หลี่ซานซานรีบวิ่งเข้าไปเอาน้ำดื่มมาให้แม่ของตน พร้อมกับถามออกไปอย่างห่วงใย “น้ำค่ะแม่ แม่เหนื่อยไหม”
“ขอบใจนะ แม่หายเหนื่อยแล้ว” โจวเพ่ยชิงรับน้ำมาดื่มและบอกลูกสาวตัวน้อยออกไป
เพียงแค่นี้ก็หายเหนื่อยแล้วสำหรับผู้แม่
“อาเฉิน ซานซาน มานั่งนี่ก่อน มาดูสิว่าเสื้อผ้าและรองเท้าที่แม่ซื้อมาให้ ใส่ได้หรือไม่” โจวเพ่ยชิงกวักมือเรียกลูกทั้งสองคนให้เข้ามาดูของฝากที่เธอเอามาให้
“มีชุดใหม่ของผมกับน้องด้วยเหรอครับ”น้ำเสียงที่ถามกลับสั่นเครือเล็กน้อย
ตั้งแต่จำความได้คนที่จะซื้อเสื้อผ้าและชุดใหม่ให้เขากับน้องนั้นมักจะเป็นพ่อ ซึ่งจะมีเพียงปีละครั้งเท่านั้น แต่เวลานี้แม่กลับบอกว่าซื้อของพวกนี้มาให้เขากับน้อง แม่เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
“ใช่แล้ว ลูกทั้งสองมาลองสวมดูก่อนว่า ใส่ได้หรือเปล่า หากไม่ได้ อีกสามวันแม่จะเข้าเมืองอีกครั้ง จะได้เอาไปเปลี่ยนให้ใหม่”
แม้ว่าเวลานี้ใบหน้าของโจวเพ่ยชิงจะมีรอยแผลที่น่ากลัว แต่สำหรับเด็กน้อยไม่กลัวเลยสักนิด ทั้งสองชอบที่ให้แม่เป็นแบบนี้มากกว่า บรรยากาศบ้านรองหลี่เวลานี้เต็มไปด้วยความสดใสของเด็กทั้งสองคน รวมถึงโจวเพ่ยชิง หลี่รุ่ยเฉินและหลี่ซานซานต่างก็วิ่งเข้าไปเปลี่ยนและลองชุดอย่างสนุกสนาน ภาพนี้จึงทำให้ผู้เป็นแม่ยิ้มตามอย่างมีความสุข
“เอาละ เย็นนี้ใครอยากกินอะไรบอกแม่ได้เลย แม่จะทำให้ แต่ก่อนอื่น เรามาแบ่งอาหารและของใช้พวกนี้ไปบ้านปู่ย่า และตายายกันก่อนดีหรือไม่”
“ดีครับ / ดีค่ะ”หลี่รุ่ยเฉินและหลี่ซานซานต่างพยักหน้าและพูดออกมาพร้อมกัน
จากนั้นสามคนแม่ลูกก็ช่วยกันแบ่งข้าวของไปฝากทั้งบ้านโจวและบ้านหลี่ทันที
“พ่อคะ แม่คะ อยู่บ้านไหมคะ” โจวเพ่ยชิงเอ่ยเรียกพ่อแม่สามีหน้าประตูรั้ว
“ตายแล้ว วันนี้ฝนคงตกผิดฤดู น้องสะใภ้รองมาเยี่ยมเยือน”
สะใภ้ใหญ่นิสัยขี้อิจฉา วันนี้เธอไม่ได้ไปลงงานในแปลงนารอบบ่าย ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกจึงรีบออกมาดู พอเห็นว่าเป็นใครก็อดที่จะจิกกัดตามนิสัยไม่ได้
“พ่อกับแม่อยู่ไหม พี่สะใภ้” หญิงสาวคร้านจะต่อปากต่อคำด้วย จึงเอ่ยถามหาพ่อแม่สามี ทว่าสะใภ้ใหญ่ของบ้านกลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ
“จะมาหาพ่อแม่ทำไม หรือเงินไม่พอใช้ เลยจะมาขอยืม”
“ไม่ใช่นะคะป้าสะใภ้ แม่และพวกเราเอาอาหารมาให้ปู่กับย่า มีเสื้อใหม่ด้วยนะ” หลี่ซานซานร้องบอกป้าสะใภ้
นี่จึงทำให้สะใภ้ใหญ่ตาลุกวาวและแทบจะไม่เชื่อหูตนเองว่าสะใภ้รองอย่างโจวเพ่ยชิงจะซื้ออาหารมาให้พ่อแม่สามี
“ไหน..มีอะไรมาฝากพ่อกับแม่ เอามาฝากฉันไว้ก็ได้”
ความโลภในใจทำให้สะใภ้ใหญ่พูดขึ้นมาอย่างหน้าไม่อาย ในใจนั้นคิดว่าของบางส่วน เธอจะเก็บไว้เอง
“หากพ่อแม่ไม่อยู่ ฉันค่อยมาอีกครั้งดีกว่า อาเฉิน ซานซานไปบ้านตากับยายกันเถอะ”
โจวเพ่ยชิงรู้นิสัยพี่สะใภ้ดีว่า หากเธอฝากข้าวของไว้ พ่อแม่สามีคงไม่ได้อะไรแน่ ส่วนอาหารพี่สะใภ้คงเก็บไว้กินเอง หรือไม่ก็เอาไปฝากบ้านเดิม เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว ตอนที่เธออยู่รวมกับบ้านใหญ่
จากนั้นสามแม่ลูกหมุนตัวเตรียมจะกลับ แต่แม่หลี่ก็เดินออกมาจากในบ้านเสียก่อน
“อ้าว เพ่ยชิง อาเฉิน ซานซาน มาที่นี่มีอะไรหรือเปล่า แล้วนั่นหอบอะไรมา” แม่หลี่ทักทายทั้งสามคนขึ้นมา และมองไปที่สิ่งของในมือของลูกสะใภ้และหลานทั้งสอง
“สวัสดีค่ะย่า / สวัสดีครับย่า” หลี่รุ่ยเฉินและหลี่ซานซานเอ่ยทักทายย่าของตัวเอง แล้วเป็นหลี่ซานซานที่พูดต่อว่า “แม่เอาอาหารและเสื้อมาฝากปู่กับย่าค่ะ แต่ป้าสะใภ้บอกว่าย่าไม่อยู่บ้าน ซานซานกับแม่และพี่ใหญ่เลยกำลังจะกลับค่ะ”
“อ้าวเหรอ มา มา เข้ามาก่อนสิ ย่ามัวแต่ไปเก็บผักน่ะ เลยออกมาช้าไปหน่อย เข้ามาในบ้านก่อนมา” แม่หลี่รีบเปิดประตูรั้วและเรียกทั้งสามคนเข้าบ้านก่อนจะถลึงตาใส่สะใภ้ใหญ่
ไม่รู้ว่าครั้งนั้นเธอตาบอดหรืออย่างไร ถึงได้แต่งคนอย่างซือเจียเข้าบ้าน สะใภ้ใหญ่พอรู้ว่าแม่สามีไม่พอใจตนเอง ก็รีบก้มหน้าและเดินตามทุกคนเข้าบ้านเช่นกัน
“ซื้อของมาทำไมมากมาย เปลืองเงินแย่ อย่าใช้เงินให้มันสิ้นเปลืองนัก”
หลังจากที่ดูของฝากแล้ว แม่หลี่ไม่วายบ่นลูกสะใภ้คนรอง แต่อดที่จะภูมิใจและดีใจไม่ได้ ที่นิสัยของโจวเพ่ยชิงเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี รู้จักซื้อของให้ลูกและนึกถึงคนอื่น ไม่เหมือนในหลายปีที่ผ่านมา ตอนนั้นสะใภ้คนนี้ไม่เคยซื้อของให้ใครแม้กระทั่งลูกตนเอง“ที่ผ่านมาฉันต้องขอโทษแม่ด้วยนะ ที่ทำตัวร้ายกาจและเห็นแก่ตัวเสมอมา จนทำให้พี่ฮั่นตงต้องแยกบ้านออกไป ฉันอาจจะไม่ใช่ลูกสะใภ้ที่ดี แต่หลังจากนี้ ฉันจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นค่ะแม่ แม่พอจะให้โอกาสฉันได้ไหม”ไม่ว่าหลังจากนี้เธอและหลี่ฮั่นตงจะเป็นอย่างไร เธอคิดว่าการทำดีต่อแม่สามีและปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น ยังไงก็ควรจะทำเพื่อไถ่บาปกับสิ่งที่ผ่านมา“ฉันไม่ถือสาหาความหล่อนหรอก ขอแค่หล่อนปรับปรุงตัวและแก้ไขตัวเองได้จริง ๆ ฉันก็ดีใจแล้ว และต่อไปนี้ก็อย่าทิ้งขว้างสองแฝดอีก ส่วนเรื่องของหลันจี แม้ว่าบ้านหลี่และบ้านหม่าเคยคิดจะเกี่ยวดองกัน แต่ฮั่นตงปฏิเสธเสมอมา ดังนั้นเรื่องที่หลันจี หรือใครก็ตาม แอบอ้างว่าอยากได้ลูกสาวบ้านหม่ามาเป็นสะใภ้คำคำนั้นไม่ได้ออกจากฉันแน่ แล้วเรื่องหย่า...”“เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับพี่ฮั่นตงค่ะ หากเขาอยากจะหย่า ฉันก็ยินดี ฉันกักขังเขามาน
หลังจากออกมาจากบ้านหลี่ โจวเพ่ยชิงจึงพาลูกทั้งสองเดินต่อมายังบ้านโจว ระหว่างทางภาพของสามแม่ลูกทำให้ชาวบ้านมองกันอย่างตกตะลึง บางคนถึงขั้นขยี้ตาด้วยซ้ำเพราะไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น จวบจนทั้งสามคนเดินมาถึงบ้านโจว“เม่ยเม่ย เปิดประตูให้พี่หน่อย ทุกคนยังไม่กลับมาเหรอ”โจวเม่ยเม่ย เด็กสาววัยสิบห้าปี เมื่อได้ยินเสียงพี่สาวต่างแม่ก็อดที่จะตัวสั่นด้วยความกลัวไม่ได้ แต่ก็เดินมาเปิดประตูให้“น้าเม่ยเม่ย พวกเรามาแล้ว” หลี่ซานซานร้องเรียกเม่ยเม่ย“อาเฉิน ซานซาน ใส่ชุดใหม่ด้วยน่ารักจังเลย”เด็กสาวเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเองกับหลานทั้งสองคนอย่างเป็นกันเอง เพียงแต่กับพี่สาวนั้นเธอยัง กล้า ๆ กลัว ๆโจวเพ่ยชิงเข้าใจถึงความกลัวของน้องสาวต่างแม่ เมื่อก่อนเธอร้ายไม่น้อย จึงไม่แปลกที่โจวเม่ยเม่ยจะยังคงหวาดกลัวเธอ“ยังกลัวพี่อยู่เหรอเม่ยเม่ย” พอเจอพี่สาวถามแบบนั้น โจวเม่ยเม่ยจึงพยักหน้ารับทันที“พี่ไม่ขอให้เม่ยเม่ยอภัยให้พี่ แต่พี่จะทำให้เม่ยเม่ยเห็นว่าเวลานี้พี่ปรับปรุงตัวและเปลี่ยนไปแล้ว จริงสิ วันนี้ไม่ไปเรียนเหรอ”“สัปดาห์นี้โรงเรียนหยุดค่ะ แม่ให้มาช่วยที่คอมมูน พี่สามไม่ต้องขอโทษฉันหรอก ฉันไม่เคยโกรธพี่เล
“ก็แค่ซื้อมาขายไปเท่านั้น ดูอย่างที่คาดผมและผ้าผูกผมนี่สิ พี่รับมาจากคนรู้จักแค่อันละหนึ่งเหมาเท่านั้น พี่ขายในตลาดมืด สามเหมา ได้กำไรตั้งสองเท่า ยังมีอีกนะ นี่สบู่และแป้งทาหน้าสบู่นี้พี่รับมาหนึ่งหยวน ขายสองหยวนห้าเหมาหรือสามหยวนยังได้เลย ส่วนแป้งพี่รับมาห้าหยวน ขายสิบหยวน มีครีมกันแดดอีกนะ”โจวเพ่ยชิงสาธยายให้น้องสาวฟัง และรู้ว่าน้องสาวคนนี้มีหัวการค้าอยู่ไม่น้อย ความทรงจำชาติที่แล้ว หลังจากนี้อีกปีสองปี เด็กสาวมักจะหาของไปขายเสมอ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ให้เธอรู้ว่าน้องสาวก็ทำการค้าเช่นกัน“จริงเหรอพี่สาม ฉันสนใจนะ แต่เวลานี้เงินเก็บฉันแทบไม่มีเลย ที่คาดผมและผ้าผูกผม สหายในโรงเรียนชอบพูดโอ้อวดว่าซื้อจากห้างของรัฐ ราคาตั้งหนึ่งหยวน หากฉันแอบเอาไปขาย คงได้กำไรไม่น้อย”เป็นอย่างที่โจวเพ่ยชิงคิด น้องสาวคนนี้มีหัวการค้าจริง ๆ“เอาอย่างนี้ อีกสามวันพี่จะไปรับของและเอามาขายอีกครั้ง เม่ยเม่ยอยากได้อะไรก็เขียนลงกระดาษมาให้พี่ พี่จะลงทุนให้ก่อน พอขายได้ค่อยเอาทุนมาให้พี่ แต่ต้องสัญญานะว่า เรื่องนี้เป็นจะความลับ และอย่าทำให้ตนเองเกิดอันตราย”“แล้วเรื่องนี้บอกพ่อกับแม่ได้ไหม พี่ใหญ่กับพี่รองล่ะ”“บ
“จริงสิป้าหลุน พี่ใหญ่หลุนว่างหรือเปล่า ช่วงเย็นก็ได้หรือช่วงไหนก็ได้” ก่อนที่นางหลุนจะเดินจากไป โจวเพ่ยชิงก็ถามขึ้นมา“มีอะไรหรือเปล่าเพ่ยชิง” นางหลุนถามกลับมาอย่างสงสัย“พอดีว่าปีหน้าสองแฝดต้องเข้าเรียน แต่ฉันอยากให้ลูกทั้งสองอ่านออกเขียนได้ก่อน พี่ใหญ่หลุนเคยเป็นครูใช่ไหม เขาจะรับสอนเด็กทั้งสองคนได้หรือเปล่า แต่เอาเฉพาะเวลาว่างนะคะ”เรื่องที่ลูกชายบ้านหลุนเคยเป็นครูโรงเรียนประถมมาก่อนนั้น ชาวบ้านล้วนรู้ดี แต่เพราะเกิดการกลั่นแกล้งเลยทำให้เขาต้องลาออกกลับมาอยู่บ้าน และทำงานในคอมมูนจนถึงปัจจุบัน พอมีโอกาสได้คุยกัน เลยถามเรื่องนี้ขึ้นมา“จริงเหรอเพ่ยชิง”ไม่ใช่เสียงใคร แต่เป็นเสียงของหลุนหมิงซานั่นเอง“อ้าวพี่ใหญ่ พี่รอง พี่ใหญ่หลุน กลับมากันแล้วเหรอคะ”โจวเพ่ยชิงหันไปมองตามเสียง ก็เอ่ยทักทายทั้งสามคนขึ้น“อืม กลับมาแล้ว แล้วนี่น้องยังไม่ตอบพี่ใหญ่หลุนเลย”“ค่ะ ฉันพูดจริง ฉันต้องการให้สองแฝดได้เรียนรู้ตัวอักษรก่อนที่จะเข้าเรียนในปีหน้า ฉันกำลังมองหาครูมาสอนให้สองคนนี้พอดี นึกได้ว่าพี่เคยเป็นครูมาก่อน ว่าแต่พี่จะรับสอนได้หรือเปล่า”“ได้สิ แต่ไม่ต้องจ้างหรอก เราคนกันเอง เพ่ยชิงก็ไม่ต่าง
เช้าวันต่อมา...วันนี้สองแฝดตื่นมาด้วยท่าทีที่สดชื่น เนื่องจากแม่สัญญาว่าจะพาไปเที่ยวตลาดนัดนั่นเอง เมื่อเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้วโจวเพ่ยชิงจึงเอ่ยเรียกลูกทั้งสองคน“เอาละเด็ก ๆ อาหารเช้าเสร็จแล้ว มากินกันก่อนเร็วแม่จะพาไปเที่ยวตลาดนัด”เนื่องจากหมู่บ้านข้าง ๆ จัดตลาดนัดทุกสัปดาห์ นี่จึงทำให้โจวเพ่ยชิงอยากพาลูกทั้งสองไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยทำหน้าที่แม่ที่ดีเลย“ครับ / ค่ะ” สองแฝดตอบรับเสียงใส ก่อนจะนั่งกินอาหารเช้าอย่างอร่อยมื้อเช้าในวันนี้โจวเพ่ยชิงทำข้าวต้มหมูที่มีเนื้อหมูสับละเอียดและปั้นเป็นก้อน ๆ พร้อมกับไข่ต้มอีกคนละฟอง อาหารเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสามคนแม่ลูกเมื่อเช้าหลังจากตื่นมาอาบน้ำเสร็จ หญิงสาวสังเกตว่าแผลบนใบหน้านั้นคล้ายจะจางไปเล็กน้อย และคิดว่านี่คงจะเป็นจริงอย่างที่ท่านตาคนกล่าวไว้ว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เธอทำความดี รอยแผลพวกนี้จะจางหายไปเอง แต่ต่อให้แผลนี้จะหายไปหรือไม่ หญิงสาวยินดีที่จะทำความดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อลบล้างความผิดกับสิ่งที่เธอได้กระทำต่อครอบครัวและใครหลายคนทั้งชาตินี้และชาติที่แล้วระหว่างกำลังนั่งกินอาหารเช้า เสียงเรียกของโจวเม่ย
“พอจะมีเวลาคุยกันหน่อยไหม”เมื่ออยู่กันแค่สองคนแล้ว โจวเพ่ยชิงก็เปิดประเด็นทันที“เรื่องอะไรครับ คุณไม่กลัวคำนินทาที่คุยกับผมเหรอ”ตานเต๋อคงถามอย่างแปลกใจ ผู้หญิงคนนี้แปลกมาก กล้าคุยกับเขาได้ยังไงกัน ทั้ง ๆ ที่เขามีบาดแผลบนใบหน้าขนาดนี้“เรื่องคำนินทาฉันเจอมาเยอะแล้ว แค่นี้ไม่ทำให้ฉันสะเทือนหรอก เรามาคุยกันเรื่องสำคัญดีหรือเปล่า” เธอไม่ยี่หระกับเรื่องคำนินทา ตลอดชีวิตเธอเป็นหญิงร้ายกาจในสายตาทุกคนอยู่แล้ว อีกทั้งเรื่องนี้เธอทำเพื่อปากท้องของครอบครัว หากกลัวคำนินทา คงไม่ต้องทำมาหากินอะไรแล้วล่ะเวลานี้เธอยังมีเงินเดือนที่พี่ฮั่นตงพ่อของเด็ก ๆ ส่งมาให้ แต่เมื่อไหร่ที่เธอและเขาตัดสินใจจบคำว่าสามีภรรยา นั่นหมายถึงเธอจะต้องดิ้นรนทำทุกอย่าง เพื่อให้ชีวิตทุกคนและลูกทั้งสองคนดีขึ้น การค้าจึงเป็นสิ่งแรกที่เธอนึกถึง“ตามผมมา”ในเมื่อหญิงสาวคนนี้ไม่กลัวคำนินทา และเรื่องที่เธอต้องการสนทนาคงสำคัญไม่น้อย เขาจึงเดินนำไปยังต้นไม้ใหญ่ด้านหลังเพื่อหลบสายตาผู้คน“คุณมีเรื่องอะไรก็ว่ามา ผมมีเวลาไม่มาก ต้องขายของ”“ช่างไร้สัมพันธ์นัก เอาเป็นว่าเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ฉันมีเงินให้ก้อนหนึ่ง คุณไปจัดการปัญห
“พี่สาม พี่จะบอกฉันหรือยัง ว่าคุยอะไรกับพี่ชายอาโมว่”แม้อาโมว่จะเป็นสหายของเธอ แต่เม่ยเม่ยกลับไม่คุ้นเคยกับพี่ชายของสหายจึงอดเป็นห่วงไม่ได้“พี่ช่วยเหลือบางอย่างครอบครัวนั้น และพี่ให้ตานเต๋อคง หาร้านค้าในตลาดมืดไว้ให้ พี่จะสั่งสินค้ามาลงและให้เขาดูแลให้”“แค่นี้เหรอคะ คุยกันนานเชียว แต่พี่ทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องออกหน้า รอรับเงินอย่างเดียวจะได้ไม่อันตรายด้วย แม้พี่จะเป็นเมียนายทหารแต่มาค้าขาย ใครรู้เข้ามันไม่ดีแน่ แต่พี่ไว้ใจพี่ชายอาโมว่ขนาดนั่นเลยเหรอ” เม่ยเม่ยยังคงถามต่อเพราะเป็นห่วงพี่สาว คนนั่นจะไว้ใจได้แค่ไหน แม้จะเป็นพี่ชายของสหาย เธอก็ยังไว่ไว้ใจ“เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องมองหรือศึกษานานหรอกนะ พี่เชื่อว่าสายตาพี่คงมองไม่ผิด ว่าแต่เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกใคร พี่ไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง สัญญาได้ไหม ส่วนเรื่องที่พี่ไปค้าขายในตลาดมืด หรือเรื่องที่เม่ยเม่ยจะเอาเครื่องสำอางไปขาย สองเรื่องนี้บอกได้ พี่ไม่ห้าม รอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง พี่จะบอกทุกคนด้วยตัวเอง”โจวเพ่ยชิงขอคำสัญญาจากน้องสาว เรื่องนี้เธอยังไม่ต้องการบอกครอบครัวเพราะกลัวถูกห้าม รอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเสียก่อน เ
หลังจากตรวจตราร้านค้าเสร็จแล้ว โจวเพ่ยชิงจึงเดินออกมาพร้อมกับตานเต๋อคง เพื่อไปดูโกดังที่ตานเต๋อคงเช่าไว้ไม่ไกลกับตลาดมืดมากนัก ซึ่งหากเธอมองว่าหากชายหนุ่มจะขนย้ายสินค้ามายังร้านค้า น่าจะไม่ใช่เรื่องยากหรือลำบากจนเกินไป“โกดังแห่งนี้เจ้าของเขาตั้งใจขายครับ เพียงแต่เวลานี้รัฐเข้มงวดในการซื้อขาย เขาจึงไม่อยากมีปัญหาเลยให้เราเช่าก่อนเดือนละสิบหยวน แต่ถ้าเราจะซื้อ เขาขายในราคาเจ็ดร้อยหยวน”“อืม ฉันขอดูเส้นสายอีกสักหน่อย ยังไงเช่าสักสองสามเดือนก่อนก็แล้วกัน ส่วนราคาที่ขายนั้นฉันคิดว่ามันไม่แพง จริงสิ นอกจากค้าขายในตลาดมืดแล้ว พี่คิดว่าเราควรทำการค้าอะไรอีกไหม”“ตามความคิดผม เวลานี้อาหารและวัตถุดิบนั้นขาดตลาดไม่น้อย ร้านค้าที่มีผลกระทบเลยก็คือร้านอาหาร แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นร้านอาหารของรัฐก็ตาม แต่ส่วนมากจะเป็นกลุ่มพ่อค้าทั่วไปที่ขอทำการค้ากับภาครัฐ เท่าที่ผมดูมา มีร้านอาหารหลายร้านปิดตัวลงเนื่องจากขาดวัตถุดิบ หากเราไปติดต่อทำการค้ากับร้านต่าง ๆ ในเมืองและในบริเวณใกล้เคียง ผมคิดว่าน่าจะดีและยอดขายคงมาก แต่ปัญหาอยู่ที่นายหญิงจะหาวัตถุดิบเพียงพอต่อความต้องการได้หรือไม่”ชายหนุ่มไม่ได้ดูหมิ่นในคว
ตอนพิเศษ 7 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงหนึ่งเดือนต่อมางานมงคลสีแดงถูกจัดขึ้นอย่างประณีต ในบ้านเกิดของ โจวเม่ยเม่ยและตานเต๋อคง แม้บ้านเจ้าสาวจะไม่ได้ใช้ทำพิธีสำคัญแต่คนตระกูลโจวมีเงินทองมากมาย พวกเขาไม่ได้ประดับตกแต่งของสวยงาม หรือจัดงานใหญ่โตเพื่อโอ้อวด แต่ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อน้องสาวคนเล็กสุดที่รักดอกไม้สดสีแดงถูกสั่งมาจากทั่วทุกสารทิศ มีทั้งที่ตัดออกมาจากต้น และปลูกไว้เป็นต้น ประดับไปตามเส้นทางจากบ้านเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าวในส่วนของถนนสาธารณะ ก็ได้มีการติดต่อกับทางการเพื่อบริจาคพืชเหล่านี้หลังใช้งาน แล้วยังมีงบการดูแลพืชให้ทุกปีต่อเนื่องไปอีกสิบปี นั่นทำให้ทางการยินดีให้บ้านโจวจัดงานได้เต็มที่พืชพรรณที่ออกดอกสีแดงสด ถูกซื้อและถอนมาจากทั่วประเทศ เพื่อปลูกไว้ประดับตกแต่งในวันงานแต่งงานของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวคนสุดท้าย ตลอดทั้งเส้นทางที่ต้องส่งตัวเจ้าสาวส่วนบ้านเจ้าบ่าวนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้า แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเท่าตระกูลโจว แต่นายหญิงเพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้เอาเปรียบพวกเขาพี่น้อง ตานเต๋อคงยังมีหุ้นส่วนในหลาย ๆ ร้านค้าที่ให้กำไรดี แล้วยังทำการเก็งกำไรร้านค้าในพื้นที่หลากหลาย ตามนายหญิงกล่าวได้ว่าเขาเอ
ตอนพิเศษ 6 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกิจการร้านทั้งสามของโจวเม่ยเม่ย เมื่อมีตานเต๋อคงช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง ก็ทำให้เธอสามารถพัฒนาไปในลู่ทางของตัวเองได้มากขึ้น แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้แผนการค้าเดิม เช่นเดียวกับร้านค้าอื่น ๆ ของนายหญิงเพ่ยเพ่ยความสามารถในการบริหารของหญิงสาว ทำให้ตานเต๋อคงรู้สึกทึ่งและภาคภูมิใจ ที่คนรักของเขามีความสามารถไม่เป็นรองนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้เป็นพี่สาวเลยสถานการณ์ด้านโรงงานของโจวเพ่ยชิงที่ขยายสาขามาในเมืองปักกิ่งกลับไม่ได้ดีนัก แต่ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือการจัดการของตานเต๋อคงแย่ลง เพียงแต่เป็นเพราะมังกรต่างถิ่น ไม่อาจสู้งูดินเจ้าถิ่นได้ ทำให้เขาต้องทุ่มแรงอย่างหนัก เพื่อเอาชนะเจ้าถิ่นที่ครองตลาดเอาไว้หากเป็นการเปิดโรงงาน เปิดร้านค้าธรรมดา ก็แล้วไปเถอะ แต่ในช่วงสามเดือนระหว่างที่ตานเต๋อคงก่อตั้งร้านค้าในเครือเพ่ยเพ่ยในเมืองหลวง ทางโจวเพ่ยชิงเองก็พัฒนาขึ้น จนสามารถสร้างห้างสรรพสินค้าในเมืองหลักใกล้เคียงกับบ้านเกิดได้สำเร็จนั่นทำให้หญิงสาวตัดสินใจสร้างห้างสรรพสินค้าใหม่ในปักกิ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเป็นการขัดผลประโยชน์กับเจ้าถิ่นอย่างไม่สามารถห
ตอนพิเศษ 5 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“เม่ยเม่ย ไปไหน”เสียงเข้มเอ่ยถามน้องชายทันที เมื่อพบว่ามีเพียงตานโมว่ เดินเข้ามาในบ้าน วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียน นักศึกษาเข้าไปส่งงานหรือไม่ก็สอบเป็นวันสุดท้าย ซึ่งโจวเม่ยเม่ยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการไปมหาวิทยาลัยในวันนี้ได้“วันนี้ปิดภาคเรียน เด็ก ๆ ปีหนึ่งต้องไปกินดื่มกับพวกรุ่นพี่ในคณะสิครับ” ตานโมว่บอกกับพี่ชายถึงธรรมเนียมปฏิบัติ“แล้วนายไม่ได้ไป?”“ผมทำงาน อีกอย่างก็ไม่ได้มีสหายเยอะเหมือนเม่ยเม่ย รายนั้นเรียกได้ว่าเจ้ใหญ่ของสาขาวิชาก็ว่าได้”“...” ตานเต๋อคงไม่ประหลาดใจ เมื่อได้ยินอย่างนั้น จากความถี่ในการออกเที่ยวของโจวเม่ยเม่ย สามารถรู้ได้ว่าหญิงสาวมีสหายเยอะ หรือบางทีอาจจำกัดความได้ว่า ‘มีสหายกินดื่มเยอะ’ จะถูกกว่า“แต่เม่ยเม่ยดื่มไม่เก่ง” ตานเต๋อคงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง“หวงนักก็ตามไปเฝ้าสิครับ งานเลี้ยงวันนี้ไม่ได้เคร่งเหมือนในมหาวิทยาลัย คนนอกไปกันเยอะแยะ”“ห่วง ไม่ได้หวง” ในความเป็นจริงคือไม่มีสิทธิ์อะไรไปหวงมากกว่า“อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย เอาเถอะ ผมก็จนปัญญากับ พวกพี่แล้ว วันนี้พี่ก็ไปรับเม่ยเม่ยเองแล้วกัน ให้ผมไปสืบเรื่องงานมาให้จนเกือบตาย ผ
ตอนพิเศษ 4 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงทิวทัศน์ของปักกิ่งนั้นช่างแปลกตา แตกต่างจากบ้านเกิดของตนเองอย่างชัดเจน ทำให้สองหนุ่มผู้เพิ่งเข้ากรุงตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อรถพาแล่นมาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านแบบใหม่หลายหลัง พวกเขาก็เปลี่ยนความตื่นเต้นเป็นกังวลใจทันทีที่รถจอดและพบหน้ากัน โจวเม่ยเม่ยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ท่าทางของเธอเฉยชาอย่างประหลาด นั่นทำให้ตานเต๋อคงประหม่าจนพูดไม่ออกคงมีแค่ตานโมว่ ที่คุยกับสหายอย่างกระตือรือร้น“นี่เป็นของฝากจากนายหญิงและทุกคน ลองดูสิเม่ยเม่ย”“ขอบใจนะ อาโมว่”โจวเม่ยเม่ยเหลือบมองของขวัญ แต่บังคับสายตาไม่ให้หันไปมองคนใจร้าย หลังรับของ เธอก็หันไปพาทั้งสองคนไปด้านใน“พี่และอาโมว่เลือกห้องได้เลยนะ ที่นี่หลังใหญ่จนเกินที่ฉันจะอยู่คนเดียว นายนั่นแหละอาโมว่ ที่ไม่ยอมมากับฉันตั้งแต่แรก”โจวเม่ยเม่ยเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันมาบ่นสหายของตนเอง“จะดีเหรอ พวกเราออกไปเช่าห้องอยู่ หรือไปอยู่ที่หลังร้านก็ได้”ตานเต๋อคงเอ่ยแทรกขึ้น อย่างที่เขาได้ตัดสินใจก่อนจะมาที่นี่แต่… โอกาสของเขาดูเหมือนถูกตัดขาดอย่างรวดเร็ว เมื่อโจวเม่ยเม่ยตอบกลับและหันไปพูดกับตานโมว่สหา
ตอนพิเศษ 3 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“นี่มัน…” ตานโมว่รู้สึกพูดไม่ออก หลังจากได้ฟังคำถามของเจ้านาย ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้เพราะปัญหาความซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปหรือไม่“นายอย่าปิดบังฉันเลย นายคงเห็นแล้ว ว่าพี่เต๋อคงแปลกไปจริง ๆ เขาชอบเหม่อเวลาทำงาน ตอนอยู่ที่บ้านด้วยกัน ก็คงจะเหม่อยิ่งกว่านี้อีกใช่ไหม”เมื่อคิดตามคำพูดของพี่สาวเพ่ยเพ่ยแล้ว ตานโมว่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล แต่ปัญหาก็ คือแม้เขาจะรู้ความจริงว่าทำไมพี่ชายถึงเป็นอย่างในตอนนี้ ก็ไม่กล้าพูดออกไปอยู่ดี“ฉันแค่เป็นห่วง และสงสัยว่าพี่เต๋อคงเป็นอะไรเท่านั้น ถ้ารู้ต้นเหตุ ไม่แน่ว่าเราอาจหาทางทำอะไรแก้ไขได้ ก่อนที่จะเกิดเรื่อง”“นี่… มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ” ตานโมว่มองเจ้านายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ยิ่งทำให้เจ้าตัวสงสัยมากขึ้น แต่ไม่ใช่ความสงสัยที่ว่าตานเต๋อคงมีปัญหา แต่อาจเป็นผลมาจากเรื่องของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวของเธอเอง“หรือเป็นเพราะเม่ยเม่ยไปปักกิ่ง” โจวเพ่ยชิงพูดออกไป“นายหญิงรู้ได้ยังไง!”ไม่ต้องรอให้เขาตอบ เพียงท่าทีของตานโมว่ ก็บอกได้ทุกอย่าง โจวเพ่ยชิงได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ใช่เรื่องอื่น“ก็ไม่เชิงรู
ตอนพิเศษ 2 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกลับมาทางด้านตานเต๋อคงเวลานี้ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ใจหนึ่งก็อยากติดตามไปดูแลใครบางคนที่อยู่ในเมืองหลวง หรือไม่ ก็ติดต่อเธอไปสักเล็กน้อยแต่ทุกวันนี้เขามักจะมองเหม่อไปทางโทรศัพท์ เมื่อมันดังขึ้นก็เฝ้าหวังว่าจะเป็นสายจากคนที่คิดถึง กระนั้นชายหนุ่มกลับต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะแม้ว่าโจวเม่ยเม่ยจะติดต่อกลับมาก็เพื่อพูดคุยกับครอบครัว หรือไม่ก็สหายอย่างตานโมว่เท่านั้น ไม่ได้สนใจพี่ชายของสหายที่พ่วงด้วยฐานะผู้ช่วยคนสนิทของนายหญิงเพ่ยเพ่ยอย่างเขา ตานเต๋อคงเองก็ไม่มีหน้าพอที่จะไปขอคุยโทรศัพท์กับหญิงสาวทั้งที่ไม่มีธุระอะไรจนกระทั่งนายหญิงเพ่ยเพ่ยเรียกให้เขาเข้าพบ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมกับบอกว่ามีคนจะปรึกษาเรื่องงาน“สวัสดีครับ”เขารับโทรศัพท์มา และกลอกเสียงที่ถูกทำให้นุ่มทุ้มลดระดับหนึ่งลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ“พี่เต๋อคง ช่วยสอนงานเล็กน้อยให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ พอดีฉันกำลังจัดการปัญหาที่เจอในสาขาหนึ่งของร้านค้าในเมืองปักกิ่งอยู่ ถ้าได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่มาช่วยคงจะดีมาก”ตานเต๋อคงหัวใจกระตุกวูบ รู้ส
ตอนพิเศษ 1 โจวเม่ยเม่ย – ตานเต๋อคงหลังจากผ่านพ้นการปฏิวัติ มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงในบ้านโจว โดยเฉพาะการตัดสินใจสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของ‘โจวเม่ยเม่ย’ น้องสาวของบ้านนั่นเองการตัดสินใจครั้งนี้ของเธอ ได้รับการสนับสนุนจากทางบ้านอย่างแข็งขัน ทำให้โจวเม่ยเม่ยมีกำลังใจทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือสอบจนกระทั่งหลังออกจากห้องสอบ หญิงสาวถึงได้โล่งอก ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเธอ ทำให้ทุกคนวางใจ และไม่มีใครถามถึงเพื่อไม่เป็นการกดดันน้องสาวไม่นานหลังจากนั้น บ้านโจวก็ได้รับจดหมายตอบรับ ซึ่งข่าวเรื่องนี้มาถึงหูของโจวเพ่ยชิงก่อนที่บุรุษไปรษณีย์จะมาถึงเสียด้วยซ้ำทำให้เมื่อบุรุษไปรษณีย์มาถึง ก็พบว่ามีผู้คนมากมายออกมารอรับจดหมายอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเขาจึงได้ยื่นซองเอกสารที่ลงทะเบียนให้แก่หญิงสาวเจ้าของชื่อด้วยรอยยิ้ม“ยินดีด้วยนะ คุณหนูโจว” เมื่อแสดงความยินดีเสร็จแล้วจึงเดินหันหลังกลับไป โดยไม่ได้พูดอะไรต่อคำยินดีเป็นเพียงคำมงคลที่บุรุษไปรษณีย์มีให้เด็กนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนอยู่แล้ว แต่เสียงเฮที่ตามหลังมา ทำให้เขาอมยิ้มมากขึ้น เพราะรู้ว่าจดหมายตอบรับนั้นเป็นข่าวดี“ยินดีกับน้องด้วยนะ”
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการห้าปีต่อมา...เวลานี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น โจวเพ่ยชิงแนะนำนายพลข่ายและนายพลซีให้เลือกฝ่ายที่ถูกต้อง แม้ว่าทั้งสองจะสงสัยว่าโจวเพ่ยชิงรู้ได้อย่างไร ก็ไม่มีใครคิดที่จะถาม เมื่อเลือกฝ่ายที่ถูกต้อง ตำแหน่งหน้าที่ของทั้งสองจึงมั่นคงขึ้น นี่จึงทำให้ สายป่านของโจวเพ่ยชิงยิ่งยาวเข้าไปอีกห้าปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวมากมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น บ้านหลี่หรือบ้านโจว พี่ใหญ่โจวอย่างโจวเทียนอี้ ไม่รู้ว่าไปพบรักกับคุณหนูโม่ตอนไหน ทว่าเวลานี้ทั้งสองแต่งงานกันเรียบร้อยแล้วและพี่ใหญ่ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่นี่กับเมืองลุยจืองานทางนั้นก็มากพอตัว อีกทั้งโรงงานที่ทำร่วมกับตระกูลโม่ก็มียอดขายเข้ามาไม่น้อย ซึ่งของขวัญวันแต่งงานสำหรับพี่ชายคนนี้โจวเพ่ยชิงมอบทรัพย์สินให้ไม่น้อย รวมถึงโรงงานที่เมืองลุยจือหากพูดถึงพี่ใหญ่แล้ว จะไม่พูดถึงพี่รองอย่างโจวว่านปิงคงไม่ได้ ไม่รู้ว่าชายที่หวงตัวเองไปหลงรักเซียงเหมยได้ยังไง มารู้ข่าวอีกทีพี่รองของเธอ ก็ให้พ่อกับแม่ไปสู่ขอหญิงสาวคนนี้เสียแล้วแต่ไม่ว่าพี่ชายทั้งสองจะรักกับใคร พี่สะใภ้ของเธอจะเป็นคุณหนูหรือลูกสาวชาวบ้านธรรมดา โจ
“นายหญิงเพ่ยเพ่ย!!” หว่านซีห่าวเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาว“ขอบใจนะที่ยังจำกันได้ คุณซีห่าว”แม้จะโกรธแค้นแค่ไหน ทว่าโจวเพ่ยชิงกลับเก็บอารมณ์ได้ดี ไม่วู่วาม เพราะเธอมีเรื่องบางอย่างที่จะสอบถามหว่านซีห่าว“มีใครบ้างไม่รู้จักนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้ทรงอิทธิพลของกลุ่มการค้าเพ่ยเพ่ย ว่าแต่นายหญิงที่เข้ามาเยือนที่นี่ มีเรื่องอะไรจะสอบถามใช่หรือไม่ เพราะการกระทำของพวกเราในวันนี้ น่าจะทำให้นายหญิงต้องการเอาชีวิตพวกเรามากกว่า”“ถูกต้องแล้ว ความแค้นที่ฉันมีต่อคุณ มันมากเกินกว่าที่จะให้อภัยด้วยซ้ำ แต่ฉันมีข้อข้องใจบางอย่างที่อยากจะถาม นอกจากคุณที่แฝงตัวเข้าในทีมของพี่ฮั่นตงแล้ว ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้น พวกคุณคงไม่หนีหายและหลุดรอดออกไปได้เช่นนี้จนย้อนกลับมาทำร้ายพี่ฮั่นตงอีกครั้ง”นี่คือสิ่งที่เธออยากรู้ ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ คนสนิทอย่างตานเต๋อคงได้รายงานบางอย่าง และก็ทำให้เธอคิดได้ แล้วเลือกที่จะถามก่อนที่จะจัดการเรื่องราวทั้งหมด“สิ่งที่นายหญิงกล่าวมาก็ไม่ผิด แต่ภารกิจที่พวกเราได้รับมอบหมายมาในครั้งนี้ไม่ใช่ฮั่นตง แต่เป็นตัวของนายหญิงเพ่ยเพ่ย เองต่างหาก”หว่านซีห่าวรู้ว่าอีกฝ่ายกำ