“ห๊ะ!!” หวงหลี่อิงถึงกับตาโตนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“ตอนนั้นที่ข้าพึ่งตายอยู่ ๆ ข้าก็โผล่มาที่นี่ ทั้งที่ไม่เคยมาและไม่รู้จักด้วยซ้ำ ว่าที่นี่คือที่ไหน ข้าเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังช่วยกันขนหีบเหล่านี้เข้ามาในถ้ำและพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จนข้าได้รู้ว่าขบวนพ่อค้าที่พวกมันไปปล้นมาเป็นญาติห่าง ๆ ของข้าเอง ตอนนั้นข้าโกรธมาก จนไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรลงไปและไม่รู้ว่าทำได้ยังไงด้วย แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที พวกโจรเหล่านั้นก็ตายกันไปจนหมดแล้ว” ร่างบางมองหน้าหวังหรูอี้อย่างนิ่งงันหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด
“นี้...ท่านเป็นคนฆ่าโจรพวกนั้น…เหรอ” หญิงสาวถามอย่างไม่แน่ใจนัก พร้อมกับแสดงสีหน้าหวาดระแวงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรอกนะ ตอนนั้นข้าไม่รู้ตัวจริงๆ อาจจะเป็นเพราะข้าพึ่งตาย และยังต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้อีก ไหนจะเป็นห่วงบุตรชายที่ข้าพึ่งจากเขามา ก็เลยอาจจะเกิดแรงอาฆาตขึ้นมา…กะมัง” หวังหรูอี้พยายามอธิบายอย่างลนลานเสียงอ่อน เพราะกลัวว่าหญิงสาวจะมองนางไม่ดีและหวาดกลัวนาง
“เฮ้อ เอาเถอะ ไหน ๆ เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่ว่าเรื่องจะเป็นมายังไง ท่านก็เป็นที่พึ่งเดียวที่ข้ามีและรู้จัก ยังไงข้าก็เชื่อท่าน” หลี่อิงเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้บ้างในสถานการณ์แบบนี้ มันมีทั้งเห็นใจและก็แอบกลัวนิดๆ ละนะ
“ข้าให้สัญญานะ ว่าจะไม่ทำร้ายเจ้า” หวังหรูอี้บอกพร้อมกับมองหลี่อิงตาปริบ ๆ อย่างอ้อนวอนให้อีกฝ่ายเชื่อใจ
“อืม เอาเถอะ ว่าแต่ของในหีบมีอะไรบ้างละนั้น” หลี่อิงเอ่ยเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ้าว”
“ก็ข้าเป็นผี เปิดหีบไม่ได้” หวังหรูอี้กล่าว
“มียันต์ป้องกันเหรอ” หญิงสาวถามเล่นๆ
“ใช่ซะที่ไหนละ ข้าเป็นผีจับต้องวัตถุไม่ได้” หวังหรูอี้ถึงกับกลอกตามองบนกับคำถามของหญิงสาว นั้นคิดแล้วใช่ไหมที่ถามมา
“ข้าก็ล้อเล่นน่า” เมื่อเห็นอีกฝ่ายผ่อนคลายขึ้นหญิงสาวก็เดินเข้าไปใกล้หีบทั้งสี่ใบ แล้วเริ่มลงมือเปิดหีบทีละใบ โดยหีบใบที่หนึ่งและสองเป็นผ้าแพรและผ้าไหมชั้นดี ดูแล้วน่าจะราคาสูงไม่น้อย หีบใบที่สามมีหีบเล็กๆ อยู่ด้านในสี่หีบโดยสองหีบเล็กเป็นเครื่องประดับเงินและหยก สองหีบถัดมามีตำลึงทองและตำลึงเงินอยู่เต็มหีบ หีบใบใหญ่ที่สี่เป็นชุดที่ถูกตัดเย็บแล้ว พับเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบราวสิบชุดเป็นของสตรีห้าชุด บุรุษห้าชุด
“ชุดพวกนี้น่าจะซื้อมาจากเมืองอื่นเพราะดูแล้วมีความแตกต่างจากชุดที่ท่านและข้าใส่อยู่เล็กน้อยคิดว่าน่าจะนำกลับมาเป็นแบบเพื่อตัดให้กับลูกค้าที่สนใจก็เป็นได้” หลี่อิงกล่าวขึ้นเมื่อสำรวจหีบทั้งหมดครบแล้ว
“อืม” หวังหรูอี้เพียงตอบรับในลำคอเท่านั้น
“ว่าแต่นะ ถ้ามีของพวกนี้อยู่แต่แรก ท่านให้ข้าไปลำบากในป่าทำไมเจ้าค่ะ” หลี่อิงถามพร้อมกับมองหน้าหวังหรูอี้ตาขวาง
“แหะแหะ ก็ข้าลืม” หวังหรูอี้ตอบเสียงเบา
“ลืม!!” หลี่อิงถึงกับอุทานเสียงหลง
“ข้าลืมจริงๆ นะ มานึกได้ว่ามีของพวกนี้อยู่ ก็ตอนที่เจ้าเจอโสม และคิดได้ว่ามีของเหล่านี้อยู่ในถ้ำใกล้ๆ กับต้นโสม แล้วนี่เจ้ายังจะไปขุดโสมอยู่ไหม” เมื่อพูดถึงโสมแล้วพวกนางก็นึกขึ้นได้ว่าจะไปขุดโสมกัน
“ไปเจ้าค่ะ อะไรที่ทำประโยชน์ทำเงินให้ได้ข้าเอาหมดแหละเจ้าค่ะ แต่ก่อนอื่นเราคงต้องวางแผนกันอย่างจริงจังแล้วละ” เมื่อมีของมีค่ามากมายอยู่กับตัวเช่นนี้คงต้องวางแผนจัดการให้ดีเสียแล้ว
“แล้วเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้างเล่า”
“ข้าอยากไปอยู่ในเมืองเจ้าค่ะ แต่อยากได้พื้นที่ที่ห่างจากผู้คนออกมาหน่อยมีความเป็นส่วนตัวสักนิด ท่านพอจะมีแนะนำหรือไม่เจ้าค่ะ” ตอนนี้ในหัวเล็กๆ ของหญิงสาวเริ่มจินตนาการไปต่าง ๆ ตามที่ต้องการแล้ว
“ใจจริงข้าอยากให้เจ้าไปอยู่ที่เมืองหลวงจะได้หาโอกาสใกล้ชิดกับบุตรชายข้าได้...”
“ข้าไม่เอาเมืองหลวงเจ้าค่ะ” หวังหรูอี้ยังพูดไม่ทันจบหลี่อิงก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“งั้นถ้าเป็นเมืองรอบนอกละ เมืองต้าถงถือเป็นเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่ง และยังเป็นเมืองหน้าด่านก่อนที่จะเข้าเมืองหลวง ผู้คนมักแวะพักกันที่เมืองนี้ จึงทำให้ที่นี่คึกคักเป็นพิเศษ อีกทั้งกิจการร้านค้าก็ดีด้วย หากเดินทางด้วยรถม้าก็ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็ถึงเมืองหลวงแล้วแต่หากเดินเท้าก็หนึ่งวันเท่านั้น” หวังหรูอี้เสนอขึ้นมา
“อยู่ไกลจากที่นี่ไหมเจ้าค่ะ” หลี่อิงรู้สึกสนใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อเมือง เพราะเมืองแห่งนี้มีกล่าวถึงในซีรีส์เป็นเมืองที่พระเอกและพระรองพบกับนางเอกของเรื่อง อีกอย่างเมืองนี้ก็เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากเหมาะแก่การทำการค้าขายเป็นที่สุด
“ไกลพอสมควร ใช้เวลาเดินทางราวหนึ่งเดือน” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวดูสนใจเมืองนี้หวังหรูอี้จึงรีบบอกทันที
“งั้นเราก็ต้องเตรียมตัวกันให้ดีเจ้าค่ะ ไหนจะหีบพวกนี้อีกคงต้องทยอยขนออกไป แต่ตอนนี้เราไปขุดโสมกันก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ” หลี่อิงบอก ตอนนี้เก็บเกี่ยวอะไรได้ก็ต้องรีบก่อนแล้ว
“ได้ เช่นนั้นก็ตามข้ามา” หวังหรูอี้ลอยนำหญิงสาวไปยังแหล่งที่พบต้นโสมเหล่านั้น ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อก็มาถึงที่หมายอย่างที่นางบอกก่อนหน้านี้
“โห่ ทำไมมันเยอะแบบนี้ละเจ้าค่ะ คนที่นี่เขาไม่รู้จักโสมกันหรือยังไง” หลี่อิงเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าตรงหน้าแทบจะเรียกได้ว่าเป็นดงโสมเสียมากกว่า
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน รู้จักกับรู้แหล่งกำเนิดของมันต่างกันนะ” หวังหรูอี้กล่าว
“ก็จริงเจ้าค่ะ ต่อให้หาทั้งชีวิต หากหาผิดที่ผิดเวลาก็ไม่มีทางได้พบเจอมัน” หลี่อิงว่า
“เจ้าหมายถึงโสมใช่ไหม”
คำพูดของหลี่อิงเมื่อครู่ทำเอาหวังหรูอี้ต้องถามย้ำว่าหมายถึงโสมจริงๆ ใช่ไหมหรือหมายถึงอย่างอื่น“ก็ต้องโสมสิเจ้าค่ะ หากท่านหาผิดที่ก็ไม่พบต้นโสมเหล่านี้ และหากยังไม่ถึงเวลาที่พอเหมาะท่านก็ไม่สามารถที่จะเก็บพวกมันไปได้ ท่านคิดว่าข้าหมายถึงอะไรกัน” หญิงสาวตอบตาใส
“ก็นะ คำพูดของเจ้าทำให้ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ได้เจ็บซ้ำจากความรักหรืออะไรทำนองนั้นมาหรอกใช่ไหม” หวังหรูอี้ถามจี้ไปตรงๆ
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้ายังไม่เคยมีความรักเลย แล้วจะเจ็บซ้ำจากความรักได้ยังไงกันเจ้าค่ะ” หลี่อิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“งั้นหรือ” หวังหรูอี้หรี่ตามองหญิงสาวอย่างครุ่นคิด
“ข้าขุดโสมดีกว่าเจ้าค่ะก่อนที่จะค่ำมืดเสียก่อน” ที่ข้าหมายถึงก็บุตรชายท่านนั่นแหละ ถึงรักมากแค่ไหนสุดท้ายคนที่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่อยู่ดี หลี่อิงได้แต่คิดในใจ
ก่อนเวลาพลบค่ำมาถึงในที่สุดหลี่อิงก็ขุดโสมทั้งหมดเสร็จสิ้นและเดินทางกลับมายังถ้ำเพื่อพักผ่อนเอาแรงสำหรับวันพรุ่งนี้
“เจ้าไม่อาบน้ำชำระร่างกายหน่อยเหรอ” หวังหรูอี้ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าหลี่อิงเตรียมที่นอนเสร็จก็จะล้มตัวลงนอนโดยทันที
“ท่านจะให้ข้าไปอาบน้ำที่ไหนละเจ้าค่ะ แถวนี้มีลำธารด้วยหรือ” หลี่อิงถามไปอย่างนั้นเพราะตนไม่เห็นว่ามีสายน้ำหรือลำธารอยู่ใกล้นี้เลย
“มีสิ เจ้าเดินเข้าไปด้านในสุดของถ้ำนะ ในนั้นมีน้ำหยดจากหินที่ย้อยอยู่แอ่งหนึ่ง น่าจะพอให้เจ้าได้ชำระกาย” หวังหรูอี้บอก
“จริงหรือเจ้าค่ะ ท่านไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่ไหม ทำไมข้าไม่เห็นจะได้ยินเสียงน้ำหยดเลยละ” หลี่อิงถามอย่างไม่เชื่อ
“ข้าจะโกหกเจ้าให้ได้อะไรละ”
หญิงสาวยังคงมองหวังหรูอี้อย่างช่างใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินหายลับเข้าไปด้านในของถ้ำตามที่อีกฝ่ายบอก‘เวลาของเจ้าไม่ได้มีมากนักหรอกนะหวังหรูอี้’ จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาในหัวของหวังหรูอี้
‘ข้าทราบเจ้าค่ะ’หวังหรูอี้ตอบทั้งยังมองออกไปอย่างเหม่อลอยตามทิศทางที่หญิงสาวพึ่งเดินหายลับไป
“อ่า พอได้อาบน้ำแล้วสบายตัวขึ้นเยอะเลย ท่านเอาแต่มองหน้าข้ามาสักพักแล้วนะเจ้าค่ะ” หลี่อิงถามเมื่อเห็นว่าหวังหรูอี้เอาแต่มองหน้านางตั้งแต่กลับมาจากอาบน้ำ
“พออาบน้ำแล้วแต่งตัวแบบนี้ เจ้าก็งดงามไม่ต่างจากเหล่าคุณหนูในเมืองหลวงเลยสักนิด”
ชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อนบวกกับใบหน้าเรียวสวย ปากนิด จมูกหน่อย ดวงตากลมโตดูน่ามองทีเดียว หากแก้มทั้งสองข้างถูกเติมให้เต็มเหมือนซาลาเปาคงจะน่ารักกว่านี้เป็นแน่หลี่อิงรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันทีพร้อมกับรีบหลบตาด้วยความเอียงอายเมื่อเผลอสบเข้ากับดวงตาคมสวยที่มองมาอย่างชื่นชมแบบไม่ปิดบังของหวังหรูอี้ ยิ่งเห็นท่าทางแบบนั้นของหญิงสาวหวังหรูอี้ก็ได้แต่มองด้วยความเอ็นดูเพิ่มเข้าไปอีก
“ท่านเลิกมองได้แล้ว ข้าก็อายเป็นนะเจ้าค่ะ” หลี่อิงบอกเมื่อเห็นว่าหวังหรูอี้ไม่คิดจะเลิกมองนางเสียที
“หึหึ”
ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของหวังหรูอี้ แก้มนวลของหลี่อิงยิ่งแดงปลั่งขึ้นเรื่อยๆ“พอแล้ว ข้าจะนอนแล้วเจ้าค่ะ” หลี่อิงหลบหนีความเขินอายของตนเองด้วยการทิ้งตัวลงนอนแล้วเอาสองมือขึ้นมาปิดแก้มเอาไว้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แต่นั่นกลับเป็นการเพิ่มความน่าเอ็นดูให้กับหลี่อิงมากยิ่งขึ้น“ท่านหยุดหัวเราะเลยนะ งืม”
“ก็เจ้าน่าเอ็นดูนี่น่าอิงอิงน้อย” หวังหรูอี้ได้แต่อมยิ้มกับท่าทางราวกับเด็กน้อยของหญิงสาว
“ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว ฮึ”
ในเวลาเพียงไม่นานความเงียบก็เข้าปกคุม เมื่อหลี่อิงนั้นหลับสนิทไปแล้วจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน จึงทำให้เวลานี้เหลือเพียงหวังหรูอี้ที่นั่งเหม่อมองหญิงสาวที่หลับสนิทอยู่ตรงหน้า
“ข้าขอโทษนะที่ดึงเจ้าเข้ามา แต่ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าบุตรชายที่ข้ารักจะต้องเจ็บปวดเสียใจและโดดเดี่ยวเพียงใด ถือเสียว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัว ของผู้เป็นมารดาอย่างข้าก็แล้วกัน อิงอิง ข้าสัญญาว่าจะดูแลปกป้องเจ้าให้ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถข้าจะทำมันได้”
“อืม ข้าเชื่อท่านนะ ห้ามหลอกข้าละ” เสียงพึมพำแผ่วเบาดังขึ้น
“เจ้า...ไม่ได้หลับหรือ” หวังหรูอี้ถามขึ้นอย่างตระหนก แต่กลับมีเพียงความเงียบเท่านั้น นางจึงลุกขึ้นไปดูให้แน่ใจว่าหญิงสาวตอบนางจริงหรือไม่ กลับพบว่าเจ้าตัวยังคงหลับสนิทอยู่ “ละเมอหรอกหรือ” หวังหรูอี้นั่งลงข้างหญิงสาวก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวนางเบา ๆ
ในที่สุดเช้าวันใหม่ก็มาถึง พระอาทิตย์ยังไม่ทันแตะขอบฟ้าดีหลี่อิงก็ตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่สดใสเพราะได้หลับเต็มอิ่ม
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ” หลี่อิงทักทายหวังหรูอี้ด้วยน้ำเสียงใสสด
“หลับสบายหรือไม่” หวังหรูอี้ยิ้มตอบรับก่อนจะถามหญิงสาวกลับ
“สบายมากเจ้าค่ะ ท่านละเจ้าค่ะ” ร่างบางบิดตัวไปมาคายความเมื่อย
“ข้าก็เฝ้าเจ้าทั้งคืนอย่างไร”
“เอ๋ ท่านไม่ต้องพักเพื่อสะสมพลังงานหรือช่วยเหลือผู้คนสะสมบุญหรือเจ้าค่ะ” หลี่อิงถามด้วยความสงสัย เพราะส่วนใหญ่ที่เคยได้ยินมาพวกวิญญาณจะชอบมีสิ่งที่ต้องทำเพื่อสะสมพลังงานหรือบุญอะไรทำนองนั้นนี่น่า
“ไม่หรอก ข้านะหากยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องไป ข้าก็สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องสะสมบุญหรือพลังงานอะไรทั้งนั้นแหละ” หวังหรูอี้อธิบาย
“อ่อ แล้ววันนี้ ท่านจะพาข้าไปที่ไหนหรือเจ้าค่ะ” หลี่อิงเอ่ยตอบรับเมื่อเข้าใจแล้ว ก่อนจะถามต่ออย่างกระตือรือร้น
“ไม่คิดจะออกจากป่าแล้วหรือ” หวังหรูอี้เอ่ยแซวหญิงสาวเล่น
“หาของป่าก็สนุกดีเจ้าค่ะ” หลี่อิงตอบยิ้ม ๆ
“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะพาเจ้าไปเก็บเอาของดีออกจากป่านี้ให้หมดเลยดีหรือไม่” หวังหรูอี้ก็ไม่วายหยอกเย้าหญิงสาวเล่นอีกเช่นกัน
“ดีเจ้าค่ะ เอาให้หมดเลยนะเจ้าค่ะ” หลี่อิงตอบรับพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ห๊ะ!!” หวงหลี่อิงถึงกับตาโตนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ“ตอนนั้นที่ข้าพึ่งตายอยู่ ๆ ข้าก็โผล่มาที่นี่ ทั้งที่ไม่เคยมาและไม่รู้จักด้วยซ้ำ ว่าที่นี่คือที่ไหน ข้าเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังช่วยกันขนหีบเหล่านี้เข้ามาในถ้ำและพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จนข้าได้รู้ว่าขบวนพ่อค้าที่พวกมันไปปล้นมาเป็นญาติห่าง ๆ ของข้าเอง ตอนนั้นข้าโกรธมาก จนไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรลงไปและไม่รู้ว่าทำได้ยังไงด้วย แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที พวกโจรเหล่านั้นก็ตายกันไปจนหมดแล้ว” ร่างบางมองหน้าหวังหรูอี้อย่างนิ่งงันหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด“นี้...ท่านเป็นคนฆ่าโจรพวกนั้น…เหรอ” หญิงสาวถามอย่างไม่แน่ใจนัก พร้อมกับแสดงสีหน้าหวาดระแวงออกมาอย่างเห็นได้ชัด“เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรอกนะ ตอนนั้นข้าไม่รู้ตัวจริงๆ อาจจะเป็นเพราะข้าพึ่งตาย และยังต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้อีก ไหนจะเป็นห่วงบุตรชายที่ข้าพึ่งจากเขามา ก็เลยอาจจะเกิดแรงอาฆาตขึ้นมา…กะมัง” หวังหรูอี้พยายามอธิบายอย่างลนลานเสียงอ่อน เพราะกลัวว่าหญิงสาวจะมองนางไม่ดีและหวาดกลัวนาง“เฮ้อ เอาเถอะ ไหน ๆ เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่ว่าเรื่องจะเป็นมายังไง ท่านก็เป็นที่พึ่งเดียวที่ข้ามีและรู้จัก ยังไง
“เอ่อ คือว่าเจ้าจะนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้าเลยหรือ” หวังหรูอี้ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงยามเช้าเข้าไปทุกทีแล้ว“จะเช้าแล้วเหรอเนี่ย ท่านโดนแสงแดดได้หรือไม่” พะพายหันมองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มจะเห็นแสงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาแล้วก่อนจะหันไปถามหวังหรูอี้“โดนได้ แต่ข้าว่านะ เจ้าต้องทำอะไรสักอย่างแล้วละ อีกอย่างเจ้าก็กลับไปที่บ้านของเจ้าไม่ได้แล้วด้วย” หวังหรูอี้กล่าวเตือนหญิงสาว“ก็จริง”“เจ้าจะทำอะไรต่อไปละ” หวังหรูอี้เอ่ยถามสิ่งที่หญิงสาวต้องการ“คงต้องหาที่ตั้งหลักก่อนละนะ” พะพายกล่าวตามสิ่งที่คิดว่าควรจะเริ่มทำอะไรก่อน“เจ้าต้องเปลี่ยนการพูดด้วย” หวังหรูอี้กล่าวเตือนขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง“เจ้าค่ะ ข้าน้อยทราบแล้ว” พะพายพูดอย่างประชดประชันเล็กน้อย“อืม ดีมาก” หวังหรูอี้พยักหน้าอย่างพอใจ“เฮ้อ! เอาวะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มาถึงขนาดนี้แล้วก็คงต้องสู้กันต่อ ยังไงซะก็กลับไปไม่ได้แล้ว ต่อจากนี้ฉันคือ หวงหลี่อิง เป็นเพียงเด็กสาวกำพร้าจากหมู่บ้านยากจนแห่งหนึ่งเท่านั้น”พะพายพยายามสะกดจิตตนเองให้ยอมรับเรื่องราวที่เกิดนี้ให้ได้“ใครว่าเจ้ายากจน” อยู่ๆ หวังหรูอี้ก็พูดขึ้นมา“อ้าว...ก็ท่านเป็นคนบอกเองว่าร่างนี้
“อืม” เสียงครางแหบแห้งในลำคอ พร้อมกับเปลือกตาที่เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนแวววาว“ที่ไหนเนี่ย” หญิงสาวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหันมองไปรอบๆ ก่อนจะพบว่าตัวเองนั้นนอนอยู่กลางทุ่งหญ้ารกชัฏที่ไหนสักแห่ง“นังหนู” จู่ๆ ก็มีร่างโปร่งแสงปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ“เห้ย!” พะพายตกใจจนสติสตังหายหมด เมื่อมีบางอย่างโผล่มาตรงหน้า“นังหนูใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” ร่างโปร่งแสงเอ่ยกับหญิงสาว“เย็นก็บ้าแล้ว” พูดจบพะพายก็ดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับออกวิ่งทันที“อ่าวเห้ย นังหนูรอข้าก่อน” ร่างนั้นล่องลอยตามพะพายมาติดๆ“รอก็โง่นะสิ เป็นผีก็อยู่ส่วนผีสิ จะมาตามหลอกหลอนกันทำไมเล่า” เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่คน พะพายก็ยิ่งสับขาวิ่งเร็วขึ้นไปอีก“ข้าก็ไม่ได้อยากตามหลอกเจ้านะ แต่ข้าไม่รู้จะไปไหน พอโผล่ออกมาเจ้าก็มองเห็นข้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องเหงาแล้ว เพราะสามารถสื่อสารกับเจ้าได้ ก็เลยตามเจ้ามา”“ท่านรู้ได้ไงว่าหนูมองเห็นท่าน” พะพายถามกลับไป ทั้งที่ยังวิ่งไม่หยุด“ก็เจ้าตกใจตอนที่ข้าโผล่ไปตรงหน้าเจ้าไม่ใช่หรือ นั้นก็แสดงว่าเจ้ามองเห็นข้า” ว่าแล้ววิญญาณตนนั้นก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าขอ