ้าหยุดอยู่นิ่งๆ กันเดี๋ยวนี้เลย หากใครไม่เชื่อฟังวันนี้ข้าจะไม่ให้กินข้าว!” เจียวจูรู้สึกอับอายจนหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นพี่สาวหลิงหลิงยืนค้างนิ่งอยู่เนิ่นนาน
สาบานได้ นางพยายามสั่งสอนน้องๆ ให้ช่วยกันทำความสะอาดแล้วจริงๆ นะ แต่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันมันก็กลับกลายมาเป็นสภาพสกปรกเลอะเทอะได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินว่าจะไม่ได้กินข้าว เด็กๆ ที่กำลังเอาถ้วยจานมาปาเล่นกันอยู่ก็หยุดชะงักและรีบวางสิ่งของในมือ เดินมาเข้าแถวต่อหน้าฉู่หลิงโดยพร้อมเพรียงกัน
“พวกเขาทิ้งเด็กหลายคนไว้ลำพังแบบนี้ได้อย่างไรกัน” ฉู่หลิงพยายามมองในแง่มุมของมนุษย์ที่นางเคยเป็นมาก่อน แน่นอนว่าเจียวจูคือเด็กหญิงที่โตที่สุดในที่นี้แล้วนางก็ยังเพิ่งอายุ 12 นอกนั้นก็ลดหลั่นกันลงมาและที่ดูเด็กที่สุดก็น่าจะมีอายุราว 5-6 ปีเท่านั้น พวกเขา 19 ชีวิตซึ่งไม่มีรายได้จะอยู่กันได้อย่างไร และอยู่มาได้อย่างไรถึงสามปี หญิงสาวรู้สึกหดหู่ไม่น้อย
“แต่เดิมมีพวกเราอยู่ที่นี่กันแค่ 8 คนเจ้าค่ะ ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ถูกคนนำมาทิ้งไว้เพิ่มขึ้นเรื่อย จนตอนนี้พวกเราก็มีกัน 19 คนแล้ว” เจียวจูชี้มือไปที่เด็กหลายคน
เด็กชายหญิงทั้งหมดแปดคน ซึ่งรวมเจียวจู เจียวจ้านและหลิ่วจีที่ฉู่หลิงจำชื่อได้ขึ้นใจแล้ว พวกเขาแยกกันมายืนอยู่ฝั่งหนึ่งเป็นการแสดงตัวว่าเป็นเด็กดั้งเดิมแปดคนของหอหงไถ
คำกล่าวนี้ยิ่งทำให้ฉู่หลิงแปลกใจยิ่งกว่าเก่า เด็กแปดคนก็ยังพอทำเนา ยังมีคนใจร้ายนำลูกหลานของตนมาทิ้งให้อดตายหมู่เพิ่มขึ้นอีกด้วยเช่นนั้นหรือ?
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องแบ่งแยกว่าใครมาก่อนมาหลัง อย่างไรพวกเจ้าก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วไม่ใช่หรือ เอาอย่างนี้เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงยืนแยกกันก่อน ข้าจะดูว่าพวกเจ้ามีจำนวนเท่าใด” กล่าวตามตรงสำหรับเด็กกลุ่มนี้ทรงผมที่ไว้ยาวแตกแห้งจนเป็นสีเหลืองราวกับฟางข้าว กับการแต่งกายด้วยเสื้อคลุมตัวยาวนางแยกไม่ออกว่าคนไหนเป็นเด็กชาย คนไหนเป็นเด็กหญิง
ได้ยินคำสั่งของพี่สาวคนงาม เด็กทุกคนก็รีบจัดการแยกตัวเองเป็นสองกลุ่มอย่างว่าง่ายเป็นที่สุด
“ข้าขอโทษ..ข้าขอโทษ เจ้าเชื่อข้าเถิด ข้าก็จะปกป้องพวกเขาเช่นกัน แต่ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้ฉู่หลิง” โจวเฉิงเปิดเผยคำพูดออกมาจากหัวใจจริงๆเจียวจ้านเข้าใจเจตนาดีของโจวเฉิงเช่นกัน และเขาเองก็ยินดีด้วยซ้ำที่โจวเฉิงเลือกทำเช่นนี้ พวกเขาต้องพลัดพรากจากพี่น้องทั้ง 6 มีพี่สาวฉู่หลิงอยู่กับพวกตนอีกคนก็ยังดีกว่า“เรากลับไปที่จวนกันเถิด” เจียวจ้านสั่งน้องที่เหลือ แล้วเดินออกจากอุโมงค์ไปพร้อมกับผู้พิทักษ์ชุดสีม่วงคนอื่น ๆ ที่รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดด้วยกันโจวเฉิงปล่อยให้หญิงสาวระบายความเศร้าโศกออกมาเต็มที่อยู่อีกเนิ่นนาน เขาไม่กล้าปล่อยมือออกจากร่างงามแม้เพียงเสี้ยวอึดใจด้วยเกรงว่าฉู่หลิงจะหนีไปหาพี่น้องปีศาจดูดเลือดของนาง“ข้ารู้ว่าท่านหวังดี พวกเขาจากไปไกลแล้ว ปล่อยข้าเถิด” ฉู่หลิงเลิกล้มความตั้งใจเดิม อย่างไรนางก็ยังมีน้องอีก 13 คนและท่านยายเฉินอยู่ที่นี่“ไม่ปล่อย เจ้าดื่มเลือดข้าก่อน” ชายหนุ่มลูบฝ่ามือไปที่คมดาบจนเกิดบาดแผล ก่อนจะยื่นมือเปื้อนเลือดส่งให้หญิงสาวฉู่หลิงปรายตามองเลือดสีแดงสดบนฝ่ามือของอีกฝ่ายสายตาหยามหยัน“ข้าไม่ดื่มเลือดจากมือท่าน ก่อนจะกลับเป็นมนุษย์ให้ข้าได้กัดผู้พิทักษ์สักครั้
ฉู่หลิงรอน้องทั้งหกกับกลุ่มของมู่เจียเหยียนอยู่ภายในจวนผู้ตรวจการพิเศษอีกสามวันพวกเขาก็ยังไม่กลับมาจนหญิงสาวเริ่มร้อนใจ“ท่านยาย ข้าสังหรณ์ใจว่าพวกเขาจะกลับเข้าไปอยู่ในถ้ำ ข้าจะกลับไปดูสักครั้ง ฝากเด็กๆ ทางนี้ด้วยนะเจ้าคะ” ฉู่หลิงยังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางมีสัมผัสบางเบาเป็นครั้งคราวว่าเจียวจูกับคนอื่น ๆ อยู่ใกล้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงยังไม่กลับมา“พี่หลิงหลิง ข้าไปด้วยขอรับ” เจียวจ้านกับเด็กคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดของฉู่หลิงกับท่านยายเฉินเข้าพอดี พวกเขารีบรุมล้อมมาข้างตัวฉู่หลิงจนอีกฝ่ายแทบจะหมดแรงจากพลังของผู้พิทักษ์ที่ยืนรายล้อมรอบตัว“ไปสิ ไปด้วยกัน หากพวกเขาอยู่ที่นั่นก็จะได้ใช้เลือดของพวกเจ้าในการแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้พอดี” หญิงสาวยิ้มรับคำอบอุ่นเดินทางมาถึงเขตลำธารสายเล็กที่ทุกคนเคยมาจับปลาด้วยกัน ฉู่หลิงก็รู้สึกถึงตัวตนของปีศาจดูดเลือดชัดเจนยิ่งขึ้นและยิ่งมั่นใจว่าน้องที่เหลือยังคงอยู่ในถ้ำ และไม่แน่ว่ามู่เจียเหยียนกับพวกฉีฟ่งก็จะอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน“พี่เจียวจู ทำไมไม่กลับไปหาพวกเรา เรารอมาสองวันแล้วนะเจ้าคะ” ตงเหม่ยวิ่งเข้าไปหาเจียวจูก่อนผู้ใด “มือปราบมู่ ท่านอาฟ่ง เด
“ช้าก่อน!! พวกที่หลบหนีไปในตอนนี้อย่างไรพวกมันก็ต้องเลือกหาที่หลบซ่อนตัวเป็นอันดับแรก ยังไม่สร้างความเดือดร้อนให้เราค้นหาได้ง่ายเป็นแน่” ท่านยายเฉินก้าวออกมาอีกคนหนึ่งสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง“เราต้องกลับไปที่จวนผู้ตรวจการกันสักครู่ แม้เราจะไม่ต้องดื่มกินอาหาร แต่เรายังมีความกระหายอยู่ ที่นั่นมีกระต่าย!”หวังหยวนอยากจะตบมือดังๆ ให้ท่านยายเฉินเสียเหลือเกินที่ออกหน้าเป็นตัวแทนของคนในหมู่บ้าน พวกเขากระหายเลือดจริงๆ นั่นล่ะ สู้กันมาครึ่งค่อนคืนจนถึงเช้ากลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่วเมืองสือเจีย พวกตนได้แต่ข่มกลั้นความกระหายเอาไว้จนเขี้ยวสั่นแล้วที่จวนผู้ตรวจการก็มีสิ่งที่พวกเขาต้องการโดยไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใด กระต่ายอ้วนพี 4 คอก แบ่งๆ กันดื่มก็ยังพอช่วยดับกระหายให้มีแรงสู้ต่อไปได้อีกหน่อยพอพูดถึงกระต่ายแวมไพร์สาวก็รู้สึกปวดไส้หิวกระหายขึ้นมาบ้างแล้ว นางพยักหน้าตอบรับท่านยายเฉินครั้งหนึ่ง กลุ่มปีศาจดูดเลือดที่มีทั้งทหาร ชาวบ้านและเด็กๆ ก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วทางทิศของอำเภอซิ่งอัน“ใต้เท้า นาง..มือปราบมู่..เด็กๆและชาวบ้าน?” ผู้พิทักษ์ฝ่ายตรวจการพิเศษที่ยังไม่รู้เรื่องของชาวอำเภอซ
“ท่านลุง ท่านป้า ข้าเองเจียวจ้าน!” เจียวจ้านกับฝานเจิ้งสลับกันตะโกนร้องเรียกหาสองสามีภรรยาไม่หยุดพวกเขารู้ดีว่าชาวบ้านได้รับคำเตือนให้ซ่อนตัวให้มิดชิด แต่หากยังไม่ได้เห็นคนทั้งสองกับตาว่าปลอดภัย เด็กชายทั้งสองคนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี“เจียวจ้าน ฝานเจิ้ง! มาทำอะไรที่นี่! เข้ามาหลบในนี้ก่อนเร็วเข้า!” เถ้าแก่หลี่โผล่หน้าออกมาจากเตาดินเผาขนาดใหญ่ กวักมือเรียกเด็กชายทั้งสองให้เข้ามาซ่อนตัวด้วยความร้อนใจ“พวกท่านปลอดภัย ข้าดีใจเหลือเกินขอรับ” เจียวจ้านถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เวลานี้มีปีศาจที่บุกรุกเข้ามาด้านในมากขึ้นแล้ว ระหว่างทางพวกเขายังได้สังหารพวกมันไปหลายคนเลยทีเดียว“เจ้าสองคนเข้ามาในนี้ก่อนเร็วเข้า อย่าชักช้าอยู่” เถ้าแก่หลี่เร่งเด็กชายทั้งสอง ด้านนอกเริ่มมีเสียงกรีดร้องของผู้คนดังเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วเจียวจ้านกับฝานเจิ้งยิ้มแห้งให้สองสามีภรรยา ดูเอาเถิดเตาดินเผาแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่พอมีคนสองคนเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ก็ไม่สามารถบดบังร่างพวกเขาได้มิดชิด เท้าของเถ้าแก่หลี่ที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าก็ยังโผล่พ้นออกมาด้านนอกอยู่เลย แล้วจะให้เขาสองคนเข้าไปข้างในอีกได้อย่างไรกันขณะนั้นเองปีศาจดูดเลื
เห็นความตั้งใจจริงของทุกคนฉู่หลิงก็ยินยอมแต่โดยดี เอาจริงก่อนจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้นางก็ไม่คิดฝันมาก่อนว่าการย้อนเวลามาครั้งนี้จะมีมนุษย์ตัวเป็นๆ มายื่นคอให้นางกัดโดยไม่ต้องล่าทหารและชาวบ้านร้อยกว่าชีวิต เข้าแถวมาทีละคนเพื่อให้ฉู่หลิงดื่มเลือดพวกเขา แวมไพร์สาวรู้สึกอิ่มจนพุงกาง สุดท้ายก็ต้องให้หวังหยวนมาช่วยแบ่งเบาภาระเพิ่มอีกคน เพราะทุกคนในที่นี้มีเพียงหวังหยวนเพียงผู้เดียวที่เคยได้ลิ้มลองเลือดมนุษย์ไปแล้ว นางไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาแปดเปื้อนเพิ่มขึ้นอีก“พร้อมกันแล้วใช่หรือไม่” แวมไพร์สาวกระโดดขึ้นไปอยู่บนกำแพงจวน ส่งเสียงคำรามและปลุกระดมความฮึกเหิมให้กับเหล่าสาวกเบื้องล่าง“แฮ่!!!” ทหารชาวบ้านและเด็กๆ ที่กลายเป็นปีศาจดูดเลือดทั้งหมด แยกเขี้ยวกางเล็บส่งเสียงคำรามตอบกลับ สตรีชาวบ้านบางคนอย่างเช่นนางจวงหญิงอ้วนที่ไม่เคยกระโดดพ้นยอดหญ้า รีบทดลองปีนป่ายขึ้นกำแพงก่อนจะหัวเราะชอบใจชักชวนให้สตรีคนอื่น ๆ ทดลองตามอย่างบ้าง“เราจะช้าไม่ได้แล้ว ระหว่างทางพวกท่านค่อยๆ ปรับสภาพร่างกายกันเอาเองก็แล้วกัน อ้อ! ทุกคนตัดต้นไผ่ติดมือกันไปให้มากที่สุดด้วย ไป!!” แม้จะไม่เข้าใจว่าฉู่หลิงให้พวกตนตัดต้นไผ่ไ
“พวกเขาเป็นปีศาจดูดเลือดก็จริง แต่พวกเขาอยู่ฝ่ายเรา เรื่องนี้ข้าจะอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจภายหลัง” โจวเฉิงรีบหันเหความสนใจของคนทั้งห้ากลับมาที่ตนเองอีกครั้งผู้พิทักษ์ทั้งห้าคนหันมองหน้ากันไปมา คำกล่าวของโจวเฉิงก็คล้ายว่าจะจริง ปีศาจดูดเลือดทุกคนที่พวกตนเห็นอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นทหารและเด็กที่อยู่ในจวนผู้ตรวจการมาก่อนทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีท่าทีจะเข้ามาโจมตีแต่อย่างใดแต่นี่มันแปลกประหลาดเกินไปหรือไม่ ในตำนานหรือตำราไม่เคยมีบันทึกมาก่อนว่าสายเลือดผู้พิทักษ์กับปีศาจดูดเลือดจะร่วมงานกันได้อย่างสันติ!“ไม่เคยเห็นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หนึ่งในห้ายักไหล่ขึ้นมา เป็นอันสรุปว่าพวกเขายินยอมเชื่อคำของโจวเฉิงซึ่งเป็นผู้นำ“ทำไมพวกเจ้าทั้งห้าจึงมาทางนี้ ใช่ว่าเวลานี้ควรช่วยกันปิดทางแพร่กระจายของเหล่าปีศาจดูดเลือดไม่ให้ลุกลามไปยังเขตเมืองอื่นอยู่หรอกหรือ” “คนของเราแบ่งกำลังไปสกัดเส้นทางไปเมืองทั้งสามโดยรอบเอาไว้แล้วขอรับ จุดศูนย์รวมของพวกมันเวลานี้กระจายอยู่เป็นกลุ่มในเขตเมืองสือเจียมากที่สุด และเวลานี้พวกมันพุ่งเป้าไปที่กำแพงเมืองเป็นจำนวนมาก พวกเรากำลังจะตามไปสนับสนุนที่เมืองสือเจียเลยแวะมารายงานท่านก