LOGIN“ข้าเข้าใจท่านไป่เยว่ เพียงแต่ไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นคงดีกว่ามาก”
จ้าวตงหยางมองดูแม่ทัพไป่เยว่อุ้มนางหายไป แต่ตนเองกลับถูกเหล่าทหารพาแยกไปอีกทาง “ช้าก่อน…ข้าจะอยู่กับพี่หลิวหยุน”
“อ๋อ…ไม่ต้องห่วงองค์ชาย นั่นเรือนท่านหมอซุน เขาเป็นหมอเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ที่รอดชีวิต ท่านไปกับพวกข้าดีแล้ว ข้าจะพาท่านไปอาบน้ำ เสร็จแล้วคืนนี้เราจะย่างเนื้อม้ากัน ข้ารู้นะว่าท่านหิว” ทหารร่างใหญ่ ผู้มีหนวดเคราเต็มใบหน้า แต่แววตาอ่อนโยนใจดี พูดคุยกับเขาพร้อมรอยยิ้มตลอดทาง
จ้าวตงหยาง ยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเรือนท่านหมอซุน บาดแผลของหลิวหยุนกำลังอักเสบและอาจมีหนอง นางเริ่มมีไข้ เหตุการณ์ในครั้งนี้ นับได้ว่านางเป็นมากกว่าพี่เลี้ยง เป็นมากกว่านางกำนัน แต่นางยังเป็นเสมือนพี่สาวแท้ ๆ ที่สามารยอมตายแทนน้องชายเช่นเขา เพราะฉะนั้นมีหรือที่เขาจะล่ะทิ้งนาง
จ้าวตงหยางตัดสินใจวิ่งกลับไปที่เรือนท่านหมอซุน แม้ว่านายทหารผู้นั้นจะตะโกนร้องเรียกเช่นไร เขาก็ไม่หยุด อย่างน้อย ขอแค่ขอให้ได้รู้ว่า พี่สาวที่เพิ่งผ่านความเป็นตายร่วมกันมา นางจะรอดและปลอดภัยหายเป็นปกติในอีกไม่กี่วัน เท่านี้ก็พอใจแล้ว
จ้าวตงหยางหยุดนิ่งอยู่หน้าห้องที่กำลังทำการรักษา เสียงพูดคุยจากด้านในทำให้รู้ได้ว่าอาการของนาง หนักหนาสาหัสพอควร
“องค์ชายท่านนี่นะ เป็นห่วงนางมากรึ”
“ลูกธนูที่ขาของนาง นางไม่ได้โดนมันเพราะไม่ระวังตัว แต่เป็นเพราะนางใช้ร่างของนางบังมันเพื่อปกป้องข้า เช่นนี้ท่านคิดว่าข้าสมควรห่วงนางหรือไม่”
ลี่ฉุนมองดูเจ้านายผู้รอดชีวิต องค์ชายผู้นี้ไม่ธรรมดา นอกจากความเฉลียวฉลาดรอบรู้ตามคำร่ำลือ ความกตัญญูรู้คุณ ก็มีอยู่ในนิสัย หากอนาคตเขาผู้นี้ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ชาวประชาคงร่มเย็นเป็นสุข ไม่ใช่เช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เสียดายแต่…แผ่นดินที่หยัดยืนอยู่ในตอนนี้ หาใช้ของเขาอีกต่อไปไม่
ลู่เสี่ยนวิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้ามายังห้องอาบน้ำ เฉิงวั่งซูเจ้านายน้อยยังคงนอนแช่น้ำอุ่นที่นางเตรียมไว้ให้อย่างสบายอารมณ์ ลู่เสี่ยนจึงทำได้แค่กลืนเอาข่าวที่ตนรู้มาลงท้องไป ไม่กล้าขัดอารมณ์สุนทรีย์ของผู้เป็นนายในเวลานี้
“พี่ลู่เสี่ยน เจ้ามาแล้วรึ ดีจริงมาช่วยถูหลังให้ข้าหน่อย”
“เจ้าค่ะ คุณชาย วันนี้น้ำอุ่นพอดีหรือไม่”
“วันนี้ดูเหมือนจะอุ่นกว่าเมื่อวาน แต่ถ้าเทียบกับอาการครึ้มฝนของด้านนอก ก็นับว่าพอดีแล้ว”
“ข้าตั้งใจให้น้ำมีความร้อนตามนี้ ช่วงนี้ท่านมักตกใจตื่นกลางดึก ทำให้จิตใจขุ่นมัวอ่อนเพลียในเวลากลางวัน น้ำอุ่นของข้าน่าจะพอช่วยให้คุณชาย นอนหลับได้ดีขึ้น”
เด็กชายหมุนตัวหันกลับมามองหน้าพี่เลี้ยง น้ำใสในอ่างแม้มีควันอุ่น ๆ แต่ก็ไม่สามารถบดบังของสงวน ที่เลือนรางใต้น้ำเอาไว้ได้ ลู่เสี่ยนที่แม้จะคุ้นเคยดี แต่ก็ไม่สามารถอาจหาจสู้ทนเห็นภาพเช่นนี้อยู่ได้ จนนางต้องเบี่ยงสายตามองไปทางอื่นแทน
“คุณชายท่านจะหันมาทำไม หันหลังกลับไปเดี๋ยวนี้นะ”
“พี่ลู่เสี่ยน ข้าอยากเห็นหน้าเจ้าชัด ๆ ทำไมนะท่านย่าถึงเลือกเจ้ามารับใช้ข้า เจ้าอยู่กับข้ามากี่ปีแล้ว”
“สี่ปีแล้วเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้าอายุได้สิบสามปี ถูกขายมาให้ฮูหยินรองหรือก็คือท่านแม่ของท่าน แต่นางไม่อยู่ ฮูหยินแม่เฒ่าเลยรับข้าไว้เอง แต่นางเห็นว่าข้ายังอายุน้อย งานในจวนมากมายคงรับไม่ไหว ท่านจึงเลือกให้ข้ามาเป็นพี่เลี้ยงแก่ท่าน”
“พี่เลี้ยงเช่นนั้นรึ” เด็กชายไม่พูดเปล่าเอื้อมมือคว้าแขนของลู่เสี่ยน หมายใจดึงร่างนางลงมาในอ่างน้ำ แต่หญิงสาวรู้ทัน นางเพียงถอยหลังแล้วเอี้ยวตัวหลบ เด็กชายก็คว้าได้แค่เพียงอากาศว่างเปล่า แล้วต้องรีบย่อตัวลงแช่น้ำตามเดิม
ลู่เสี่ยนหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เธอคาดการณ์ไว้ เกิดขึ้นจริง
“เจ้านี่นะ เจ้าไม่ใช่สาวใช้ เจ้ามันคือเพื่อนเล่นของข้า กลับมานะลู่เสี่ยน เจ้ายังไม่ได้ขัดหลังให้ข้าเลย”
“ก็ใครใช้ให้ท่านเล่นพิเรนทร์เช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
“ได้ ๆ ข้าหันหลังแล้ว มาเถอะข้าแช่น้ำรอเจ้านานแล้วนะ ได้ข่าวอะไรมาบ้างหรือไม่”
“ข้าขอมอบตราประทับนี้ให้เจ้า จงรักษามันเท่าชีวิตของเจ้าเอง ห้ามให้กวงไฮแย่งชิงไปได้เป็นอันขาด รับปากข้า”“ข้าจ้าวตงหยาง น้อมรับพระบัญชา จะเก็บรักษาตราประทับแผ่นดินแคว้นจ้าว เท่าชีวิต”“ไป รีบไปได้เแล้ว”หลิวหยุนรีบเข้าไปคว้าแขนเด็กชาย หมุนตัวตั้งใจกลับตามทางเก่าที่เดินเข้ามา แต่เวลานี้ด้านนอกเหมือนมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งปิดล้อมทางออกอุโมงค์ลับเอาไว้“พวกเจ้าออกทางนั้น” ตงหยางและหลิวหยุนมองดูเส้นทางเล็ก ๆ จากโถงลับ ที่มืดหายไปตามช่องทางขนาดเล็กจนต้องคลานออกไปทีละคน ตงหยางเอาตราประทับยัดใส่ไว้ในปกเสื้อเพื่อป้องกันสูญหาย“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ข้าจะรอท่านตามออกไป”จ้าวตงหยางทำได้เพียงตะโกนพูดคุยกับผู้เป็นบิดา ด้วยเพราะตัวเขาเอง ก็กำลังถูกหลิวหยุนกึ่งลากกึ่งจูง นางบังคับผลักเขาให้มุดเข้าไปในอุโมงค์ แต่แท้จริง ทั้งคู่กลับใช้มุมมืดหยุดรั้งรอเพื่อดูเหตุการณ์สำคัญ ด้วยหวังเพียงว่า อ๋องแคว้นจ้าวจะปลอดภัยและออกไปจากที่นี่พร้อมพวกตนแต่ภาพที่เห็นทำเอาทั้งสองแทบสติหลุด ดีที่หลิวหยุนมีสติดีกว่า รีบปิดปากองค์ชายข้างกาย ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกบิดาที่โดนทำร้ายและถูกคุมตัวออกไป นางพี่เลี้ยงทำได้แค่กอดเขาเอาไ
จ้าวตงหยาง นั่งสงบต่อหน้าป้ายบรรพชนที่เรียงรายอยู่รอบตัว ภายในห้องมีเพียงแสงสว่างจากเปลวประทีปน้ำมัน ด้านนอกยังคงความโกลาหลปั่นป่วน ด้วยข้าศึกที่เริ่มบุกเข้ามาถึงด้านในเขตพระราชฐานชั้นนอกหลิวหยุนเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ เมื่อเสียงที่วุ่นวายดูเหมือนกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครหน้าไหน ต้านทานข้าศึกที่ถาโถมเข้ามาได้“องค์ชาย ข้าคิดว่าที่นี่หาใช่สถานที่ที่ปลอดภัยไม่ เรารีบออกจากที่นี่กันเถอะเพคะ”“ไม่มีคำสั่งข้าจะไปได้เช่นไรพี่หลิวหยุน”“องค์ชาย เวลานี้ข้าศึกบุกเข้ามาถึงด้านในแล้ว ไม่มีขันที ไม่มีผู้นำสาส์น ใครกันจะรู้ได้ว่า คำกล่าวรายงานออกคำสั่ง จะมาถึงที่นี่หรือไม่ องค์ชาย…การเป็นผู้อยู่ในระเบียบวินัยเป็นสิ่งที่พึ่งกระทำ แต่กับเวลาเช่นนี้การรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อวันข้างหน้า จะมิใช่ทางออกที่ดีกว่าหรือ ได้โปรดไตร่ตรองแล้วไปกับหม่อมฉันเถอะเพคะ”จ้าวตงหยางเงยหน้าขึ้นมองดูป้ายบรรพชน ที่ตั้งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า “บรรพบุรุษทุกท่าน ข้าจ้าวตงหยางขอคำนับพวกท่าน หากมีชีวิตรอด สักวันข้าจะกลับมาทำพิธีบูชาพวกท่านที่นี่”ประตูตำหนักบูชาบรรพชนกำลังถูกเปิดออก แต่ผู้
หลิวหยุนเหล่ตามองดูเด็กชายที่ผ่านความตายร่วมกันมาด้วยความแปลกใจ “ข้าอยู่กับเจ้ามาตลอด ทำไมไม่รู้เลยว่าองค์ชายจ้าวตงหยางมีความสามารถมากมายเช่นนี้”“พี่หลิวหยุน ในวังหาใช่สถานที่ ที่ข้าควรแสดงออกถึงความรู้ความสามารถไม่ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่ต่างกับกระเรียนในฝูงไก่ ตามปรัชญาของท่านสวินจื่อ หากข้าเอาแต่เปิดเผยสิ่งที่รู้สิ่งที่เป็น เพื่อหวังให้ตนเป็นที่โปรดปราน เช่นนั้นพวกเสด็จพี่คงหมายตาข้าเป็นศัตรูมิใช่พี่น้อง ”หลิวหยุนย่อตัวนั่งลงข้างองค์ชายแห่งเมืองล่มสลาย มองดูเขาด้วยความชื่นชมและเวทนาไปพร้อมกัน “ท่านคิดถึงพวกเขาบ้างไหมตงหยาง”จ้าวตงหยางหยุดมือที่กำลังโกยผงยาลงอ่างไม้ เงยหน้าขึ้นมองดูหญิงสาวตรงหน้า ที่ก่อนนี้เคยเป็นนางกำนันดูแลตนเอง มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อย จนกลายมาเป็นพี่สาวร่วมสาบานในเวลานี้ “คิดถึง…แล้วเช่นไร ข้าหนีเอาชีวิตรอดมาได้ เพราะท่านนะพี่หลิวหยุน พวกเขาบางคน ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ายังเหลือพวกเราอยู่ในห้องนั้น”ภาพวันเกิดเหตุย้อนกลับมาอีกครั้ง บรรดาเชื้อพระวงศ์ถูกเรียกตัวให้ไปรวมกันยังท้องพระโรง เว้นแต่จ้าวตงหยางเพียงผู้เดียวที่ถูกจับแยกจากพระมารดา ให้ไปที่ตำหนักบูชาบรรพ
หลิวหยุนได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าเข้าใจ นางยกถ้วยน้ำแกงกลิ่นหอมส่งให้ตงหยาง “นี่น้ำแกงสร่างเมา ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ เช้านี้พี่ไป่เยว่เอาสมุนไพรไปตากแดดให้แล้ว แต่วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม คงไม่ค่อยมีแสงแดด”“ขอบคุณท่านพี่ทั้งสอง สมุนไพรนั่นเริ่มแห้งแล้ว อันที่จริงวันนี้ไม่ต้องตากแดดก็ได้ หากถูกฝนจะเป็นเชื้อราอันตรายต่อการนำไปปรุงยา ต้องทิ้งทั้งหมด”“เช่นนั้น ข้าจะออกไปเก็บเข้ามาไว้ที่เดิมน่าจะดีกว่า ตอนนี้ท่านไป๋เยว่น่าจะเอาควายไปทุ่งนาแล้ว ที่นี่เหลือแค่เราสองคน”พูดจบนางก็หมุนตัวทำท่าจะออกไปเก็บสมุนไพร ตงหยางมองดูท่าเดินของนางแล้วให้รู้สึกไม่สบายใจ“พี่หลิวหยุน…ไม่เป็นไร เอาไว้เช่นนั้นก่อน รอสักครู่ข้าไปเก็บเอง ขาของท่านยังไม่หายดี อย่าขยับมากจะดีกว่า”“ไม่เป็นไรองค์ชาย ให้ข้าได้ทำอะไรบ้างเถอะ อยู่เฉย ๆ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”จ้าวตงหยางวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้ารู้แล้วว่าท่านพอจะช่วยอะไรข้าได้”แท่นหินกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกนำมาจัดวางยังลานกลางบ้าน หลิวหยุนยืนดูด้วยความสงสัย“นี่อะไรกัน”“อ๋อ…แม่นางหลิวหยุน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน องค์ชาย เอ่อ…ไม่สิ เจ้าหนูตงหยาง
รายนามของผู้คน เทพเจ้า ปีศาจ มาร หรือแม้แต่สรรพสัตว์ทั่วพิภพ ต่างกึกก้องสะท้อนนามอยู่ในหัวของเขา จนไม่สามารถฟังออกได้ว่าชื่อใครเป็นชื่อใคร ตงหยางทรุดตัวลง ยกมือขึ้นกุมหัวด้วยความรู้สึกปวดร้าว แล้วเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น มันรุนแรงเกินกว่าร่างมนุษย์จะรับไหว ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดนิ่งลง เหลือเพียงเสียงหัวใจที่หอบเหนื่อยของเขาเอง“ข้าจำได้…ข้าจำได้ ท่านเยว่เซียนเหล่าเหริน ข้าจำมันได้แล้ว…”“สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกหนึ่งเดียวของแดนดาราห้วงเวหา นับได้ว่าซื่อเว่ยต้าตี้โชคดีนัก ที่มีศิษย์ผู้มีปฏิภาณความรู้เช่นเจ้า จดจำได้ก็ดี ตงฉางเวลาไม่เคยคอยท่า หน้าที่ของเจ้าใกล้มาถึงแล้ว ข้าเพียงได้แต่หวังว่า เจ้าจะทำมันได้เป็นอย่างดี”จ้าวตงหยางคุกเข่าลง คำนับต่อเสียงไร้ตัวตน “ข้าจะทำให้สำเร็จ เพียงแต่ข้าจะรู้ได้เช่นไร ว่าผู้ใดคือด้ายแดงสิบเส้นที่มีปัญหา”“ไม่ยากเลยเด็กน้อย ในจิตของเจ้ามันมีบันทึกของข้าที่เจ้าขโมยไป เพียงแต่เวลานี้ร่างมนุษย์ของเจ้า มันไม่มีพลังมากพอที่จะเปิดบันทึกออกมาอ่านได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ต่อจากนี้เจ้าจงหมั่นฝึกฝนร่างกายและพลังปราณ”“พลังปราณ…เช่น
“เด็กน้อย ๆ เฉิงวั่งซู ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญ เจ้าน่ะมีหน้าที่ ที่ไม่อาจหลีกหนีได้รออยู่ กับคำสาปสิบข้อจากข้า นับแต่นี้ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่เจ้าต้องเผชิญ อารมณ์แห่งธาตุไฟในกาย รู้จักระงับควบคุมมันบ้าง บิดาของเจ้าไม่อาจดูแลบุตรชายเสเพลเช่นเจ้าไปได้ตลอดชีวิต จำคำข้าไว้ แล้วสำนึกตนให้ดี นับแต่นี้ไป จงเร่งแก้ปัญหาที่ตนทำไว้ ข้ามีเวลาจำกัดหาได้ใจดีเช่นที่เจ้าคิด”พูดจบเขาก็หัวเราะออกมา แล้วเสียงนั้นก็เหมือนค่อย ๆ ถอยห่างออกไป เหมือนดั่งชายผู้มีเพียงเสียง กำลังจะจากไป “ช้าก่อน นี่…เจ้า…กลับมานะ เจ้าทำข้าเจ็บเช่นนี้ แล้วก็จะจากไป กลับมานะ เจ้าคนไร้ชื่อแซ่ กลับมา…" เสียงที่ตอบกลับมามีแค่เพียงเสียงหัวเราะ ที่ไร้นามเฉิงวั่งซูสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง เสียงไก่ขันดังแววมาตามสายลม ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ในตอนนี้คงใกล้เช้าแล้ว เขาเปิดม่านมุ้งลุกออกมานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปภายนอกห้อง มือก็จับลูบแก้มที่ในความฝันเหมือนโดนตบจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บและชา แต่เวลานี้กลับไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่บนใบหน้า ตกลงแล้วนี่มันคืออะไรกันแน่ หน้าที่อะไรที่รออยู่ ผู้ชายในฝันคือใคร เหมือนคุ้นเคยแต่ทำไมกลับจำไม่ได







