LOGIN“จะเอารถเกวียนข้า ไปขนศพคนตายเช่นนั้นรึ” อู๋อิงมีสีหน้าครุ่นคิดขึ้นมาทันที ที่รู้เรื่องและจับต้นชนปลายจนเข้าใจคนงานร้าน รีบเข้ามากระซิบนางทันที ด้วยสีหน้าท่าทางเป็นกังวล “คุณหนูมิได้นะเจ้าคะ ทำเช่นนี้ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย นายท่านรู้เข้าต้องไม่พอใจแน่ ๆ” คนงานร้านต่างยืนกรานไม่ยอมให้อู๋อิงช่วยแม่หม้ายชุนหญิงสาวชำเลืองตามองจ้าวตงหยาง ที่มีแววตาสงสารหญิงหม้ายจับใจ“ข้าให้…”“คุณหนู…ไม่ได้นะเจ้าคะ”“ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ข้ารับผิดชอบเอง เห็นคนลำบากทุกข์ยากมิช่วยเหลือ ก็เท่ากับข้าใจดำไม่มีน้ำใจ ไม่มีแต่ทั้งนั้น ไปตามคนงานชายมาสักสามสี่คน ช่วยเหลือท่านป้าชุน นำศพหลานชายกลับไปฝังตามธรรมเนียมให้เรียบร้อยเถิด”จ้าวตงหยางยิ้มให้กับอู๋อิง น้ำใจของนาง ทำให้แม่หม้ายชุน ถึงขั้นคุกเข่าคำนับขอบคุณเป็นการใหญ่ ด้วยนางมีเพียงหลานชายคนเดียวเท่านั้น หมดเขาไปคน นางก็เท่ากับตัวคนเดียว ไม่เหลือใครอีกแล้วเมื่อเรื่องทั้งหมดรู้ไปถึงเถ้าแก่อู๋ บ่ายวันนั้นโรงย้อมผ้าก็หยุดทำงาน คนงานคนไหนต้องการพักก็พัก แต่ส่วนใหญ่ ต่างพากันไปช่วยแม่หม้ายชุนฝังศพหลานชาย ด้วยเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นคนดีขยันอดทน และมีความซื่อสัตย์ จึงไม
เถ้าแก่อู๋ให้คนงานเร่งเตรียมของ เพื่อนำส่งเข้าราชสำนักให้ทันตามวันที่ถูกกำหนดเอาไว้ อู๋อิงและมารดาของนาง ต้องช่วยกันเตรียมอาหารมื้อใหญ่แทบทุกค่ำคืน สำหรับคนงานทั้งหมดของโรงย้อมผ้า เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจให้กับทุกคน ที่ตั้งใจทำงาน“พี่ตงหยาง ข้าง่วงจังเลย” อู๋อิงเดินเข้ามาในห้องทำงานของชายหนุ่ม พร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากหาวออกมา ใบหน้าสวย ๆ ของนางอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด“สินค้ามีค่า ตอบแทนด้วยเงินตรา ก็คุ้มกันมิใช่หรือ”“ก็ใช่ แต่ข้าอดนอนหลายคืนแล้วนะ พี่ตงหยางท่านดูมือข้าสิ เปื้อนสีย้อมผ้า จนมันดำราวกับศพคนตาย”จ้าวตงหยางหัวเราะออกมา กับการเปรียบเทียบของนาง “เอาน่า เสร็จเรื่องนี้แล้ว พี่จะล้างให้ เจ้าเลิกบ่นเสียที แล้วศพที่เจ้าว่านั้น เคยเห็นแล้วรึ ถึงรู้ว่าเป็นเช่นไร”อู๋อิงหัวเราะออกมา “ไม่เคยเห็นเจ้าค่ะ แต่ข้าเคยได้ยินนักเล่านิทานที่โรงน้ำชา เขาอธิบายถึงสภาพของคนที่ตายไปแล้ว ด้วยลักษณะต่าง ๆ ข้าเลยคิดเอาเองว่า มือของข้าตอนนี้ น่าจะใกล้เคียงกับคนที่ตายไปแล้วระยะหนึ่ง น้ำเลือดน้ำหนองและไขมัน คงทำให้สีผิวเป็นเช่นนี้”“พอเถอะ เจ้าเล่าอะไร น่ากลัวยิ่งนัก พูดเสียจนข้าได้กลิ่นเหม็นเน่า”จ้าวตง
“ว่าอะไรนะ นี่เจ้า คิดจะไปเข้าพวกกับไอ้คนชั่วนั่น ศิษย์พี่…ท่านคิดอะไรอยู่ ถึงได้ตัดสินใจ ที่จะยอมแต่งงานกับนางจิ้งจอกฟู่ซิงอี”“เฉิงวั่งซู เวลานี้ข้าเองก็ไม่ต่างกับเจ้า แม้ท่านพ่อของข้าจะมีศักดิ์เป็นถึงอ๋อง แต่เพราะฝ่าบาททรงเห็นผลงาน และเชื่อใจต่อเสนาบดีชั่วผู้นั้น ทำให้ท่านเสนาบดีโม่วและท่านแม่ทัพเฉิงบิดาของเจ้า ถูกเขาจัดฉากใส่ความ ความผิดของผู้ใต้บังคับบัญชา มีหรือที่ผู้เป็นนายจะไม่โดนร่างแห ทางออกของข้าในตอนนี้ มีเพียงงานวิวาห์นี้เท่านั้น ถึงจะสร้างความเชื่อใจให้กับเสนาบดีเฒ่าผู้นี้ได้”เฉิงวั่งซูทรุดตัวลงนั่งกับพื้นหิน ไม่คิดเลยเรื่องราวมากมายตลอดหลายปีมานี้ จะต้องมาจบลง ด้วยข้อแลกเปลี่ยนอะไรหลายอย่าง “ในเมื่อทุกอย่างเป็นแบบนี้ ข้าก็สุดแล้วแต่การตัดสินใจของท่านเถิด แต่ศิษย์พี่ ท่านจงระวังนางอสรพิษฟู่ซิงอีให้จงดี นางไม่เคยจริงใจกับผู้ใด แม้แต่ท่านเอง ข้าเชื่อว่า นางไม่ได้รักท่านเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างล้วนมีความลวงซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์ทั้งสิ้น”หวังหยงมองดูชายหนุ่มที่ทรุดกายนั่งลงกับพื้น ราวคนหมดอะไรตายอยาก แต่กลับมีใจคิดเตือนเขา“แปลกจริง เหตุใดครั้งนี้ดูเจ้าชิงชังนางนัก”เฉิงวั่
"พวกเราไปถึงที่นั่นได้เพียงเดือนเดียว ก็เกิดเรื่องขึ้น เราถูกโจมตีจากทุกทาง ท่านพี่ไป่เยว่ คุมกองกำลังออกศึกไม่เว้นวัน ตอนนั้นข้าเริ่มตั้งครรภ์แล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสได้บอกเขาเลยแม้แต่คำเดียว" หญิงสาวเริ่มเสียงสั่นเครือ พร้อมกับน้ำตาคลอ แต่นางก็พยายามอดกลั้นเอาไว้ เพราะหากร้องไห้ออกมา สาวใช้ที่ติดตามมาด้วย อาจตั้งข้อสงสัยขึ้นมาได้จ้าวตงหยางทรุดตัวลงนั่งกับพื้น “เป็นเช่นไรต่อ…เกิดอะไรขึ้นที่นั่น”หลิวหยุนนั่งลงข้างองค์ชายแคว้นจ้าว ที่เวลานี้อยู่ในคราบของหมอดูธรรมดาผู้หนึ่ง มิใช่องค์ชายสูงศักดิ์แห่งแคว้นล่มสลาย“ข้าเฝ้ารอคอยสามีกลับเรือนทุกวัน แต่สุดท้ายข่าวร้ายก็มาถึง แม่ทัพไป่เยว่และผู้ติดตาม ล้วนตายกลางสนามรบ ข้าได้กลับมาเพียงหมวกและตราประทับนำรบกับปานจื่อหนึ่งวง หลังจากทราบข่าวการจากไป ข้าไม่ทันแม้แต่จะเศร้าโศกหรือไว้ทุกข์ให้กับสามี เมืองที่กำลังก่อตั้งใหม่และฐานที่มั่นก็ถูกบุก องค์ชายจ้าวเจียถูกจับกุม และสวรรคตในเวลาต่อมา พวกเราทั้งหมดในเมือง ถูกจับกุมเป็นเชลย ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็ก หรือคนชรา”จ้าวตงหยางฟังเรื่องราวจากนาง น้ำตาก็ไหลออกมาจนอาบแก้ม เหมือนภาพเหตุการณ์ความสูญเสีย ซ้อนทับ
“เข้าวังเช่นนั้นรึ ได้ ๆ เย็นนี้ข้าจะไป” จ้าวตงหยางยิ้มอย่างยินดี พร้อมดวงตาเป็นประกายด้วยความปิติอู๋อิงเห็นเขาดีใจ นางก็พลอยดีใจไปด้วย เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลา จ้าวตงหยางเอง ก็เฝ้ารอโอกาสเช่นนี้มาโดยตลอด พอนางรู้ข่าวจึงรีบมาบอกเขา ด้วยต้องการได้เห็นชายหนุ่มมีความสุข“คุณหนูเจ้าคะ” เสียงคนงานในร้านขัดจังหวะขึ้นกลางคันคนทั้งสองหันไปมองนางพร้อมกัน “ฮูหยินรอง จวนท่านเสนาบดีฟู่ มาเจ้าค่ะ”หญิงสาวยิ้มหน้าบาน รีบสะกิดชายหนุ่มข้างกาย ด้วยความตื่นเต้นยินดี “ว้าว…เห็นหรือไม่ นางมาแแล้ว พี่สาวท่าน นางมาแแล้ว ดี ๆ รีบเชิญนางเข้ามา” พูดจบอู๋อิงก็รีบวิ่งออกไปต้อนรับแขกคนสำคัญ แต่พอรู้ตัวว่าจ้าวตงหยางไม่เดินตามนางมาด้วย ก็รีบวนกลับไป ดึงแขนลากชายหนุ่มออกไปด้วยกัน “ท่านนี่นะ รีบมารับนางสิ มัวยืนทำอะไรอยู่”“เบา ๆ หน่อย เจ้าจะตื่นเต้นไปไย”เพียงแค่ข้ามวัน หลิวหยุนก็มาปรากฏตัวที่ร้านขายผ้าตระกูลอู๋ พร้อมเด็กชายตัวน้อยหน้าตาน่ารัก ที่ติดตามนางมาด้วยอีกหนึ่งคน “ฮูหยินรอง ยินดียิ่งนัก ที่ท่านมาเยือนร้านข้า เชิญด้านในเจ้าค่ะ”“เจ้าเชิญข้าแแล้ว หากข้าไม่มาจะไม่เป็นการเสียมารยาทรึ” หญิงสาวเดินตามอู๋อิงเข้าม
จ้าวตงหยาง มัวง้วนสาละวนอยู่กับการจัดข้าวของ มารู้ตัวอีกที ก็เมื่อได้ยินเสียงเดิน พร้อมกับเสียงไม้เท้าที่กระแทกลงบนพื้นร้าน ตามจังหวะของการก้าวเดิน“วันนี้ข้ายังจัดของอยู่ ไม่สะดวกรับแขก หากท่านต้องการมาตรวจดูดวงชะตา ข้าต้องขอให้ท่านมาในวันอื่น”“มิได้ ๆ ดวงชะตาของข้า ข้ากำหนดเอง มิต้องให้เด็กน้อยเช่นเจ้ามาจัดการหรอก”ชายหนุ่มวางมือจากตำราและกองหนังสือซีกไผ่ หันหน้ากลับมามองผู้พูด ที่เพิ่งเข้ามาภายในร้านของเขา“คิดว่าใคร…”“แล้วเจ้าคิดว่าใคร…” ชายชราชุดขาวที่มีด้ายแดงตกแต่งอาภรณ์ หัวเราะอย่างชอบใจ “ข้ามาเยี่ยมเยือน ดูซิว่านักโทษของข้า จัดการทุกอย่างได้ดีหรือไม่”“ฮึ…นักโทษ ข้าจะทำทุกอย่างได้ดีกว่านี้ หากมีดวงตาวิเศษสามารถมองเห็นได้ว่า ผู้ใดคือปมด้ายทั้งสิบที่มีปัญหา แต่นี้ข้าหาได้รู้ไม่ รู้เพียงรายนามและวันเดือนปีเกิด หากไม่เพราะท่านอาจารย์ลงมาช่วยสอนสั่ง มีหรือที่ข้าจะล่วงรู้ชะตาชีวิตคน”ชายชราผู้มาเยือนถึงกับตกใจ ต่อสิ่งที่ได้ยิน “เจ้าว่าอย่างไรนะ อาจารย์ของเจ้า ซื่อเว่ยต้าตี้น่ะรึ เป็นไปไม่ได้ เท่าที่ข้ารู้มา วัน ๆ เทพเจ้าผู้นั้น เอาแต่สนใจเรื่องของแดนปัญจธาตุ จะเอาเวลาที่ไหนมาสนใจ







