LOGIN“เลิกปฏิเสธข้า ปีนี้เจ้าสิบขวบแล้วนะ ขี่ม้าจับอาวุธ อย่างไงก็ต้องเรียน พ่อแม่เจ้าฝากฝังข้าไว้ หากพวกเขาทั้งสองกลับมาแล้วพบว่าข้าล่ะเลย แม่เจ้าจะไม่ถอนหงอกข้าเลอะ นางน่ะดุอย่างกับแม่เสือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของเจ้ากลัวนางมากกว่าข้าเสียอีก”
“คุณชาย ท่านอย่างกังวลไป ข้าเป่าจงจัดได้ว่าเป็นสหายร่วมสำนักกับมารดาของท่าน นางฝากฝังข้าไว้ว่าหากท่านอายุครบสิบขวบ ให้ข้าเป็นผู้รับผิดชอบสอนวิชายุทธิ์แขนงต่าง ๆ แทนนาง วันนี้ถือว่าข้าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อน้องเล็ก รับท่านเป็นศิษย์ ท่านคงไม่ทำให้ข้าลำบากใจใช่ไหม”
วั่งซูทำท่าจะปฏิเสธ แต่เมื่อเขาเห็นเด็กชายที่น่าจะมีอายุมากกว่าตนเองเพียงไม่กี่ปี ที่เอาแต่ยืนนิ่งสงบรูปร่างองอาจผ่าเผย ทำให้เกิดรู้สึกหมั่นใส้ขึ้นมา ยิ่งท่านย่าให้ความสำคัญต่อเขา วั่งซูก็ยิ่งรู้สึกต้องการจะเอาชนะ
เด็กชายคุกเข่าลงคำนับต่อชายวัยกลางคน “ได้…ท่านอาจารย์ ข้าเฉิงวั่งซูคำนับท่านเป็นอาจารย์ ต่อจากนี้ท่านโปรดเมตตาศิษย์ด้วย”
เป่าจงหันไปยิ้มให้สตรีชรา ไม่คิดว่าสิ่งที่ผู้สูงวัยวางแผนไว้จะได้ผล
วั่งซูลงจากหลังม้า ก็ทำหน้าง้ำไม่พอใจใส่สาวใช้คนสนิท แล้วรีบเดินเข้าจวนโดยไม่สนใจลู่เสี่ยน ที่มารอรับเขาอยู่หน้าประตู
“คุณชายเหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้น ตกลงได้ข่าวท่านแม่ทัพกับนายหญิงหรือไม่”
“ไม่…”
“ทำไมล่ะเจ้าคะ”
“ท่านย่าดันตัดบทข้า พูดเรื่องอื่นเสียก่อน ข้าเลยลืม”
“ลืม…” สาวใช้คนงามถึงกับหัวเราะออกมา
“พี่ลู่เสี่ยนนี่เจ้ากำลังหัวเราะข้า อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าข้าลืมหรอก เรียกว่าไม่มีจังหวะมากกว่า”
“มิได้ ๆ ข้าเอ็นดูท่านต่างหากเล่า ใครกันจะกล้าหัวเราะ เอาเช่นนี้ข้าจะไปเอง ข้าสนิทกับผู้ดูแลฮูหยินผู้เฒ่า หากมีราชโองการหรือจดหมาย นางต้องรู้แน่นอน เรื่องนี้ข้าเอง”
เด็กชายจากสีหน้างอง้ำก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสุขใจ พร้อมกับโผเข้าสวมกอดสาวใช้คนสนิทด้วยความดีใจ
“พี่ลู่เสี่ยนของข้าน่ารักที่สุด”
ลู่เสี่ยนแม้จะรู้สึกดีใจ ที่คุณชายรูปงามผู้ที่ตนเฝ้าดูแลแสดงออกถึงความรักที่มีต่อนาง แต่นางก็รู้ดีว่า การแสดงออกเช่นนี้หากในสายตาผู้อื่น ย่อมไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น
“ปล่อยเจ้าค่ะ ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ”
“ทำไมเล่า ข้าก็กอดท่านเช่นนี้ออกบ่อย”
“อดีตนั้นย่อมได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้อีกแล้ว ท่านน่ะสิบขวบแล้วนะ เริ่มเป็นหนุ่มแล้ว หาใช่เด็กเล็กเช่นแต่ก่อนไม่ ผู้อื่นมาเห็นเข้าคงมิใช่เรื่องดี”
ลู่เสี่ยนยังพูดไม่ทันจบ วั่งซูก็พุ่งเข้าหอมแก้มนาง แล้วรีบวิ่งจากไป “ลู่เสี่ยนข้าไม่กอดดเจ้าแล้วก็ได้ แต่ต่อไปนี้ข้าจะทำเช่นนี้แทน”
ลู่เสี่ยนได้แต่ตกใจจนดวงหน้าและผิวกายสาวร้อนผ่าว หัวใจเต้นรัวเร็ว แม้นางจะสนิทสนมกับวั่งซูมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่า ความใกล้ชิดจะทำให้เจ้านายตัวน้อย กล้าทำเช่นนี้กับนาง
เด็กชายหอบเอากิ่งไม้แห้งเท่าที่จะหาได้ มาสุมเพื่อเตรียมก่อไฟ เพื่อจัดการกับอาหารมื้อแรก
“องค์ชาย มาข้าทำให้”
“ไม่ได้ ๆ พี่หลิวหยุน ท่านบาดเจ็บอยู่นะ นอนนิ่ง ๆ ข้าทำได้”
“แต่…องค์ชาย เรื่องเช่นนี้ท่านไม่เคยทำ…” เด็กชายโบกมือ ให้นางนั่งลง หญิงสาวได้แต่นั่งลงมองดูผู้เป็นนายก่อกองไฟ ย่างปลาด้วยตนเอง หากไม่เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น คงไม่รู้เลยว่าชายสูงศักดิ์เช่นจ้าวตงหยาง จะสามารถทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างง่ายดาย
เด็กชายส่งปลาย่างกลิ่นหอมให้นางหนึ่งไม้ “เวลานี้ข้าทำได้เท่านี้ พี่สาวกินได้หรือไม่”
หลิวหยุนน้ำตาคล้อเบ้า “กินได้เจ้าค่ะ ไม้นั้นตัวเล็กกว่ามาก ไม้ที่ท่านให้ข้ามันใหญ่เกินไป ข้ากินไม่หมด ท่านเอาของข้าไป แล้วเอาไม้นั้นมา”
“ไม่ได้ เจ้ามีบาดแผล ควรกินให้มาก จากนี้อีกไม่ไกลมีหมู่บ้านเล็ก ๆ ไปถึงที่นั้นข้าจะหาหมอมารักษาเจ้า”
หลิวหยุนยิ้มพร้อมหยาดน้ำตา ต่างฝ่ายก็นั่งกินปลาเผากันไปเงียบ ๆ จนรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เขารีบลุกไปที่กองไฟ ใช้เท้าเขี่ยกองไฟให้ดับลง
“ข้าขอมอบตราประทับนี้ให้เจ้า จงรักษามันเท่าชีวิตของเจ้าเอง ห้ามให้กวงไฮแย่งชิงไปได้เป็นอันขาด รับปากข้า”“ข้าจ้าวตงหยาง น้อมรับพระบัญชา จะเก็บรักษาตราประทับแผ่นดินแคว้นจ้าว เท่าชีวิต”“ไป รีบไปได้เแล้ว”หลิวหยุนรีบเข้าไปคว้าแขนเด็กชาย หมุนตัวตั้งใจกลับตามทางเก่าที่เดินเข้ามา แต่เวลานี้ด้านนอกเหมือนมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งปิดล้อมทางออกอุโมงค์ลับเอาไว้“พวกเจ้าออกทางนั้น” ตงหยางและหลิวหยุนมองดูเส้นทางเล็ก ๆ จากโถงลับ ที่มืดหายไปตามช่องทางขนาดเล็กจนต้องคลานออกไปทีละคน ตงหยางเอาตราประทับยัดใส่ไว้ในปกเสื้อเพื่อป้องกันสูญหาย“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ข้าจะรอท่านตามออกไป”จ้าวตงหยางทำได้เพียงตะโกนพูดคุยกับผู้เป็นบิดา ด้วยเพราะตัวเขาเอง ก็กำลังถูกหลิวหยุนกึ่งลากกึ่งจูง นางบังคับผลักเขาให้มุดเข้าไปในอุโมงค์ แต่แท้จริง ทั้งคู่กลับใช้มุมมืดหยุดรั้งรอเพื่อดูเหตุการณ์สำคัญ ด้วยหวังเพียงว่า อ๋องแคว้นจ้าวจะปลอดภัยและออกไปจากที่นี่พร้อมพวกตนแต่ภาพที่เห็นทำเอาทั้งสองแทบสติหลุด ดีที่หลิวหยุนมีสติดีกว่า รีบปิดปากองค์ชายข้างกาย ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกบิดาที่โดนทำร้ายและถูกคุมตัวออกไป นางพี่เลี้ยงทำได้แค่กอดเขาเอาไ
จ้าวตงหยาง นั่งสงบต่อหน้าป้ายบรรพชนที่เรียงรายอยู่รอบตัว ภายในห้องมีเพียงแสงสว่างจากเปลวประทีปน้ำมัน ด้านนอกยังคงความโกลาหลปั่นป่วน ด้วยข้าศึกที่เริ่มบุกเข้ามาถึงด้านในเขตพระราชฐานชั้นนอกหลิวหยุนเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ เมื่อเสียงที่วุ่นวายดูเหมือนกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครหน้าไหน ต้านทานข้าศึกที่ถาโถมเข้ามาได้“องค์ชาย ข้าคิดว่าที่นี่หาใช่สถานที่ที่ปลอดภัยไม่ เรารีบออกจากที่นี่กันเถอะเพคะ”“ไม่มีคำสั่งข้าจะไปได้เช่นไรพี่หลิวหยุน”“องค์ชาย เวลานี้ข้าศึกบุกเข้ามาถึงด้านในแล้ว ไม่มีขันที ไม่มีผู้นำสาส์น ใครกันจะรู้ได้ว่า คำกล่าวรายงานออกคำสั่ง จะมาถึงที่นี่หรือไม่ องค์ชาย…การเป็นผู้อยู่ในระเบียบวินัยเป็นสิ่งที่พึ่งกระทำ แต่กับเวลาเช่นนี้การรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อวันข้างหน้า จะมิใช่ทางออกที่ดีกว่าหรือ ได้โปรดไตร่ตรองแล้วไปกับหม่อมฉันเถอะเพคะ”จ้าวตงหยางเงยหน้าขึ้นมองดูป้ายบรรพชน ที่ตั้งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า “บรรพบุรุษทุกท่าน ข้าจ้าวตงหยางขอคำนับพวกท่าน หากมีชีวิตรอด สักวันข้าจะกลับมาทำพิธีบูชาพวกท่านที่นี่”ประตูตำหนักบูชาบรรพชนกำลังถูกเปิดออก แต่ผู้
หลิวหยุนเหล่ตามองดูเด็กชายที่ผ่านความตายร่วมกันมาด้วยความแปลกใจ “ข้าอยู่กับเจ้ามาตลอด ทำไมไม่รู้เลยว่าองค์ชายจ้าวตงหยางมีความสามารถมากมายเช่นนี้”“พี่หลิวหยุน ในวังหาใช่สถานที่ ที่ข้าควรแสดงออกถึงความรู้ความสามารถไม่ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่ต่างกับกระเรียนในฝูงไก่ ตามปรัชญาของท่านสวินจื่อ หากข้าเอาแต่เปิดเผยสิ่งที่รู้สิ่งที่เป็น เพื่อหวังให้ตนเป็นที่โปรดปราน เช่นนั้นพวกเสด็จพี่คงหมายตาข้าเป็นศัตรูมิใช่พี่น้อง ”หลิวหยุนย่อตัวนั่งลงข้างองค์ชายแห่งเมืองล่มสลาย มองดูเขาด้วยความชื่นชมและเวทนาไปพร้อมกัน “ท่านคิดถึงพวกเขาบ้างไหมตงหยาง”จ้าวตงหยางหยุดมือที่กำลังโกยผงยาลงอ่างไม้ เงยหน้าขึ้นมองดูหญิงสาวตรงหน้า ที่ก่อนนี้เคยเป็นนางกำนันดูแลตนเอง มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อย จนกลายมาเป็นพี่สาวร่วมสาบานในเวลานี้ “คิดถึง…แล้วเช่นไร ข้าหนีเอาชีวิตรอดมาได้ เพราะท่านนะพี่หลิวหยุน พวกเขาบางคน ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ายังเหลือพวกเราอยู่ในห้องนั้น”ภาพวันเกิดเหตุย้อนกลับมาอีกครั้ง บรรดาเชื้อพระวงศ์ถูกเรียกตัวให้ไปรวมกันยังท้องพระโรง เว้นแต่จ้าวตงหยางเพียงผู้เดียวที่ถูกจับแยกจากพระมารดา ให้ไปที่ตำหนักบูชาบรรพ
หลิวหยุนได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าเข้าใจ นางยกถ้วยน้ำแกงกลิ่นหอมส่งให้ตงหยาง “นี่น้ำแกงสร่างเมา ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ เช้านี้พี่ไป่เยว่เอาสมุนไพรไปตากแดดให้แล้ว แต่วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม คงไม่ค่อยมีแสงแดด”“ขอบคุณท่านพี่ทั้งสอง สมุนไพรนั่นเริ่มแห้งแล้ว อันที่จริงวันนี้ไม่ต้องตากแดดก็ได้ หากถูกฝนจะเป็นเชื้อราอันตรายต่อการนำไปปรุงยา ต้องทิ้งทั้งหมด”“เช่นนั้น ข้าจะออกไปเก็บเข้ามาไว้ที่เดิมน่าจะดีกว่า ตอนนี้ท่านไป๋เยว่น่าจะเอาควายไปทุ่งนาแล้ว ที่นี่เหลือแค่เราสองคน”พูดจบนางก็หมุนตัวทำท่าจะออกไปเก็บสมุนไพร ตงหยางมองดูท่าเดินของนางแล้วให้รู้สึกไม่สบายใจ“พี่หลิวหยุน…ไม่เป็นไร เอาไว้เช่นนั้นก่อน รอสักครู่ข้าไปเก็บเอง ขาของท่านยังไม่หายดี อย่าขยับมากจะดีกว่า”“ไม่เป็นไรองค์ชาย ให้ข้าได้ทำอะไรบ้างเถอะ อยู่เฉย ๆ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”จ้าวตงหยางวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้ารู้แล้วว่าท่านพอจะช่วยอะไรข้าได้”แท่นหินกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกนำมาจัดวางยังลานกลางบ้าน หลิวหยุนยืนดูด้วยความสงสัย“นี่อะไรกัน”“อ๋อ…แม่นางหลิวหยุน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน องค์ชาย เอ่อ…ไม่สิ เจ้าหนูตงหยาง
รายนามของผู้คน เทพเจ้า ปีศาจ มาร หรือแม้แต่สรรพสัตว์ทั่วพิภพ ต่างกึกก้องสะท้อนนามอยู่ในหัวของเขา จนไม่สามารถฟังออกได้ว่าชื่อใครเป็นชื่อใคร ตงหยางทรุดตัวลง ยกมือขึ้นกุมหัวด้วยความรู้สึกปวดร้าว แล้วเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น มันรุนแรงเกินกว่าร่างมนุษย์จะรับไหว ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดนิ่งลง เหลือเพียงเสียงหัวใจที่หอบเหนื่อยของเขาเอง“ข้าจำได้…ข้าจำได้ ท่านเยว่เซียนเหล่าเหริน ข้าจำมันได้แล้ว…”“สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกหนึ่งเดียวของแดนดาราห้วงเวหา นับได้ว่าซื่อเว่ยต้าตี้โชคดีนัก ที่มีศิษย์ผู้มีปฏิภาณความรู้เช่นเจ้า จดจำได้ก็ดี ตงฉางเวลาไม่เคยคอยท่า หน้าที่ของเจ้าใกล้มาถึงแล้ว ข้าเพียงได้แต่หวังว่า เจ้าจะทำมันได้เป็นอย่างดี”จ้าวตงหยางคุกเข่าลง คำนับต่อเสียงไร้ตัวตน “ข้าจะทำให้สำเร็จ เพียงแต่ข้าจะรู้ได้เช่นไร ว่าผู้ใดคือด้ายแดงสิบเส้นที่มีปัญหา”“ไม่ยากเลยเด็กน้อย ในจิตของเจ้ามันมีบันทึกของข้าที่เจ้าขโมยไป เพียงแต่เวลานี้ร่างมนุษย์ของเจ้า มันไม่มีพลังมากพอที่จะเปิดบันทึกออกมาอ่านได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ต่อจากนี้เจ้าจงหมั่นฝึกฝนร่างกายและพลังปราณ”“พลังปราณ…เช่น
“เด็กน้อย ๆ เฉิงวั่งซู ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญ เจ้าน่ะมีหน้าที่ ที่ไม่อาจหลีกหนีได้รออยู่ กับคำสาปสิบข้อจากข้า นับแต่นี้ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่เจ้าต้องเผชิญ อารมณ์แห่งธาตุไฟในกาย รู้จักระงับควบคุมมันบ้าง บิดาของเจ้าไม่อาจดูแลบุตรชายเสเพลเช่นเจ้าไปได้ตลอดชีวิต จำคำข้าไว้ แล้วสำนึกตนให้ดี นับแต่นี้ไป จงเร่งแก้ปัญหาที่ตนทำไว้ ข้ามีเวลาจำกัดหาได้ใจดีเช่นที่เจ้าคิด”พูดจบเขาก็หัวเราะออกมา แล้วเสียงนั้นก็เหมือนค่อย ๆ ถอยห่างออกไป เหมือนดั่งชายผู้มีเพียงเสียง กำลังจะจากไป “ช้าก่อน นี่…เจ้า…กลับมานะ เจ้าทำข้าเจ็บเช่นนี้ แล้วก็จะจากไป กลับมานะ เจ้าคนไร้ชื่อแซ่ กลับมา…" เสียงที่ตอบกลับมามีแค่เพียงเสียงหัวเราะ ที่ไร้นามเฉิงวั่งซูสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง เสียงไก่ขันดังแววมาตามสายลม ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ในตอนนี้คงใกล้เช้าแล้ว เขาเปิดม่านมุ้งลุกออกมานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปภายนอกห้อง มือก็จับลูบแก้มที่ในความฝันเหมือนโดนตบจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บและชา แต่เวลานี้กลับไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่บนใบหน้า ตกลงแล้วนี่มันคืออะไรกันแน่ หน้าที่อะไรที่รออยู่ ผู้ชายในฝันคือใคร เหมือนคุ้นเคยแต่ทำไมกลับจำไม่ได







