“เจ้าคุณ มึง..อ๊ะ อ๊า” โฉมงามเปล่งเสียงครางออกมาทันทีเมื่อเจ้าคุณยกตัวเธอให้ขย่มใส่ดุ้นเอ็นของเขาอย่างแรง แขนเรียวก็ยกขึ้นไปคล้องคอของเขาไว้ก่อนจะส่งสายตาดุไปให้ แจ่ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะลุกออกจากตัวเขา..แหงล่ะ มาถึงขนาดนี้แล้วนี่!
“เสียวมากเลยอ่ะ อ้า..ขย่มแบบนั้นแหละที่รัก!” “อื๊อๆ อ๊าๆ ..จะแตกแล้ว” “รอกูก่อนสิ อื้มม..จ๊วฟ” เจ้าคุณก็โน้มใบหน้าหน้าไปบดจูบกลีบปากฉ่ำน้ำ ขบเม้มรีมฝีปากล่างแล้วก็เด้งเอวสวนขึ้นไปในรูสวาทของโฉมงามจนเธอและเขาเสร็จพร้อมกัน คนตัวเล็กก็รีบลุกออกมาจากตัวเขาทันที “เธอ! มาอาบน้ำก่อนสิ” “กูจะยืนอาบ” บอกพลางเดินไปยืนใต้ฝักบัวแล้วเปิดน้ำเพื่ออาบถูตัวไปจนเสร็จ ส่วนเจ้าคุณเขาก็ยกยิ้มมุมปากคนเดียวแล้วจึงรีบอาบน้ำแล้วตามโฉมงามออกไป “เธอ..กอดเค้าด้วยสิ” “ไอ้คุณถ้ามึงยังไม่เลิกพูดแบบนี้กับกูกูจะเกลียดจริงๆ นะ” “คุณเมียนี่เกรี้ยวกราดจริงนะ” “ใครเมียมึงไม่ทราบ!!?” จากที่นอนหันหลังให้โฉมงามก็ต้องหยัดกายลุกขึ้นนั่งมองชายหนุ่มที่ตอนนี้อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวของเธอกับกางเกงนอนขายาวของเธอ เหอะ..ช่างเข้าใจไปหาใส่นี่ “มึงไงครับ เพิ่งเอากันปะกี้ไง” “อย่ามากวน พรุ่งนี้กูมีเรียนตอนเช้า..จะสอบแล้วยังเรียนไม่รู้เรื่องเลย” “เดี๋ยวกูติวให้เอามั้ย” “เจ้าคุณ..” “โอเค ไม่แหย่ก็ได้ไม่เห็นต้องทำหน้าดุขนาดนั้นเลย..ขยับไปหนอยสิ” เจ้าคุณจึงขยับขึ้นไปนอนบนที่นอนข้างโฉมงามที่ยังคงนั่งทำหน้ายักษ์แยกเขี้ยวใส่เขาอยู่ จนเขานอนเงียบไปเจ้าตัวเล็กจึงยอมนอน มือหยาก็เอื้อมไปกอดเอวคอดไว้ก่อนจะพากันเข้าสู่ห้วงนิทรา เช้าวันต่อมา แสงแดดยามเช้าถูกสาดส่องเข้ามาภายในห้องนอนทันทีที่ผ้าม่านผืนหรูถูกมือหนาของชายหนุ่มร่างสูงเปิดมันออกจนทำให้แสงสว่างสาดเข้ามากระทบใบหน้าหวานพอดีเป๊ะจนเจ้าตัวต้องยอมตื่น “กินยาคุมก่อนจะด่า” ว่าพลางยื่นถุงยาคุมกับแก้วน้ำให้ โฉมงามก็รับมากินก่อนจะวางแผงยากับแก้วน้ำลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วหยัดกายลุกขึ้นเดินไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำอย่างไม่อยากที่จะปริปากคุยกับบุคคที่อยู่ร่วมห้องกับเธอทั้งคืนอย่างเจ้าคุณ “ไปเรียนยังไงอ่ะ?” “รถสิถามแปลก” “เธอ เมื่อคืนเราได้กันเราเค้าขอเป็นผัวเธอนะ” “พูดบ้าอะไร ไม่มีวัน..แล้วก็กรุณาออกไปจากห้องกูได้แล้ว” บางทีเธอก็งงกับอาการของเขาที่อยู่ๆ ก็มาออดอ้อนออเซาะเธอแปลกๆ ทั้งที่เมื่อก่อนตอนเลิกกันนั้นแทบจะไม่ค่อยได้พูดคุยกันเลยเว้นเสียแต่มีเรื่องที่ต้องถามไถ่กัน “โห!! ทำไมชอบไล่จัง..กูก็แค่อยากเล่นด้วย” “มึงอายุเท่าไหร่แล้ว?” “เท่ามึงไง” “เออ! ยี่สิบกว่าจะสามสิบแล้วหัดทำตัวให้มันน่านับถือหน่อย” “พอๆ อย่าบ่น กูได้มึงแล้วจะไม่ให้กูรับผิดชอบเหรอ?” “กูไม่ถือ ออกไปจะปิดห้อง” โฉมงามพูดแล้วก็ดันแผ่นหลังของเจ้าคุณให้ออกไปพร้อมกับเธอแล้วจัดการล็อคห้อง ขาเรียวจึงเดินตรงไปขึ้นลิฟต์โดยที่ก็ไม่ไสนใจในประโยคของเจ้าคุณเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยินนะ ได้ยิน..แต่ไม่อยากตอบ “แล้วจะตามกูไปไหนอีก?” “กูไม่ได้เอารถมาไปส่งกูหน่อย” เจ้าคุณตอบพลางเดินเข้าไปนั่งในรถของโฉมงามอย่างหน้าตาเฉย เออ..เอาเข้าไปกับความมึนความกวนประสาทของเขา โฉมงามก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่ล้านแล้วขับรถออกไป ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นคนพูดมากแล้วทำไมอยู่กับหมอนี่ไม่ค่อยพูด ขืนพูดกับมันไปเยอะๆ นะเธอจะไม่ได้หยุดพักปากเพราะมันจะชวนคุยยาวๆ ไง ใช้เวลาไมกี่นาทีโฉมงามก็มาถึงมหาลัยในชุดนักศีกษาเสื้อตัวเล็กกับกระโปรงทรงเอตัวแคบ รองเท้าผ้าใบ ผมยาวถูกมัดรวบไว้ขึ้นตึง ส่วนเจ้าคุณนั้นเธอก็ส่งลงไว้กลางทางเนื่องจากพูดมากเกินไป “เฮ้ออ วันนี้อากาศสดชื่นเนอะว่ามั้ย?” เสียงของซีซ่าดังขึ้นพร้อมกับร่างเพรียวในชุดนักศึกษาแบบเดียวกับโฉมงามเดินมายืนบิดตัวตรงหน้าของเธอ แต่ที่มันทำให้โฉมงามให้ความสนใจคงจะเป็นรอยจ้ำที่คอนั่นมากกว่า “ไปโดนอะไรกัดคอมาเหรอ?” “แวมไพร์อ่ะดิ” “เห็นกูเป็นเด็กปัญญาอ่อนเหรอ ทิ้งกูเลยนะเมื่อคืน..เป็นไงได้มั้ย” เอาจริงเธอก็พอจะเดาได้แหละว่าซีซ่าได้กับค๊อกเทลมั้ย แต่ก็คืออยากลองถามไปไงว่าเพื่อนสาวสุดแซ่บซู่ซ่านี่จะตอบเธอว่าไง “ก็..ได้สิ ว่าแต่กูแล้วมึงล่ะอย่าลืมนะน้องมันเป็นผัวของศัตรูมึงอ่ะ” “แล้วไงใครแคร์ นิสัยลูกหว้ามึงก็รู้จักนี่ไม่เคยรักใครหลอกพวกไปวันๆ” “ใครจะไปรู้มันอาจจะรักน้องดลจริงก็ได้ มึงนั่นแหละระวังจะอด” “กูชอบแล้วกูก็จะรุกให้สุด อีกไม่กี่เดือนน้องจบมัธยมเดี๋ยวก็ต้องมาเรียนที่นี่ ถึงวันนั้นนั่นแหละเข้าทางกู” “ร้ายได้ใจกูจริงๆ มึงเนี่ย..ไปหาอะไรแดกกันยืนเมื่อยแล้ว” ซีซ่าก็เดินนำโฉมงามไปยังร้านอาหารภายในมหาลัยที่เป็นร้านเล็ก ทั้งคู่ก็จัดการสั่งอาหารแล้วนั่งเล่นโทรศัพท์ไปพลางๆ บ้านดลธี ภายในบ้านสองชั้นสุดหรูที่ภายในบ้านมีหญิงสาววัยหกสิบกว่าๆ กำลังยืนห่อข้าวใส่กล่องให้หลานชายที่กำลังวิ่งลงบันไดมาด้วยความเร็ว พลั่ก! โคร้มม!!..จนขาทั้งสองข้างนั้นสดุดกันทำให้ร่างสูงราวร้อยเจ็บสิบกว่าล่วงลงไปกองที่บันไดขั้นสุดท้าย “เจ้าดลนี่มันน่าตีมั้ย!? ลุกมาเจ็บมั้ยนั่น?” ยายกระเช้าเดินถือกล่องข้าวออกมาจากในครัวก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะแล้วเดินไปช่วยพยุงหลานชายที่ยังคงนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นนั้นให้ลุกขึ้น “ก็ยายไม่ปลุกผมอ่ะ ผมตื่นสายเลยจะไปเข้าแถวทันมั้ยเนี่ย?” “นี่เพิ่งเจ็ดโมงครึ่ง เอ็งจะปั่นจักรยานไปนานขนาดนั้นรึไง” “ก็ไม่ได้ปั่นไปนาน แต่มันต้องทำอะไรเร่งรีบแบบนี้ไงครับ” หากไม่ใช่เพราะว่าเอารถไปล้างให้ค๊อกเทลมามื่อคืนเขาคงไม่ต้องกลับบ้านดึกแล้วตื่นสายแบบนี้หรอก..พูดถึงเรื่องรถแล้วใบหน้าเรียวสวยของโฉมงามก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาจนเขาต้องสะบัดมันทิ้ง “แล้วเมื่อคืนนี่เอารถใครมา?” “รถไอ้เทลไง ว่าไปก็ขับรถมันไปดีกว่าจะได้ไม่ต้องไปสาย” “เอารถยนต์มันไปแล้วจะไปจอดไหน เองเรียนมัธยมนะไม่ใช่มหาลัย” ยายกระเช้ามิวายที่จะบอกกับหลานชายของเธอ ดลธีก็ทำท่าครุ่นคิดมือหนาก็หยิบกล่องข้าวที่วางอยู่มาใส่กระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาเพื่อนหนุ่มแต่กลับปิดเครื่องเขาจึงถนหายใจออกมาแรงๆ “เฮ้อออ! ผมปั่นจักรยานไปก็ได้..นี่กุญแจรถถ้าไอ้เทลมันมาเอารถก็เอาให้มันไปด้วยนะ ผมไปเรียนก่อนสวัสดีครับ” “ดล วันนี้จักรยานฉันยางรั่วขอติดท้ายไปด้วยได้มั้ยจ๊ะ?” เสียงหวานของเพื่อนสาวร่วมห้องที่บ้านติดกับดลธีดังขึ้น ชายหนุ่มก็หันไปมองหญิงสาวตัวเล็กผิวขาวตาโตผมดำถูกถักเปียไว้สองข้างพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานๆ ให้เขา ดลธีจึงพยักหน้าให้เธอมาซ้อนท้ายเขาได้ “มาสิ วันนี้ไปสายนะ” “ตอนแรกว่าจะให้พ่อสูบยางให้แต่พอบอกว่ามันรั่วสูบไปเดี๋ยวก็รั่ว เสียเวลาไปกับการสูบยางจักรยานน่ะสิ” “อ่อ ใกล้จะจบเต็มทีแล้วพลอยจะไปเรียนที่ไหนเหรอ?” “ก็คงมหาลัยใกล้ๆ นี่แหละ ดลล่ะ?” “เหมือนกันแหละ ไปไกลไม่ได่เป็นห่วงยายกระเช้า” “ดีแล้ว อืม..แล้วนี่เตรียมไปสอบยัง?” เสียงหวานเอ่ยถามอีกครั้งหลังจากตอนนี้ได้นั่งท้ายรถจักรยานของดลธีและชายหนุ่มกำลังปั่นออกไปแล้ว มือเล็กก็จับชายเสื้อของคนปั่นไว้พร้อมกับรอยยิ้มสดใสที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าหวาน “เตรียมตัวหมดแล้ว จับเอวฉันไว้ดีๆ นะเดี๋ยวต้องรีบปั่นจะถึงเวลาเข้าแถวแล้ว” “อืม ถ้างั้นฉันขอกอดเอวนะ” จากที่จับแค่ชายเสื้อพลอยใสก็เปลี่ยนเป็นกอดเอวของดลธีเมื่อชายหนุ่มเร่งความเร็วให้เร็วขึ้นเพราะยิ่งใกล้จะถึงโรงเรียนก็ใกล้จะถึงเวลาปิดรั้วประตูโรงเรียนดด้วยเช่นกัน “ครับ..”ส่วนโฉมงามหลังจากออกมาจากมหาลัยเธอก็ขับรถตรงกลับไปยังบ้านของเธอที่เดี๋ยวนี้มาบ่อยกว่าปกติแล้ว เมื่อรถจอดและถูกดับขาเรียวก้าวลงจากรถทันที“คุณกงสุลดูสิ เดี๋ยวนี้ลูกคุณเข้าบ้านบ่อยกว่าปกตินะคะ” เสียงของคุณกิ่งฉัตรดังขึ้นเมื่อเห็นบุตรสาวในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาในตัวบ้าน แต่ที่ทำให้เธอถึงกับต้องเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นตกใจก็คงเพราะแววตาที่เศร้าหมองกับแดงก่ำของบุตรสาวนี่แหละ“เป็นอะไรอีกล่ะ?”“เสียใจอ่ะ”“เสียใจเรื่องอะไร มานั่งนี่ดิ”“เจ้าคุณมันจะไปอยู่ต่างประเทศแล้วอ่ะ” โฉมงามบอกพลางเดินไปนั่งแทรกระหว่างพ่อกับแม่ของเธอ“อ้าว! ทำไมอ่ะ..” คุณกิ่งฉัตรถามด้วยด้วยความตกใจ โฉมงามจึงเล่าเรื่องของเธอที่เกี่ยวกับเจ้าคุณและดลธีให้พ่อและแม่ฟังจนระเอียดยิบ ระเอียดไปถึงแม้กระทังเรื่องแบบนั้น..“นี่แก! โอ้ยยย!..ฉันไม่รู้ด่าหรือสงสารแกดี!!” เสียงคุณกิ่งฉัตรดังขึ้นหลังจากฟังเรื่องความรักของโฉมงามจบ ทั้งสงสารและก็อยากจะด่าแต่ก็ทำได้แค่เงียบแล้วดึงโฉมงามเข้ามากอดปลอบใจ“หนูรักมันหนูไม่อยากให้มันไป แต่หนู..ก็ทิ้งดลไม่ได้”“แล้วทำไมไม่อยู่ด้วยกันล่ะ สมัยนี้โลกก็เปิดกว้างนะพ่อไม่ว่าหรอกถ้าจะอยู่ด้วยกันแล้
“รักกูก็ควรจะอยู่กับกูไม่ใช่เหรอ?”“ชีวิตคู่..คู่คือแค่สอง กูไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้วเดี๋ยวจะกลายเป็นทะเลาะกัน” เจ้าคุณพูดแล้วก็เบือนหน้าหนีโฉมงามที่มองเข้าด้วยแววตาที่แดงก่ำแต่สักพักก็ร้องไห้ออกมาอย่างฝืนมันไว้ไม่ได้ มือบางจึงเอื้อมมาจับมือเขาไว้แล้วยกมันขึ้นมาให้เช็ดน้ำตาของตัวเธอเบาๆ“กู ฮรึก!..ยินดีเลิกยุ่งกับดลนะถ้ามึงบอกว่ามึงจะอยู่กับกู”“ไม่! กูไม่ได้ต้องการให้มึงทำแบบนั้นกูไม่อยากให้มึงทำร้ายความรู้สึกของน้องเพราะกูเองก็รักน้อง”“คุณกูไม่เข้าใจมึงว่าทำไมต้องให้มันเป็นเรื่องวุ่นวายอะไรแบบนี้ แค่มึงยอมรับคำนินทาได้พวกเราก็ได้อยู่ด้วยกันสามคนอย่างมีความสุขแล้วนะ”“เพราะกูยอมรับมันไม่ได้ไง..”“มึงไม่รักกูเหรอ?”“รักสิเพราะรักมากไงถึงต้องยอมขนาดนี้”“ถ้ารักมากมึงไม่ควรยอมให้กูคบกับคนอื่นทั้งที่มึงก็รักกูสิ คุณ..” โฉมงามบอกด้วยเสียงที่สะอื้น ทำไมไม่รู้ว่าเธอไม่อยากให้เขาจากเธอไปอยู่ที่อื่น ทำไมไม่รู้เธอรู้สึกว่าตัวเองคงไม่มีความสุขหากไม่มีเขา..“กูก็ไม่รู้ว่ากูคิดอะไร กูรู้แค่ว่ากูคิดมาดีแล้วว่า..กูอยากให้มึงมีความสุขกับเจ้าดลมากกว่า”“แต่กูต้องการมึงนะ!”“แต่มึงก็ต้องการเจ้าดล”“แม
หลายวันต่อมาหลังจากวันนั้นที่ดลธีเข้าไปดูแลโฉมงามที่บ้าน คุณกิ่งฉัตรก็ไม่ได้พูดจาแรงใส่เขาอีก แต่ก็ใช่ว่าจะพูดดีนะ..ก็แบบฉบับคุณกิ่งฉัตรเขาแหละ ส่วนตอนนี้โฉมงามนั่งอยู่ในมหาลัยที่บริเวณโต๊ะม้าหินอ่อนกับเพื่อนร่วมห้องของเธออีกหลายคน“หน้าบึ้งตึงแบบนี้มีอะไรพูดกับพวกกูได้นะ ถึงจะไม่สนิทเหมือนกับซีแต่ก็ไม่ปากโทรโข่งหรอก” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของโฉมงามดูเคร่งเครียดเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจอะไรสักอย่าง“ช่วงนี้เห็นเจ้าคุณบ้างมั้ย?” โฉมงามจึงเอ่ยถามหาชายหนุ่มที่เธอไม่ได้เจอมาหลายวันแล้ว ใช่! ตั้งแต่เธอไม่สบายวันนั้นเธอก็ไม่ได้เจอเจ้าคุณอีกเลยแถมทักไปโทรไปเจ้าตัวก็ไม่ตอบ นี่ขนาดไม่ได้รักเท่าเจ้าดลนะยังรู้สึกหวิวๆ รู้สึกคิดถึงยังไงไม่รู้..“ไม่ยักจะรู้ว่าเมียกูจะคิดถึงกูขนาดนี้นะเนี่ย!” และยังไม่ทันที่เพื่อนร่วมห้องของโฉมงามจะเอ่ยอะไรร่างสูงในชุดนักศึกษาก็เดินมานั่งข้างโฉมงาม จุ๊บ! แถมยังจุ๊บเข้าที่แก้มเนียนขาวของคนตัวเล็กอีกด้วย“วู้วว! มาถึงก็หวานเลยนะ..ว่าแต่คบกันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอไม่เห็นรู้ข่าวเลย”“คบกันนานแล้ว ขอยืมตัวหน่อยนะ” เจ้าคุณตอบแล้วก็ดึงมือของโฉมงามให้ลุกกออกมา
บ้านคุณโฉมใช้เวลาไปชั่วโมงกว่าดลธีมาถึงบ้านโฉมงามและรีบถามแม่บ้านเพื่อหาห้องของโฉมงามจนได้ขึ้นมาหาหญิงสาวที่ตอนี้ยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอน ที่มาช้าเพราะไม่รู้จักไง..รู้แค่ว่าอยู่แถวไหนแต่ไม่รู้ว่าหลังไหนจึงถามคนแถวนั้นไปเรื่อยๆ กว่าจะมาถึงก็เลยใช้เวลานานไปหน่อยชายหนุ่มก็นั่งมองหญิงสาวตัวเล็กที่ยังคงมีใบหน้าที่แดงกับเหงื่อที่ยังคงผุดขึ้นมาอยู่นั้นด้วยความสงสาร มือหนาเอื้อมหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่แม่บ้านเพิ่งยกมาให้นั้นขึ้นมาเช็ดหน้าให้คนตัวเล็กอย่างเบามือเพราะกลัวเจ้าตัวจะตื่น“อืมมม..”แต่เมื่อผ้าที่ชุบน้ำจนเย็นนั้นมาโดนแก้ม ร่างเล็กก็ลืมตาตื่นทันที“พี่ครับ ปวดหัวมั้ย..ตัวร้อนมากเลย” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเมื่อคนตัวเล็กลืมตาขึ้นมาแล้ว เธอจึงส่ายหน้าให้เบาๆ แล้วก็พยายามจะหยัดกายลุกขึ้นนั่งแต่ดลธีกลับผลักให้นอนลงตามเดิม“อย่าเพิ่งลุกสิตัวยังร้อนอยู่เลยนะ”“คิดถึง..อยากกอดแต่กลัวนายติดไข้”“กอดได้ครับ” ดลธีว่าพลางโน้มตัวไปกอดเธอที่ยังคงนอนอยู่โฉมงามจึงกอดตอบไม่ถึงห้านาทีก็ผล่ะออกเพราะกลัวเจ้าดลน้อยจะมาติดไข้พลอยให้ไม่สบายไปด้วย“มาได้ไง?”“ก็แม่พี่ไปบอกผมไง”“หื
กลับมาที่มหาลัยหลังจากเรียนคาบแรกเสร็จก็มีเวลาพักอีกหนึ่งชั่วโมงพื่อรอเข้าเรียนในคาบสุดท้าย ดลธีก็แยกมานั่งพักบนโต๊ะมาหินอ่านใต้ต้นไม้หน้าตึกเรียนในรายวิชาต่อไป“ดล…”“พี่หว้า? ..” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ขาเรียวก็ก้าวมานั่งลงตรงหน้าของดลธีทันทีที่เห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าเรียกชื่อตนเอง“ไม่ได้เจอกันนานพี่คิดว่าจะลืมชื่อพี่ไปแล้วซะอีก”“ผมไม่ลืมหรอกครับ..”“ทำไมพี่ถึงรู้สึกดีใจกับประโยคนี้ของนายนะ” ลูกหว้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูดีใจกับปีะโยคของ ดลธีปรายตามองเธออยู่ครู่เดียวก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น“พี่มีอะไรกับผมหรือเปล่า?”“นายยังไม่ลืมพี่จริงๆ เหรอ?”“ใช่ครับ”“แล้วเรา..”“ผมสมองไม่ได้เสื่อมที่จะจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าผมคือลูกหว้า ไม่ใช่แค่พี่ที่ผมจำได้เพื่อนพี่หรือคนอื่นๆ ที่ผมรู้จักผมก็จำได้” น้ำเสียงที่เรียบนิ่งเอ่ยบอกอย่างหน้าตาย สายตาคมกริบยังคองจ้องมองลูกหว้าอย่างสายตาจนเธอต้องเป็นฝ่ายหลบ เพราะมันไม่ใช่สายตาที่รักใคร่เหมือนเมื่อก่อนแต่มันเป็นสายตาที่ดูดุดันน่ากลัว“อ้อ นะ..นั่นสินะ”“แมทธิว ผู้ชายคนนั้นสินะที่เป็นพ่อของเด็กในท้อง..แต่จะว่าไปถ้าผมเป็นเขาผมก
หลายอาทิตย์ต่อมาวันแห่งการเริ่นต้นเรียนในรั้วมหาลัยอาทิตย์ที่สองนั้นช่างสดใสสำหรับหนุ่มมหาลัยปีหนึ่งอย่างเจ้าดลซะจริงๆ หลังจากแต่งตัวเสร็จชายหนุ่มก็วิ่งลงมาจากบนห้องนอนตรงไปยังในครัวที่มียายกระเช้ากำลังวุ่นอยู่กับการทำข้าวกล่องให้เขา“เอ็งนี่นะ! แม่เอ็งก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวให้ค่าข้าวเอ็งจะห่อไปทำไมไม่อายเขาหรือไง?” เสียงยายกระเช้าบ่นขณะที่กำลังปิดฝากล่องข้าวหลังจากห่อเสร็จให้หลานชาย ที่บ่นไม่ใช่ว่าขี้เกียจทำแต่เธอกลัวว่าหลานชายจะอายเขาที่อยู่ถึงมหาลัยแล้วแต่ยังห่อข้าวไปกินนี่สิ“ถ้าผมอายผมจะให้ยายห่อให้เหรอครับ”“ยอกย้อนอีก เอ้าเสร็จแล้ว..แล้วก็มานั่งกินข้าวซะ”“ยายนี่เกรี้ยวกราดจริงๆ”“เอ็งแล้วก็หัดทำตัวให้มันดูโตให้มันดูเอาตัวรอดให้ยายได้เห็นบ้าง ยายจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” ยังมิวายที่จะบ่นหลานชายที่เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว ดลธีก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ความขี้บ่นของยายกระเช้า แล้วก็จัดการกับอาหารตรงหน้าไปเรื่อยๆ เพราะยังเหลือเวลาเข้าเรียนอีกเยอะ“ยายครับรู้แล้วใช่มั้ยที่ผมคบกับพี่โฉม”“รู้สิก็เอ็งบอกยาย”“อ่อครับ เธอน่ารักนะผมชอบเธอจริงๆ”“เฮ้อ!อ เรื่องความรักยายก็ไม่อยากจะไปยุ่งแต่เอ็งรักใคร