พอแยกเป็นกลุ่มหญิงชายฉู่หลิงก็นับเด็กหญิงได้ทั้งหมด 7 คน ส่วนอีก 12 คนล้วนเป็นเด็กชายทั้งหมด ฝ่ายเด็กหญิงมีเจียวจูอายุ 12 ปีเป็นหัวหน้ากลุ่ม ด้านเด็กชายก็มีเจียวจ้านอายุ 10 ปีเป็นหัวหน้ากลุ่ม ด้วยจำนวนเด็กชายที่มีมากกว่าและอยู่ในวัยซุกซนโดยไม่มีผู้ใหญ่ควบคุม นางก็ไม่แปลกใจสำหรับพลังทำลายล้างอันเกินต้านของพวกเขาแล้ว
“จากนี้ข้าจะขอเข้ามาอาศัยอยู่ในหอหงไถร่วมกับพวกเจ้า และแน่นอนว่าจะมีการจัดระเบียบสถานที่และอีกหลายๆ อย่าง ข้าอยากขอให้พวกเจ้าช่วยข้าด้วยได้หรือไม่” ในเมื่อนางต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสามปี นางจะไม่ทนนอนอยู่กับขยะกองใหญ่เช่นนี้เป็นแน่ เด็กๆ ก็ควรมีสุขอนามัยที่ดีขึ้นเช่นกัน เลือดมนุษย์กลุ่มแรกที่นางจะลิ้มลองสมควรเป็นอาหารเกรดเอ!
เด็กๆ ไม่ได้ตอบรับคำแวมไพร์สาวพวกเขามองหน้ากันแล้วจับกลุ่มเป็นวงกลมเหมือนที่เคยทำ
“ข้าบอกแล้วให้เก็บกวาดหอหงไถให้สะอาด ไม่อยากนั้นจะไม่มีพวกพี่ชายมาเที่ยวที่นี่” เด็กหญิงในกลุ่มคนหนึ่งส่งเสียงตำหนิกลุ่มเด็กชาย
“ก็เมื่อก่อนไม่มีพี่สาวนี่นา ไม่มีพี่สาวก็ไม่มีคนมาที่นี่อยู่แล้ว” เด็กชายตัวเล็กทำหน้าเบี้ยวหาข้ออ้างมากลบเกลื่อนความผิดของพวกตน
“พวกเจ้าอย่าโง่ ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าจะไม่มีผู้ใดมาที่นี่อีกแล้ว ที่นี่เป็นบ้านของเราจะมีหรือไม่มีพี่สาวเข้ามาอยู่เราก็ต้องรักษาข้าวของทุกชิ้นเอาไว้” เจียวจูตำหนิเด็กทั้งหมดทุกคน
“นี่พวกเจ้าจะกระซิบกระซาบกันเพื่ออะไร ข้าได้ยินที่เจ้าคุยกันทั้งหมดนั่นล่ะ จะไม่มีพี่ชายหรือบุรุษคนไหนเข้ามาใช้เงินหรือมาเยี่ยมเยียนที่นี่อีกต่อไป เราจะต้องช่วยกันทำความสะอาดที่อยู่อาศัยรวมทั้งต้องช่วยกันทำงานหาเงินมาซื้ออาหาร มีข้าอยู่ท้องพวกเจ้าต้องอิ่มต้องอ้วนกันทุกคน!"
"เย้!!
เจ้าก้อนเลือดเก้าก้อน หลังจากได้ยินพี่สาวบอกพวกตนจะได้กินอิ่มท้องก็หูผึ่ง กระโดดโลดเต้นดีใจกันยกใหญ่ ผิดกับกลุ่มของเจียวจูสิบคนที่ออกไปเก็บผักป่า พวกเขาแยกแย้มริมฝีปากบิดเบี้ยว ดูไม่ออกว่ากำลังยิ้มหรือกำลังจะร้องไห้อยู่กันแน่
ก่อนหน้านี้พี่สาวก็จะจับปลาให้พวกตนกินด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจเช่นนี้ไม่ใช่หรือ แล้วผลของมัน…
“พอแล้วๆ หยุดส่งเสียงกันได้แล้ว จากนี้ต่อไปพวกเจ้าจะต้องเชื่อฟังพี่สาวหลิงหลิงนะ ถ้าใครดื้อไม่เชื่อฟัง พี่สาวก็จะหนีจากเราไปเหมือนคนอื่น ๆ” เจียวจูเหลือบมองฉู่หลิงด้วยความเกรงใจเล็กน้อยที่ฉวยโอกาสเอาชื่อนางมาแอบอ้าง
แม้พี่สาวจะคุ้มดีคุ้มร้าย แต่เจียวจูเห็นชัดแล้วว่าฉู่หลิงเป็นความหวังของน้องๆ และเด็กทุกคนก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังพี่สาวคนงามมากกว่าตน เจียวจูจึงต้องรีบฉวยโอกาสดีงามเอาไว้ก่อน
“ตงเหม่ย เสี่ยวผิง เฉาหวา เจ้าสามคนไปเตรียมอาหารในครัว ตงหยาง ฝานเจิ้ง อู๋ฉี เจ้าสามคนไปช่วยพวกนาง” เจียวจูเรียกเด็กหญิงสามคน เด็กชายสามคนให้เริ่มทำงานกันได้แล้ว
ฉู่หลิงมองตามร่าง 6 ร่างที่รับคำสั่งและปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว พยายามจดจำชื่อของเด็กแต่ละคนเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
“อี้เฉิน อี้ฝาน อี้เทียน เจ้าสามคนไปดูที่ข้างกำแพงให้รอบว่ามีคนโยนข้าวเข้ามาหรือไม่” เด็กสาวออกคำสั่งกับเด็กชายอีกกลุ่มหนึ่งต่อ
เจียวจูหันมาสบตากับฉู่หลิงที่เลิกคิ้วสูงท่าทางแปลกใจกับการที่นางออกคำสั่งแปลกๆ แต่ก็เลือกจะเงียบไว้ก่อน อีกเดี๋ยวนางจะอธิบายให้พี่สาวได้เข้าใจเอง
“คนที่เหลือ ช่วยกันเก็บข้าวของที่โถงนี้ วันนี้เราจะกินข้าวบนโต๊ะอาหารให้เป็นระเบียบสักครั้ง” กล่าวจบเจียวจูก็ชักชวนเด็กที่โตหน่อยให้มาช่วยกันคว่ำโต๊ะเก้าอี้ที่หงายท้องชี้ฟ้าอยู่หลายตัวให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
ฉู่หลิงเห็นว่าทุกคนต่างก็มีหน้าที่กันแล้ว นางในฐานะสมาชิกที่เหลือในห้องโถง ก็คิดว่าตนเองสมควรช่วยเด็กๆ เก็บกวาดที่นี่เช่นกัน
มองเห็นเด็กออกแรงยกโต๊ะกันไหว หญิงสาวก็เลือกเป้าหมายเป็นถ้วยชามที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ตั้งใจจะเก็บพวกมันไปล้างด้วยตนเองนางจะรู้สึกสบายใจกว่าถ้าปล่อยให้เด็กเหล่านี้เป็นคนทำความสะอาดภาชนะใส่อาหาร
“พี่สาวอย่า!!”
"พี่หลิงหลิง ตรงนั้นไม่ได้!!
“ห้ามนางเอาไว้!”
หลายเสียงตะโกนร้องเสียงหลง ยกมือห้ามปรามกันพัลวัน
ไม่ทันแล้ว..เจียวจูหน้าซีดเผือดรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้บอกกล่าวพี่สาวเอาไว้ล่วงหน้า
ฉู่หลิงเองก็ยกชามไม้ใบโตขึ้นมาจากพื้นห้องมุมหนึ่งมาไว้ในมือ ดวงตาเหลือกค้างของหญิงสาวรู้สึกหวาดหวั่นกับเสียงตะโกนของเด็กๆ นางทำอะไรผิดอีกเล่า?
กลิ่นไม่พึงประสงค์บางอย่างพวยพุ่งจากพื้นด้านล่างของแวมไพร์สาวในขณะที่นางกำลังสูดหายใจเข้าปอดคำใหญ่
“กรี๊ดดดดดดดดด” สายตาของฉู่หลิงมองไปที่พื้นตามสัญชาตญาณ นางเห็นวัตถุบางอย่างคล้ายแข็งและคล้ายเหลวสีน้ำตาลตุ่นๆ กองหนึ่งอยู่ที่พื้น กลิ่นและสีของมันบ่งชัดว่านี้คืออึมนุษย์!!
หญิงสาวมือสั่นขนลุกชันขึ้นมาทั้งร่างอย่างช่วยไม่ได้ นางช้อนดวงตาคู่งามไปมองชามไม้ในมือ
“ม..มือ มือ..ข้า” หญิงสาวปากสั่นลิ้นแข็งจนเกือบจะพูดไม่จบ ปลายนิ้วหัวแม่มือข้างขวาของนางดูเหมือนว่าจะมีสีน้ำตาลเปื้อนอยู่ใช่หรือไม่?
“พี่สาว ท่านไปล้างมือทางบ่อน้ำด้านหลังเสียก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะพาไปเอง ไป๋ซุนเจ้าจัดการตรงนี้แทนข้าหน่อยเถิด” เจียวจูขอความช่วยเหลือจากน้องสาวไป๋ซุนเด็กหญิงอายุ 7 ปีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ"
“เว่ยหลง!! เจ้ามาช่วยข้าเลยนะ เห็นไหมว่าเจ้าก่อเรื่องอะไรไว้ ถ้าพี่สาวหนีไปอีกคนก็เป็นเพราะเจ้าไม่รู้จักหัดไปเข้าส้วมเสียทีนั่นล่ะ!” ไป๋ซุนเท้าสะเอวกวักมือเรียกต้นเหตุซึ่งเป็นเด็กชายที่อายุน้อยที่สุดในหอหงไถ
“ข..ข้า..ข้าจะร้องแล้วนะ” ฉู่หลิงถูกพยุงร่างเอาไว้โดยเจียวจู เดินปากคอสั่นไปทางด้านหลัง
กรรมเวรอะไรของแวมไพร์สาวอย่างนางกัน! พลังเขี้ยวเล็บก็ไม่มี คิดจะเป็นมนุษย์ธรรมดากินดื่มตามปกติสักมื้อ ยังไม่ทันไรก็เจอแจ็กพอตกองใหญ่เบ้อเริ่มเข้าแล้ว!
เจียวจูพาหญิงสาวเดินผ่านทางแคบที่มีม่านขาดๆ กั้นขวางเอาไว้ ตรงจุดนี้เป็นเพียงทางเชื่อมที่จะนำไปสู่เรือนเล็กที่แยกออกมาอีกหลังหนึ่ง แต่ภายในเป็นห้องโล่งๆ มีกำแพงสี่ด้านและมีหน้าต่างหลายบานไว้ถ่ายเทอากาศ ประตูขนาดใหญ่สองบานทางหนึ่งอยู่ในทิศทางที่พวกนางเพิ่งเดินเข้ามา อีกบานหนึ่งเปิดกว้างออกไปสู่บ่อน้ำทางด้านหลัง
“พี่สาวนั่งลง ข้าจะตักน้ำให้ท่านเองเจ้าค่ะ” เจียวจูจัดแจงหาเก้าอี้ไม้เตี้ยมาให้หญิงสาวนั่ง นางใช้ถังน้ำที่มีเชือกผูกเอาไว้หย่อนลงไปในบ่อแล้วตักขึ้นมาเทใส่มือหญิงสาวทีละน้อยให้อีกฝ่ายล้างได้ถนัด
“เว่ยหลงเป็นเด็กที่อยู่ในหอหงไถตั้งแต่แรกเริ่มเหมือนกับข้า ตอนที่พวกเขาจากไปเว่ยหลงเพิ่งจะอายุสามขวบเองเจ้าค่ะ เขาขี้กลัว ไม่กล้าเดินไปเข้าส้วมลำพัง หากพวกเราเผลอเมื่อใดหรือในช่วงเวลากลางคืน เขาก็จะแอบออกมาถ่ายแล้วหาอะไรมาปิดซ่อนมันไว้ ส่วนใหญ่เขาก็จะมาจัดการทำความสะอาดด้วยตัวเอง แต่วันนี้เขาคงจะลืม"
“อย่าบอกนะว่าทุกครั้งเขาจะใช้ถ้วยชามเอาไปปิดเป็นประจำ แล้วพวกเจ้าเอามันมาล้างไปใส่อาหารกินต่อหรือไม่” ฉู่หลิงขนลุกซู่ขึ้นมาอีกครั้งกับความจริงที่กำลังได้ยินและได้เห็นมากับตา
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ เมื่อครู่ท่านไม่เห็นหรือถ้วยจานในครัวมีกองสูงหลายร้อยใบ ที่สกปรกมากๆ หรือแตกบิ่นพวกเราก็จะเอาไปกองรวมไว้ตรงนั้นปล่อยให้ฝนตกแดดออกหลายรอบหน่อยค่อยเก็บมาทำฟืนเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิงมองตามมือของเจียวจูไปยังกลางลานโล่งแจ้ง นางเห็นว่ามีถ้วยชามตะเกียบรวมทั้งสิ่งแตกหักหลายอย่างที่ทำจากไม้กองพะเนินอยู่ตรงนั้นจริงๆ ก็โล่งใจ
“เป็นข้าที่สั่งสอนพวกเขาไม่ดีเอง” เจียวจูหน้าสลด เอื้อมมือไปหยิบสบู่ที่มีอยู่มากมายในหอหงไถให้กับฉู่หลิง
หญิงสาวถึงกับต้องถอนหายใจด้วยความโล่งใจ ยังดีที่นี่เป็นหอนางโลมเรื่องความสะอาดหรือเครื่องหอมจำเป็นต้องให้ความสำคัญ หากไม่มีสบู่นางคงจะไม่สบายใจแน่ว่าล้างมือสะอาดหรือไม่
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกเจียวจู ตอนเว่ยหลงสามขวบเจ้าอายุเท่าใดกันเชียว เลี้ยงดูน้องๆ มาได้ถึงขนาดนี้เจ้าเก่งมากแล้วนะ” หญิงสาวเอ่ยชื่นชมด้วยความจริงใจ ตอนนางอายุ 12 เป็นแวมไพร์ทำอะไรบ้างเล่านอกจากวิ่งหาจับนกจับหนูมาดูดเลือดกิน
เจียวจูอดร้องไห้ออกมาไม่ได้ นางเหนื่อยจริงๆ กับหน้าที่รับผิดชอบที่ใหญ่เกินตัวหลายเท่าครั้งนี้ แต่นางไม่สามารถทอดทิ้งน้องๆ ไปได้ ได้ยินคำชมเป็นครั้งแรกในรอบสามปี เด็กหญิงถึงกับโผเข้ามาซุกในอ้อมกอดของฉู่หลิงโหยหาคำปลอบใจจากใครสักคนบ้างแวมไพร์สาวลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น นางไม่ได้รู้สึกกระหายเลือดแต่นางกำลังหวั่นไหว!! ความรู้สึกถึงความรักเอื้ออาทรระหว่างคนในครอบครัวที่หลงลืมไปนานย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำของนางอีกครั้ง “ไม่ต้องร้อง มีข้าแล้ว ข้าจะสนับสนุนเจ้าทุกอย่าง ข้าจะเป็นมือที่ค้ำฟ้าไม่ให้ถล่มใส่เจ้าและน้องๆ ทุกคนเอง” “พี่สาว..มีที่ใดกันท้องฟ้าถล่มใส่คน” เด็กสาวหัวเราะออกมาได้ในที่สุด แม้ว่าพี่สาวจะสติไม่ค่อยดี แต่นางกลับรู้สึกว่าคำกล่าวเมื่อครู่ช่างน่าฟังเสียเหลือเกิน“เอาล่ะๆ ล้างสะอาดแล้ว ทีนี้เจ้าเล่าเรื่องไปเก็บข้าวข้างกำแพงสิ มันยังไงกัน”“นั่นไงเจ้าคะ พวกเขากลับมานู่นแล้ว” เด็กสาวพยักพเยิดใบหน้าไปในครัว ตามเสียงเอะอะโวยวายของเด็กชายที่หอบถุงผ้าเล็กๆ ไว้ในมือมาคนละถุงด้วยความดีใจเวลาต่อมาฉู่หลิงจึงได้รู้ว่า เป็นเพราะหอหงไถถูกยึดไปเป็นของหลวง บ่อยครั้งนายอำเภอเขตซิ่งอันก
“ต้มผักก็ไม่ยากเลยนี่ พวกเจ้ากินสิ่งนี้กันทุกวันเช่นนั้นหรือ” หญิงสาวจัดการต้มผักป่าในกระทะใบโต ซึ่งมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการรอน้ำให้เดือด เทผักลงไปเติมเกลือเล็กน้อยก็เสร็จแล้วกินเพื่ออยู่น่ะพอได้ แต่กินให้เติบโตแข็งแรงผลิตเลือดเกรดเอให้นาง เท่านี้ไม่พอ! แวมไพร์สาวคิดในใจอาหารมื้อแรกในยุคโบราณของฉู่หลิงผ่านไปอย่างรวดเร็ว และก็เป็นอย่างที่นางคิด ดูจากสีหน้าของเด็กๆ และเสียงท้องร้องโครกครากที่ดังแว่วมาบ่อยๆ พวกเขาย่อมไม่อิ่มเจียวจูเองก็เป็นเด็กสาวที่เด็ดขาดพอสมควร ถึงทุกคนจะไม่อิ่มและอ้อนวอนขอข้าวเพิ่ม นางก็ยืนยันจะเก็บข้าวที่แบ่งส่วนเอาไว้ เพราะการมีกินไปทุกวัน ดีกว่าต้องอดในบางวันที่ไม่มีคนมาโยนข้าวสารไว้ให้ ก่อนหน้านี้นางเคยสงสารน้องๆ จึงต้มข้าวทั้งหมดที่มีไปจนหมด ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวชาวบ้านยุ่งอยู่กับการเพาะปลูกในที่ดินของพวกเขา จึงไม่มีเวลามาใส่ใจเด็กในหอหงไถกอปรกับต่างคนต่างก็คิดว่าคงมีคนมาโยนข้าวไว้ให้บ้างแล้ว นางและน้องๆ ต้องอดข้าวไปถึง 6 วัน ได้กินแต่ผักป่าที่เด็กๆ ไม่ชอบกินเพื่อประทังชีวิตไปเท่านั้นต่อมานางจึงรู้ว่าควรจัดการกับเรื่องอาหารอย่างไร และทำให้ทุกๆ คนมีข้าวเ
“ปลาเยอะมากเลย” ตงเหม่ยแทบจะน้ำตาไหล ไม่คิดมาก่อนว่าปลาที่นางเคยมองอยู่เกือบทุกครั้งที่เดินผ่านลำธาร วันนี้นางจะได้กินพวกมันสมใจ“ทีนี้เชื่อข้าหรือยัง ว่ามีข้าอยู่พวกเจ้าจะได้กินอิ่ม” หญิงสาวมองดูปลาที่ดิ้นกระแด่วอยู่เต็มถังไม้สองใบ อดยกยอตัวเองอยู่อีกหลายประโยคไม่ได้ด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเชื่อแล้วเจ้าค่ะพี่สาว” หลิ่วจีรีบวิ่งมากอดแขนหญิงสาวเอาไว้พร้อมกับส่งเสียงออดอ้อนของลูกแมวน้อย“พวกเราก็เชื่อ แต่ว่า..พี่สาวให้พวกเราเล่นน้ำกันอีกสักครู่ได้ไหมขอรับ ไหนๆ พวกเราก็ตัวเปียกกันแล้ว” เว่ยหลงต่อรองทันที พวกเขาและเด็กชายที่เหลือต่างก็ยังคงอิดออดไม่ยอมขึ้นจากน้ำมารวมกลุ่มกับพวกเด็กผู้หญิง“ให้เล่นอีกพักเดียวพอนะ พวกเรายังมีงานต้องกลับไปทำอีกเยอะเลยทีเดียว” แวมไพร์สาวใจอ่อนลงทันทีเมื่อมีอาหารอยู่ในมือ อีกอย่างเด็กๆ ก็ควรได้พักผ่อนหย่อนใจกันบ้างเอ๋..ข้าเป็นคนมีเมตตาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? หญิงสาวรู้สึกติดขัดอยู่ในใจลึกๆ แต่ก็เลือกโทษว่าคงเป็นเพราะสารเคมีที่ถูกฉีดเข้าไปในร่างกายมีผลกับจิตใจที่เหี้ยมโหดของตน……….เนื่องจากปลาเต็มสองถังมีน้ำหนักมากเกินไป ฉู่หลิงจึงต้องแบ่งปลาออกไปใส่ไว้ในอกเ
“พวกเจ้าอยู่จัดการที่นี่ต่อไปก่อนนะ ข้าจะขึ้นไปดูข้างบนเสียหน่อย” ฉู่หลิงเห็นว่าเด็กๆ จัดการทำความสะอาดครัวจนเกือบจะแล้วเสร็จ นางคิดจะไปค้นดูห้องด้านบนเผื่อจะพบของมีค่าที่นำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินมาได้บ้าง ห้องโถงด้านล่างแม้จะมีเครื่องเรือนประเภทแจกันและภาพวาด แต่ของเหล่านั้นส่วนใหญ่จะวาดลวดลายเป็นรูปสัปดนในเชิงยั่วยุกามารมณ์ หากนำออกไปขายย่อมต้องมีคนคิดได้ว่าเป็นสิ่งของจากหอหงไถ นางยังไม่กล้าเสี่ยงสร้างปัญหากับคนของทางการพวกโต๊ะเก้าอี้หรือเครื่องเรือนขนาดใหญ่ที่มีมากเกินความจำเป็น ของพวกนี้อยู่ในสภาพปกติแต่ก็ชิ้นใหญ่เกินกว่าจะลักลอบขนออกไปขายได้ และนางยังไม่รู้ว่านำไปขายให้ผู้ใดด้วย สิ่งที่หญิงสาวมองหาก็คือเศษเงินหรือเครื่องประดับของนางคณิกาที่อาจจะยังตกหล่นหลงตาอยู่บ้างบนขั้นบันไดเด็กๆ คงจะใช้เป็นสนามเด็กเล่นส่วนตัวของพวกเขามันจึงไม่ค่อยมีฝุ่นจับ แต่เมื่อก้าวขึ้นมาถึงชั้นบนตามทางเดินเต็มไปด้วยฝุ่นจับตัวหนา คาดว่าตลอดสามปีที่ผ่านมาเด็กๆ คงไม่เดินขึ้นมาสักเท่าใดนักฉู่หลิงเปิดประตูเข้าไปค้นหาสิ่งของทีละห้องซึ่งมีทั้งหมด 14 ห้องอย่างใจเย็น “เสื้อผ้า ผ้าและผ้า!” ค้นดูไปหลายห้องแล้วนาง
“ฮึก!!” เสียงกลั้นสะอื้นดังมาจากหลิ่วจีเป็นคนแรก และตามด้วยอีกหลายเฮือกของบรรดาเด็กๆ ทั้งหมดที่นั่งรวมตัวกันอยู่“เอาละช่วยกันเก็บถ้วยจานไปล้าง แล้วอาบน้ำให้สะอาด วันนี้พวกเราจะนอนข้างล่างกันเหมือนเดิม พรุ่งนี้คงต้องจัดการเรื่องที่หลับที่นอนให้เสร็จไปอีกเรื่อง” หญิงสาวโบกมือไล่เด็กๆ แข็งใจไม่ยอมหันไปมองหน้าหลิ่วจีที่นั่งกลั้นก้อนสะอื้นจนตัวสั่น“คืนนี้ข้าจะเป็นคนดับตะเกียงเอง เจ้านอนหลับให้สบายเถิดเจียวจู” หญิงสาวเรียกตัวเจียวจูมาคุยก่อนที่นางจะแยกไปนอนที่ห้องพักเดิมที่นางเคยเข้าไปอาบน้ำ ยามนี้นางรู้แล้วว่าห้องเล็กเพียงห้องเดียวในชั้นล่าง เป็นห้องนอนส่วนตัวของนายหญิง หรือก็คือแม่เล้าประจำหอหงไถนั่นเอง ต่อไปฉู่หลิงก็ตั้งใจจะพักอยู่ในห้องนี้เพื่อคอยดูแลความเรียบร้อยและรอดับไฟตะเกียงให้เด็กๆ ยามค่ำคืน“เว่ยหลง ข้าจะแง้มประตูเอาไว้ หากเจ้าเกิดปวดท้องตอนกลางคืนก็มาเรียกข้า ข้าจะพาเจ้าไปเข้าส้วมเอง เข้าใจหรือไม่” เด็กชายตัวน้อยยืนบิดตัวหน้าแดงเอียงอายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบรับแล้ววิ่งหายไปนอนรวมกับกลุ่มเด็กชายในห้องรับรองแขกอีกด้านกลางดึกขณะที่ทั่วทั้งหอหงไถอยู่ในความมืดและเงียบส
“ช่วยข้าก่อไฟต้มน้ำที” ป้ายยาลงคอเว่ยหลงแล้ว หญิงชราก็หันมาชี้มือไปยังเตาไฟที่ก่อจากหินอย่างง่ายๆ หน้าเรือน สั่งให้เจียวจ้านใช้ไฟจากตะเกียงไปจุดเตาอีกทีหนึ่ง พอเจียวจ้านตั้งน้ำได้ นางก็ขอยืมตะเกียงกลับเข้าไปในเรือนอีกครั้ง และกลับมาพร้อมกับห่อผ้าเล็กๆ อีกห่อเทวัตถุสีน้ำตาลแห้งๆ ที่คล้ายว่าจะเป็นสมุนไพรตากแห้งอะไรเทือกนั้นลงหม้อ โชคดีที่ระหว่างรอต้มยา เว่ยหลงก็อ่อนแรงจนเผลอหลับไปและเขาไม่ได้ถ่ายของเสียออกมาอีก เว่ยหลงถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาดื่มยาและตามด้วยน้ำเกลือที่เหลืออีกครึ่งถ้วย เขาถ่ายเหลวอีกสองครั้ง แต่ก็เว้นระยะห่างออกไปพอสมควรฉู่หลิงคาดคะเนว่าระยะเวลาที่พวกนางเฝ้ารอดูอาหารของเว่ยหลง รวมทั้งขอยืมใช้ส้วมในเรือนผู้อื่นอีกสองครั้ง ก็น่าจะราวๆ สามชั่วโมง หรือเทียบเท่ากับเกือบสองชั่วยามตามเวลาที่คนในยุคนี้ใช้เปรียบเทียบก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยปากขอร้องให้เด็กที่เหลือได้นอนค้างคืนที่บ้านหญิงชราจนถึงเช้า อีกฝ่ายก็ชิงเอ่ยคำออกมาเสียก่อน“อาการน่าจะดีขึ้นแล้วล่ะ แบกเขากลับไปเอายาที่เหลือติดหม้อเทใส่ถ้วยไปด้วยก็แล้วกัน หากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ต้องมาที่นี่กันอีก” นางกล่าวจบก็ลุกเดินเข้าไปในเร
“ท่านบอกว่าหากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมา แต่ข้ามีเรื่องจำเป็นเจ้าค่ะ” ฉู่หลิงรีบเดินเข้าไปให้ถึงแคร่ไม้ตัวเล็กหน้าเรือนท่านยาย เอาสิ! หากท่านสาดน้ำมาอีกก็เปียกเรือนตัวเองนะ“มีอะไรก็รีบว่ามา เด็กนั่นยังไม่หายป่วยหรือ? เจ้าก็พาเขาไปหาหมอสิ ข้าไม่ใช่หมอ” หญิงชราทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็เริ่มออกเสียงบ่นว่า“ข้ามาขอบคุณท่านยายต่างหาก เว่ยหลงอาการดีขึ้นตั้งแต่ดื่มยาจากท่านไปเจ้าค่ะ และนี่ปลา ข้านำมันมาตอบแทนค่ายาที่ท่านต้องเสียไป”“เอาวางไว้นั่นล่ะ เสร็จธุระแล้วเจ้าก็รีบไปเสียสิ” หญิงชรากล่าวโดยไม่หันมามองหน้าฉู่หลิง นางยังคงก้มหน้าวุ่นวายอยู่กับการก่อไฟบนเตาที่ใช้หินมาเรียงซ้อนกัน“ไม่กลับจนกว่าข้าจะรู้ว่าเด็กๆ เคยไปทำอะไรให้ท่านต้องเดือดเนื้อร้อนใจหรือไร เหตุใดท่านจึงต้องทำท่าโกรธเคืองขับไล่พวกเราด้วยเล่า?” ฉู่หลิงยิ่งรู้สึกว่ามันผิดปกติมากเกินไปแล้วจริงๆ นางจึงเอ่ยปากถามออกมาโดยไม่อ้อมค้อม“เด็กพวกนั้นไม่เคยทำอะไรให้ข้าต้องเจ็บช้ำน้ำใจ แต่เป็นหญิงคณิกาชั้นต่ำอย่างเจ้าต่างหากที่ข้ารังเกียจ!” หญิงชราลุกขึ้นยืนหันหน้ามาเผชิญกับฉู่หลิงโดยตรงแวมไพร์สาวถึงกับตาเหลือกงุนงงเป็นไก่ตาแตก นา
นางมองหาหม้อดินเผาปากกว้างมีฝาปิดขนาดเหมาะมือไว้ได้ใบหนึ่ง หยิบมันออกมาชูให้เด็กๆ ทุกคนมองเห็นได้ชัดเจนเพื่อจดจำไว้ให้ขึ้นใจว่าจากนี้ต่อไป หม้อดินเผาใบนี้จะกลายเป็นสมบัติส่วนตัวของเว่ยหลง ห้ามผู้ใดนำมาใช้โดยเด็ดขาด!!“ข้าให้เจ้าใช้ได้เฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น ทุกเช้าเจ้าจะต้องนำมันไปเทและล้างทำความสะอาดให้ดี เวลากลางวันเจ้าต้องเข้าส้วมตามปกติเหมือนคนอื่น ๆ เข้าใจหรือไม่”“เข้าใจแล้วขอรับ” เว่ยหลงฉีกยิ้มออกมาได้ในที่สุด อีกทั้งยังพยายามอวดกระโถนส่วนตัวที่ตนมีไว้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวด้วยความภาคภูมิใจ……….ตลอดทั้งวันเด็กๆ ช่วยกันขนเสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ปลดผ้าม่านลงมากองรวมไว้ในห้องรับแขกห้องใหญ่ในชั้นล่าง เด็กๆ ก็เหน็ดเหนื่อยจนหิวโซกันแล้ว ฉู่หลิงจึงให้พวกเขาหยุดงานแต่เพียงเท่านี้นางเลือกเสื้อผ้าที่มีสภาพใหม่และดูสุภาพเก็บเอาไว้ก่อน เด็กผู้หญิง 7 คนรวมทั้งนางอาจจะได้ใช้พวกมันในอนาคต ส่วนที่เหลือก็ให้เด็กๆ เอาไว้ทำผ้าขี้ริ้วเพื่อขึ้นไปเช็ดถูห้องด้านบนในวันพรุ่งนี้“พี่เจียวจู พี่ตงเหม่ย ทำปลาย่างกันเถิดเจ้าค่ะ ปลาย่างอร่อยกว่าปลาต้มมากนักข้าชอบกิน” ไป๋ซุ่นเด็กหญิงวัย 7 ปีผู้ที่ไม่ค่อยจะ
“ข้าขอโทษ..ข้าขอโทษ เจ้าเชื่อข้าเถิด ข้าก็จะปกป้องพวกเขาเช่นกัน แต่ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้ฉู่หลิง” โจวเฉิงเปิดเผยคำพูดออกมาจากหัวใจจริงๆเจียวจ้านเข้าใจเจตนาดีของโจวเฉิงเช่นกัน และเขาเองก็ยินดีด้วยซ้ำที่โจวเฉิงเลือกทำเช่นนี้ พวกเขาต้องพลัดพรากจากพี่น้องทั้ง 6 มีพี่สาวฉู่หลิงอยู่กับพวกตนอีกคนก็ยังดีกว่า“เรากลับไปที่จวนกันเถิด” เจียวจ้านสั่งน้องที่เหลือ แล้วเดินออกจากอุโมงค์ไปพร้อมกับผู้พิทักษ์ชุดสีม่วงคนอื่น ๆ ที่รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดด้วยกันโจวเฉิงปล่อยให้หญิงสาวระบายความเศร้าโศกออกมาเต็มที่อยู่อีกเนิ่นนาน เขาไม่กล้าปล่อยมือออกจากร่างงามแม้เพียงเสี้ยวอึดใจด้วยเกรงว่าฉู่หลิงจะหนีไปหาพี่น้องปีศาจดูดเลือดของนาง“ข้ารู้ว่าท่านหวังดี พวกเขาจากไปไกลแล้ว ปล่อยข้าเถิด” ฉู่หลิงเลิกล้มความตั้งใจเดิม อย่างไรนางก็ยังมีน้องอีก 13 คนและท่านยายเฉินอยู่ที่นี่“ไม่ปล่อย เจ้าดื่มเลือดข้าก่อน” ชายหนุ่มลูบฝ่ามือไปที่คมดาบจนเกิดบาดแผล ก่อนจะยื่นมือเปื้อนเลือดส่งให้หญิงสาวฉู่หลิงปรายตามองเลือดสีแดงสดบนฝ่ามือของอีกฝ่ายสายตาหยามหยัน“ข้าไม่ดื่มเลือดจากมือท่าน ก่อนจะกลับเป็นมนุษย์ให้ข้าได้กัดผู้พิทักษ์สักครั้
ฉู่หลิงรอน้องทั้งหกกับกลุ่มของมู่เจียเหยียนอยู่ภายในจวนผู้ตรวจการพิเศษอีกสามวันพวกเขาก็ยังไม่กลับมาจนหญิงสาวเริ่มร้อนใจ“ท่านยาย ข้าสังหรณ์ใจว่าพวกเขาจะกลับเข้าไปอยู่ในถ้ำ ข้าจะกลับไปดูสักครั้ง ฝากเด็กๆ ทางนี้ด้วยนะเจ้าคะ” ฉู่หลิงยังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางมีสัมผัสบางเบาเป็นครั้งคราวว่าเจียวจูกับคนอื่น ๆ อยู่ใกล้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงยังไม่กลับมา“พี่หลิงหลิง ข้าไปด้วยขอรับ” เจียวจ้านกับเด็กคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดของฉู่หลิงกับท่านยายเฉินเข้าพอดี พวกเขารีบรุมล้อมมาข้างตัวฉู่หลิงจนอีกฝ่ายแทบจะหมดแรงจากพลังของผู้พิทักษ์ที่ยืนรายล้อมรอบตัว“ไปสิ ไปด้วยกัน หากพวกเขาอยู่ที่นั่นก็จะได้ใช้เลือดของพวกเจ้าในการแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้พอดี” หญิงสาวยิ้มรับคำอบอุ่นเดินทางมาถึงเขตลำธารสายเล็กที่ทุกคนเคยมาจับปลาด้วยกัน ฉู่หลิงก็รู้สึกถึงตัวตนของปีศาจดูดเลือดชัดเจนยิ่งขึ้นและยิ่งมั่นใจว่าน้องที่เหลือยังคงอยู่ในถ้ำ และไม่แน่ว่ามู่เจียเหยียนกับพวกฉีฟ่งก็จะอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน“พี่เจียวจู ทำไมไม่กลับไปหาพวกเรา เรารอมาสองวันแล้วนะเจ้าคะ” ตงเหม่ยวิ่งเข้าไปหาเจียวจูก่อนผู้ใด “มือปราบมู่ ท่านอาฟ่ง เด
“ช้าก่อน!! พวกที่หลบหนีไปในตอนนี้อย่างไรพวกมันก็ต้องเลือกหาที่หลบซ่อนตัวเป็นอันดับแรก ยังไม่สร้างความเดือดร้อนให้เราค้นหาได้ง่ายเป็นแน่” ท่านยายเฉินก้าวออกมาอีกคนหนึ่งสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง“เราต้องกลับไปที่จวนผู้ตรวจการกันสักครู่ แม้เราจะไม่ต้องดื่มกินอาหาร แต่เรายังมีความกระหายอยู่ ที่นั่นมีกระต่าย!”หวังหยวนอยากจะตบมือดังๆ ให้ท่านยายเฉินเสียเหลือเกินที่ออกหน้าเป็นตัวแทนของคนในหมู่บ้าน พวกเขากระหายเลือดจริงๆ นั่นล่ะ สู้กันมาครึ่งค่อนคืนจนถึงเช้ากลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่วเมืองสือเจีย พวกตนได้แต่ข่มกลั้นความกระหายเอาไว้จนเขี้ยวสั่นแล้วที่จวนผู้ตรวจการก็มีสิ่งที่พวกเขาต้องการโดยไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใด กระต่ายอ้วนพี 4 คอก แบ่งๆ กันดื่มก็ยังพอช่วยดับกระหายให้มีแรงสู้ต่อไปได้อีกหน่อยพอพูดถึงกระต่ายแวมไพร์สาวก็รู้สึกปวดไส้หิวกระหายขึ้นมาบ้างแล้ว นางพยักหน้าตอบรับท่านยายเฉินครั้งหนึ่ง กลุ่มปีศาจดูดเลือดที่มีทั้งทหาร ชาวบ้านและเด็กๆ ก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วทางทิศของอำเภอซิ่งอัน“ใต้เท้า นาง..มือปราบมู่..เด็กๆและชาวบ้าน?” ผู้พิทักษ์ฝ่ายตรวจการพิเศษที่ยังไม่รู้เรื่องของชาวอำเภอซ
“ท่านลุง ท่านป้า ข้าเองเจียวจ้าน!” เจียวจ้านกับฝานเจิ้งสลับกันตะโกนร้องเรียกหาสองสามีภรรยาไม่หยุดพวกเขารู้ดีว่าชาวบ้านได้รับคำเตือนให้ซ่อนตัวให้มิดชิด แต่หากยังไม่ได้เห็นคนทั้งสองกับตาว่าปลอดภัย เด็กชายทั้งสองคนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี“เจียวจ้าน ฝานเจิ้ง! มาทำอะไรที่นี่! เข้ามาหลบในนี้ก่อนเร็วเข้า!” เถ้าแก่หลี่โผล่หน้าออกมาจากเตาดินเผาขนาดใหญ่ กวักมือเรียกเด็กชายทั้งสองให้เข้ามาซ่อนตัวด้วยความร้อนใจ“พวกท่านปลอดภัย ข้าดีใจเหลือเกินขอรับ” เจียวจ้านถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เวลานี้มีปีศาจที่บุกรุกเข้ามาด้านในมากขึ้นแล้ว ระหว่างทางพวกเขายังได้สังหารพวกมันไปหลายคนเลยทีเดียว“เจ้าสองคนเข้ามาในนี้ก่อนเร็วเข้า อย่าชักช้าอยู่” เถ้าแก่หลี่เร่งเด็กชายทั้งสอง ด้านนอกเริ่มมีเสียงกรีดร้องของผู้คนดังเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วเจียวจ้านกับฝานเจิ้งยิ้มแห้งให้สองสามีภรรยา ดูเอาเถิดเตาดินเผาแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่พอมีคนสองคนเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ก็ไม่สามารถบดบังร่างพวกเขาได้มิดชิด เท้าของเถ้าแก่หลี่ที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าก็ยังโผล่พ้นออกมาด้านนอกอยู่เลย แล้วจะให้เขาสองคนเข้าไปข้างในอีกได้อย่างไรกันขณะนั้นเองปีศาจดูดเลื
เห็นความตั้งใจจริงของทุกคนฉู่หลิงก็ยินยอมแต่โดยดี เอาจริงก่อนจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้นางก็ไม่คิดฝันมาก่อนว่าการย้อนเวลามาครั้งนี้จะมีมนุษย์ตัวเป็นๆ มายื่นคอให้นางกัดโดยไม่ต้องล่าทหารและชาวบ้านร้อยกว่าชีวิต เข้าแถวมาทีละคนเพื่อให้ฉู่หลิงดื่มเลือดพวกเขา แวมไพร์สาวรู้สึกอิ่มจนพุงกาง สุดท้ายก็ต้องให้หวังหยวนมาช่วยแบ่งเบาภาระเพิ่มอีกคน เพราะทุกคนในที่นี้มีเพียงหวังหยวนเพียงผู้เดียวที่เคยได้ลิ้มลองเลือดมนุษย์ไปแล้ว นางไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาแปดเปื้อนเพิ่มขึ้นอีก“พร้อมกันแล้วใช่หรือไม่” แวมไพร์สาวกระโดดขึ้นไปอยู่บนกำแพงจวน ส่งเสียงคำรามและปลุกระดมความฮึกเหิมให้กับเหล่าสาวกเบื้องล่าง“แฮ่!!!” ทหารชาวบ้านและเด็กๆ ที่กลายเป็นปีศาจดูดเลือดทั้งหมด แยกเขี้ยวกางเล็บส่งเสียงคำรามตอบกลับ สตรีชาวบ้านบางคนอย่างเช่นนางจวงหญิงอ้วนที่ไม่เคยกระโดดพ้นยอดหญ้า รีบทดลองปีนป่ายขึ้นกำแพงก่อนจะหัวเราะชอบใจชักชวนให้สตรีคนอื่น ๆ ทดลองตามอย่างบ้าง“เราจะช้าไม่ได้แล้ว ระหว่างทางพวกท่านค่อยๆ ปรับสภาพร่างกายกันเอาเองก็แล้วกัน อ้อ! ทุกคนตัดต้นไผ่ติดมือกันไปให้มากที่สุดด้วย ไป!!” แม้จะไม่เข้าใจว่าฉู่หลิงให้พวกตนตัดต้นไผ่ไ
“พวกเขาเป็นปีศาจดูดเลือดก็จริง แต่พวกเขาอยู่ฝ่ายเรา เรื่องนี้ข้าจะอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจภายหลัง” โจวเฉิงรีบหันเหความสนใจของคนทั้งห้ากลับมาที่ตนเองอีกครั้งผู้พิทักษ์ทั้งห้าคนหันมองหน้ากันไปมา คำกล่าวของโจวเฉิงก็คล้ายว่าจะจริง ปีศาจดูดเลือดทุกคนที่พวกตนเห็นอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นทหารและเด็กที่อยู่ในจวนผู้ตรวจการมาก่อนทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีท่าทีจะเข้ามาโจมตีแต่อย่างใดแต่นี่มันแปลกประหลาดเกินไปหรือไม่ ในตำนานหรือตำราไม่เคยมีบันทึกมาก่อนว่าสายเลือดผู้พิทักษ์กับปีศาจดูดเลือดจะร่วมงานกันได้อย่างสันติ!“ไม่เคยเห็นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หนึ่งในห้ายักไหล่ขึ้นมา เป็นอันสรุปว่าพวกเขายินยอมเชื่อคำของโจวเฉิงซึ่งเป็นผู้นำ“ทำไมพวกเจ้าทั้งห้าจึงมาทางนี้ ใช่ว่าเวลานี้ควรช่วยกันปิดทางแพร่กระจายของเหล่าปีศาจดูดเลือดไม่ให้ลุกลามไปยังเขตเมืองอื่นอยู่หรอกหรือ” “คนของเราแบ่งกำลังไปสกัดเส้นทางไปเมืองทั้งสามโดยรอบเอาไว้แล้วขอรับ จุดศูนย์รวมของพวกมันเวลานี้กระจายอยู่เป็นกลุ่มในเขตเมืองสือเจียมากที่สุด และเวลานี้พวกมันพุ่งเป้าไปที่กำแพงเมืองเป็นจำนวนมาก พวกเรากำลังจะตามไปสนับสนุนที่เมืองสือเจียเลยแวะมารายงานท่านก
แต่แล้วใบหน้าที่ค่อยๆ ซีดขาวลงไปทุกทีของผู้พิทักษ์ทั้งสามก็ต้องแตกตื่นตกใจในทันทีที่ตนหลั่งโลหิตใส่ถ้วยครบทั้ง 13 ใบ เด็กชายหญิงที่ดูสดใสไร้เดียงสา คว้าเอาถ้วยบรรจุของเหลวสีแดงฉานส่งกลิ่นคาวคลุ้งขึ้นไปดื่มอักๆ ไม่เกรงใจผู้ใด เมื่อดื่มเสร็จยังวิพากษ์วิจารณ์ว่าเลือดของผู้พิทักษ์จะแตกต่างกับเลือดกระต่ายที่เจียวจูดื่มทุกวันอย่างไรบ้าง “ข้าว่าต้องหวานกว่าเลือดกระต่ายแน่นอน ข้าดมอยู่ทุกวันเลือดกระต่ายเหม็นคาวกว่านี้หลายเท่าตัว” เจียวจ้านเช็ดเลือดที่มุมปากออกแล้วออกความเห็นเป็นคนแรก“กระต่ายน่ารักกว่าพี่ชายท่านนี้ตั้งเยอะ ข้าว่าเลือดกระต่ายน่าจะอร่อยกว่านะ” ไป๋ซุนตัวน้อยเบ้หน้าเล็กน้อยแสดงอาการไม่เห็นด้วยกับพี่ชายใหญ่“แต่ข้าว่า..” หลินอีกำลังจะติเตียนอะไรบางอย่างแต่ถูกโจวเฉิงยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ก่อน“พอที! พวกเจ้าสมควรเป็นน้องของนางจริงๆ” ไม่ต้องมีใครถามก็รู้ว่าผู้ตรวจการโจวกำลังกล่าวพาดพิงถึงผู้ใด เขากับฉู่หลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่มีปากเสียงกันอยู่เป็นประจำ“พวกเราต้องพัก การหลั่งโลหิตของพวกเราทำให้พวกเราเสียพลังและอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง” โจวเฉิงผุดลุกขึ้นยืน ร่างสูงโอนเอนเล็กน้อยจนเจียวจ้า
พลังของผู้พิทักษ์สายเลือดแท้ของโจวเฉิง เมื่อเข้าใกล้มายังกลุ่มปีศาจดูดเลือดที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่งก็กดข่มพลังของปีศาจดูดเลือดระดับต่ำไว้ได้ส่วนหนึ่งจนพวกมันรู้สึกตัวกลุ่มของฉู่หลิงและพวกทหารที่กลายมาเป็นปีศาจดูดเลือดก็รับรู้ได้ถึงการมาของโจวเฉิงและพรรคพวกของเขาอีกสองคนเช่นกัน แต่เป็นเพราะพวกเขาล้วนถูกกัดจากฉู่หลิงทั้งสิ้นจึงมีความต้านทานสูงกว่าพวกระดับต่ำ“ถอยกลับเข้าไปในกำแพง ทางด้านนอกนี้ปล่อยให้ผู้พิทักษ์จัดการ พวกเขาแข็งแกร่งมาก!” ฉู่หลิงรีบร้องเตือนพรรคพวกของตนให้กลับเข้าไปจัดการปีศาจดูดเลือดที่หลุดรอดเข้าไปในจวน นางต้องพาทุกคนออกไปให้ไกลจากโจวเฉิงเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ภายในจวนฝ่ายชาวบ้านกับทหารที่ยังไม่ถูกกัดสามารถควบคุมเอาไว้ได้ ฉู่หลิงก็พาปีศาจดูดเลือดทุกคนที่นางเพิ่งกัดหนีเข้าไปในป่า ตั้งใจจะไปตั้งหลักที่อุโมงค์เพื่อรอดูท่าทีกันก่อนโจวเฉิงและพรรคพวกเข้าร่วมการต่อสู้กับทหารและชาวบ้านที่ยังคงสภาพเป็นมนุษย์อยู่อีกพักใหญ่ พวกปีศาจดูดเลือดก็เริ่มแตกกระจายหลบหนีไปได้บ้าง ส่วนที่ถูกสังหารจบดับสิ้นก็มีไม่น้อย“เจ้าสองคนออกไปดูรอบๆ อีกครั้งให้แน่ใจ เมื่อครู่เราสังหารได้เพียง
เมื่อท้องฟ้าสิ้นแสงตะวัน เวลานี้ผู้คนในจวนผู้ตรวจการพิเศษทั้งหมดจึงได้เห็นกับตาว่าฉู่หลิงไม่ได้คิดไปเอง ปีศาจดูดเลือดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่พวกเขาแข็งแรงกว่าและมีเขี้ยวยาวพยายามบุกเข้ามาภายในจวนผู้ตรวจการพิเศษเป็นจำนวนมาก“เล็งไปที่หัวใจ! ตัดคอมัน!” มู่เจียเหยียนตะโกนก้องระหว่างที่ทหารและชาวบ้านข่มกลั้นต่อความหวาดกลัวและพยายามเอาชีวิตรอดให้ถึงที่สุด พวกเขาก็ได้เห็นร่างของ ฉู่หลิง หวังหยวน ท่านยายเฉิน และเด็กกลุ่มหนึ่งที่มองแทบไม่ออกว่าคือใครบ้างพุ่งโจมตีด้วยความรุนแรงไปที่อีกฝ่ายแต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือคนกลุ่มนี้มีเขี้ยวเล็บไม่ต่างจากปีศาจดูดเลือดที่ดาหน้าเข้ามาโจมตีจวนผู้ตรวจการไม่มีผิด แต่ทุกคนแข็งแรงกว่ากระโดดได้สูงกว่าอีกฝ่ายมากนักและยังไม่ได้โจมตีมนุษย์ แต่กำลังเร่งกำจัดปีศาจดูดเลือดเช่นเดียวกันกับพวกเขา“แม่นางฉู่ หวังหยวน ท่านยาย..” มู่เจียเหยียนตกตะลึงอย่างหนัก เมื่อได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลายร่างที่กำลังปกป้องผู้คนในจวนผู้ตรวจการเอาไว้เต็มกำลังทหารและชาวบ้านเองก็ได้เห็นกับตาแล้วว่ายามนี้พวกตนเป็นเพียงแค่มดปลวกตัวจ้อย ทหารยังพอทำเนาพวกเขาใช้อาวุธกันได้คล่องมือพ