“เจ้านี่นะ กะจะขายของเหล่านี้ให้ได้เงินเยอะๆ โดยที่ไม่ต้องทำงานเลยสิท่า”
“แน่นอนเจ้าค่ะ” หวังหรูอี้ได้แต่ส่ายหน้าให้กับท่าทางของหญิงสาว
“อย่างนั้นก็ไปกันเถอะ จะได้ไม่กลับมามืดค่ำ” ว่าแล้วทั้งสองก็ออกเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเก็บสมุนไพรและของป่า
“เอ๋ นั้นมันเห็ดหลินจือนี้ และยังเป็นเห็ดหลินจือแดงอีกด้วย” หลี่อิงกล่าว ตั้งแต่ที่ขุดโสมได้มาเยอะมากเมื่อวาน ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกว่าจะเจอของล้ำค่าอะไรก็ไม่น่าตกใจแล้ว
“ไม่ใช่ว่า เห็ดหลินจือสีไหนก็เป็นที่ต้องการและราคาแพงเหรอหรือ” หวังหรูอี้ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็นะสำหรับคนที่จบแพทย์...เอ่อหมอนะ จะรู้ดีว่าเห็ดหลินจือสำหรับสายพันธุ์ที่นิยมและมีสรรพคุณทางยาดีที่สุดคือ กาโนเดอร์ม่า ลูซิดั่ม (Ganoderma lucidum) หรือสายพันธุ์สีแดงนั้นเอง” หญิงสาวพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจกับความรู้ที่ตนเองยังจำได้
“อิงอิง เจ้าพูดอะไรข้าฟังไม่เห็นจะเข้าใจเลย” หวังหรูอี้ถามทั้งยังทำหน้าสงสัยใคร่รู้อย่างมาก
“ช่างเถอะๆ เอาเป็นว่าเห็ดหลินจือแดงดีที่สุดเนอะ” หลี่อิงตอบแบบตัดจบทันที ขืนให้มาอธิบายกันคงจะยาวน่าดู
“....” หวังหรูอี้ได้แต่มองตามอิงอิงของนางที่ตัดจบสิ่งที่ถามไปทั้งอย่างนั้น
“เก็บๆ โห! มีตั้งหลายดอกแน่ะ ก็นะไม่แปลกใจเท่าไร เพราะสภาพป่านี้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเห็ดหลินจือจริง ๆ นั่นแหละ” หลี่อิงพูดพึมพำอยู่คนเดียวพร้อมกับเก็บเห็ดหลินจือไปด้วย
“อิงอิง” เสียงเรียกจากหวังหรูอี้ทำให้หลี่อิงเงยหน้าขึ้นมามองดูในสิ่งที่เจ้าตัวกำลังยื่นมาให้
“หืม เดี๋ยวนะทำไมท่านจับมันได้ละ” หลี่อิงไม่ได้สนใจสิ่งที่หวังหรูอี้ยื่นให้ แต่กลับเป็นการที่เจ้าตัวสามารถจับสิ่งของได้ต่างหาก
“อ่อ ทำได้เป็นบางครั้งนะ แต่ต้องตั้งสมาธิให้มั่น ถึงจะทำได้” หวังหรูอี้นิ่งไปชั่วขณะก่อนจะอธิบายเสียงเรียบนิ่ง
“แต่ตอนนั้นท่านบอกข้าว่าทำไม่ได้นี้”
“เจ้าก็ดูสิ่งที่นำมาก่อนสิ เพียงแค่ดอกหลันฮวาเล็ก
ๆ เอง” หวังหรูอี้ว่าพร้อมกับชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้น“แล้วท่านไปเอาดอกกล้วยไม้นี้มาจากไหนละเจ้าค่ะ” หลี่อิงถามถึงกล้วยไม้ที่อีกฝ่ายส่งมาให้แทน เมื่อเห็นว่าคาดคั้นไปก็เปล่าประโยชน์
“ข้างบนนั้นไง” หวังหรูอี้ชี้ขึ้นไปบนผาหินที่อยู่ไม่ไกลนัก บนนั้นมีกล้วยไม้อยู่เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว
“เดี๋ยวนะ สือหูเหรอ” หลี่อิงพูดขึ้นก่อนจะหันไปมองหวังหรูอี้ที่ยืนส่งยิ้มมาให้อยู่ข้างๆ
“เก็บหรือไม่” หวังหรูอี้เอ่ยถาม
“ไม่เจ้าค่ะ” หลี่อิงตอบทันที ไม่ใช่ไม่อยากได้นะแต่จะขึ้นไปเก็บยังไงละ
“ทำไมละ มันมีประโยชน์และขายได้ไม่ใช่เหรอ” หวังหรูอี้ถามด้วยความสงสัย
“ทำไมนะหรือ ท่านก็น่าจะเห็นแล้ว ว่ามันอยู่สูงและยังเป็นหินผาอีกจะให้ปีนขึ้นไปยังไงเจ้าค่ะ” หลี่อิงว่า
“อ่อ ปืนขึ้นไปไม่ได้” หวังหรูอี้เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็ไปเก็บไม่ได้นี่เอง
“เจ้าค่ะ” หลี่อิงตอบพร้อมกับทำหน้ามุ่ยเพราะในใจก็อยากจะเก็บมันลงมาอยู่เหมือนกัน
“เช่นนั้นข้าเก็บให้” หวังหรูอี้กล่าวก่อนจะลอยขึ้นไปตรงที่มีกล้วยไม้อยู่แล้วทำให้มันร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว หลี่อิงได้แต่มองตามอ้าปากค้างกะพริบตาปริบ ๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ทำหน้าอะไรเจ้านะอิงอิง”
หวังหรูอี้ที่ลอยกลับลงมาเห็นหน้าตาท่าทางของหลี่อิงแล้วก็ได้แต่หัวเราะชอบใจ“หัวเราะพอหรือยังเจ้าค่ะ” หลี่อิงถามพร้อมกลับมองค้อนอีกฝ่าย
“หึหึหึ”
“ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว” หลี่อิงว่าแล้วเดินหนีไปอีกทางหนึ่ง
“อ้าว จะไปไหนละนั้น ทางกลับถ้ำอยู่ทางนี้นะ” หวังหรูอี้บอกแล้วชี้นิ้วไปยังทิศทางที่จะไปถ้ำ
“ข้าไม่ได้จะกลับถ้ำสักหน่อย ข้าได้ยินเสียงน้ำจะเดินไปดูหน่อยนะเจ้าค่ะ” หลี่อิงว่าก่อนจะเดินไปข้างหน้าต่อ เดินมาได้สักพักก็เจอกับลำธารสายหนึ่ง
“หืม มีลำธารอยู่ตรงด้วยหรือ ทำไมข้าไม่เห็นจะรู้เลยละ” หวังหรูอี้พูดขึ้นแล้วลอยไปยังลำธารสายนั้นทันที
“ท่านยังจำ หรือรู้อะไรเกี่ยวกับที่อยู่ของตนเองได้บ้างเจ้าค่ะ” หลี่อิงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหวังหรูอี้ดูจะมีความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่ไม่ปะติดปะต่อกันหนัก
“ก็นะ ข้าล่องลอยไปทั่ว โผล่ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง มันก็มีหลงลืมกันได้” หวังหรูอี้บอก แต่มีหรือที่หญิงสาวจะเชื่อทั้งหมด ก็เห็นๆ กันอยู่ ว่าบางทีก็เป็นตัวนางเองที่ชักนำให้หลี่อิงไปในทิศทางที่นางต้องการ
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” หลี่อิงรับคำแบบขอไปที
“น้ำใสมากเลย อิงอิงเจ้ามาดูสิ มีทั้งปลาทั้งหอยเต็มไปหมด” หวังหรูอี้กวักมือเรียกให้หญิงสาวเข้าไปใกล้ลำธาร
“นั้นไง ต้องมีอะไรอีกแน่” หลี่อิงพึมพำกับตนเอง
“ปลาพวกนี้ว่ายเร็วมาก เจ้าคงจับไม่ได้ แต่ถ้าเป็นหอยก็ไม่รู้ว่าจะกินมันอย่างไร” หวังหรูอี้ว่าพร้อมกับสอดส่ายสายตาไปทั่วลำธาร
“หอยหรือเจ้าค่ะ หอยขม หอยเชอรี่” ถ้าพูดถึงหอยที่กินได้ตอนนี้หลี่อิงก็นึกได้แต่หอยเหล่านี้ที่เคยกิน
“เอ่อ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อหอยเหล่านี้เลย มันกินได้หรือ” เมื่อได้ฟังชื่อหอยแปลกๆ ที่หลี่อิงพูดถึง หวังหรูอี้ถึงกลับไปไม่เป็นเลยทีเดียว เนื่องจากไม่เคยได้ยินมาก่อน
“อ่า มันเป็นชื่อหอยที่ข้ารู้จัก จากที่ที่ข้ามานะเจ้าค่ะ” หลี่อิงบอก ลืมไปเลยว่ายุคสมัยนี้ไม่รู้จักหอยเหล่านี้
“อ่อ งั้นเจ้ามาดูสิว่ามีที่เจ้ารู้จักหรือไม่” หวังหรูอี้กวักมือเรียกหญิงสาวให้เข้ามาใกล้
“เจ้าค่ะ” หลี่อิงสาวเท้าไปที่ลำธารตรงหน้าแล้วชะโงกมองลงไปดูว่ามีหอยหรือปลาอะไรอยู่บ้าง
“เป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อเห็นว่าหลี่อิงเดินเข้ามาใกล้ลำธารแล้วหวังหรูอี้จึงถามขึ้น“ปลาพวกนี้ข้าน่าจะจับได้นะเจ้าค่ะ ส่วนหอย เอะ หอยนี้มัน...” หลี่อิงเอื่อมมือลงไปจับเอาหอยที่เห็นอยู่ตรงหน้าขึ้นมาทันที มันคลายหอยสองฝาแต่ว่ามีขนาดใหญ่กว่า หลี่อิงตาโตทันที คงไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกนะ
“อะไรหรือ” หวังหรูอี้ถามขึ้น เมื่อเห็นว่าหญิงสาวหยุดชะงักไป ก่อนที่ครู่ต่อมาจะจับอะไรบางอย่างขึ้นมาจากน้ำ
“ข้าไม่แน่ใจเจ้าค่ะ แต่ถ้าเป็นอย่างที่ข้าคิด เรามีเรื่องต้องคุยกันนะเจ้าค่ะ” หลี่อิงจ้องมองหวังหรูอี้เขม็งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าทำอะไรงั้นหรือ” หวังหรูอี้ถาม พร้อมทั้งทำตาใสใส่หญิงสาวราวกับว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“เลี่ยงข้าให้ได้ตลอดนะเจ้าค่ะ ท่านเองก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร เรื่องราวที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งอย่างที่ข้าพบเจอและได้รับรู้มามันคงไม่มีคำว่าบังเอิญหรอกนะเจ้าค่ะ” หลี่อิงพูดเสียงเข้มใบหน้าหญิงสาวจริงจังยิ่ง
“เจ้าก็แค่รับเอาในสิ่งที่ได้มาก็พอแล้ว ไม่ต้องถามหาที่มาของมัน แล้วทุกอย่างจะดีเอง” หวังหรูอี้บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่กลับฟังเหมือนอ้อนวอนอยู่ในที ราวกับว่าไม่ต้องการให้หลี่อิงซักไซ้ไปมากกว่านี้
“เอาเถอะเจ้าค่ะ ข้าเชื่อว่าสักวันข้าก็จะได้รู้คำตอบที่ข้าต้องการ” น้ำเสียงของหลี่อิงก็ไม่ได้อ่อนลงเลย
“ข้าไม่อาจให้คำตอบกับเจ้าได้จริงๆ แต่เชื่อเถอะว่า ข้าจะนำพาเจ้าไปพบแต่สิ่งที่ดีต่อตัวเจ้าเอง ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้ หรือในกาลข้างหน้าก็ตาม” หวังหรูอี้พูดบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนแต่กลับหนักแน่นในความรู้สึกของหลี่อิง มันให้ความรู้สึกคล้ายกับคำสัญญาที่ได้ในฝันเมื่อคืนไม่มีผิด
“....”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเชื่อข้าในตอนนี้ แต่ให้ระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ก็แล้วกัน ดีหรือไม่” หวังหรูอี้ว่าพร้อมกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว
“ท่าน...ท่านเป็นคน ไม่สิเป็นวิญญาณเพียงตนเดียวที่ข้ารู้จักตั้งแต่มาที่นี่ ท่านชี้นำให้ข้าทำทุกอย่าง แต่ท่านก็ปิดบังข้าทุกอย่างเช่นกัน แล้วท่านจะให้ข้าเชื่อใจท่านทั้งหมดได้อย่างไร” หลี่อิงบอกเสียงอ่อนลงอีกทั้งมีความสั่นเครืออยู่ในที
“อิงอิง สักวัน...ข้าสัญญาสักวันเจ้าอาจจะได้รู้ความจริง แต่ ณ วันนี้ ตอนนี้ และต่อจากนี้ ขอแค่เจ้าเชื่อใจข้า...ได้หรือไม่” หวังหรูอี้ถามเสียงแผ่วเบาดวงตาคมสวยสั่นไหวอย่างอ้อนวอน
“.....”
“นะ เชื่อข้าได้หรือไม่เด็กดี” น้ำเสียงที่แผ่วเบาสั่นเครือนี้ทำให้หลี่อิงอดใจอ่อนไม่ได้
“ก็ได้เจ้าค่ะ” ในที่สุดก็รับปากไปจนได้สิน่าหลี่อิงเอ่ย หญิงสาวได้แต่คิดในใจ
“เช่นนั้นก็เก็บมันขึ้นมาเถอะนะ แล้วเรากลับไปพักกัน พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ ไปเริ่มต้นชีวิตของเจ้าใหม่กัน”
“อืม” ทั้งสองส่งยิ้มให้กันก่อนที่หลี่อิงจะเริ่มลงมือเก็บหอยมุกน้ำจืดที่พบกลับไปจนหมด รวมทั้งหาวิธีจับปลากลับไปด้วยเพื่อเป็นอาหารของวันนี้
“ในที่สุดก็ถึงเสียที เมืองต้าถง” หลี่อิงพูดขึ้นเมื่อเริ่มมองเห็นกำแพงเมืองด้านหน้า
ย้อนกลับไปเมื่อสองเดือนก่อน หลังจากออกจากป่าแล้ว หลี่อิงก็หาวิธีนำเอาข้าวของต่างๆ ที่อยู่ในป่าออกมาได้สำเร็จ ต่อจากนั้นก็ไปแสดงตัวที่อำเภอ เพื่อขอเอกสารยืนยันตัวตนโดยแจ้งว่าบ้านเกิดไฟไหม้ทำให้ทุกอย่างถูกไหม้ไปจนหมด เจ้าหน้าที่จึงให้คนไปตรวจสอบซึ่งก็เป็นไปตามที่หลี่อิงแจ้ง ทั้งนี้ ที่ทำได้ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากหวังหรูอี้นั้นเอง นางหาคนที่มีชื่อเดียวกันกับหลี่อิงในหมู่บ้านที่ห่างไกลแห่งหนึ่งได้ และทราบว่าหญิงสาวคนดังกล่าวมักจะเก็บตัวเงียบไม่ข้องแวะกับใคร จนกระทั่งนางป่วยตายก็ยังไม่มีใครทราบ หวังหรูอี้จึงทำการเผาบ้านของหญิงสาวคนนั้นเสีย (ด้วยวิธีใดนั้นไม่อาจทราบได้) แล้วให้หลี่อิงสวมรอยเป็นนางแทน เพราะหลี่อิงไม่สามารถกลับไปที่หมู่บ้านจริงๆ ที่ตนอาศัยได้แล้ว เนื่องจากลูกชายของผู้ดูแลหมู่บ้านนั้นรู้อยู่แล้วว่าหญิงสาวพลัดตกเขาตาย หลี่อิงจึงได้ใช้ชีวิตใหม่นี้ในนาม เซียวหลี่อิง เมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น หลี่อิงจึงออกเดินทางมายังเมืองต้าถงทันที เมืองที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างต่อจากนี้
“เจ้าคิดไว้หรือยังว่าจะทำอะไรต่อจากนี้” หวังหรูอี้เอ่ยถาม ตอนนี้พวกนางอยู่บนรถม้า กำลังรอเข้าเมือง
“ข้าคิดว่าเราควรหาซื้อจวนสักหลังเจ้าค่ะ แล้วหลังจากนี้ค่อยคิดอีกทีว่าจะทำอะไรกันต่อ”
“เจ้าอยากได้จวนแบบไหนข้าจะไปดูให้ก่อน” หวังหรูอี้พยักหน้าเห็นด้วยกับหญิงสาวก่อนจะเอ่ยถามลักษณะของจวนที่ต้องการ
“ข้าอยากได้จวนที่มีพื้นที่เยอะสักหน่อยและก็อยู่ห่างจากผู้คนเจ้าค่ะ จริงสิหากได้ที่ติดกับแม่น้ำจะดีมากเลยเจ้าค่ะ” หลี่อิงจำได้ว่าพระเอกกับพระรองใช้เมืองนี้ เป็นที่รองรับผู้คนจากแคว้นต่างๆ หลังจากที่มีการเปิดให้ทำการค้าได้อย่างอิสระเสรี รวมทั้งเรือสินค้าจากดินแดนอื่นอีกด้วย เพราะมีแม่น้ำที่เชื่อมต่อออกไปยังท่าเรือในเมืองที่ติดกับทะเล
“เดี๋ยวข้าขอตัวไปดูก่อนแล้วกัน เจอกันที่ที่ว่าการเมืองต้าถงนะ” ว่าแล้วหวังหรูอี้ก็หายออกไปจากรถม้าทันที
“หวังว่าทุกอย่างจะยังไม่เริ่มนะ ไม่งั้นราคาจวนคงแพงน่าดู” หลี่อิงพึมพำกับตัวเองเบาๆ สงสัยคงต้องไปร่างโครงเรื่องคร่าว ๆ เอาไว้ซะแล้วสิ
วิญญาณของหวงหลี่อิงนั้นไม่ได้ต้องการอันใดเพียงแค่อยากมาดูเท่านั้นว่าร่างตนเป็นอย่างไรบ้าง“ข้าขอโทษนะที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ” หวงหลี่อิงเอ่ยขึ้นขณะที่นั่งอยู่ตรงหน้าหลี่อิง“ไม่เป็นไร ตอนแรกข้าก็กังวล พอรู้เช่นนี้ก็สบายใจขึ้น” หญิงสาวเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มยินดี หลี่อิงคิดว่านี้น่าจะเป็นฝันที่อีกคนสร้างขึ้นเพื่อพูดคุยกับนางเป็นแน่“จริงสิ ข้ารบกวนเจ้าหน่อยได้หรือไม่” หวงหลี่อิงเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ“อะไรหรือ”“ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากทำมาตลอดแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ถ้าจะรบกวนเจ้าให้ทำให้จะขอมากไปหรือไม่”“พูดมาเถอะ” หลี่อิงบอก“ข้าอยากไปที่วัดแห่งหนึ่งที่หวงโจ มันเป็นความปรารถนาของท่านแม่ข้าก่อนที่นางจะตาย”“ได้ข้าจะไปให้ เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรให้ที่นั่นหรือ” หญิงสาวเอ่ยถามความต้องการของหวงหลี่อิง“มีคำพูดหนึ่งที่นางมักจะบอกข้าเสมอว่าหากมีโอกาสได้ไปวานข้าบอกกับเจ้าอาวาสที่นั่น”“…..”“แม้ชีวิตนี้ของข้าจะได้ทำเพียงหน้าที่อุ้มชูร่างของคนผู้หนึ่ง แต่ข้าก็ยินดีที่จะให้ความรักทั้งหมดกับคนผู้นั้น เมื่อวิญญาณของนางมาถึงหวังว่าท่านจะดูแลอุ้มชูให้มีความสุขสงบดังที่นางตั้งใจให้เป็นไป ข้าเพียงมาทวงสัญญา”“อ
“พวกท่านจะตะโกนทำไมเจ้าค่ะ อายคนอื่นเขาไหมนั้น”หวังเยว่ชิงเอ่ยอย่างตื่นตระหนก“เอาละ ๆ พอแล้ว พวกเจ้าก็เหมือนกันน้องโตเพียงนี้แล้ว อีกไม่นานก็ต้องออกเรือน ท่านพี่ก็ด้วย”หวังเหลียนฮวาเอ่ยปราม“จริงเจ้าค่ะท่านแม่”หวังเยว่ชิงเดินเข้าไปเกาะแขนมารดาเอาไว้อย่างออดอ้อน ทำให้บุรุษตระกูลหวังได้แต่มองอย่างไม่ยินยอม“เอาเป็นว่าพวกเราแยกย้ายกันไปเที่ยวตามที่ตนเองต้องการ แล้วค่อยกลับมารวมตัวกันตรงนี้ก่อนยามจื่อ (23.00-00.59) นะเจ้าค่ะ”หลี่อิงเอ่ยขึ้น เมื่อนัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปเดินเที่ยวตามที่ต้องการและแน่นอนว่าหวังชิงเฟิงย่อมชิงตัวหลี่อิงออกมาก่อนใครทั้งคู่เดินชมบรรยากาศตามท้องถนน จนมาหยุดยืนอยู่ตรงสะพานที่มองเห็นทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำที่ถูกประดับตกแต่งด้วยโคมไฟมากมายงดงาม“ใกล้ถึงเวลาจุดพลุแล้ว อยู่ตรงนี้จะเห็นได้ชัดมากกว่า”หวังชิงเฟิงเอ่ยขึ้น มือหนาเอื้อมไปจับมือเรียวนุ่มเอาไว้และไม่นานเสียงพลุก็ดังขึ้น หลี่อิงมองพลุที่ถูกจุดขึ้นตาเป็นประกาย พร้อมรอยยิ้มกว้าง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตกอยู่ภายใต้การมองของชายหนุ่มทั้งหมด“ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งก็ยังงดงามมากเช่นเดิมท่านว่าหรือไ
ในยามนี้ที่จวนตระกูลเซียวทุกคนต่างก็พร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ทุกคนเริ่มลงมือทานอาหารนั้นหลี่ซินก็เดินเข้ามาแจ้งว่าหวังชิงเฟิงมาถึงแล้วตอนนี้อยู่ที่ห้องโถง หลี่อิงกวาดสายตามองทุกคนที่กำลังสนใจนางอยู่ตอนนี้ก็เอ่ยขอตัวออกมาหญิงสาวเดินออกมาถึงห้องโถงก็เจอกับสายตาเรียบนิ่งที่มองมาอย่างแง่งอน หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับอมยิ้มนิด ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม“เป็นอันใดเจ้าค่ะ”“เจ้าไม่รอข้า” เขาพูดอย่างแง่งอนที่หญิงสาวไม่รอให้ตนเองมาถึงก่อนค่อยเริ่มฉลองเทศกาลกัน“ท่านเป็นเด็กหรือเจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่มาถึงแล้วอย่างไรก็ไม่ควรให้รอ อีกอย่างท่านติดธุระอื่นอยู่ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไร ท่านจะใจร้ายปล่อยให้พวกท่านหิ้วท้องรอได้หรือ”หญิงสาวเอ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้มเอ็นดูคนรัก แต่นางก็เข้าใจชายหนุ่มว่าต้องการฉลองเทศกาลอย่างพร้อมหน้ากับทุกคน“ข้าขอโทษเจ้าที่เอาแต่ใจ” ใบหน้าคมคายเอ่ยอย่างออดอ้อน มือหนาคว้ามือนุ่มมานวดคลึงเบา ๆ ให้คลายอารมณ์ขุ่นมัวถึงแม้จะเป็นแค่การแกล้งแสดงออกของหญิงสาว“ข้าไม่ได้โกรธเจ้าค่ะ และเข้าใจท่านด้วย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ หลี่ซิน”หญิงสาวเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท แล
“ข้าจะบอกอะไรให้นะเจ้าคะ สตรีอย่างเราล้วนต้องการเป็นภรรยเดียว ท่านก็เช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่หาทางขายหลี่ซินออกมา สามีท่านเป็นคนที่ไม่เคยพอในเรื่องของสตรี ถ้าเป็นข้า ข้าจะทำให้เขาไม่สามารถเสพสมกับสตรีใดได้อีก”หลี่อิงเอ่ยเสียงเรียบดวงตากลมโตจ้องมองฟงกั๋วหมิงก่อนจะเลื่อนสายตาต่ำลงไปเล็กน้อยจนชายหนุ่มเผลอก้าวถอยหลังรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที“เจ้ากล้าหรือ บุรุษอย่างเรามีสามภรรยาสี่อนุยังได้ แต่สตรีเช่นเจ้าหากชื่อเสียงเสียหายก็ไม่มีใครต้องการแล้ว” ฟงกั๋วหมิงกล่าวอย่างฉุนเฉียว“เจ้าค่ะ สตรีอย่างเราต้องรักษาชื่อเสียงอย่างดีถึงจะสามารถมีชีวิตที่ดีได้ ไม่เหมือนบุรุษเช่นท่านจะเลวจะชั่วอย่างไรก็ยังมีคนให้ท้าย แต่ถ้าเกิดไปเหยียบหางเสือร้ายเข้า ยังจะมีใครกล้าออกหน้าให้อีกหรือไม่เล่าข้าก็อยากรู้เสียจริง”“หึ เจ้าเปรียบตนเองสูงไปหน่อยหรือไม่” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเย้ยหยัน“ข้าไม่กล้าเปรียบตนเองเป็นเสือร้ายหรอกเจ้าค่ะ แต่ท่านรู้ดีว่าข้าหมายถึงใคร”ร่างบางฉีกยิ้มหวานจับใจให้ชายหนุ่ม แต่มันกลับดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดในสายตาของฟงกั๋วหมิง“หวังชิงเฟิงนะหรือ เขามีคู่หมั้นแล้วและอีกอ
“เอ่อ ไม่ดีเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธ“ทำไมเล่า”“นี้มันห้องสตรีนะเจ้าค่ะ” หลี่อิงเอ่ยขึ้นทันที ดวงตากลมโตมองชายหนุ่มราวกับเห็นผี“แต่เจ้าเป็นคู่หมั้นข้าแล้ว” หวังชิงเฟิงก็ไม่น้อยหน้าเอ่ยอ้างถึงสถานะของเจ้าตัวตอนนี้“แค่ข่าวลือที่ท่านปล่อยออกไปเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยค้านทันที“หากข้าไม่ต้องการเพียงแค่ข่าวลือเล่า” สายตาคมมองหลี่อิงอย่างเจ้าเล่ห์“ถึงอย่างไรนั้นก็เป็นเพียงข่าวลือเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอกย้ำความเป็นจริง“แต่ก็เป็นข่าวลือที่มีมูลความจริง” ชายหนุ่มเองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน“……”“เจ้ากังวลอะไรอยู่” ชายหนุ่มมองเห็นความลังเลไม่มั่นคงในแววตาของหญิงสาว“เรื่องราวของพวกเรา มันไม่เร็วไปหรือเจ้าค่ะ” หลี่อิงถามขึ้นน้ำเสียงมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด“หากเจ้าคิดว่ามันเร็วไป ข้าก็จะรอจนกว่าเจ้าจะพร้อม แต่ระหว่างนี้เรื่องหมั้นของเรา เจ้าคิดเห็นอย่างไร” หวังชิงเฟิงจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวอย่างจดจ่อและคาดหวังว่าคำตอบนั้นจะตรงกับใจของเขาเช่นกัน“….. ข้ายินดีเจ้าค่ะ” หญิงสาวเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบรับคำขอของชายหนุ่ม หวังชิงเฟิงยิ้มกว้างอย่างยินดี“ข้าจะให้ท่านพ่อจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุด”“เจ้า
กลุ่มคนที่พากันมาเยือนจวนผู้อื่นแต่เช้าตอนนี้กำลังนั่งรอเจ้าของจวนอย่างสงบอยู่ที่โถงรับรอง สายตาหลายคู่มองไปรอบโถงนี้อย่างริษยาเครื่องตกแต่งถึงจะดูเรียบง่ายแต่กลับมีราคายิ่ง“เป็นเจ้าบ้านอย่างไรปล่อยให้แขกรอ” สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น นางคือฮูหยินของเจ้าเมืองต้าถงวันนี้ได้ข่าวที่ไม่ค่อยจะรื่นหูเท่าไรเกี่ยวกับหญิงสาวเจ้าของจวนจึงรบเร้าให้ผู้เป็นสามีพานางกับบุตรสาวมาที่นี่เพื่อพิสูจน์ว่าข่าวนั้นเป็นเพียงข่าวลือ“แล้วเป็นแขกอย่างไรถึงกล้าถือวิสาสะเข้าจวนผู้อื่นทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาต”เสียงหวานนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองผู้พูดอย่างไม่พอใจนัก“นี่….” นางกำลังจะเอ่ยต่อว่าผู้ที่กล้าด่านาง แต่เมื่อมองไปยังผู้พูดแล้วก็ได้แต่กลืนทุกอย่างลงคอไป ร่างเพรียวระหงของหวังเหลียนฮวาเดินเข้ามาพร้อมกับผู้เป็นสามี ด้านหลังคือหลี่อิงกับหวังชิงเฟิง ทั้งสองคู่บังเอิญเจอกันที่หน้าห้องโถงพอดีทั้งยังได้ยินคำพูดที่ไม่น่าฟังของผู้มาเยือน หวังเหลียนฮวาเลยอาสาเป็นผู้จัดการแทนหญิงสาวเพราะอย่างไรนางก็เป็นผู้ใหญ่กว่าให้หลี่อิงออกหน้าเองคงไม่เหมาะ“ท่านเสนาบดี ฮูหยินหวัง” ถงกวนหลี เจ้าเมืองต้าถงลุกขึ้นทำความเคารพทันท
“ต้องขออภัยท่านเสนาบดีและฮูหยินแล้วขอรับที่ไม่สามารถต้อนรับให้ดีกว่านี้ได้” เจียงหวงเอ่ยขึ้นในขณะที่นั่งอยู่บนรถเข็น“ไม่เป็นไร” เสียงทุ้มเรียบนิ่งเอ่ยบอก มือแกร่งยกชาที่สาวใช้นำมารับรองขึ้นดื่มช้า ๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ เจียงหวงที่มองอยู่ถึงกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ นี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรองผู้มีอำนาจเช่นนี้จึงกังวลไม่น้อยเช้านี้ได้รับแจ้งจากคนเฝ้าประตูว่าคุณชายตระกูลหวังเดินทางมาถึงกันแล้วหลังกลับไปเมืองหลวงได้สองวันแต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือเสนาบดีหวังพร้อมฮูหยินและบุตรสาวจะเดินทางมาด้วย“รอนานหรือไม่เจ้าคะ” เสียงหวานใสเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมเฟยหรง ดีที่หลี่ซินวิ่งมาบอกทันก่อนที่นางจะทำกิริยาไม่เหมาะสมออกไปสายตาคมดุดันมองผู้มาใหม่อย่างพิจารณาในขณะที่หวังเหลียนฮวามองมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน“คารวะท่านเสนาบดีหวัง ฮูหยินหวังเจ้าค่ะ” หลี่อิงย่อตัวทำความเคารพทั้งสองคน เฟยหรงที่ยืนอยู่ด้วยจึงทำตาม“งดงามน่ามองเสียจริง” หวังเหลียนฮวาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวผู้มาใหม่ ได้ยินแต่คำบอกเล่าจากบุตรชายคนรองพอเห็นเช่นนี้แล้วก็รู้สึกได้ว่าคำพูดของหวังเลี่ยงรุ่ยไม่ได้เกินจริงนัก“ขอบคุณเ
“ข้าสร้างเอาไว้เพื่อศึกษาตำรายาและรักษาคนในจวนเพราะที่นี่อยู่ห่างจากร้านหมอ กลัวว่าจะเสียเวลาเดินทางเจ้าค่ะ หากพวกท่านจะสังเกตบริเวณหนึ่งของพื้นที่ถูกสร้างเป็นที่เพราะปลูกสมุนไพรโดยเฉพาะ ในป่าด้านข้างนี้ก็เช่นกันเจ้าค่ะ ข้าให้คนงานนำสมุนไพรบางส่วนมาปลูกเอาไว้ด้วย ไหนจะสมุนไพรที่เราเก็บมาระหว่างเดินทางข้าก็จะนำมาปลูกเอาไว้เช่นกัน”หลี่อิงตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ทุกสายตาล้วนมองไปยังด้านที่เป็นป่าซึ่งน่าจะมีพื้นที่หลายสิบหมู่ด้วยกัน“นี่พี่สาวเซียวปลูกป่าเพื่อใช้ปลูกสมุนไพรเลยหรือ”หวังเลี่ยงรุ่ยเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ“ปึก!” หวังชิงเฟิงที่ได้ยินคำพูดของน้องชายอดไม่ไหวถึงกับเอื้อมมือหนาไปตบลงบนหัวหวังเลี่ยงรุ่ยทันที“โอ๊ย!” ทุกคนมองภาพนั้นโดยไม่ได้รู้สึกเห็นใจชายหนุ่มสักนิดกลับดูจะพอใจกันมากกว่า“เจ้าก็คิดได้นะ” เป็นเฟยเทียนที่เอ่ยขึ้นอย่างระอาเล็กน้อย“ป่าตรงนี้มันมีอยู่ก่อนแล้ว ข้าเพียงให้คนมาถางต้นไม้เล็กๆ ออกสักหน่อยเพื่อปลูกสมุนไพรและพืชที่อาศัยต้นไม้ใหญ่ในการเติบโตก็เท่านั้นเอง” หลี่อิงอธิบายให้ชายหนุ่มเข้าใจ“อ่อ แหะ” หวังเลี่ยงรุ่ยตอบรับอย่างเก้อเขิน“แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะปล
ในที่สุดการเดินทางที่แสนจะยาวนานก็สิ้นสุดลงเมื่อพวกเขามองเห็นกำแพงเมืองต้าถง หลี่อิงยิ้มกว้างทันทีชี้ชวนให้เฟยหรงมองกำแพงเมืองที่ต่อจากนี้ที่นี่จะกลายเป็นบ้านอีกหลังของนางแล้วอวิ๋นเฟยควบม้าตีคู่มากับหวังเลี่ยงรุ่ย ตามด้วยหวังชิงเฟิงกับหญิงสาวตีคู่มากับเฟยเทียนที่มีน้องสาวนั่งอยู่ด้วย ด้านหลังเป็นขบวนรถม้าของพวกเขาที่ค่อนข้างจะยาวพอสมควรต่อแถวเข้าเมืองอยู่สักพักในที่สุดก็จะถึงจวนของหญิงสาวแล้ว พวกเขาไม่ได้เสียเวลานานอย่างที่คิดเพราะเพียงแค่ทหารรักษาการณ์เห็นหน้าสองพี่น้องก็ปล่อยผ่านเข้าเมืองมาอย่างง่ายดาย“ข้าก็พึ่งรู้ว่าหน้าตาพวกท่านใช้เป็นใบผ่านทางได้ด้วย” หลี่อิงเอียงตัวไปมองหน้าชายหนุ่มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นยิ้ม ๆ“หึ” หวังชิงเฟิงเพียงหัวเราะในลำคอเท่านั้นไม่ได้ตอบอะไรหญิงสาวออกไป“พวกท่านรู้จักทางไปจวนข้าด้วยหรือ” หญิงสาวถามขึ้นเมื่อเห็นอวิ๋นเฟยนำทุกคนไปยังจวนของนางได้ถูก“เจ้าก็รู้ว่าข้าสืบมาหมดแล้ว” ชายหนุ่มตอบหญิงสาวเสียงนิ่ง เมื่อนึกได้ดังนั้นหลี่อิงก็ไม่แปลกใจแล้วระหว่างทางที่มาผู้คนต่างให้ความสนใจพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะคุณชายคนดังของเมืองหลวงอย่างสองพี่น้องตระกูลหวังที่น