หลังจากรถยนต์ภรรยานายช่างเคลื่อนตัวไปแล้ว หลี่เหวินเสียนปรายตามองซินหงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา
“ผมจะไปรอที่สำนักงานพลเรือน ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และอย่าคิดไม่ซื่อ เพราะเธอจะได้ไม่คุ้มเสีย ซินหง”
จากนั้นหลี่เหวินเสียนและสองพี่น้องบ้านโจวจึงเดินจากมาโดยไม่สนใจชาวบ้านที่สอดสายตาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“กรี๊ดดดดด ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไม”
ซินหงกรีดร้องโวยวาย และถามดินถามลม ว่าทำไมมันต้องจบแบบนี้ ทว่าเมื่อเจอสายตาของชาวบ้าน จึงรีบเข้าบ้านและเปลี่ยนชุดใหม่ ก่อนจะไปพบกับหลี่เหวินเสียนที่สำนักงานพลเรือน
สุดท้ายแล้วหลี่เหวินเสียนหย่ากับอดีตภรรยา โดยไม่คิดฟ้องร้อง แต่ลูกอย่างหลี่อี้หลานต้องอยู่ในความดูแลของเขาเท่านั้น การหย่าในวันนี้จึงจบลงด้วยดี
“หากฉันคิดถึงลูก ฉันขอไปเยี่ยมได้ไหม”
ซินหงเอ่ยร้องขอด้วยความอ้อนวอน ไม่ใช่เพราะคิดถึงลูก แต่เธอพยายามหาข้ออ้างเพื่อกลับไปบ้านอดีตสามี เพื่อจะขอคืนดีกับเขา แต่ต้องรอจังหวะและเวลาเสียก่อน รอให้เขาหายโกรธเถอะ
“อย่าเลย มันไม่เหมาะหรอก เราหย่ากันแล้ว”
หลี่เหวินเสียนพูดจบก็เดินจากมาพร้อมสองพี่น้องบ้านโจว
ซินหงมองตามหลังอย่างขัดใจ อย่าคิดว่าเธอจะยอมแพ้ เธอไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่าย ๆ หรอกนะ
“อย่าคิดมากอาเสียน ต่อจากนี้ไปนายจงใช้ชีวิตกับเสี่ยวหลานและพ่อแม่อย่างมีความสุข คิดเสียว่าเรื่องนี้คือบทเรียน นายจะได้รู้ว่าต่อไปหากจะหาคนแต่งงาน ต้องมองคนแบบไหน” โจวเทียนอี้ ตบบ่าของหลี่เหวินเสียนเล็กน้อย ก่อนให้กำลังใจและเอ่ยเตือนว่า นี่คือบทเรียนของชีวิต
“ครับพี่ เรื่องนี้คือบทเรียนอย่างดีเลยล่ะ แต่เรื่องที่ผมจะแต่งงานใหม่นั้นคงอีกนาน เวลานี้ผมอยากหางานทำและเลี้ยงดูเสี่ยวหลานให้เป็นคนดีมากกว่า เวลานี้ลูกขาดแม่ ผมเองก็จะเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ให้กับเสี่ยวหลานครับ”
“อืม ดีมาก” โจวเทียนอี้พูดออกมาอีกครั้ง
จากนั้นทั้งสามคนจึงนั่งเกวียนกลับเข้าหมู่บ้านทันที
หลี่เหวินเสียนมาถึงบ้านหลี่ก็บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทุกคนในบ้านหลี่ฟังในเย็นวันนั้น
“ลูกพูดอะไรนะเหวินเสียน ลูกหย่ากับแม่ของเสี่ยวหลานแล้วเหรอ” แม่หลี่ยกมือทาบอกด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงกับลูกชายคนที่สามของเธอ
“ครับแม่” หลี่เหวินเสียนพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“แล้วเรื่องนี้นายรู้มานานหรือยัง เจ้าสาม” หลี่จ้ายหมิงพี่ชายคนโตเอ่ยถามน้องชายเสียงเครียด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนทุกคนตั้งรับไม่ทัน
“หลายวันแล้วครับ แต่เพราะไม่มีหลักฐาน ผมเลยยังไม่กล้าบอกใคร พอพี่สะใภ้รองให้พี่เทียนอี้และอาปิงเอาหลักฐานมาให้ วันนี้ผมเลยไปดูให้เห็นกับตา และเป็นจริงอย่างที่พี่สะใภ้บอกทุกอย่าง นี่ครับหลักฐานที่ได้มา”
หลี่เหวินเสียนเอาภาพถ่ายที่ยังเก็บไว้ให้ทุกคนดู พอทุกคนเห็นต่างก็ตกใจและแค้นใจที่ซินหงทำแบบนี้
“สงสารแต่เสี่ยวหลาน ตัวแค่นี้กลับต้องกำพร้าแม่” พ่อหลี่พูดขึ้นอย่างเหนื่อยใจและสงสารหลานสาวตัวน้อย
“กำพร้าแม่แต่ยังมีน้องสามนี่คะพ่อ มันไม่แปลกหรอก มีชาวบ้านอีกหลายครัวเรือนที่หย่าภรรยาหรือหย่าสามี อีกหน่อย น้องสามก็คงแต่งงานใหม่ได้” ซือเจียพูดขึ้นอย่างไม่อาทรร้อนใจเลย
“สะใภ้ใหญ่ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ฉันคิดว่าหล่อนพูดเข้าหู อย่างนั้นเหวินเสียนไม่ต้องคิดมากนะลูก เวลาจะช่วยเยียวยา ทุกอย่างเอง แม่ต้องขอโทษที่หาสะใภ้อย่างนั้นให้ลูก”แม่หลี่โทษตัวเอง หากเธอไม่คลุมถุงชนให้ลูกชายแต่งงงานทั้งที่ไม่ได้รักกัน เรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
“แม่อย่าโทษตัวเองเลยครับ ทุกอย่างฟ้าลิขิตมาแล้ว ทุกคนอย่าคิดมากเลย ผมไม่เป็นอะไร”
เมื่อหลี่เหวินเสียนยืนยันว่าไม่เป็นอะไร ทุกคนจึงคลายความกังวล แม้พ่อหลี่จะไม่พูดไม่จาอีก แต่เขากลับส่งสายตาให้กำลังใจบุตรชาย ไม่ว่าจะเจอปัญหาหนักอะไร แต่ชีวิตคนเราต้องสู้และเดินหน้าต่อเท่านั้น
กลับมาบ้านโจว
เวลานี้โจวเพ่ยชิงรอการกลับมาของพี่ชายทั้งสอง เมื่อเห็นพี่ชายเดินเข้ามาจึงเอ่ยถามว่าเรื่องไปในทิศทางไหน แต่ก่อนที่สองพี่น้องจะตอบอะไร กลับถามบางอย่างออกมา
“ก่อนที่พี่กับเจ้ารองจะตอบ เพ่ยชิงบอกพี่มาก่อนว่า น้องเป็นคนส่งข่าวถึงภรรยาของนายช่างคนนั้นใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ ฉันโทรไปส่งข่าวตั้งแต่รู้เรื่องแล้วล่ะ อย่าบอกนะว่าเธอมาถึงแล้ว” โจวเพ่ยชิงยอมรับตามตรงว่า เธอเป็นคนส่งข่าวเองและถามถึงการมาของภรรยานายช่าง
เธอกลัวว่าฝ่ายน้องสามีจะโดนทำร้ายหากไปจัดการเรื่องนี้ และเชื่อว่าเมื่อได้หลักฐานแล้ว พี่ชายของเธอคงตามไปด้วย และเธอไม่ต้องการให้เกิดเรื่อง จึงโทรตามภรรยาของนายช่างให้มาจัดการสามีและซินหงอีกทางหนึ่ง
“ผู้หญิงอะไรโหดเป็นบ้าเลย ตบซินหงซะหน้าบวมไปหมด ส่วนสามีของเธอก็... เฮ้ออย่าให้พูด”
โจวว่านปิงทำท่าสยองพองขน พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ในอดีตน้องสาวเขาจะดูร้ายกาจ แต่ไม่ถึงขนาดผู้หญิงคนนั้น
“ระวังเถอะพี่รอง เกลียดอะไรจะได้อย่างนั้น” โจวเพ่ยชิงได้ยินอย่างนั้นก็พูดหยอกล้อพี่ชายคนรองและหัวเราะเสียงใส
“น้องสามอย่าพูดอย่างนั้นสิ” โจวว่านปินโอดครวญออกมา
“อาเสียนฝากมาขอบคุณ และบอกว่าวันหลังจะมาขอบคุณด้วยตัวเองอีกครั้ง” โจวเทียนอี้บอกกับน้องสาวออกไป
“ว้าย แล้วพวกพี่จะบอกเขาทำไม ฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ เดี๋ยวบ้านหลี่จะคิดว่าฉันอคติและหาทางทำลายน้องสามีและน้องสะใภ้”
โจวเพ่ยชิงรู้ว่าทุกคนในบ้านหลี่เป็นคนดี แต่เรื่องพวกนี้มีใครตอบได้บ้างว่าไม่คิดในแง่ร้ายกับเธอ ยิ่งพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องพูดถึง รายนั้นคอยแต่จะหาเรื่องเธอ
“เอาเถอะ ในเมื่อเรื่องจบลงด้วยดี เพ่ยชิงก็อย่าคิดมาก แต่เท่าที่พี่ดู เหมือนซินหงจะไม่ยอมจบง่าย ๆ และดูเหมือนว่าจะเอาเสี่ยวหลานมาเป็นข้ออ้างในการกลับมาบ้านหลี่”
“พี่ใหญ่อย่าเพิ่งคิดมาก ซินหงจะกลับมาได้หรือไม่ อยู่ที่การตัดสินใจและการกระทำของน้องสามี หากเขาโง่กลับไปกินของเน่าก็ปล่อยเขาเถอะ”
โจวเพ่ยชิงคิดว่าเรื่องนี้ควรจะให้หลี่เหวินเสียนจัดการด้วยตนเอง เธอจะไปก้าวก่ายมากไม่ใช่เรื่องดี หน้าที่เธอตอนนี้คือทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น
“คงต้องเป็นอย่างนั้น ว่าแต่ปีนี้ฮั่นตงกลับมาบ้านหรือเปล่า เรื่องหย่าตัดสินใจแน่แล้วใช่ไหม” พี่ใหญ่ของบ้านเอ่ยถามน้องสาว
เขาไม่ต้องการให้ชีวิตคู่ของน้องสาวต้องมีการหย่าร้าง หากปรับตัวเข้าหากันได้ แบบนี้สิเขาถึงเห็นด้วย
“ไม่รู้เหมือนกันพี่ รอเขากลับมาก่อนค่อยว่ากัน เวลานี้ฉันไม่คิดเรื่องอื่นนอกจากหาเงิน ฉันไปทำอาหารก่อนนะคะ”
โจวเพ่ยชิงตอบกลับแค่นั้น ก่อนจะเดินเข้าหลังบ้านเพื่อทำอาหารรอทุกคน และลูกน้อยทั้งสองที่เริ่มเรียนกับบ้านหลุนแล้ว
พี่ชายทั้งสองได้แต่สบตากันด้วยความกังวล เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้น้องสาวต้องหย่าร้างกับสามี แต่ถ้านี่เป็นความต้องการและความสุขของน้อง พี่ชายเช่นพวกเขายินดีจะสนับสนุนเช่นกัน
พอเวลาเดินมาถึงมื้อเย็น ทุกคนจึงล้อมวงกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อได้เวลาโจวเพ่ยชิงจึงพาลูกทั้งสองคนกลับบ้านของตนเอง
สามวันต่อมา...
โจวเพ่ยชิงยังคงมาส่งน้องสาวอย่างโจวเม่ยเม่ยที่โรงเรียนเหมือนเดิม วันนี้ตานเต๋อคงมีนัดเซ็นสัญญาซื้อขายผ้าในนามของนายหญิงเพ่ยเพ่ยกับโรงงานเย็บผ้า จึงให้ตานโมว่น้องชายของตนมาส่งข่าวให้โจวเพ่ยชิงรับรู้
“พี่ใหญ่ฝากจดหมายมาให้ครับ” ตานโมว่เอ่ยบอกพร้อมกับส่งจดหมายให้โจวเพ่ยชิงเงียบ ๆ
“ขอบใจมาก ยังไงฝากดูแลเม่ยเม่ยหน่อยนะ
โจวเพ่ยชิงยื่นมือไปรับและเปิดอ่านข้อความในจดหมาย เมื่อรู้ว่าตานเต๋อคงเขียนมาว่าอย่างไร เธอจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยฝากฝังน้องสาวอีกครั้ง
“อืม ขอบใจมากนะอาโมว่ ฝากดูแลเม่ยเม่ยด้วยล่ะ”
“โธ่พี่สาม ฉันไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะถึงต้องมีคนมาดูแล”
โจวเม่ยเม่ยมองค้อนพี่สาวที่ทำเหมือนเธอเป็นเด็ก ๆ
“ไม่ว่าเม่ยเม่ยจะโตแค่ไหน แต่สำหรับพี่ น้องยังคงเป็นเด็กในสายตาของพี่เสมอ” คนเป็นพี่ตอบกลับและยิ้มให้
จากนั้นโจวเพ่ยชิงจึงปั่นจักรยานออกมาทันที และมุ่งตรงไปยังตลาดมืดเพื่อช่วยทุกคนค้าขาย เนื่องจากวันนี้ตานเต๋อคงไปเซ็นสัญญาธุรกิจ ที่ร้านคงยุ่งไม่น้อย
“รีบเข้าเรียนเถอะ วันนี้ฉันต้องไปรับยอดสั่งซื้อของสหายในโรงเรียน ฉันฝากนายไปเอาของที่ร้านได้ไหม แล้วลงบัญชีไว้ พรุ่งนี้ฉันจะฝากนายไปจ่ายเงิน” โจวเม่ยเม่ยหันมาพูดกับสหายของตนเอง
“ได้สิ เรื่องนี้พี่ใหญ่บอกไว้แล้ว”
“อืม” จากนั้นทั้งสองคนจึงรีบเดินเข้าโรงเรียน ทั้งสองมีหัวการค้าไม่น้อย แต่จะขายสินค้าไม่เหมือนกัน เพื่อไม่เป็นการแย่งลูกค้ากันเอง
โจวเพ่ยชิงมาอยู่ที่ร้านเพ่ยเพ่ยพักใหญ่ การค้าในวันนี้ยังคงเป็นเหมือนเช่นวันอื่น ๆ คือมีลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย ของทุกอย่าง ที่เอามาขาย ยังเป็นที่ต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ตานเต๋อคงจึงรีบมาแจ้งเรื่องสัญญา
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม พี่เต๋อคง” โจวเพ่ยชิงรีบถามขึ้นทันที
“ครับนายหญิง เวลานี้โรงงานทำสัญญากับเราทั้งเรื่องการซื้อขายผ้า และเรื่องวัตถุดิบอาหารส่งโรงครัว เพียงแต่ระยะเวลานั้นแตกต่างกัน ตามรายละเอียดของสัญญาแต่ละฉบับครับ”
ตานเต๋อคงส่งสัญญาให้กับโจวเพ่ยชิงดู หญิงสาวรับมาอ่านด้วยความตั้งใจ และเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย ในสัญญานอกจากขายผ้าสำเร็จสัญญาสามปี ยังรวมถึงอาหารจำนวนไม่น้อย ที่โรงงานทำสัญญาปีต่อปี การค้าครั้งนี้จึงเป็นการค้าครั้งใหญ่ครั้งแรกของโจวเพ่ยชิงในนามนายหญิงเพ่ยเพ่ย
เรื่องนี้เป็นขวัญและกำลังใจให้ทั้งเจ้านายและลูกน้องไม่น้อย
“เอาละ เวลานี้ปัญหาของเราคือคนส่งของ หากจะให้พวกพี่สามคนไปส่งของ เราจะไม่มีคนอยู่ที่ร้านนี้ อย่าลืมว่าลูกค้าเข้ามาแต่ละวัน สามคนก็แทบไม่มีเวลาพักแล้ว อีกอย่าง ฉันอยากให้เปิดรูปแบบการส่งของตามบ้าน แม่บ้านแต่ละหลังอาจจะไม่สะดวกมาซื้อของในตลาดมืดตลอดหรอก พี่เต๋อคงลองติดต่อกับตลาดมืดดู ว่าเขาสามารถขอโทรศัพท์มาติดตั้งในร้านให้ได้หรือไม่ ราคาฉันไม่เกี่ยง เพราะขอมาติดตั้งไว้ในนี้ราคาย่อมแพงกว่าปกติ เราจะเปิดขายในรูปแบบส่งตรงถึงหน้าบ้าน”
“ครับนายหญิง”ตานเต๋อคงไม่คิดว่าเจ้านายจะมีหัวการค้าอย่างนี้
หากทำอย่างที่นายหญิงพูดมา นี่คงเป็นการเพิ่มยอดให้ร้านค้าไม่น้อย อีกสามคนก็ยิ่งเห็นด้วย ส่วนเรื่องหาคนเพิ่มค่อยปรึกษากันอีกครั้ง
โรงเรียนมัธยม
การค้าวันนี้ของเม่ยเม่ยและตานโมว่ได้ยอดไม่น้อยเช่นกัน แต่เพราะหลายคนรู้ว่าทั้งสองครอบครัวฐานะไม่สู้ดี ทำให้สหายที่พอจะมีฐานะช่วยซื้อกันมากมาย
“เที่ยงนี้อาหารของพวกเธอมีอะไรบ้าง” ปี่เจียวเอ่ยถามสหายทั้งสองคน ในกลุ่มของพวกเธอมีสหายชายเพียงคนเดียว นั่นคือตานโม่ว
“ของฉันพี่สามทำเนื้อทอดกับผักกะหล่ำใส่เนื้อ” โจวเม่ยเม่ย เปิดกล่องข้าว พอเห็นอาหารพี่สาวที่เตรียมมาให้จึงเอ่ยขึ้น
“ส่วนของฉันคือต้มหมูกับไก่ทอด พี่ใหญ่ทำให้”
ตอนนี้ตานโมว่ให้พี่ชายทำข้าวกล่องให้ทุกเช้า แทนการมากินร่วมกับโจวเม่ยเม่ย เพราะเกรงใจโจวเพ่ยชิงที่ต้องทำอาหารเผื่อเขาทุกวัน
“ฉันถามหน่อยเถอะ พวกเธอบ้านไม่มีฐานะจริง ๆ เหรอ ดูอาหารบ้านฉันสิ มีแต่ผักไม่มีเนื้อเหมือนของเธอทั้งสองคนเลย”
สหายในกลุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น จากนั้นทั้งหมดจึงส่งเสียงหัวเราะและกินมื้อเที่ยงกันอย่างอร่อย โดยโจวเม่ยเม่ยและตานโมว่ ยังคงแบ่งปันอาหารให้สหายกินด้วยกันเหมือนเดิม
ย้อนกลับมาทางด้านหลี่ฮั่นตงเวลานี้ร่างกายของเขาเป็นปกติแล้ว และอีกไม่นานเขาจะเดินทางกลับบ้าน ทว่าเวลานี้กลับมีสหายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพักของชายหนุ่ม พร้อมกับกล่องพัสดุหนึ่งใบ“นายกองหลี่ มีพัสดุส่งมาให้ เซ็นรับด้วยครับ”หลี่ฮั่นตงแม้จะงงงวยกับกล่องพัสดุกล่องนี้ แต่ก็ยอมเซ็นรับแต่โดยดี ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เตียงนอนของตน โดยมีสายตาของสหายทหารคนอื่น ๆ มองตามอยากรู้อยากเห็นพอเห็นชื่อคนส่งเท่านั้น ชายหนุ่มกลับแปลกใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ไม่คิดว่าชื่อผู้ส่งจะเป็นภรรยาของตนจากนั้นจึงหยิบมีดพกที่เหน็บข้างเอวออกมาแกะกล่องพัสดุ เมื่อกล่องเปิดออกกลิ่นขนมและอาหารฟุ้งกระจายไปทั่ว“ฮั่นตง ใครส่งของให้นาย กล่องใหญ่มาก”สหายสนิทอย่างหว่านซีห่าวเดินมานั่งข้าง ๆ ก่อนจะทำตาโตเมื่อเห็นของด้านใน“เมีย” นี่เป็นคำตอบเดียวที่ได้กลับมาหว่านซีห่าวกลับไม่สนใจปฏิกิริยาของสหาย เนื่องจากรู้ว่าสหายผู้นี้มักจะมีสีหน้าและท่าทางเย็นชาอย่างนี้เสมอ จึงไม่คิดจะถือสา แต่เขากำลังสนใจสิ่งที่อยู่ในกล่องพัสดุมากกว่าหลี่ฮั่นตงหยิบของออกมาดูแต่ละชิ้น ยิ่งสร้างความแปลกใจให้กับเขาไม่น้อย ในกล่องนี้ล้วนเป็นของกินแทบทั
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านมาสองสัปดาห์ ยอดขายร้านเพ่ยเพ่ยมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลง อีกทั้งเวลานี้ตานเต๋อคงยังติดต่อทำการค้ากับร้านอาหารของรัฐอีกหลายแห่ง ทำให้แต่ละคนแทบไม่มีเวลาพัก“เวลานี้คนงานของเราแทบจะไม่พอแล้วนะพี่เต๋อคง เราน่าจะรับคนมาเพิ่ม” โจวเพ่ยชิงดูบัญชีอยู่หลังร้านเอ่ยขึ้นมาเธอมองว่าคนงานมีแค่นี้น่าจะไม่เพียงพอแล้ว และเธอต้องการขยายร้านค้าอีกด้วย“ครับนายหญิง เวลานี้คนงานเราแทบไม่พอจริง ๆ”ตานเต๋อคงเห็นด้วยกับนายหญิง เรื่องที่จะรับคนงานเพิ่ม เวลาที่เขาออกไปส่งของ ที่ร้านจะมีเพียงสามคน ซึ่งไม่เพียงพอและยิ่งถ้าเมื่อไหร่ลูกค้าที่มาสั่งซื้อของ แล้วให้ไปส่งสินค้าที่บ้าน หมายความว่าที่ร้านจะเหลือเพียงสองคน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดูแลร้าน เนื่องจากลูกค้าเข้ามาจำนวนมาก“ถ้าอย่างนั้นพี่ติดป้ายรับสมัครคนงานสักสี่คน ฉันต้องการขยายร้านเพ่ยเพ่ยในกลุ่มการค้าตลาดมืด ส่วนพี่ทั้งสามคนนั้น ให้เขาดูแลและคุมร้านค้าที่จะเปิดใหม่ พี่คิดว่าอย่างไร”หญิงสาวคล้ายจะขอความคิดเห็น เธอตั้งใจจะขยายร้านค้าในกลุ่มตลาดมืด ส่วนจะขยายไปต่างเมืองหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกครั้ง เนื่องจากตอนนี้เธอยังไม่มีรถยนต์หรือรถบรรทุก
ทันทีที่เหวินเทาเดินออกมา ทั้งสามกอดกันตัวกลมด้วยความดีใจ ที่เวลานี้รอดตายจากสถานการณ์ที่ย่ำแย่แล้ว“อาข่าย ตั้งใจทำงานให้ดีนะลูก นายหญิงดีกับเราขนาดนี้อย่าทำอะไรให้นายหญิงเดือดร้อนเด็ดขาดนะ อีกหน่อยพวกเราก็เก็บเงินส่งอาหัวเล่าเรียนได้เหมือนเด็กคนอื่นแล้ว”นางหว่ายเจียพูดกับลูกชาย เธอไม่คิดเหมือนกันว่าหญิงสาวในวันนั้น จะเป็นผู้มีพระคุณของเธอในวันนี้อีกครั้ง ไม่เพียงลูกชายได้ทำงาน หญิงแก่เช่นเธอก็มีงานให้ทำเหมือนกัน“ครับแม่ ผมสัญญาว่าจะตั้งใจทำงาน จะเก็บเงินเพื่อให้พวกเราสบาย แล้วจะไม่หักหลังหรือคิดร้ายต่อนายหญิงเด็ดขาด”“ดีแล้วลูก เราต้องรู้จักบุญคุณคน” นางบอกสอนลูกชายห้“ครับ ถึงผมไม่รู้ว่านายหญิงเป็นใคร แต่เธอคือผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา ผมจะตอบแทนบุญคุณนายหญิงแน่นอนครับ ส่วนเรื่องบ้านนั้น แม่ปล่อยวางเถอะครับ วันหนึ่งกฎแห่งกรรมจะมาถึงคนพวกนั้นเอง” หลังจากนี้โกวข่ายคิดว่าตนเองนั้นมีแค่แม่กับลูกเท่านั้นส่วนโจวเพ่ยชิงเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว หญิงสาวก็ทำกิจวัตรประจำวันปกติ ก่อนจะไปกินอาหารมื้อเย็นที่บ้านโจวเช่นเคย และรับลูกทั้งสองคนกลับมานอนบ้านด้วยกันเช้าวันต่อมา...โจวเพ่ยชิงยังคงปั่
ทันทีที่กลับมาจากคฤหาสน์ของนายพลอาวุโสซี โจวเพ่ยชิงรีบตรงมายังโกดัง หญิงสาวตัดสินใจเข้ามิติและดูร้านค้าที่มีอยู่ส่วนมากวัตถุดิบที่ท่านนายพลสั่งคือเนื้อสัตว์และข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงพืชผักต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบอาหาร ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนมีในห้างสรรพสินค้าทั้งนั้นปัญหาของเธอคือขับรถไม่เป็นนี่สิ แล้วเธอจะทดสอบได้อย่างไร ว่าสมรรถภาพของรถคันนี้เป็นอย่างไรเมื่อทำอะไรไม่ได้ หญิงสาวจึงมาดูด้านหลังรถ ไม่รู้เพราะว่าอุณภูมิในมิติทำให้อาหารไม่เน่าเสีย หรือเพราะความเย็นจากตู้ขนส่งของรถกันแน่“ต่อไปคงต้องหัดขับรถเองซะแล้วละมั้ง เฮ้อ…”หญิงสาวบ่นกับตัวเอง ก่อนจะรีบจัดการเอาของทุกอย่างมาเติมในโกดังและนำรถกระบะตู้แช่เย็น ออกมาจอดเรียงรายไว้ ส่วนรถยนต์โจวเพ่ยชิงรู้สึกว่าดูสมัยใหม่จนเกินไป เรื่องนี้คงต้องรบกวนนายพลอาวุโสซีจัดการให้ดีกว่าเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงเดินไปยังร้านเพ่ยเพ่ย เพื่อแจ้งข่าวเรื่องการค้ากับนายพลอาวุโสให้ตานเต๋อคงและคนอื่นรับรู้ โจวเพ่ยชิงกลับมาถึงร้าน จึงพยักหน้าให้ตานเต๋อคงเดินตามเข้ามา เธอต้องการแจ้งข่าวเรื่องทำการค้ากับนายพลอาวุโสซีให้รับรู้ และอยากถามด้วยว่
แม่หลี่ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน พอเห็นแล้วเป็นลูกสะใภ้คนรองจึงเรียกไว้ “มีอะไรหรือเพ่งชิง ทำไมไม่เข้ามาในบ้านก่อน”“ฉันเพิ่งกลับมาจากในเมืองค่ะแม่ ไปส่งเม่ยเม่ยมา เลยแวะซื้ออาหารเข้าบ้าน นี่ส่วนของบ้านหลี่ค่ะแม่” หญิงสาวหันมาตอบด้วยท่าทางนอบน้อม ต่อให้ยังไงคนตรงหน้าก็คือแม่สามีของตนเอง“ซื้อมาทำไมมันสิ้นเปลือง อีกหน่อยสองแฝดก็ต้องร่ำเรียนแล้ว เก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมลูกเถอะ”แม่หลี่แม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้นึกถึงตนเองและครอบครัว แต่ไม่วายที่จะตำหนิเรื่องการใช้เงิน เธอกลัวว่าหลานฝาแฝดทั้งสอง จะไม่ได้ร่ำเรียนเหมือนลูกหลานบ้านอื่น“ที่ผ่านมาฉันเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เคยทำตัวสมเป็นลูกสะใภ้ แม่อย่าห้ามฉันเลยนะ นี่เป็นลูกอมและขนมของเด็ก ๆ ฝากให้หลาน ด้วยนะคะ ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะแม่ ขาดเหลืออะไรแม่สามารถบอกฉันได้เสมอ อย่าลืมว่าเวลานี้ฉันยังเป็นสะใภ้รองของบ้านหลี่”แม่หลี่อดน้ำตาซึมไม่ได้ ที่ลูกสะใภ้คนนี้ปรับปรุงตัวเองไปในทิศทางที่ดี หวังว่าจะเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่เกิดกับลูกชายคนที่สาม เป็นลูกสะใภ้คนนี้ที่สืบข่าวและตักเตือนเธอจึงเอ่ยขอบคุณ“ขอบใจมากนะสะใภ้รอง ส่วนเรื่องเจ้าสามและสะ
“ไม่คิดว่านายหญิงเพ่ยเพ่ยจะอายุน้อย แต่กลับมีใจนักเลงรู้จักหลบรู้จักหลีกในเกมธุรกิจ” นายพลอาวุโสซีมองตามหลังนายหญิงเพ่ยเพ่ยแล้วพูดขึ้นมากับลูกชาย“แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่เธอทำการค้า คนครอบครัวยังไม่รู้นะครับพ่อ อีกทั้งตัวเธอเองเป็นลูกสะใภ้คนรองบ้านหลี่ ไม่รู้ว่าสามีทหารของเธอจะรู้ไหม ว่าภรรยาแอบทำการค้า”ผู้กองคล้ายกับหัวเราะเล็กน้อย คนหนึ่งเป็นทหารที่อยู่ในกฎระเบียบ คนหนึ่งเป็นนายหญิงเพ่ยเพ่ยที่แทบจะก้าวมาเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลของเมืองนี้แล้ว ผู้เป็นสามีรู้เข้าจะทำอย่างไร“เอาเถอะปิดตาไว้บ้าง ขนาดเราเองยังทำการค้าเลย พ่อถึงบอกยังไงล่ะ ว่าหญิงสาวคนนี้มีดีกว่าที่เราคิด การที่เธอปิดบังตัวตนโดยให้คนสนิทออกหน้าแทน นั่นก็เพราะความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว รวมถึงหน้าที่การงานของสามี พ่อเชื่อนะ วันหนึ่งนายหญิงเพ่ยเพ่ยคนนี้จะเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลที่สุด ไม่เพียงแค่ที่เมืองนี้เท่านั้น แต่ขยายอิทธิพลไปแทบทุกมณฑล ไม่เชื่อก็ลองดูว่ามันจะเป็นอย่างที่พ่อพูดไหม” นายพลอาวุโสซีพูดกับลูกชาย มั่นใจว่าในเวลาอีกไม่นานชื่อของนายหญิงเพ่ยเพ่ยต้องขยายอิทธิพลไปแทบทุกมณฑลผู้กองพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของผู้
เมื่อบอกเรื่องราวการค้าและตนเองเป็นใครกับครอบครัวแล้ว โจวเพ่ยชิงจึงพาพี่ชายทั้งสองและน้องสาวมาที่ตลาดมืด โดยให้ทั้งสามคนปลอมตัวเล็กน้อย เผื่อว่าจะเจอคนรู้จัก“สวัสดีครับนายหญิง” เหวินเทาเห็นว่าใครเดินเข้ามาในร้านจึงพูดทักทาย ก่อนจะมองไปยังคนที่มาด้วย“พี่เต๋อคงอยู่ที่นี่หรือเปล่า หรือว่าไปรอที่โกดังแล้ว”หญิงสาวเอ่ยถามถึงคนสนิททันที เนื่องจากวันนี้เธอและตานเต๋อคงต้องไปทำสัญญาการค้ากับนายพลอาวุโสซี“เต๋อคงไปรอนายหญิงที่โกดังแล้วครับ” เหวินเทาเอ่ยบอกตามที่ตานเต๋อคงสั่งความไว้“พี่รองกับน้องเล็กจะไปดูโกดังกับฉันไหม หรือจะอยู่ช่วยที่ร้านก่อน แต่อย่าให้ใครจำได้ล่ะ เดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องใหญ่”หญิงสาวหันมาถามพี่ชายและน้องสาว อีกทั้งกำชับว่าถ้าจะอยู่ช่วยที่ร้านก็อย่าให้ใครจับได้“พี่อยู่ช่วยที่ร้านดีกว่า เดี๋ยวพอสหกรณ์เปิดจะได้รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง มีคนสอนพี่ใช่ไหม” โจวว่านปิงขออยู่ช่วยที่ร้าน เพราะต้องการศึกษางานก่อนที่จะทำจริงในสหกรณ์ที่จะเปิดในเร็ว ๆ นี้“ฉันเองก็จะอยู่กับพี่รองที่นี่นะพี่สาม จะได้ดูสินค้าด้วย พี่ไปกับพี่ใหญ่เถอะ วันนี้มีนัดสำคัญไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวจะผิดนัดเอานะ”โจวเม่ยเม่ยอ
สองวันต่อมาตานเต๋อคงเข้ามายังหมู่บ้านในฐานะคนสนิทของนายหญิงเพ่ยเพ่ย โดยมีเหวินเทาตามมาช่วยเรื่องเอกสาร และแจ้งไปยังหัวหน้าหมู่บ้าน ว่านายหญิงเพ่ยเพ่ยต้องการรับสมัครคนงาน วันนี้จึงต้องเข้ามาเพื่อเอารายชื่อ อีกทั้งต้องการให้คนที่ได้ตำแหน่งผู้จัดการและรองผู้จัดการสหกรณ์ ไปเรียนรู้เรื่องสินค้าก่อนที่สหกรณ์จะเปิดทำการ หัวหน้าหมู่บ้านจึงประกาศเสียงตามสายเพื่อแจ้งข่าวให้ทุกคนรู้ว่า ใครที่อยากสมัครงาน ให้มารวมตัวกันในลานอเนกประสงค์ของหมู่บ้าน ชาวบ้านได้ยินต่างส่งเสียงดีใจยกใหญ่ หวังว่าลูกหลานของตนที่มีความรู้จะได้งานในครั้งนี้“เหวินเสียน รีบหน่อย เวลานี้คนของนายหญิงเพ่ยเพ่ยมาถึงหมู่บ้านแล้ว นายต้องไปสมัครงานกับพวกฉัน”โจวเทียนอี้มาลากลูกชายคนที่สามของบ้านหลี่ไปสมัครงานด้วยกัน เรื่องนี้เขาได้รับคำสั่งมาจากน้องสาวสุดที่รัก และไม่อาจทำเรื่องผิดพลาดได้“พี่เทียนอี้ พวกพี่ไปกันเถอะ ถึงผมจะจบชั้นมัธยมปลายแต่ใช่ว่าจะผ่านการทดสอบ”หลี่เหวินเสียนกำลังจะไปทำงานในคอมมูน เขาส่ายหน้าว่าตนเองไม่ต้องการไปสมัครงานที่สหกรณ์ คนในหมู่บ้านที่มีความรู้ความสามารถเยอะ คงไม่มีงานหลุดมาถึงเขาหรอก“นายอย่าดูถูกความสา
ตอนพิเศษ 7 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงหนึ่งเดือนต่อมางานมงคลสีแดงถูกจัดขึ้นอย่างประณีต ในบ้านเกิดของ โจวเม่ยเม่ยและตานเต๋อคง แม้บ้านเจ้าสาวจะไม่ได้ใช้ทำพิธีสำคัญแต่คนตระกูลโจวมีเงินทองมากมาย พวกเขาไม่ได้ประดับตกแต่งของสวยงาม หรือจัดงานใหญ่โตเพื่อโอ้อวด แต่ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อน้องสาวคนเล็กสุดที่รักดอกไม้สดสีแดงถูกสั่งมาจากทั่วทุกสารทิศ มีทั้งที่ตัดออกมาจากต้น และปลูกไว้เป็นต้น ประดับไปตามเส้นทางจากบ้านเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าวในส่วนของถนนสาธารณะ ก็ได้มีการติดต่อกับทางการเพื่อบริจาคพืชเหล่านี้หลังใช้งาน แล้วยังมีงบการดูแลพืชให้ทุกปีต่อเนื่องไปอีกสิบปี นั่นทำให้ทางการยินดีให้บ้านโจวจัดงานได้เต็มที่พืชพรรณที่ออกดอกสีแดงสด ถูกซื้อและถอนมาจากทั่วประเทศ เพื่อปลูกไว้ประดับตกแต่งในวันงานแต่งงานของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวคนสุดท้าย ตลอดทั้งเส้นทางที่ต้องส่งตัวเจ้าสาวส่วนบ้านเจ้าบ่าวนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้า แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเท่าตระกูลโจว แต่นายหญิงเพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้เอาเปรียบพวกเขาพี่น้อง ตานเต๋อคงยังมีหุ้นส่วนในหลาย ๆ ร้านค้าที่ให้กำไรดี แล้วยังทำการเก็งกำไรร้านค้าในพื้นที่หลากหลาย ตามนายหญิงกล่าวได้ว่าเขาเอ
ตอนพิเศษ 6 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกิจการร้านทั้งสามของโจวเม่ยเม่ย เมื่อมีตานเต๋อคงช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง ก็ทำให้เธอสามารถพัฒนาไปในลู่ทางของตัวเองได้มากขึ้น แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้แผนการค้าเดิม เช่นเดียวกับร้านค้าอื่น ๆ ของนายหญิงเพ่ยเพ่ยความสามารถในการบริหารของหญิงสาว ทำให้ตานเต๋อคงรู้สึกทึ่งและภาคภูมิใจ ที่คนรักของเขามีความสามารถไม่เป็นรองนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้เป็นพี่สาวเลยสถานการณ์ด้านโรงงานของโจวเพ่ยชิงที่ขยายสาขามาในเมืองปักกิ่งกลับไม่ได้ดีนัก แต่ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือการจัดการของตานเต๋อคงแย่ลง เพียงแต่เป็นเพราะมังกรต่างถิ่น ไม่อาจสู้งูดินเจ้าถิ่นได้ ทำให้เขาต้องทุ่มแรงอย่างหนัก เพื่อเอาชนะเจ้าถิ่นที่ครองตลาดเอาไว้หากเป็นการเปิดโรงงาน เปิดร้านค้าธรรมดา ก็แล้วไปเถอะ แต่ในช่วงสามเดือนระหว่างที่ตานเต๋อคงก่อตั้งร้านค้าในเครือเพ่ยเพ่ยในเมืองหลวง ทางโจวเพ่ยชิงเองก็พัฒนาขึ้น จนสามารถสร้างห้างสรรพสินค้าในเมืองหลักใกล้เคียงกับบ้านเกิดได้สำเร็จนั่นทำให้หญิงสาวตัดสินใจสร้างห้างสรรพสินค้าใหม่ในปักกิ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเป็นการขัดผลประโยชน์กับเจ้าถิ่นอย่างไม่สามารถห
ตอนพิเศษ 5 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“เม่ยเม่ย ไปไหน”เสียงเข้มเอ่ยถามน้องชายทันที เมื่อพบว่ามีเพียงตานโมว่ เดินเข้ามาในบ้าน วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียน นักศึกษาเข้าไปส่งงานหรือไม่ก็สอบเป็นวันสุดท้าย ซึ่งโจวเม่ยเม่ยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการไปมหาวิทยาลัยในวันนี้ได้“วันนี้ปิดภาคเรียน เด็ก ๆ ปีหนึ่งต้องไปกินดื่มกับพวกรุ่นพี่ในคณะสิครับ” ตานโมว่บอกกับพี่ชายถึงธรรมเนียมปฏิบัติ“แล้วนายไม่ได้ไป?”“ผมทำงาน อีกอย่างก็ไม่ได้มีสหายเยอะเหมือนเม่ยเม่ย รายนั้นเรียกได้ว่าเจ้ใหญ่ของสาขาวิชาก็ว่าได้”“...” ตานเต๋อคงไม่ประหลาดใจ เมื่อได้ยินอย่างนั้น จากความถี่ในการออกเที่ยวของโจวเม่ยเม่ย สามารถรู้ได้ว่าหญิงสาวมีสหายเยอะ หรือบางทีอาจจำกัดความได้ว่า ‘มีสหายกินดื่มเยอะ’ จะถูกกว่า“แต่เม่ยเม่ยดื่มไม่เก่ง” ตานเต๋อคงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง“หวงนักก็ตามไปเฝ้าสิครับ งานเลี้ยงวันนี้ไม่ได้เคร่งเหมือนในมหาวิทยาลัย คนนอกไปกันเยอะแยะ”“ห่วง ไม่ได้หวง” ในความเป็นจริงคือไม่มีสิทธิ์อะไรไปหวงมากกว่า“อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย เอาเถอะ ผมก็จนปัญญากับ พวกพี่แล้ว วันนี้พี่ก็ไปรับเม่ยเม่ยเองแล้วกัน ให้ผมไปสืบเรื่องงานมาให้จนเกือบตาย ผ
ตอนพิเศษ 4 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงทิวทัศน์ของปักกิ่งนั้นช่างแปลกตา แตกต่างจากบ้านเกิดของตนเองอย่างชัดเจน ทำให้สองหนุ่มผู้เพิ่งเข้ากรุงตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อรถพาแล่นมาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านแบบใหม่หลายหลัง พวกเขาก็เปลี่ยนความตื่นเต้นเป็นกังวลใจทันทีที่รถจอดและพบหน้ากัน โจวเม่ยเม่ยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ท่าทางของเธอเฉยชาอย่างประหลาด นั่นทำให้ตานเต๋อคงประหม่าจนพูดไม่ออกคงมีแค่ตานโมว่ ที่คุยกับสหายอย่างกระตือรือร้น“นี่เป็นของฝากจากนายหญิงและทุกคน ลองดูสิเม่ยเม่ย”“ขอบใจนะ อาโมว่”โจวเม่ยเม่ยเหลือบมองของขวัญ แต่บังคับสายตาไม่ให้หันไปมองคนใจร้าย หลังรับของ เธอก็หันไปพาทั้งสองคนไปด้านใน“พี่และอาโมว่เลือกห้องได้เลยนะ ที่นี่หลังใหญ่จนเกินที่ฉันจะอยู่คนเดียว นายนั่นแหละอาโมว่ ที่ไม่ยอมมากับฉันตั้งแต่แรก”โจวเม่ยเม่ยเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันมาบ่นสหายของตนเอง“จะดีเหรอ พวกเราออกไปเช่าห้องอยู่ หรือไปอยู่ที่หลังร้านก็ได้”ตานเต๋อคงเอ่ยแทรกขึ้น อย่างที่เขาได้ตัดสินใจก่อนจะมาที่นี่แต่… โอกาสของเขาดูเหมือนถูกตัดขาดอย่างรวดเร็ว เมื่อโจวเม่ยเม่ยตอบกลับและหันไปพูดกับตานโมว่สหา
ตอนพิเศษ 3 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“นี่มัน…” ตานโมว่รู้สึกพูดไม่ออก หลังจากได้ฟังคำถามของเจ้านาย ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้เพราะปัญหาความซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปหรือไม่“นายอย่าปิดบังฉันเลย นายคงเห็นแล้ว ว่าพี่เต๋อคงแปลกไปจริง ๆ เขาชอบเหม่อเวลาทำงาน ตอนอยู่ที่บ้านด้วยกัน ก็คงจะเหม่อยิ่งกว่านี้อีกใช่ไหม”เมื่อคิดตามคำพูดของพี่สาวเพ่ยเพ่ยแล้ว ตานโมว่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล แต่ปัญหาก็ คือแม้เขาจะรู้ความจริงว่าทำไมพี่ชายถึงเป็นอย่างในตอนนี้ ก็ไม่กล้าพูดออกไปอยู่ดี“ฉันแค่เป็นห่วง และสงสัยว่าพี่เต๋อคงเป็นอะไรเท่านั้น ถ้ารู้ต้นเหตุ ไม่แน่ว่าเราอาจหาทางทำอะไรแก้ไขได้ ก่อนที่จะเกิดเรื่อง”“นี่… มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ” ตานโมว่มองเจ้านายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ยิ่งทำให้เจ้าตัวสงสัยมากขึ้น แต่ไม่ใช่ความสงสัยที่ว่าตานเต๋อคงมีปัญหา แต่อาจเป็นผลมาจากเรื่องของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวของเธอเอง“หรือเป็นเพราะเม่ยเม่ยไปปักกิ่ง” โจวเพ่ยชิงพูดออกไป“นายหญิงรู้ได้ยังไง!”ไม่ต้องรอให้เขาตอบ เพียงท่าทีของตานโมว่ ก็บอกได้ทุกอย่าง โจวเพ่ยชิงได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ใช่เรื่องอื่น“ก็ไม่เชิงรู
ตอนพิเศษ 2 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกลับมาทางด้านตานเต๋อคงเวลานี้ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ใจหนึ่งก็อยากติดตามไปดูแลใครบางคนที่อยู่ในเมืองหลวง หรือไม่ ก็ติดต่อเธอไปสักเล็กน้อยแต่ทุกวันนี้เขามักจะมองเหม่อไปทางโทรศัพท์ เมื่อมันดังขึ้นก็เฝ้าหวังว่าจะเป็นสายจากคนที่คิดถึง กระนั้นชายหนุ่มกลับต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะแม้ว่าโจวเม่ยเม่ยจะติดต่อกลับมาก็เพื่อพูดคุยกับครอบครัว หรือไม่ก็สหายอย่างตานโมว่เท่านั้น ไม่ได้สนใจพี่ชายของสหายที่พ่วงด้วยฐานะผู้ช่วยคนสนิทของนายหญิงเพ่ยเพ่ยอย่างเขา ตานเต๋อคงเองก็ไม่มีหน้าพอที่จะไปขอคุยโทรศัพท์กับหญิงสาวทั้งที่ไม่มีธุระอะไรจนกระทั่งนายหญิงเพ่ยเพ่ยเรียกให้เขาเข้าพบ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมกับบอกว่ามีคนจะปรึกษาเรื่องงาน“สวัสดีครับ”เขารับโทรศัพท์มา และกลอกเสียงที่ถูกทำให้นุ่มทุ้มลดระดับหนึ่งลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ“พี่เต๋อคง ช่วยสอนงานเล็กน้อยให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ พอดีฉันกำลังจัดการปัญหาที่เจอในสาขาหนึ่งของร้านค้าในเมืองปักกิ่งอยู่ ถ้าได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่มาช่วยคงจะดีมาก”ตานเต๋อคงหัวใจกระตุกวูบ รู้ส
ตอนพิเศษ 1 โจวเม่ยเม่ย – ตานเต๋อคงหลังจากผ่านพ้นการปฏิวัติ มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงในบ้านโจว โดยเฉพาะการตัดสินใจสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของ‘โจวเม่ยเม่ย’ น้องสาวของบ้านนั่นเองการตัดสินใจครั้งนี้ของเธอ ได้รับการสนับสนุนจากทางบ้านอย่างแข็งขัน ทำให้โจวเม่ยเม่ยมีกำลังใจทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือสอบจนกระทั่งหลังออกจากห้องสอบ หญิงสาวถึงได้โล่งอก ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเธอ ทำให้ทุกคนวางใจ และไม่มีใครถามถึงเพื่อไม่เป็นการกดดันน้องสาวไม่นานหลังจากนั้น บ้านโจวก็ได้รับจดหมายตอบรับ ซึ่งข่าวเรื่องนี้มาถึงหูของโจวเพ่ยชิงก่อนที่บุรุษไปรษณีย์จะมาถึงเสียด้วยซ้ำทำให้เมื่อบุรุษไปรษณีย์มาถึง ก็พบว่ามีผู้คนมากมายออกมารอรับจดหมายอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเขาจึงได้ยื่นซองเอกสารที่ลงทะเบียนให้แก่หญิงสาวเจ้าของชื่อด้วยรอยยิ้ม“ยินดีด้วยนะ คุณหนูโจว” เมื่อแสดงความยินดีเสร็จแล้วจึงเดินหันหลังกลับไป โดยไม่ได้พูดอะไรต่อคำยินดีเป็นเพียงคำมงคลที่บุรุษไปรษณีย์มีให้เด็กนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนอยู่แล้ว แต่เสียงเฮที่ตามหลังมา ทำให้เขาอมยิ้มมากขึ้น เพราะรู้ว่าจดหมายตอบรับนั้นเป็นข่าวดี“ยินดีกับน้องด้วยนะ”
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการห้าปีต่อมา...เวลานี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น โจวเพ่ยชิงแนะนำนายพลข่ายและนายพลซีให้เลือกฝ่ายที่ถูกต้อง แม้ว่าทั้งสองจะสงสัยว่าโจวเพ่ยชิงรู้ได้อย่างไร ก็ไม่มีใครคิดที่จะถาม เมื่อเลือกฝ่ายที่ถูกต้อง ตำแหน่งหน้าที่ของทั้งสองจึงมั่นคงขึ้น นี่จึงทำให้ สายป่านของโจวเพ่ยชิงยิ่งยาวเข้าไปอีกห้าปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวมากมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น บ้านหลี่หรือบ้านโจว พี่ใหญ่โจวอย่างโจวเทียนอี้ ไม่รู้ว่าไปพบรักกับคุณหนูโม่ตอนไหน ทว่าเวลานี้ทั้งสองแต่งงานกันเรียบร้อยแล้วและพี่ใหญ่ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่นี่กับเมืองลุยจืองานทางนั้นก็มากพอตัว อีกทั้งโรงงานที่ทำร่วมกับตระกูลโม่ก็มียอดขายเข้ามาไม่น้อย ซึ่งของขวัญวันแต่งงานสำหรับพี่ชายคนนี้โจวเพ่ยชิงมอบทรัพย์สินให้ไม่น้อย รวมถึงโรงงานที่เมืองลุยจือหากพูดถึงพี่ใหญ่แล้ว จะไม่พูดถึงพี่รองอย่างโจวว่านปิงคงไม่ได้ ไม่รู้ว่าชายที่หวงตัวเองไปหลงรักเซียงเหมยได้ยังไง มารู้ข่าวอีกทีพี่รองของเธอ ก็ให้พ่อกับแม่ไปสู่ขอหญิงสาวคนนี้เสียแล้วแต่ไม่ว่าพี่ชายทั้งสองจะรักกับใคร พี่สะใภ้ของเธอจะเป็นคุณหนูหรือลูกสาวชาวบ้านธรรมดา โจ
“นายหญิงเพ่ยเพ่ย!!” หว่านซีห่าวเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาว“ขอบใจนะที่ยังจำกันได้ คุณซีห่าว”แม้จะโกรธแค้นแค่ไหน ทว่าโจวเพ่ยชิงกลับเก็บอารมณ์ได้ดี ไม่วู่วาม เพราะเธอมีเรื่องบางอย่างที่จะสอบถามหว่านซีห่าว“มีใครบ้างไม่รู้จักนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้ทรงอิทธิพลของกลุ่มการค้าเพ่ยเพ่ย ว่าแต่นายหญิงที่เข้ามาเยือนที่นี่ มีเรื่องอะไรจะสอบถามใช่หรือไม่ เพราะการกระทำของพวกเราในวันนี้ น่าจะทำให้นายหญิงต้องการเอาชีวิตพวกเรามากกว่า”“ถูกต้องแล้ว ความแค้นที่ฉันมีต่อคุณ มันมากเกินกว่าที่จะให้อภัยด้วยซ้ำ แต่ฉันมีข้อข้องใจบางอย่างที่อยากจะถาม นอกจากคุณที่แฝงตัวเข้าในทีมของพี่ฮั่นตงแล้ว ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้น พวกคุณคงไม่หนีหายและหลุดรอดออกไปได้เช่นนี้จนย้อนกลับมาทำร้ายพี่ฮั่นตงอีกครั้ง”นี่คือสิ่งที่เธออยากรู้ ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ คนสนิทอย่างตานเต๋อคงได้รายงานบางอย่าง และก็ทำให้เธอคิดได้ แล้วเลือกที่จะถามก่อนที่จะจัดการเรื่องราวทั้งหมด“สิ่งที่นายหญิงกล่าวมาก็ไม่ผิด แต่ภารกิจที่พวกเราได้รับมอบหมายมาในครั้งนี้ไม่ใช่ฮั่นตง แต่เป็นตัวของนายหญิงเพ่ยเพ่ย เองต่างหาก”หว่านซีห่าวรู้ว่าอีกฝ่ายกำ