พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านมาสองสัปดาห์ ยอดขายร้านเพ่ยเพ่ยมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลง อีกทั้งเวลานี้ตานเต๋อคงยังติดต่อทำการค้ากับร้านอาหารของรัฐอีกหลายแห่ง ทำให้แต่ละคนแทบไม่มีเวลาพัก
“เวลานี้คนงานของเราแทบจะไม่พอแล้วนะพี่เต๋อคง เราน่าจะรับคนมาเพิ่ม” โจวเพ่ยชิงดูบัญชีอยู่หลังร้านเอ่ยขึ้นมา
เธอมองว่าคนงานมีแค่นี้น่าจะไม่เพียงพอแล้ว และเธอต้องการขยายร้านค้าอีกด้วย
“ครับนายหญิง เวลานี้คนงานเราแทบไม่พอจริง ๆ”
ตานเต๋อคงเห็นด้วยกับนายหญิง เรื่องที่จะรับคนงานเพิ่ม เวลาที่เขาออกไปส่งของ ที่ร้านจะมีเพียงสามคน ซึ่งไม่เพียงพอ
และยิ่งถ้าเมื่อไหร่ลูกค้าที่มาสั่งซื้อของ แล้วให้ไปส่งสินค้าที่บ้าน หมายความว่าที่ร้านจะเหลือเพียงสองคน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดูแลร้าน เนื่องจากลูกค้าเข้ามาจำนวนมาก
“ถ้าอย่างนั้นพี่ติดป้ายรับสมัครคนงานสักสี่คน ฉันต้องการขยายร้านเพ่ยเพ่ยในกลุ่มการค้าตลาดมืด ส่วนพี่ทั้งสามคนนั้น ให้เขาดูแลและคุมร้านค้าที่จะเปิดใหม่ พี่คิดว่าอย่างไร”
หญิงสาวคล้ายจะขอความคิดเห็น เธอตั้งใจจะขยายร้านค้าในกลุ่มตลาดมืด ส่วนจะขยายไปต่างเมืองหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกครั้ง เนื่องจากตอนนี้เธอยังไม่มีรถยนต์หรือรถบรรทุกส่งของ
เวลานี้เธอเพิ่งเริ่มทำการค้าได้ไม่นาน หญิงสาวจึงไม่อยากทำอะไรที่มันเกินตัว ขอเวลาหาเส้นสายอีกสักหน่อย หากสามารถซื้อรถบรรทุกขนาดเล็กได้สักคัน เธอขยายกิจการไปเมืองอื่น
“ครับนายหญิง”
ตานเต๋อคงรับคำ จากนั้นจึงออกมาช่วยสหายทั้งสามค้าขาย ส่วนโจวเพ่ยชิงยังคงตรวจดูบัญชีต่อ
เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง โจวเพ่ยชิงแหงนมองนาฬิกาที่ติดไว้ คิดว่าเวลานี้ควรจะกลับบ้านได้แล้ว จึงคลุมหน้าคลุมตาเดินออกมาปะปนกับลูกค้าคนอื่น ซึ่งตานเต๋อคงและสหายเห็นเจ้านาย ทั้งสี่คน
ทำทีพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อไม่ให้คนสงสัย
เดินออกมาจากร้านไม่นาน โจวเพ่ยชิงก็พบคนคุ้นเคยเข้า ซึ่งก็คือป้าที่เธอช่วยไว้กับหลานชายนั่นเอง ครั้งนี้มีชายที่หน้าตาละม้ายคล้ายเด็กน้อยมาด้วย หญิงสาวมองว่าน่าจะเป็นลูกชายของป้าท่านนั้น แล้วทำไมทั้งสามถึงหอบผ้าหอบผ่อนอย่างนั้นล่ะ
หญิงสาวไม่รอช้าเดินตรงไปยังทั้งสามคนทันที
“เอ๊ะนั่น พี่สาวคนที่เราเจอวันนั้นนี่ครับย่า” เด็กน้อยเหมือนจะจำโจวเพ่ยชิงได้ จึงร้องบอกผู้เป็นย่า
หญิงวัยกลางคนนามว่าหว่ายเจียมองตามมือหลานชายที่กำลังชี้และร้องบอกอย่างดีใจ ไม่คาดคิดว่าจะพบผู้มีพระคุณอีกครั้ง
“ทำไมคุณป้ากับหลานชายถึงมานั่งอยู่ตรงนี้คะ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น หอบผ้าหอบผ่อนจะไปไหนกัน” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เกิดเรื่องกับที่บ้านและลูกชายเล็กน้อย ทำให้เวลานี้ไม่มีที่ไป เลยตั้งใจทำมาหางานทำ เผื่อว่าจะมีคนจ้างป้ากับลูกชายป้า” หว่ายเจียพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอไม่คิดเช่นกันว่าสามีจะกล้าทำเรื่องอย่างนี้กับเธอ
“แล้วเวลานี้ทุกคนไม่มีที่พักใช่ไหมคะ” โจวเพ่ยชิงถามขึ้น
“ครับ ผมกับแม่รวมถึงลูกชาย เพิ่งโดนไล่ออกจากบ้านมาวันนี้ครับ” คราวนี้เป็นโกวข่ายตอบกลับมา
สายตาและน้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่ยินยอมที่ตนและแม่ รวมถึงลูกชายต้องอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้
“พี่ชายรู้จักร้านเพ่ยเพ่ยใช่ไหม พี่ชายพาแม่และลูกชายไปรอแถวนั้นก่อน หากคิดจะทำงานจริง ๆ ฉันพอจะช่วยได้”
โจวเพ่ยชิงตัดสินใจได้ทันที ว่ายังไงต้องช่วยสามคนนี้ก่อน เวลานี้ร้านเพ่ยเพ่ยต้องการแรงงานเหมือนกัน ว่าไปแล้วเธอก็ไม่ใช่คนดีนัก แต่พอได้ประโยชน์ร่วมกัน เลยตัดสินใจช่วย
“รู้จักครับ ผมเคยเข้าตลาดมืดมาหลายครั้ง ร้านนั้นขายดีมาก” โกวข่ายตอบกลับด้วยความดีใจและคาดหวังว่าจะได้งานทำ
เขาเข้าตลาดมืดหลายครั้งและเห็นร้านนี้เพิ่งเปิดได้ไม่นานไม่คิดว่าลูกค้าจะมากมายขนาดนี้ เจ้าของร้านคงเป็นคนมีเงินไม่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นพี่ชายพาแม่และลูกชายพี่ไปรอแถวนั้น ฉันจะบอกคนดูแลให้” โจวเพ่ยเลือกที่จะไม่อธิบายอะไรมากกว่านี้ พูดจบหญิงสาวจึงเดินกลับไปที่ร้านอีกครั้ง
ตานเต๋อคงแปลกใจที่เจ้านายกลับมาที่ร้านขายอีกครั้ง เมื่อลูกค้าเริ่มซาลง จึงหลบเข้ามาหลังร้านเพื่อสอบถามนายหญิงของตน
“มีอะไรหรือเปล่าครับนายหญิง”
“พี่เต๋อคงออกไปที่หน้าร้านจะเจอป้าคนหนึ่งและลูกชายรวมถึงหลานตัวน้อย พาพวกเขาเข้ามาพบฉันที่นี่หน่อย”
หญิงสาวสั่งงานกับคนสนิททันที แล้วไปนั่งลงที่โต๊ะทำงาน
“ครับนายหญิง”
ชายหนุ่มตอบรับและเลือกที่จะไม่ถามอะไร เขารู้ดีว่าหากเรื่องไหนที่เจ้านายสั่ง ต้องมีเหตุผลเสมอ จากนั้นเขาจึงเดินออกมาหน้าร้านและมองหาคนที่นายหญิงพูดถึง
เมื่อเห็นคนทั้งสามคล้ายกับรออะไรอยู่หน้าร้าน เลยคิดว่าใช่คนที่นายหญิงต้องการพบ จึงเดินเข้ามาหาแล้วพูดกับทั้งสามคน
“เชิญครับ นายหญิงให้มาพาทั้งสามคนเข้าไปพบ”
“ป้าขอถามได้ไหม นายหญิงของพ่อหนุ่มคือหญิงสาวดวงตาสวยแต่มีผ้าปิดหน้าใช่หรือไม่” หว่ายเจียไม่มั่นใจว่าจะใช่หญิงสาวคนเดียวกับที่ให้เธอนั่งรอหน้าร้าน จึงเอ่ยถามออกมา
“ใช่ครับ แต่เข้าไปคุยกันด้านในดีกว่า ตรงนี้คนพลุกพล่านเกินไป” ตานเต๋อคงตอบ และชวนทั้งสามคนเข้ามาในร้าน เพราะไม่ต้องการให้พูดเรื่องนี้ที่นี่
หว่ายเจียหันสบตากับลูกชายคล้ายกับตัดสินใจ เมื่อทั้งสองพยักหน้าให้กันจึงเดินตามตานเต๋อคงเข้ามาในร้านทันที
“มาแล้วครับนายหญิง”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นขณะที่พาทั้งสามคนเข้ามาด้านหลังร้าน โจวเพ่ยชิงเงยหน้าขึ้นมามองและยิ้มให้คนสนิทเล็กน้อย
“พี่เต๋อคงยังไม่ต้องออกไป” โจวเพ่ยชิงบอกกับคนสนิท
“ครับนายหญิง” ตานเต๋อคงรับคำสั่งแล้วยืนอยู่ข้างๆ
“ทั้งสามคนเชิญนั่งก่อนค่ะ” โจวเพ่ยชิงผายมือที่เก้าอี้ พอเห็นทั้งสามคนนั่งแล้ว เธอจึงพูดประโยคต่อมา “ทั้งสามคนมาหางานทำใช่ไหม อยากทำงานที่นี่ไหมล่ะ”
“อยากทำครับ” โกวข่ายรีบตอบกลับมาทันที
“ตอนนี้ร้านเพ่ยเพ่ยกำลังต้องการคนงาน พี่เต๋อคงลองดูว่าพี่ชายคนนี้จะทำหน้าที่ไหนได้บ้าง ส่วนคุณป้าท่านนี้…” หญิงสาวมองหน้าหว่ายเจียเล็กน้อย เนื่องจากยังไม่รู้ชื่อนั่นเอง
“ป้าขอโทษค่ะป้าลืมแนะนำชื่อ ป้าชื่อหว่ายเจีย ลูกชายป้าชื่อโกวข่าย ส่วนเจ้าหลานชื่อกงหัวค่ะ นายหญิง” หว่ายเจียแนะนำตนเองรวมถึงลูกและหลานให้กับหญิงสาวตรงหน้าได้รับรู้
“ส่วนป้าหว่ายเจีย ฉันไม่แน่ใจว่าสามารถทำงานได้หรือไม่หรือต้องเลี้ยงหลานอยู่ที่บ้าน ด้วยฐานเงินเดือนที่เราให้ น่าจะพอให้ทั้งสามคนใช้ชีวิตกันอย่างไม่ลำบาก พี่เต๋อคงคิดว่าไง”
โจวเพ่ยชิงคิดว่าเงินเดือนแรกเริ่มที่เธอให้ น่าจะเพียงพอ ให้ทั้งสามคนใช้ชีวิตกันอย่างไม่ลำบากนัก
“ครับนายหญิง เรื่องนี้ผมจัดการให้ แล้วเรื่องที่พักล่ะครับจะให้ผมจัดการให้เลยหรือเปล่า” ตานเต๋อคงไม่มั่นใจว่าเขาต้องจัดการเรื่องที่พักให้ด้วยหรือไม่ หรือว่าทั้งสามมีที่พักอยู่แล้ว
“จัดการเช่าห้องที่เดียวกันพี่เหวินเทาและทุกคนอยู่ ค่าใช้จ่ายคิดเป็นของร้านเหมือนเดิมค่ะ” หญิงสาวตอบกลับมาและเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้จึงหันมาพูดต่อ
“พี่ดูของใช้ประจำวันและของใช้ส่วนตัวให้กับทั้งสามคนด้วยนะ หนีร้อนมาพึ่งเย็นแบบนี้ น่าจะมีอะไรติดตัวมาไม่มาก ส่วนพี่โกวข่ายและป้าหว่ายเจีย หากพบฉันนอกร้านนี้ ทำเป็นไม่รู้จักอย่างเดียว หรือไม่ คิดว่าฉันเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ใช่เจ้าของร้านที่นี่ เข้าใจไหมคะ” โจวเพ่ยชิงไม่วายกำชับเรื่องตัวตนของตนเองหลังจากพูดคุยเกี่ยวกับงานเสร็จแล้ว
“ค่ะนายหญิง” นางหว่ายเจียตอบรับน้ำเสียงสั่นเครือ
ก่อนหน้านี้ไม่นานเธอและลูกชายยังกังวลว่าคืนนี้จะไปนอนที่ไหน ไม่คิดว่าสวรรค์ยังให้โอกาสเธอและลูกพบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ช่วยเหลือ แถมยังให้งานลูกชายเธอทำงานอีกด้วย
“เดี๋ยวก่อนนะ ป้าตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นหรือเปล่า” โจวเพ่ยชิงถามขึ้นอีกเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
“เป็นค่ะนายหญิง สมัยยังสาวป้า เคยทำงานโรงงานตัดเย็บมาก่อน แต่พอสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยน โรงงานก็ปิดตัว ป้าเลยเป็นแค่แม่บ้าน” นางหว่ายเจียตอบกลับมาด้วยความคาดหวัง
“ดีค่ะ แล้วป้าพอจะหาลูกมือมาช่วยตัดเย็บได้ไหมคะ หากฉันจะเปิดร้านตัดผ้าขึ้นมา ป้าดูแลไหวไหม”
“ได้ค่ะ ป้าพอจะมีสหายที่รู้จัก อาจจะมีอายุเท่าป้า แต่เรื่องฝีมือการตัดเย็บป้ารับประกันได้” นางหว่ายเจียรีบตอบรับทันที
นางหว่ายเจียไม่คิดว่าเธอเองจะมีงานทำเช่นกัน ส่วนเรื่องหาช่างตัดเย็บมาร่วมงานด้วยไม่ใช่ปัญหา นางมีสหายหลายคนที่มีฝีมือด้านนี้และกำลังหางานทำ
“ดีค่ะ พี่เต๋อคงจัดการหาร้านค้าเปิดร้านตัดเย็บให้ด้วย ฉันจะให้เขามาส่งจักรเย็บผ้าให้ ใช้เวลากี่วันพี่”
หญิงสาวพยักหน้าพอใจก่อนจะหันมาสั่งงานคนสนิทของตน ซึ่งตานเต๋อคงตอบรับคำสั่งอย่างว่าง่าย
“ผมขอเวลาสองวันครับนายหญิง แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย นายหญิงวางใจได้”
“เอาละ เมื่อไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวกลับบ้านก่อน ป่านนี้
เจ้าตัวป่วนทั้งสองคงชะเง้อคอรอแล้ว”
เมื่อนึกถึงความแสบของลูกทั้งสองคน ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มอยู่ในแววตา จากนั้นโจวเพ่ยชิงจึงออกจากร้านและกลับเข้าหมู่บ้านเพื่อไปหาลูก ๆ
“รอตรงนี้สักครู่นะครับป้า เดี๋ยวผมจะให้คนพาไปดูหอพักส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วง พนักงานที่มีอยู่ตอนนี้นายหญิงล้วนเป็นคนหาที่พักให้ ส่วนเรื่องเงินเดือนนายหญิงให้สามสิบห้าหยวนช่วงทดลองงาน พ้นสามเดือนนายหญิงจะเพิ่มเงินเดือนให้อีก แต่นั่นอยู่ที่การทำงานเหมือนกัน ส่วนเงินเดือนของป้า ผมยังไม่มั่นใจ ต้องขอคุยกับนายหญิงอีกครั้ง ขอแนะนำตัวก่อน ผมชื่อตานเต๋อคง เป็นคนดูแลทุกอย่างแทนนายหญิงครับ”
“ขอบคุณมากครับ พี่เต๋งคง” โกวข่ายก้มหัวขอบคุณ โดยที่นางหว่ายเจียและหลานชายก็เอ่ยขอบคุณเช่นกัน
ตานเต๋อคงพยักหน้ารับแล้วจึงออกมาหน้าร้านและพูดคุยบางอย่างกับเหวินเทา ไม่นานเหวินเทาจึงพาสามคนที่ดูจะยังไม่หายตกใจ ไปยังหอพักที่เขาเช่าอยู่ และแจ้งเจ้าของว่าขอเช่าห้องเพิ่มพร้อมกับจ่ายเงินทันที
“ถ้าขาดเหลืออะไรให้บอก พี่เต๋อคงบอกว่าทุกอย่างสามารถเบิกที่ร้านได้ พรุ่งนี้นายค่อยเริ่มงานก็แล้วกัน วันนี้พักผ่อนไปก่อน ไม่ว่าจะผ่านเรื่องอะไรมา ลืมมันให้หมดและปล่อยวาง หากอยู่กับนายหญิงแล้วขอเพียงอย่างเดียว อย่าทรยศหรือหักหลัง และเรื่องตัวตนของนายหญิง อย่าบอกให้ใครรู้ เข้าใจใช่ไหม”
เหวินเทาไม่รู้หรอกว่าสามคนเจออะไรมาบ้าง แต่เมื่อได้มาอยู่กับนายหญิงเพ่ยเพ่ย เขาเชื่อว่าไม่มีทางอดตาย
“ครับ” โกวข่ายยังดูไม่หายมึนงง แต่ก็ตอบรับโดยดี
โกวข่ายเลือกที่จะปล่อยวางกับเรื่องที่พบเจอมา ชายหนุ่มคิดว่าเขาและแม่กำลังจะมีอนาคตที่ดีแล้ว อย่าไปจมปลักหรือคิดถึงคนพวกนั้นอีกเลย เวลานี้ควรเริ่มต้นชีวิตใหม่และทำมันให้ดีขึ้นใน
ทุก ๆ วันจะดีกว่า
ทันทีที่เหวินเทาเดินออกมา ทั้งสามกอดกันตัวกลมด้วยความดีใจ ที่เวลานี้รอดตายจากสถานการณ์ที่ย่ำแย่แล้ว“อาข่าย ตั้งใจทำงานให้ดีนะลูก นายหญิงดีกับเราขนาดนี้อย่าทำอะไรให้นายหญิงเดือดร้อนเด็ดขาดนะ อีกหน่อยพวกเราก็เก็บเงินส่งอาหัวเล่าเรียนได้เหมือนเด็กคนอื่นแล้ว”นางหว่ายเจียพูดกับลูกชาย เธอไม่คิดเหมือนกันว่าหญิงสาวในวันนั้น จะเป็นผู้มีพระคุณของเธอในวันนี้อีกครั้ง ไม่เพียงลูกชายได้ทำงาน หญิงแก่เช่นเธอก็มีงานให้ทำเหมือนกัน“ครับแม่ ผมสัญญาว่าจะตั้งใจทำงาน จะเก็บเงินเพื่อให้พวกเราสบาย แล้วจะไม่หักหลังหรือคิดร้ายต่อนายหญิงเด็ดขาด”“ดีแล้วลูก เราต้องรู้จักบุญคุณคน” นางบอกสอนลูกชายห้“ครับ ถึงผมไม่รู้ว่านายหญิงเป็นใคร แต่เธอคือผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา ผมจะตอบแทนบุญคุณนายหญิงแน่นอนครับ ส่วนเรื่องบ้านนั้น แม่ปล่อยวางเถอะครับ วันหนึ่งกฎแห่งกรรมจะมาถึงคนพวกนั้นเอง” หลังจากนี้โกวข่ายคิดว่าตนเองนั้นมีแค่แม่กับลูกเท่านั้นส่วนโจวเพ่ยชิงเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว หญิงสาวก็ทำกิจวัตรประจำวันปกติ ก่อนจะไปกินอาหารมื้อเย็นที่บ้านโจวเช่นเคย และรับลูกทั้งสองคนกลับมานอนบ้านด้วยกันเช้าวันต่อมา...โจวเพ่ยชิงยังคงปั่
ทันทีที่กลับมาจากคฤหาสน์ของนายพลอาวุโสซี โจวเพ่ยชิงรีบตรงมายังโกดัง หญิงสาวตัดสินใจเข้ามิติและดูร้านค้าที่มีอยู่ส่วนมากวัตถุดิบที่ท่านนายพลสั่งคือเนื้อสัตว์และข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงพืชผักต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบอาหาร ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนมีในห้างสรรพสินค้าทั้งนั้นปัญหาของเธอคือขับรถไม่เป็นนี่สิ แล้วเธอจะทดสอบได้อย่างไร ว่าสมรรถภาพของรถคันนี้เป็นอย่างไรเมื่อทำอะไรไม่ได้ หญิงสาวจึงมาดูด้านหลังรถ ไม่รู้เพราะว่าอุณภูมิในมิติทำให้อาหารไม่เน่าเสีย หรือเพราะความเย็นจากตู้ขนส่งของรถกันแน่“ต่อไปคงต้องหัดขับรถเองซะแล้วละมั้ง เฮ้อ…”หญิงสาวบ่นกับตัวเอง ก่อนจะรีบจัดการเอาของทุกอย่างมาเติมในโกดังและนำรถกระบะตู้แช่เย็น ออกมาจอดเรียงรายไว้ ส่วนรถยนต์โจวเพ่ยชิงรู้สึกว่าดูสมัยใหม่จนเกินไป เรื่องนี้คงต้องรบกวนนายพลอาวุโสซีจัดการให้ดีกว่าเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงเดินไปยังร้านเพ่ยเพ่ย เพื่อแจ้งข่าวเรื่องการค้ากับนายพลอาวุโสให้ตานเต๋อคงและคนอื่นรับรู้ โจวเพ่ยชิงกลับมาถึงร้าน จึงพยักหน้าให้ตานเต๋อคงเดินตามเข้ามา เธอต้องการแจ้งข่าวเรื่องทำการค้ากับนายพลอาวุโสซีให้รับรู้ และอยากถามด้วยว่
แม่หลี่ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน พอเห็นแล้วเป็นลูกสะใภ้คนรองจึงเรียกไว้ “มีอะไรหรือเพ่งชิง ทำไมไม่เข้ามาในบ้านก่อน”“ฉันเพิ่งกลับมาจากในเมืองค่ะแม่ ไปส่งเม่ยเม่ยมา เลยแวะซื้ออาหารเข้าบ้าน นี่ส่วนของบ้านหลี่ค่ะแม่” หญิงสาวหันมาตอบด้วยท่าทางนอบน้อม ต่อให้ยังไงคนตรงหน้าก็คือแม่สามีของตนเอง“ซื้อมาทำไมมันสิ้นเปลือง อีกหน่อยสองแฝดก็ต้องร่ำเรียนแล้ว เก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมลูกเถอะ”แม่หลี่แม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้นึกถึงตนเองและครอบครัว แต่ไม่วายที่จะตำหนิเรื่องการใช้เงิน เธอกลัวว่าหลานฝาแฝดทั้งสอง จะไม่ได้ร่ำเรียนเหมือนลูกหลานบ้านอื่น“ที่ผ่านมาฉันเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เคยทำตัวสมเป็นลูกสะใภ้ แม่อย่าห้ามฉันเลยนะ นี่เป็นลูกอมและขนมของเด็ก ๆ ฝากให้หลาน ด้วยนะคะ ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะแม่ ขาดเหลืออะไรแม่สามารถบอกฉันได้เสมอ อย่าลืมว่าเวลานี้ฉันยังเป็นสะใภ้รองของบ้านหลี่”แม่หลี่อดน้ำตาซึมไม่ได้ ที่ลูกสะใภ้คนนี้ปรับปรุงตัวเองไปในทิศทางที่ดี หวังว่าจะเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่เกิดกับลูกชายคนที่สาม เป็นลูกสะใภ้คนนี้ที่สืบข่าวและตักเตือนเธอจึงเอ่ยขอบคุณ“ขอบใจมากนะสะใภ้รอง ส่วนเรื่องเจ้าสามและสะ
“ไม่คิดว่านายหญิงเพ่ยเพ่ยจะอายุน้อย แต่กลับมีใจนักเลงรู้จักหลบรู้จักหลีกในเกมธุรกิจ” นายพลอาวุโสซีมองตามหลังนายหญิงเพ่ยเพ่ยแล้วพูดขึ้นมากับลูกชาย“แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่เธอทำการค้า คนครอบครัวยังไม่รู้นะครับพ่อ อีกทั้งตัวเธอเองเป็นลูกสะใภ้คนรองบ้านหลี่ ไม่รู้ว่าสามีทหารของเธอจะรู้ไหม ว่าภรรยาแอบทำการค้า”ผู้กองคล้ายกับหัวเราะเล็กน้อย คนหนึ่งเป็นทหารที่อยู่ในกฎระเบียบ คนหนึ่งเป็นนายหญิงเพ่ยเพ่ยที่แทบจะก้าวมาเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลของเมืองนี้แล้ว ผู้เป็นสามีรู้เข้าจะทำอย่างไร“เอาเถอะปิดตาไว้บ้าง ขนาดเราเองยังทำการค้าเลย พ่อถึงบอกยังไงล่ะ ว่าหญิงสาวคนนี้มีดีกว่าที่เราคิด การที่เธอปิดบังตัวตนโดยให้คนสนิทออกหน้าแทน นั่นก็เพราะความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว รวมถึงหน้าที่การงานของสามี พ่อเชื่อนะ วันหนึ่งนายหญิงเพ่ยเพ่ยคนนี้จะเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลที่สุด ไม่เพียงแค่ที่เมืองนี้เท่านั้น แต่ขยายอิทธิพลไปแทบทุกมณฑล ไม่เชื่อก็ลองดูว่ามันจะเป็นอย่างที่พ่อพูดไหม” นายพลอาวุโสซีพูดกับลูกชาย มั่นใจว่าในเวลาอีกไม่นานชื่อของนายหญิงเพ่ยเพ่ยต้องขยายอิทธิพลไปแทบทุกมณฑลผู้กองพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของผู้
เมื่อบอกเรื่องราวการค้าและตนเองเป็นใครกับครอบครัวแล้ว โจวเพ่ยชิงจึงพาพี่ชายทั้งสองและน้องสาวมาที่ตลาดมืด โดยให้ทั้งสามคนปลอมตัวเล็กน้อย เผื่อว่าจะเจอคนรู้จัก“สวัสดีครับนายหญิง” เหวินเทาเห็นว่าใครเดินเข้ามาในร้านจึงพูดทักทาย ก่อนจะมองไปยังคนที่มาด้วย“พี่เต๋อคงอยู่ที่นี่หรือเปล่า หรือว่าไปรอที่โกดังแล้ว”หญิงสาวเอ่ยถามถึงคนสนิททันที เนื่องจากวันนี้เธอและตานเต๋อคงต้องไปทำสัญญาการค้ากับนายพลอาวุโสซี“เต๋อคงไปรอนายหญิงที่โกดังแล้วครับ” เหวินเทาเอ่ยบอกตามที่ตานเต๋อคงสั่งความไว้“พี่รองกับน้องเล็กจะไปดูโกดังกับฉันไหม หรือจะอยู่ช่วยที่ร้านก่อน แต่อย่าให้ใครจำได้ล่ะ เดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องใหญ่”หญิงสาวหันมาถามพี่ชายและน้องสาว อีกทั้งกำชับว่าถ้าจะอยู่ช่วยที่ร้านก็อย่าให้ใครจับได้“พี่อยู่ช่วยที่ร้านดีกว่า เดี๋ยวพอสหกรณ์เปิดจะได้รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง มีคนสอนพี่ใช่ไหม” โจวว่านปิงขออยู่ช่วยที่ร้าน เพราะต้องการศึกษางานก่อนที่จะทำจริงในสหกรณ์ที่จะเปิดในเร็ว ๆ นี้“ฉันเองก็จะอยู่กับพี่รองที่นี่นะพี่สาม จะได้ดูสินค้าด้วย พี่ไปกับพี่ใหญ่เถอะ วันนี้มีนัดสำคัญไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวจะผิดนัดเอานะ”โจวเม่ยเม่ยอ
สองวันต่อมาตานเต๋อคงเข้ามายังหมู่บ้านในฐานะคนสนิทของนายหญิงเพ่ยเพ่ย โดยมีเหวินเทาตามมาช่วยเรื่องเอกสาร และแจ้งไปยังหัวหน้าหมู่บ้าน ว่านายหญิงเพ่ยเพ่ยต้องการรับสมัครคนงาน วันนี้จึงต้องเข้ามาเพื่อเอารายชื่อ อีกทั้งต้องการให้คนที่ได้ตำแหน่งผู้จัดการและรองผู้จัดการสหกรณ์ ไปเรียนรู้เรื่องสินค้าก่อนที่สหกรณ์จะเปิดทำการ หัวหน้าหมู่บ้านจึงประกาศเสียงตามสายเพื่อแจ้งข่าวให้ทุกคนรู้ว่า ใครที่อยากสมัครงาน ให้มารวมตัวกันในลานอเนกประสงค์ของหมู่บ้าน ชาวบ้านได้ยินต่างส่งเสียงดีใจยกใหญ่ หวังว่าลูกหลานของตนที่มีความรู้จะได้งานในครั้งนี้“เหวินเสียน รีบหน่อย เวลานี้คนของนายหญิงเพ่ยเพ่ยมาถึงหมู่บ้านแล้ว นายต้องไปสมัครงานกับพวกฉัน”โจวเทียนอี้มาลากลูกชายคนที่สามของบ้านหลี่ไปสมัครงานด้วยกัน เรื่องนี้เขาได้รับคำสั่งมาจากน้องสาวสุดที่รัก และไม่อาจทำเรื่องผิดพลาดได้“พี่เทียนอี้ พวกพี่ไปกันเถอะ ถึงผมจะจบชั้นมัธยมปลายแต่ใช่ว่าจะผ่านการทดสอบ”หลี่เหวินเสียนกำลังจะไปทำงานในคอมมูน เขาส่ายหน้าว่าตนเองไม่ต้องการไปสมัครงานที่สหกรณ์ คนในหมู่บ้านที่มีความรู้ความสามารถเยอะ คงไม่มีงานหลุดมาถึงเขาหรอก“นายอย่าดูถูกความสา
ช่วงบ่ายบ้านหลี่ต่างดีใจจนยิ้มไม่หุบ เมื่อรู้ว่าหลี่เหวินเสียนได้งานทำและยังมีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้จัดการ แม่หลี่จึงให้สะใภ้ใหญ่ไปหาซื้ออาหารเพื่อทำการเลี้ยงฉลองให้กับลูกชาย ทว่าโจวเพ่ยชิงสะใภ้รองของบ้านเดินเข้ามาพอดี“พี่สะใภ้จะไปไหนคะแม่” พอเห็นว่าพี่สะใภ้เก็บเงินเข้ากระเป๋า และกำลังจะเดินออกจากบ้านจึงเอ่ยถามแม่สามี“แม่จะให้สะใภ้ใหญ่ไปหาซื้อเนื้อและอาหารเพื่อมาเลี้ยงฉลองให้กับอาเสียนเย็นนี้ มีอะไรหรือเปล่าสะใภ้รอง” แม่หลี่ตอบกลับและเอ่ยถามลูกสะใภ้คนรอง โดยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ“ฉันเอาเนื้อและวัตถุดิบอาหารมาให้ค่ะ พอดีว่าพ่อให้ไปซื้ออาหารมาเลี้ยงฉลองให้กับพี่ใหญ่และพี่รอง ฉันเลยซื้อมาเผื่อ แม่รับไว้เถอะนะ” หญิงสาวตอบกลับแม่สามี พร้อมกับยื่นตะกร้าที่มีอาหารไปให้“สิ้นเปลืองเงินตัวเองได้อย่างไร ทำไมฉันสอนไม่รู้จักจำ มีเงินน่ะเก็บไว้บ้างเถอะ เจ้ารองต้องทำงานเสี่ยงอันตราย เพื่อส่งเงินกลับมาให้หล่อน ว่าแต่หล่อนส่งจดหมายไปบอกเจ้ารองหรือยังว่าตัวเองบาดเจ็บ” แม่หลี่พึงพอใจที่ลูกสะใภ้คนรองนำอาหารมาให้ ทว่าเมื่อคิดถึงเงินที่ต้องจ่ายไป ไม่วายที่จะบ่นออกมา“ไม่ได้เขียนไปบอกค่ะแม่ แค่เคยซื้
“เพ่ยชิง เดี๋ยวก่อนลูก”เมื่อได้ยินเสียงแม่เรียกจึงหันกลับมา พอเห็นแววตาที่ดูมีความกังวลของผู้เป็นแม่ เลยเข้าใจความหมาย“แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะคุยกับพี่ฮั่นตงเอง ผลสรุปออกมาอย่างไร ฉันจะส่งข่าวให้แม่รู้คนแรก หากฉันหย่ากับสามีแล้วแม่และบ้านโจวยินดีรับเลี้ยงลูกและหลานหรือเปล่าคะ”“นี่แน่ะ เวลานี้ลูกต่างหากที่ดูแลทุกคน ยังมาพูดจาทะเล้นอีก ใจแม่หวังให้ลูกและลูกเขยปรองดองและรักใคร่กันนะ คุยกันดี ๆ ก่อนนะลูก แต่ถ้าไม่สบายใจที่จะอยู่ร่วมกันอีกแล้ว ก็กลับมาบ้านเรานะ ทุกคนรักและสนับสนุนความคิดของลูกเสมอ”นางซูหนานเอ่ยให้กำลังใจลูกเลี้ยง และบอกว่าบ้านนี้ยังคงต้อนรับโจวเพ่ยชิงและหลาน ๆ เสมอ“ค่ะแม่ ฉันไปก่อนนะ” หญิงสาวส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะรีบเดินตามลูกทั้งสองคนไป เวลานี้สองแฝดน่าจะถึงบ้านแล้ว“พ่อ!!” หลี่รุ่ยเฉินและหลี่ซานซานวิ่งกลับบ้าน พอเข้าบ้านได้จึงตะโกนสุดเสียงร้องเรียกหาพ่อหลี่ฮั่นตงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว จึงรีบออกมาทันทีเมื่อรับรู้ว่าลูกทั้งสองกลับมาถึงแล้ว“อาเฉิน ซานซาน กลับมาแล้วเหรอ มาให้พ่อกอดหน่อย”ชายหนุ่มทักทายลูกทั้งสองช่วยรอยยิ้มที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนแม้กระทั่
ตอนพิเศษ 7 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงหนึ่งเดือนต่อมางานมงคลสีแดงถูกจัดขึ้นอย่างประณีต ในบ้านเกิดของ โจวเม่ยเม่ยและตานเต๋อคง แม้บ้านเจ้าสาวจะไม่ได้ใช้ทำพิธีสำคัญแต่คนตระกูลโจวมีเงินทองมากมาย พวกเขาไม่ได้ประดับตกแต่งของสวยงาม หรือจัดงานใหญ่โตเพื่อโอ้อวด แต่ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อน้องสาวคนเล็กสุดที่รักดอกไม้สดสีแดงถูกสั่งมาจากทั่วทุกสารทิศ มีทั้งที่ตัดออกมาจากต้น และปลูกไว้เป็นต้น ประดับไปตามเส้นทางจากบ้านเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าวในส่วนของถนนสาธารณะ ก็ได้มีการติดต่อกับทางการเพื่อบริจาคพืชเหล่านี้หลังใช้งาน แล้วยังมีงบการดูแลพืชให้ทุกปีต่อเนื่องไปอีกสิบปี นั่นทำให้ทางการยินดีให้บ้านโจวจัดงานได้เต็มที่พืชพรรณที่ออกดอกสีแดงสด ถูกซื้อและถอนมาจากทั่วประเทศ เพื่อปลูกไว้ประดับตกแต่งในวันงานแต่งงานของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวคนสุดท้าย ตลอดทั้งเส้นทางที่ต้องส่งตัวเจ้าสาวส่วนบ้านเจ้าบ่าวนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้า แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเท่าตระกูลโจว แต่นายหญิงเพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้เอาเปรียบพวกเขาพี่น้อง ตานเต๋อคงยังมีหุ้นส่วนในหลาย ๆ ร้านค้าที่ให้กำไรดี แล้วยังทำการเก็งกำไรร้านค้าในพื้นที่หลากหลาย ตามนายหญิงกล่าวได้ว่าเขาเอ
ตอนพิเศษ 6 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกิจการร้านทั้งสามของโจวเม่ยเม่ย เมื่อมีตานเต๋อคงช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง ก็ทำให้เธอสามารถพัฒนาไปในลู่ทางของตัวเองได้มากขึ้น แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้แผนการค้าเดิม เช่นเดียวกับร้านค้าอื่น ๆ ของนายหญิงเพ่ยเพ่ยความสามารถในการบริหารของหญิงสาว ทำให้ตานเต๋อคงรู้สึกทึ่งและภาคภูมิใจ ที่คนรักของเขามีความสามารถไม่เป็นรองนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้เป็นพี่สาวเลยสถานการณ์ด้านโรงงานของโจวเพ่ยชิงที่ขยายสาขามาในเมืองปักกิ่งกลับไม่ได้ดีนัก แต่ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือการจัดการของตานเต๋อคงแย่ลง เพียงแต่เป็นเพราะมังกรต่างถิ่น ไม่อาจสู้งูดินเจ้าถิ่นได้ ทำให้เขาต้องทุ่มแรงอย่างหนัก เพื่อเอาชนะเจ้าถิ่นที่ครองตลาดเอาไว้หากเป็นการเปิดโรงงาน เปิดร้านค้าธรรมดา ก็แล้วไปเถอะ แต่ในช่วงสามเดือนระหว่างที่ตานเต๋อคงก่อตั้งร้านค้าในเครือเพ่ยเพ่ยในเมืองหลวง ทางโจวเพ่ยชิงเองก็พัฒนาขึ้น จนสามารถสร้างห้างสรรพสินค้าในเมืองหลักใกล้เคียงกับบ้านเกิดได้สำเร็จนั่นทำให้หญิงสาวตัดสินใจสร้างห้างสรรพสินค้าใหม่ในปักกิ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเป็นการขัดผลประโยชน์กับเจ้าถิ่นอย่างไม่สามารถห
ตอนพิเศษ 5 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“เม่ยเม่ย ไปไหน”เสียงเข้มเอ่ยถามน้องชายทันที เมื่อพบว่ามีเพียงตานโมว่ เดินเข้ามาในบ้าน วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียน นักศึกษาเข้าไปส่งงานหรือไม่ก็สอบเป็นวันสุดท้าย ซึ่งโจวเม่ยเม่ยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการไปมหาวิทยาลัยในวันนี้ได้“วันนี้ปิดภาคเรียน เด็ก ๆ ปีหนึ่งต้องไปกินดื่มกับพวกรุ่นพี่ในคณะสิครับ” ตานโมว่บอกกับพี่ชายถึงธรรมเนียมปฏิบัติ“แล้วนายไม่ได้ไป?”“ผมทำงาน อีกอย่างก็ไม่ได้มีสหายเยอะเหมือนเม่ยเม่ย รายนั้นเรียกได้ว่าเจ้ใหญ่ของสาขาวิชาก็ว่าได้”“...” ตานเต๋อคงไม่ประหลาดใจ เมื่อได้ยินอย่างนั้น จากความถี่ในการออกเที่ยวของโจวเม่ยเม่ย สามารถรู้ได้ว่าหญิงสาวมีสหายเยอะ หรือบางทีอาจจำกัดความได้ว่า ‘มีสหายกินดื่มเยอะ’ จะถูกกว่า“แต่เม่ยเม่ยดื่มไม่เก่ง” ตานเต๋อคงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง“หวงนักก็ตามไปเฝ้าสิครับ งานเลี้ยงวันนี้ไม่ได้เคร่งเหมือนในมหาวิทยาลัย คนนอกไปกันเยอะแยะ”“ห่วง ไม่ได้หวง” ในความเป็นจริงคือไม่มีสิทธิ์อะไรไปหวงมากกว่า“อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย เอาเถอะ ผมก็จนปัญญากับ พวกพี่แล้ว วันนี้พี่ก็ไปรับเม่ยเม่ยเองแล้วกัน ให้ผมไปสืบเรื่องงานมาให้จนเกือบตาย ผ
ตอนพิเศษ 4 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงทิวทัศน์ของปักกิ่งนั้นช่างแปลกตา แตกต่างจากบ้านเกิดของตนเองอย่างชัดเจน ทำให้สองหนุ่มผู้เพิ่งเข้ากรุงตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อรถพาแล่นมาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านแบบใหม่หลายหลัง พวกเขาก็เปลี่ยนความตื่นเต้นเป็นกังวลใจทันทีที่รถจอดและพบหน้ากัน โจวเม่ยเม่ยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ท่าทางของเธอเฉยชาอย่างประหลาด นั่นทำให้ตานเต๋อคงประหม่าจนพูดไม่ออกคงมีแค่ตานโมว่ ที่คุยกับสหายอย่างกระตือรือร้น“นี่เป็นของฝากจากนายหญิงและทุกคน ลองดูสิเม่ยเม่ย”“ขอบใจนะ อาโมว่”โจวเม่ยเม่ยเหลือบมองของขวัญ แต่บังคับสายตาไม่ให้หันไปมองคนใจร้าย หลังรับของ เธอก็หันไปพาทั้งสองคนไปด้านใน“พี่และอาโมว่เลือกห้องได้เลยนะ ที่นี่หลังใหญ่จนเกินที่ฉันจะอยู่คนเดียว นายนั่นแหละอาโมว่ ที่ไม่ยอมมากับฉันตั้งแต่แรก”โจวเม่ยเม่ยเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันมาบ่นสหายของตนเอง“จะดีเหรอ พวกเราออกไปเช่าห้องอยู่ หรือไปอยู่ที่หลังร้านก็ได้”ตานเต๋อคงเอ่ยแทรกขึ้น อย่างที่เขาได้ตัดสินใจก่อนจะมาที่นี่แต่… โอกาสของเขาดูเหมือนถูกตัดขาดอย่างรวดเร็ว เมื่อโจวเม่ยเม่ยตอบกลับและหันไปพูดกับตานโมว่สหา
ตอนพิเศษ 3 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“นี่มัน…” ตานโมว่รู้สึกพูดไม่ออก หลังจากได้ฟังคำถามของเจ้านาย ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้เพราะปัญหาความซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปหรือไม่“นายอย่าปิดบังฉันเลย นายคงเห็นแล้ว ว่าพี่เต๋อคงแปลกไปจริง ๆ เขาชอบเหม่อเวลาทำงาน ตอนอยู่ที่บ้านด้วยกัน ก็คงจะเหม่อยิ่งกว่านี้อีกใช่ไหม”เมื่อคิดตามคำพูดของพี่สาวเพ่ยเพ่ยแล้ว ตานโมว่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล แต่ปัญหาก็ คือแม้เขาจะรู้ความจริงว่าทำไมพี่ชายถึงเป็นอย่างในตอนนี้ ก็ไม่กล้าพูดออกไปอยู่ดี“ฉันแค่เป็นห่วง และสงสัยว่าพี่เต๋อคงเป็นอะไรเท่านั้น ถ้ารู้ต้นเหตุ ไม่แน่ว่าเราอาจหาทางทำอะไรแก้ไขได้ ก่อนที่จะเกิดเรื่อง”“นี่… มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ” ตานโมว่มองเจ้านายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ยิ่งทำให้เจ้าตัวสงสัยมากขึ้น แต่ไม่ใช่ความสงสัยที่ว่าตานเต๋อคงมีปัญหา แต่อาจเป็นผลมาจากเรื่องของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวของเธอเอง“หรือเป็นเพราะเม่ยเม่ยไปปักกิ่ง” โจวเพ่ยชิงพูดออกไป“นายหญิงรู้ได้ยังไง!”ไม่ต้องรอให้เขาตอบ เพียงท่าทีของตานโมว่ ก็บอกได้ทุกอย่าง โจวเพ่ยชิงได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ใช่เรื่องอื่น“ก็ไม่เชิงรู
ตอนพิเศษ 2 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกลับมาทางด้านตานเต๋อคงเวลานี้ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ใจหนึ่งก็อยากติดตามไปดูแลใครบางคนที่อยู่ในเมืองหลวง หรือไม่ ก็ติดต่อเธอไปสักเล็กน้อยแต่ทุกวันนี้เขามักจะมองเหม่อไปทางโทรศัพท์ เมื่อมันดังขึ้นก็เฝ้าหวังว่าจะเป็นสายจากคนที่คิดถึง กระนั้นชายหนุ่มกลับต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะแม้ว่าโจวเม่ยเม่ยจะติดต่อกลับมาก็เพื่อพูดคุยกับครอบครัว หรือไม่ก็สหายอย่างตานโมว่เท่านั้น ไม่ได้สนใจพี่ชายของสหายที่พ่วงด้วยฐานะผู้ช่วยคนสนิทของนายหญิงเพ่ยเพ่ยอย่างเขา ตานเต๋อคงเองก็ไม่มีหน้าพอที่จะไปขอคุยโทรศัพท์กับหญิงสาวทั้งที่ไม่มีธุระอะไรจนกระทั่งนายหญิงเพ่ยเพ่ยเรียกให้เขาเข้าพบ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมกับบอกว่ามีคนจะปรึกษาเรื่องงาน“สวัสดีครับ”เขารับโทรศัพท์มา และกลอกเสียงที่ถูกทำให้นุ่มทุ้มลดระดับหนึ่งลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ“พี่เต๋อคง ช่วยสอนงานเล็กน้อยให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ พอดีฉันกำลังจัดการปัญหาที่เจอในสาขาหนึ่งของร้านค้าในเมืองปักกิ่งอยู่ ถ้าได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่มาช่วยคงจะดีมาก”ตานเต๋อคงหัวใจกระตุกวูบ รู้ส
ตอนพิเศษ 1 โจวเม่ยเม่ย – ตานเต๋อคงหลังจากผ่านพ้นการปฏิวัติ มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงในบ้านโจว โดยเฉพาะการตัดสินใจสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของ‘โจวเม่ยเม่ย’ น้องสาวของบ้านนั่นเองการตัดสินใจครั้งนี้ของเธอ ได้รับการสนับสนุนจากทางบ้านอย่างแข็งขัน ทำให้โจวเม่ยเม่ยมีกำลังใจทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือสอบจนกระทั่งหลังออกจากห้องสอบ หญิงสาวถึงได้โล่งอก ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเธอ ทำให้ทุกคนวางใจ และไม่มีใครถามถึงเพื่อไม่เป็นการกดดันน้องสาวไม่นานหลังจากนั้น บ้านโจวก็ได้รับจดหมายตอบรับ ซึ่งข่าวเรื่องนี้มาถึงหูของโจวเพ่ยชิงก่อนที่บุรุษไปรษณีย์จะมาถึงเสียด้วยซ้ำทำให้เมื่อบุรุษไปรษณีย์มาถึง ก็พบว่ามีผู้คนมากมายออกมารอรับจดหมายอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเขาจึงได้ยื่นซองเอกสารที่ลงทะเบียนให้แก่หญิงสาวเจ้าของชื่อด้วยรอยยิ้ม“ยินดีด้วยนะ คุณหนูโจว” เมื่อแสดงความยินดีเสร็จแล้วจึงเดินหันหลังกลับไป โดยไม่ได้พูดอะไรต่อคำยินดีเป็นเพียงคำมงคลที่บุรุษไปรษณีย์มีให้เด็กนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนอยู่แล้ว แต่เสียงเฮที่ตามหลังมา ทำให้เขาอมยิ้มมากขึ้น เพราะรู้ว่าจดหมายตอบรับนั้นเป็นข่าวดี“ยินดีกับน้องด้วยนะ”
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการห้าปีต่อมา...เวลานี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น โจวเพ่ยชิงแนะนำนายพลข่ายและนายพลซีให้เลือกฝ่ายที่ถูกต้อง แม้ว่าทั้งสองจะสงสัยว่าโจวเพ่ยชิงรู้ได้อย่างไร ก็ไม่มีใครคิดที่จะถาม เมื่อเลือกฝ่ายที่ถูกต้อง ตำแหน่งหน้าที่ของทั้งสองจึงมั่นคงขึ้น นี่จึงทำให้ สายป่านของโจวเพ่ยชิงยิ่งยาวเข้าไปอีกห้าปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวมากมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น บ้านหลี่หรือบ้านโจว พี่ใหญ่โจวอย่างโจวเทียนอี้ ไม่รู้ว่าไปพบรักกับคุณหนูโม่ตอนไหน ทว่าเวลานี้ทั้งสองแต่งงานกันเรียบร้อยแล้วและพี่ใหญ่ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่นี่กับเมืองลุยจืองานทางนั้นก็มากพอตัว อีกทั้งโรงงานที่ทำร่วมกับตระกูลโม่ก็มียอดขายเข้ามาไม่น้อย ซึ่งของขวัญวันแต่งงานสำหรับพี่ชายคนนี้โจวเพ่ยชิงมอบทรัพย์สินให้ไม่น้อย รวมถึงโรงงานที่เมืองลุยจือหากพูดถึงพี่ใหญ่แล้ว จะไม่พูดถึงพี่รองอย่างโจวว่านปิงคงไม่ได้ ไม่รู้ว่าชายที่หวงตัวเองไปหลงรักเซียงเหมยได้ยังไง มารู้ข่าวอีกทีพี่รองของเธอ ก็ให้พ่อกับแม่ไปสู่ขอหญิงสาวคนนี้เสียแล้วแต่ไม่ว่าพี่ชายทั้งสองจะรักกับใคร พี่สะใภ้ของเธอจะเป็นคุณหนูหรือลูกสาวชาวบ้านธรรมดา โจ
“นายหญิงเพ่ยเพ่ย!!” หว่านซีห่าวเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาว“ขอบใจนะที่ยังจำกันได้ คุณซีห่าว”แม้จะโกรธแค้นแค่ไหน ทว่าโจวเพ่ยชิงกลับเก็บอารมณ์ได้ดี ไม่วู่วาม เพราะเธอมีเรื่องบางอย่างที่จะสอบถามหว่านซีห่าว“มีใครบ้างไม่รู้จักนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้ทรงอิทธิพลของกลุ่มการค้าเพ่ยเพ่ย ว่าแต่นายหญิงที่เข้ามาเยือนที่นี่ มีเรื่องอะไรจะสอบถามใช่หรือไม่ เพราะการกระทำของพวกเราในวันนี้ น่าจะทำให้นายหญิงต้องการเอาชีวิตพวกเรามากกว่า”“ถูกต้องแล้ว ความแค้นที่ฉันมีต่อคุณ มันมากเกินกว่าที่จะให้อภัยด้วยซ้ำ แต่ฉันมีข้อข้องใจบางอย่างที่อยากจะถาม นอกจากคุณที่แฝงตัวเข้าในทีมของพี่ฮั่นตงแล้ว ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้น พวกคุณคงไม่หนีหายและหลุดรอดออกไปได้เช่นนี้จนย้อนกลับมาทำร้ายพี่ฮั่นตงอีกครั้ง”นี่คือสิ่งที่เธออยากรู้ ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ คนสนิทอย่างตานเต๋อคงได้รายงานบางอย่าง และก็ทำให้เธอคิดได้ แล้วเลือกที่จะถามก่อนที่จะจัดการเรื่องราวทั้งหมด“สิ่งที่นายหญิงกล่าวมาก็ไม่ผิด แต่ภารกิจที่พวกเราได้รับมอบหมายมาในครั้งนี้ไม่ใช่ฮั่นตง แต่เป็นตัวของนายหญิงเพ่ยเพ่ย เองต่างหาก”หว่านซีห่าวรู้ว่าอีกฝ่ายกำ