“ห๊ะ!!” หวงหลี่อิงถึงกับตาโตนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“ตอนนั้นที่ข้าพึ่งตายอยู่ ๆ ข้าก็โผล่มาที่นี่ ทั้งที่ไม่เคยมาและไม่รู้จักด้วยซ้ำ ว่าที่นี่คือที่ไหน ข้าเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังช่วยกันขนหีบเหล่านี้เข้ามาในถ้ำและพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จนข้าได้รู้ว่าขบวนพ่อค้าที่พวกมันไปปล้นมาเป็นญาติห่าง ๆ ของข้าเอง ตอนนั้นข้าโกรธมาก จนไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรลงไปและไม่รู้ว่าทำได้ยังไงด้วย แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที พวกโจรเหล่านั้นก็ตายกันไปจนหมดแล้ว” ร่างบางมองหน้าหวังหรูอี้อย่างนิ่งงันหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด
“นี้...ท่านเป็นคนฆ่าโจรพวกนั้น…เหรอ” หญิงสาวถามอย่างไม่แน่ใจนัก พร้อมกับแสดงสีหน้าหวาดระแวงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรอกนะ ตอนนั้นข้าไม่รู้ตัวจริงๆ อาจจะเป็นเพราะข้าพึ่งตาย และยังต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้อีก ไหนจะเป็นห่วงบุตรชายที่ข้าพึ่งจากเขามา ก็เลยอาจจะเกิดแรงอาฆาตขึ้นมา…กะมัง” หวังหรูอี้พยายามอธิบายอย่างลนลานเสียงอ่อน เพราะกลัวว่าหญิงสาวจะมองนางไม่ดีและหวาดกลัวนาง
“เฮ้อ เอาเถอะ ไหน ๆ เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่ว่าเรื่องจะเป็นมายังไง ท่านก็เป็นที่พึ่งเดียวที่ข้ามีและรู้จัก ยังไงข้าก็เชื่อท่าน” หลี่อิงเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้บ้างในสถานการณ์แบบนี้ มันมีทั้งเห็นใจและก็แอบกลัวนิดๆ ละนะ
“ข้าให้สัญญานะ ว่าจะไม่ทำร้ายเจ้า” หวังหรูอี้บอกพร้อมกับมองหลี่อิงตาปริบ ๆ อย่างอ้อนวอนให้อีกฝ่ายเชื่อใจ
“อืม เอาเถอะ ว่าแต่ของในหีบมีอะไรบ้างละนั้น” หลี่อิงเอ่ยเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ้าว”
“ก็ข้าเป็นผี เปิดหีบไม่ได้” หวังหรูอี้กล่าว
“มียันต์ป้องกันเหรอ” หญิงสาวถามเล่นๆ
“ใช่ซะที่ไหนละ ข้าเป็นผีจับต้องวัตถุไม่ได้” หวังหรูอี้ถึงกับกลอกตามองบนกับคำถามของหญิงสาว นั้นคิดแล้วใช่ไหมที่ถามมา
“ข้าก็ล้อเล่นน่า” เมื่อเห็นอีกฝ่ายผ่อนคลายขึ้นหญิงสาวก็เดินเข้าไปใกล้หีบทั้งสี่ใบ แล้วเริ่มลงมือเปิดหีบทีละใบ โดยหีบใบที่หนึ่งและสองเป็นผ้าแพรและผ้าไหมชั้นดี ดูแล้วน่าจะราคาสูงไม่น้อย หีบใบที่สามมีหีบเล็กๆ อยู่ด้านในสี่หีบโดยสองหีบเล็กเป็นเครื่องประดับเงินและหยก สองหีบถัดมามีตำลึงทองและตำลึงเงินอยู่เต็มหีบ หีบใบใหญ่ที่สี่เป็นชุดที่ถูกตัดเย็บแล้ว พับเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบราวสิบชุดเป็นของสตรีห้าชุด บุรุษห้าชุด
“ชุดพวกนี้น่าจะซื้อมาจากเมืองอื่นเพราะดูแล้วมีความแตกต่างจากชุดที่ท่านและข้าใส่อยู่เล็กน้อยคิดว่าน่าจะนำกลับมาเป็นแบบเพื่อตัดให้กับลูกค้าที่สนใจก็เป็นได้” หลี่อิงกล่าวขึ้นเมื่อสำรวจหีบทั้งหมดครบแล้ว
“อืม” หวังหรูอี้เพียงตอบรับในลำคอเท่านั้น
“ว่าแต่นะ ถ้ามีของพวกนี้อยู่แต่แรก ท่านให้ข้าไปลำบากในป่าทำไมเจ้าค่ะ” หลี่อิงถามพร้อมกับมองหน้าหวังหรูอี้ตาขวาง
“แหะแหะ ก็ข้าลืม” หวังหรูอี้ตอบเสียงเบา
“ลืม!!” หลี่อิงถึงกับอุทานเสียงหลง
“ข้าลืมจริงๆ นะ มานึกได้ว่ามีของพวกนี้อยู่ ก็ตอนที่เจ้าเจอโสม และคิดได้ว่ามีของเหล่านี้อยู่ในถ้ำใกล้ๆ กับต้นโสม แล้วนี่เจ้ายังจะไปขุดโสมอยู่ไหม” เมื่อพูดถึงโสมแล้วพวกนางก็นึกขึ้นได้ว่าจะไปขุดโสมกัน
“ไปเจ้าค่ะ อะไรที่ทำประโยชน์ทำเงินให้ได้ข้าเอาหมดแหละเจ้าค่ะ แต่ก่อนอื่นเราคงต้องวางแผนกันอย่างจริงจังแล้วละ” เมื่อมีของมีค่ามากมายอยู่กับตัวเช่นนี้คงต้องวางแผนจัดการให้ดีเสียแล้ว
“แล้วเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้างเล่า”
“ข้าอยากไปอยู่ในเมืองเจ้าค่ะ แต่อยากได้พื้นที่ที่ห่างจากผู้คนออกมาหน่อยมีความเป็นส่วนตัวสักนิด ท่านพอจะมีแนะนำหรือไม่เจ้าค่ะ” ตอนนี้ในหัวเล็กๆ ของหญิงสาวเริ่มจินตนาการไปต่าง ๆ ตามที่ต้องการแล้ว
“ใจจริงข้าอยากให้เจ้าไปอยู่ที่เมืองหลวงจะได้หาโอกาสใกล้ชิดกับบุตรชายข้าได้...”
“ข้าไม่เอาเมืองหลวงเจ้าค่ะ” หวังหรูอี้ยังพูดไม่ทันจบหลี่อิงก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“งั้นถ้าเป็นเมืองรอบนอกละ เมืองต้าถงถือเป็นเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่ง และยังเป็นเมืองหน้าด่านก่อนที่จะเข้าเมืองหลวง ผู้คนมักแวะพักกันที่เมืองนี้ จึงทำให้ที่นี่คึกคักเป็นพิเศษ อีกทั้งกิจการร้านค้าก็ดีด้วย หากเดินทางด้วยรถม้าก็ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็ถึงเมืองหลวงแล้วแต่หากเดินเท้าก็หนึ่งวันเท่านั้น” หวังหรูอี้เสนอขึ้นมา
“อยู่ไกลจากที่นี่ไหมเจ้าค่ะ” หลี่อิงรู้สึกสนใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อเมือง เพราะเมืองแห่งนี้มีกล่าวถึงในซีรีส์เป็นเมืองที่พระเอกและพระรองพบกับนางเอกของเรื่อง อีกอย่างเมืองนี้ก็เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากเหมาะแก่การทำการค้าขายเป็นที่สุด
“ไกลพอสมควร ใช้เวลาเดินทางราวหนึ่งเดือน” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวดูสนใจเมืองนี้หวังหรูอี้จึงรีบบอกทันที
“งั้นเราก็ต้องเตรียมตัวกันให้ดีเจ้าค่ะ ไหนจะหีบพวกนี้อีกคงต้องทยอยขนออกไป แต่ตอนนี้เราไปขุดโสมกันก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ” หลี่อิงบอก ตอนนี้เก็บเกี่ยวอะไรได้ก็ต้องรีบก่อนแล้ว
“ได้ เช่นนั้นก็ตามข้ามา” หวังหรูอี้ลอยนำหญิงสาวไปยังแหล่งที่พบต้นโสมเหล่านั้น ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อก็มาถึงที่หมายอย่างที่นางบอกก่อนหน้านี้
“โห่ ทำไมมันเยอะแบบนี้ละเจ้าค่ะ คนที่นี่เขาไม่รู้จักโสมกันหรือยังไง” หลี่อิงเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าตรงหน้าแทบจะเรียกได้ว่าเป็นดงโสมเสียมากกว่า
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน รู้จักกับรู้แหล่งกำเนิดของมันต่างกันนะ” หวังหรูอี้กล่าว
“ก็จริงเจ้าค่ะ ต่อให้หาทั้งชีวิต หากหาผิดที่ผิดเวลาก็ไม่มีทางได้พบเจอมัน” หลี่อิงว่า
“เจ้าหมายถึงโสมใช่ไหม”
คำพูดของหลี่อิงเมื่อครู่ทำเอาหวังหรูอี้ต้องถามย้ำว่าหมายถึงโสมจริงๆ ใช่ไหมหรือหมายถึงอย่างอื่น“ก็ต้องโสมสิเจ้าค่ะ หากท่านหาผิดที่ก็ไม่พบต้นโสมเหล่านี้ และหากยังไม่ถึงเวลาที่พอเหมาะท่านก็ไม่สามารถที่จะเก็บพวกมันไปได้ ท่านคิดว่าข้าหมายถึงอะไรกัน” หญิงสาวตอบตาใส
“ก็นะ คำพูดของเจ้าทำให้ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ได้เจ็บซ้ำจากความรักหรืออะไรทำนองนั้นมาหรอกใช่ไหม” หวังหรูอี้ถามจี้ไปตรงๆ
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้ายังไม่เคยมีความรักเลย แล้วจะเจ็บซ้ำจากความรักได้ยังไงกันเจ้าค่ะ” หลี่อิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“งั้นหรือ” หวังหรูอี้หรี่ตามองหญิงสาวอย่างครุ่นคิด
“ข้าขุดโสมดีกว่าเจ้าค่ะก่อนที่จะค่ำมืดเสียก่อน” ที่ข้าหมายถึงก็บุตรชายท่านนั่นแหละ ถึงรักมากแค่ไหนสุดท้ายคนที่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่อยู่ดี หลี่อิงได้แต่คิดในใจ
ก่อนเวลาพลบค่ำมาถึงในที่สุดหลี่อิงก็ขุดโสมทั้งหมดเสร็จสิ้นและเดินทางกลับมายังถ้ำเพื่อพักผ่อนเอาแรงสำหรับวันพรุ่งนี้
“เจ้าไม่อาบน้ำชำระร่างกายหน่อยเหรอ” หวังหรูอี้ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าหลี่อิงเตรียมที่นอนเสร็จก็จะล้มตัวลงนอนโดยทันที
“ท่านจะให้ข้าไปอาบน้ำที่ไหนละเจ้าค่ะ แถวนี้มีลำธารด้วยหรือ” หลี่อิงถามไปอย่างนั้นเพราะตนไม่เห็นว่ามีสายน้ำหรือลำธารอยู่ใกล้นี้เลย
“มีสิ เจ้าเดินเข้าไปด้านในสุดของถ้ำนะ ในนั้นมีน้ำหยดจากหินที่ย้อยอยู่แอ่งหนึ่ง น่าจะพอให้เจ้าได้ชำระกาย” หวังหรูอี้บอก
“จริงหรือเจ้าค่ะ ท่านไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่ไหม ทำไมข้าไม่เห็นจะได้ยินเสียงน้ำหยดเลยละ” หลี่อิงถามอย่างไม่เชื่อ
“ข้าจะโกหกเจ้าให้ได้อะไรละ”
หญิงสาวยังคงมองหวังหรูอี้อย่างช่างใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินหายลับเข้าไปด้านในของถ้ำตามที่อีกฝ่ายบอก‘เวลาของเจ้าไม่ได้มีมากนักหรอกนะหวังหรูอี้’ จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาในหัวของหวังหรูอี้
‘ข้าทราบเจ้าค่ะ’หวังหรูอี้ตอบทั้งยังมองออกไปอย่างเหม่อลอยตามทิศทางที่หญิงสาวพึ่งเดินหายลับไป
“อ่า พอได้อาบน้ำแล้วสบายตัวขึ้นเยอะเลย ท่านเอาแต่มองหน้าข้ามาสักพักแล้วนะเจ้าค่ะ” หลี่อิงถามเมื่อเห็นว่าหวังหรูอี้เอาแต่มองหน้านางตั้งแต่กลับมาจากอาบน้ำ
“พออาบน้ำแล้วแต่งตัวแบบนี้ เจ้าก็งดงามไม่ต่างจากเหล่าคุณหนูในเมืองหลวงเลยสักนิด”
ชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อนบวกกับใบหน้าเรียวสวย ปากนิด จมูกหน่อย ดวงตากลมโตดูน่ามองทีเดียว หากแก้มทั้งสองข้างถูกเติมให้เต็มเหมือนซาลาเปาคงจะน่ารักกว่านี้เป็นแน่หลี่อิงรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันทีพร้อมกับรีบหลบตาด้วยความเอียงอายเมื่อเผลอสบเข้ากับดวงตาคมสวยที่มองมาอย่างชื่นชมแบบไม่ปิดบังของหวังหรูอี้ ยิ่งเห็นท่าทางแบบนั้นของหญิงสาวหวังหรูอี้ก็ได้แต่มองด้วยความเอ็นดูเพิ่มเข้าไปอีก
“ท่านเลิกมองได้แล้ว ข้าก็อายเป็นนะเจ้าค่ะ” หลี่อิงบอกเมื่อเห็นว่าหวังหรูอี้ไม่คิดจะเลิกมองนางเสียที
“หึหึ”
ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของหวังหรูอี้ แก้มนวลของหลี่อิงยิ่งแดงปลั่งขึ้นเรื่อยๆ“พอแล้ว ข้าจะนอนแล้วเจ้าค่ะ” หลี่อิงหลบหนีความเขินอายของตนเองด้วยการทิ้งตัวลงนอนแล้วเอาสองมือขึ้นมาปิดแก้มเอาไว้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แต่นั่นกลับเป็นการเพิ่มความน่าเอ็นดูให้กับหลี่อิงมากยิ่งขึ้น“ท่านหยุดหัวเราะเลยนะ งืม”
“ก็เจ้าน่าเอ็นดูนี่น่าอิงอิงน้อย” หวังหรูอี้ได้แต่อมยิ้มกับท่าทางราวกับเด็กน้อยของหญิงสาว
“ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว ฮึ”
ในเวลาเพียงไม่นานความเงียบก็เข้าปกคุม เมื่อหลี่อิงนั้นหลับสนิทไปแล้วจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน จึงทำให้เวลานี้เหลือเพียงหวังหรูอี้ที่นั่งเหม่อมองหญิงสาวที่หลับสนิทอยู่ตรงหน้า
“ข้าขอโทษนะที่ดึงเจ้าเข้ามา แต่ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าบุตรชายที่ข้ารักจะต้องเจ็บปวดเสียใจและโดดเดี่ยวเพียงใด ถือเสียว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัว ของผู้เป็นมารดาอย่างข้าก็แล้วกัน อิงอิง ข้าสัญญาว่าจะดูแลปกป้องเจ้าให้ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถข้าจะทำมันได้”
“อืม ข้าเชื่อท่านนะ ห้ามหลอกข้าละ” เสียงพึมพำแผ่วเบาดังขึ้น
“เจ้า...ไม่ได้หลับหรือ” หวังหรูอี้ถามขึ้นอย่างตระหนก แต่กลับมีเพียงความเงียบเท่านั้น นางจึงลุกขึ้นไปดูให้แน่ใจว่าหญิงสาวตอบนางจริงหรือไม่ กลับพบว่าเจ้าตัวยังคงหลับสนิทอยู่ “ละเมอหรอกหรือ” หวังหรูอี้นั่งลงข้างหญิงสาวก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวนางเบา ๆ
ในที่สุดเช้าวันใหม่ก็มาถึง พระอาทิตย์ยังไม่ทันแตะขอบฟ้าดีหลี่อิงก็ตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่สดใสเพราะได้หลับเต็มอิ่ม
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ” หลี่อิงทักทายหวังหรูอี้ด้วยน้ำเสียงใสสด
“หลับสบายหรือไม่” หวังหรูอี้ยิ้มตอบรับก่อนจะถามหญิงสาวกลับ
“สบายมากเจ้าค่ะ ท่านละเจ้าค่ะ” ร่างบางบิดตัวไปมาคายความเมื่อย
“ข้าก็เฝ้าเจ้าทั้งคืนอย่างไร”
“เอ๋ ท่านไม่ต้องพักเพื่อสะสมพลังงานหรือช่วยเหลือผู้คนสะสมบุญหรือเจ้าค่ะ” หลี่อิงถามด้วยความสงสัย เพราะส่วนใหญ่ที่เคยได้ยินมาพวกวิญญาณจะชอบมีสิ่งที่ต้องทำเพื่อสะสมพลังงานหรือบุญอะไรทำนองนั้นนี่น่า
“ไม่หรอก ข้านะหากยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องไป ข้าก็สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องสะสมบุญหรือพลังงานอะไรทั้งนั้นแหละ” หวังหรูอี้อธิบาย
“อ่อ แล้ววันนี้ ท่านจะพาข้าไปที่ไหนหรือเจ้าค่ะ” หลี่อิงเอ่ยตอบรับเมื่อเข้าใจแล้ว ก่อนจะถามต่ออย่างกระตือรือร้น
“ไม่คิดจะออกจากป่าแล้วหรือ” หวังหรูอี้เอ่ยแซวหญิงสาวเล่น
“หาของป่าก็สนุกดีเจ้าค่ะ” หลี่อิงตอบยิ้ม ๆ
“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะพาเจ้าไปเก็บเอาของดีออกจากป่านี้ให้หมดเลยดีหรือไม่” หวังหรูอี้ก็ไม่วายหยอกเย้าหญิงสาวเล่นอีกเช่นกัน
“ดีเจ้าค่ะ เอาให้หมดเลยนะเจ้าค่ะ” หลี่อิงตอบรับพร้อมรอยยิ้มกว้าง
วิญญาณของหวงหลี่อิงนั้นไม่ได้ต้องการอันใดเพียงแค่อยากมาดูเท่านั้นว่าร่างตนเป็นอย่างไรบ้าง“ข้าขอโทษนะที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ” หวงหลี่อิงเอ่ยขึ้นขณะที่นั่งอยู่ตรงหน้าหลี่อิง“ไม่เป็นไร ตอนแรกข้าก็กังวล พอรู้เช่นนี้ก็สบายใจขึ้น” หญิงสาวเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มยินดี หลี่อิงคิดว่านี้น่าจะเป็นฝันที่อีกคนสร้างขึ้นเพื่อพูดคุยกับนางเป็นแน่“จริงสิ ข้ารบกวนเจ้าหน่อยได้หรือไม่” หวงหลี่อิงเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ“อะไรหรือ”“ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากทำมาตลอดแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ถ้าจะรบกวนเจ้าให้ทำให้จะขอมากไปหรือไม่”“พูดมาเถอะ” หลี่อิงบอก“ข้าอยากไปที่วัดแห่งหนึ่งที่หวงโจ มันเป็นความปรารถนาของท่านแม่ข้าก่อนที่นางจะตาย”“ได้ข้าจะไปให้ เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรให้ที่นั่นหรือ” หญิงสาวเอ่ยถามความต้องการของหวงหลี่อิง“มีคำพูดหนึ่งที่นางมักจะบอกข้าเสมอว่าหากมีโอกาสได้ไปวานข้าบอกกับเจ้าอาวาสที่นั่น”“…..”“แม้ชีวิตนี้ของข้าจะได้ทำเพียงหน้าที่อุ้มชูร่างของคนผู้หนึ่ง แต่ข้าก็ยินดีที่จะให้ความรักทั้งหมดกับคนผู้นั้น เมื่อวิญญาณของนางมาถึงหวังว่าท่านจะดูแลอุ้มชูให้มีความสุขสงบดังที่นางตั้งใจให้เป็นไป ข้าเพียงมาทวงสัญญา”“อ
“พวกท่านจะตะโกนทำไมเจ้าค่ะ อายคนอื่นเขาไหมนั้น”หวังเยว่ชิงเอ่ยอย่างตื่นตระหนก“เอาละ ๆ พอแล้ว พวกเจ้าก็เหมือนกันน้องโตเพียงนี้แล้ว อีกไม่นานก็ต้องออกเรือน ท่านพี่ก็ด้วย”หวังเหลียนฮวาเอ่ยปราม“จริงเจ้าค่ะท่านแม่”หวังเยว่ชิงเดินเข้าไปเกาะแขนมารดาเอาไว้อย่างออดอ้อน ทำให้บุรุษตระกูลหวังได้แต่มองอย่างไม่ยินยอม“เอาเป็นว่าพวกเราแยกย้ายกันไปเที่ยวตามที่ตนเองต้องการ แล้วค่อยกลับมารวมตัวกันตรงนี้ก่อนยามจื่อ (23.00-00.59) นะเจ้าค่ะ”หลี่อิงเอ่ยขึ้น เมื่อนัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปเดินเที่ยวตามที่ต้องการและแน่นอนว่าหวังชิงเฟิงย่อมชิงตัวหลี่อิงออกมาก่อนใครทั้งคู่เดินชมบรรยากาศตามท้องถนน จนมาหยุดยืนอยู่ตรงสะพานที่มองเห็นทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำที่ถูกประดับตกแต่งด้วยโคมไฟมากมายงดงาม“ใกล้ถึงเวลาจุดพลุแล้ว อยู่ตรงนี้จะเห็นได้ชัดมากกว่า”หวังชิงเฟิงเอ่ยขึ้น มือหนาเอื้อมไปจับมือเรียวนุ่มเอาไว้และไม่นานเสียงพลุก็ดังขึ้น หลี่อิงมองพลุที่ถูกจุดขึ้นตาเป็นประกาย พร้อมรอยยิ้มกว้าง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตกอยู่ภายใต้การมองของชายหนุ่มทั้งหมด“ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งก็ยังงดงามมากเช่นเดิมท่านว่าหรือไ
ในยามนี้ที่จวนตระกูลเซียวทุกคนต่างก็พร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ทุกคนเริ่มลงมือทานอาหารนั้นหลี่ซินก็เดินเข้ามาแจ้งว่าหวังชิงเฟิงมาถึงแล้วตอนนี้อยู่ที่ห้องโถง หลี่อิงกวาดสายตามองทุกคนที่กำลังสนใจนางอยู่ตอนนี้ก็เอ่ยขอตัวออกมาหญิงสาวเดินออกมาถึงห้องโถงก็เจอกับสายตาเรียบนิ่งที่มองมาอย่างแง่งอน หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับอมยิ้มนิด ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม“เป็นอันใดเจ้าค่ะ”“เจ้าไม่รอข้า” เขาพูดอย่างแง่งอนที่หญิงสาวไม่รอให้ตนเองมาถึงก่อนค่อยเริ่มฉลองเทศกาลกัน“ท่านเป็นเด็กหรือเจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่มาถึงแล้วอย่างไรก็ไม่ควรให้รอ อีกอย่างท่านติดธุระอื่นอยู่ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไร ท่านจะใจร้ายปล่อยให้พวกท่านหิ้วท้องรอได้หรือ”หญิงสาวเอ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้มเอ็นดูคนรัก แต่นางก็เข้าใจชายหนุ่มว่าต้องการฉลองเทศกาลอย่างพร้อมหน้ากับทุกคน“ข้าขอโทษเจ้าที่เอาแต่ใจ” ใบหน้าคมคายเอ่ยอย่างออดอ้อน มือหนาคว้ามือนุ่มมานวดคลึงเบา ๆ ให้คลายอารมณ์ขุ่นมัวถึงแม้จะเป็นแค่การแกล้งแสดงออกของหญิงสาว“ข้าไม่ได้โกรธเจ้าค่ะ และเข้าใจท่านด้วย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ หลี่ซิน”หญิงสาวเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท แล
“ข้าจะบอกอะไรให้นะเจ้าคะ สตรีอย่างเราล้วนต้องการเป็นภรรยเดียว ท่านก็เช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่หาทางขายหลี่ซินออกมา สามีท่านเป็นคนที่ไม่เคยพอในเรื่องของสตรี ถ้าเป็นข้า ข้าจะทำให้เขาไม่สามารถเสพสมกับสตรีใดได้อีก”หลี่อิงเอ่ยเสียงเรียบดวงตากลมโตจ้องมองฟงกั๋วหมิงก่อนจะเลื่อนสายตาต่ำลงไปเล็กน้อยจนชายหนุ่มเผลอก้าวถอยหลังรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที“เจ้ากล้าหรือ บุรุษอย่างเรามีสามภรรยาสี่อนุยังได้ แต่สตรีเช่นเจ้าหากชื่อเสียงเสียหายก็ไม่มีใครต้องการแล้ว” ฟงกั๋วหมิงกล่าวอย่างฉุนเฉียว“เจ้าค่ะ สตรีอย่างเราต้องรักษาชื่อเสียงอย่างดีถึงจะสามารถมีชีวิตที่ดีได้ ไม่เหมือนบุรุษเช่นท่านจะเลวจะชั่วอย่างไรก็ยังมีคนให้ท้าย แต่ถ้าเกิดไปเหยียบหางเสือร้ายเข้า ยังจะมีใครกล้าออกหน้าให้อีกหรือไม่เล่าข้าก็อยากรู้เสียจริง”“หึ เจ้าเปรียบตนเองสูงไปหน่อยหรือไม่” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเย้ยหยัน“ข้าไม่กล้าเปรียบตนเองเป็นเสือร้ายหรอกเจ้าค่ะ แต่ท่านรู้ดีว่าข้าหมายถึงใคร”ร่างบางฉีกยิ้มหวานจับใจให้ชายหนุ่ม แต่มันกลับดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดในสายตาของฟงกั๋วหมิง“หวังชิงเฟิงนะหรือ เขามีคู่หมั้นแล้วและอีกอ
“เอ่อ ไม่ดีเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธ“ทำไมเล่า”“นี้มันห้องสตรีนะเจ้าค่ะ” หลี่อิงเอ่ยขึ้นทันที ดวงตากลมโตมองชายหนุ่มราวกับเห็นผี“แต่เจ้าเป็นคู่หมั้นข้าแล้ว” หวังชิงเฟิงก็ไม่น้อยหน้าเอ่ยอ้างถึงสถานะของเจ้าตัวตอนนี้“แค่ข่าวลือที่ท่านปล่อยออกไปเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยค้านทันที“หากข้าไม่ต้องการเพียงแค่ข่าวลือเล่า” สายตาคมมองหลี่อิงอย่างเจ้าเล่ห์“ถึงอย่างไรนั้นก็เป็นเพียงข่าวลือเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอกย้ำความเป็นจริง“แต่ก็เป็นข่าวลือที่มีมูลความจริง” ชายหนุ่มเองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน“……”“เจ้ากังวลอะไรอยู่” ชายหนุ่มมองเห็นความลังเลไม่มั่นคงในแววตาของหญิงสาว“เรื่องราวของพวกเรา มันไม่เร็วไปหรือเจ้าค่ะ” หลี่อิงถามขึ้นน้ำเสียงมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด“หากเจ้าคิดว่ามันเร็วไป ข้าก็จะรอจนกว่าเจ้าจะพร้อม แต่ระหว่างนี้เรื่องหมั้นของเรา เจ้าคิดเห็นอย่างไร” หวังชิงเฟิงจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวอย่างจดจ่อและคาดหวังว่าคำตอบนั้นจะตรงกับใจของเขาเช่นกัน“….. ข้ายินดีเจ้าค่ะ” หญิงสาวเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบรับคำขอของชายหนุ่ม หวังชิงเฟิงยิ้มกว้างอย่างยินดี“ข้าจะให้ท่านพ่อจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุด”“เจ้า
กลุ่มคนที่พากันมาเยือนจวนผู้อื่นแต่เช้าตอนนี้กำลังนั่งรอเจ้าของจวนอย่างสงบอยู่ที่โถงรับรอง สายตาหลายคู่มองไปรอบโถงนี้อย่างริษยาเครื่องตกแต่งถึงจะดูเรียบง่ายแต่กลับมีราคายิ่ง“เป็นเจ้าบ้านอย่างไรปล่อยให้แขกรอ” สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น นางคือฮูหยินของเจ้าเมืองต้าถงวันนี้ได้ข่าวที่ไม่ค่อยจะรื่นหูเท่าไรเกี่ยวกับหญิงสาวเจ้าของจวนจึงรบเร้าให้ผู้เป็นสามีพานางกับบุตรสาวมาที่นี่เพื่อพิสูจน์ว่าข่าวนั้นเป็นเพียงข่าวลือ“แล้วเป็นแขกอย่างไรถึงกล้าถือวิสาสะเข้าจวนผู้อื่นทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาต”เสียงหวานนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองผู้พูดอย่างไม่พอใจนัก“นี่….” นางกำลังจะเอ่ยต่อว่าผู้ที่กล้าด่านาง แต่เมื่อมองไปยังผู้พูดแล้วก็ได้แต่กลืนทุกอย่างลงคอไป ร่างเพรียวระหงของหวังเหลียนฮวาเดินเข้ามาพร้อมกับผู้เป็นสามี ด้านหลังคือหลี่อิงกับหวังชิงเฟิง ทั้งสองคู่บังเอิญเจอกันที่หน้าห้องโถงพอดีทั้งยังได้ยินคำพูดที่ไม่น่าฟังของผู้มาเยือน หวังเหลียนฮวาเลยอาสาเป็นผู้จัดการแทนหญิงสาวเพราะอย่างไรนางก็เป็นผู้ใหญ่กว่าให้หลี่อิงออกหน้าเองคงไม่เหมาะ“ท่านเสนาบดี ฮูหยินหวัง” ถงกวนหลี เจ้าเมืองต้าถงลุกขึ้นทำความเคารพทันท