LOGIN(ต่อ)
“ลินอยู่ที่นี่สบายดีค่ะ”
สบายที่ว่าคือจิตใจ อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยหวาดระแวงว่าจะได้พบเขาโดยบังเอิญหรืออาจพบคนที่รู้จักเขา กลัว… หล่อนรู้ตัวเองดีว่าหวาดกลัวการพบกันในวันข้างหน้าอย่างที่สุด
“ตามใจเรา” ในที่สุดกีรติก็พ่ายแพ้จนต้องล้มเลิกความต้องการของตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่เขาก็ไม่อาจแน่ใจ แต่ที่รู้แน่ก็คือหัวใจของน้องสาวแข็งกระด้างเย็นชาไปมากกว่าเมื่อสามปีก่อน กำแพงน้ำแข็งข้างในทั้งสูงชันทั้งหนาวเหน็บ การเป็นซิงเกิลมัมที่ต้องพบเจอคำสบประมาทของคนมากมายหล่อหลอมให้เด็กสาวใสซื่อผู้อ่อนหวานกลายเป็นคนแข็งกระด้างเย็นชาจนน่าใจหาย
“แล้วเรื่องฝากไอ้แสบวันเสาร์นี้ล่ะ”
“ยังเหมือนเดิมค่ะ แต่ตอนเย็นพี่กี้ต้องพารักมาส่งลินนะคะ ลินไม่สะดวกไปรับแกเอง”
“สบายมาก”
ใบหน้าของกีรติมีสีเลือดขึ้น ก่อนจะยิ้มกว้างด้วยเหตุว่าเขาเป็นลุงที่เห่อหลานมาก ทุกวันเสาร์ลิลลาต้องไปพบเจ้านายเพื่อพูดคุยเรื่องงาน หญิงสาวทำงานเป็นนักพิสูจน์อักษรให้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งมาเกือบสองปีแล้ว แม้จะเป็นงานแบบพาสไทม์ ทว่ารายได้ก็มากพอ เมื่อนับรวมกับรายได้จากการทำขนมไทยง่ายๆ ส่งขายให้ร้านประจำสองสามร้านมาตั้งแต่มัธยมปลาย เรื่องการเงินลิลลาไม่เคยปริปากขอ แม้จะได้รับส่วนแบ่งจากบริษัทอยู่ทุกเดือน แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรมากเกินกว่าที่ได้เลย
เขาภูมิใจในตัวเธอ แม้จะไม่ใช่พี่น้องที่คลานตามกันออกมา แต่ก็นับได้ว่าลิลลาเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ ชายหนุ่มละสายตาจากมารดาของหลานกลับมาหาหลานชายตัวจ้อยที่กำลังดูดขวดนมมองตาแป๋วอยู่ขณะนี้
“ไงไอ้เสือ เสาร์นี้จะได้วิ่งคลุกหญ้าอีกแล้วนะ” เจ้าตัวน้อยบนตักหัวเราะเอิ้กอ้ากราวกับเข้าใจคำพูด กีรติโน้มใบหน้าลงไปจูบขมับเล็กแรงๆ อย่างแสนรัก ใครจะหาว่าเขาเห่อหลานก็คงจะใช่ เพราะเขาทั้งรักทั้งหลงจนแทบจะยกสมบัติให้เจ้าตัวน้อยหมดตัว หากไม่นึกขึ้นได้ก่อนว่าหลานชายเพียงคนเดียวอายุยังไม่ถึงสองขวบดี
“แล้ววันนี้มีอะไรทานบ้าง พี่ยังไม่ทานอะไรมาเลย”
ลิลลาผละลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องครัวโดยไม่พูดอะไร หญิงสาวค้นตู้เย็นนำของสดและผักออกมา กับข้าวธรรมดาที่พี่ชายชื่นชอบถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวเลือก ขณะที่กำลังเตรียมอาหารหางตายังคงมองลุงกับหลานเล่นขี้ม้าส่งเมืองกันบนพื้นได้ยินเสียงหัวเราะแหลมสูงของลูกชายก็พลอยยิ้มตาม
“ฮี่ๆ” เสียงห่ามดังถี่ๆ เลียนแบบเจ้าม้าแคระที่หลานชื่นชอบกับท่าทางกระโดดต่ำๆ นั้นทำเอาเจ้าตัวเล็กบนหลังหัวเราะเสียงแหลมเล็กจนแทบจะขาดใจ แขนอวบๆ เกาะเกี่ยวรอบคอคุณลุงเอาไว้แน่น ทว่าใบหน้ากลับมีแต่รอยยิ้มไร้ซึ่งความหวาดกลัว
กีรติหัวเราะตาม หลังจากได้ยินเสียงหลานหัวเราะดังจนคนเป็นแม่ตวัดหางตาดุๆ มาปราม ชายหนุ่มค่อยๆ นั่งลง มือใหญ่โอบหลังไปจับลำตัวหลานมาขี่คอต่อ พอจับเจ้าตัวจ้อยเข้าที่ได้ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เสียงกรีดร้องเล็กแหลมของหลานตัวแสบดังจนคนในครัวเริ่มตาขวาง
“เบาๆ หน่อยไอ้แสบ แม่เราตาขวางแล้ว”
ลิลลาได้ยินลุงหลานทำท่าทางหัวเราะอุบอิบก็ส่ายหน้า แม้จะเฝ้าปฏิเสธความหวังดีของพี่ชายต่างสายเลือดมาตลอด ทว่ากีรติก็ไม่เคยทอดทิ้งหล่อนและลูกไปไหน หลายครั้งที่ความอ่อนแอรุมเร้าก็ได้มือของเขาโอบอุ้มเอาไว้ นับตั้งแต่วันนั้นเมื่อสามปีก่อน หล่อนก็ไม่ได้พบผู้ชายคนนั้นอีกเลย และไม่ต้องการพบ กระทั่งค่ำคืนแห่งความอัปยศตามมาหลอกหลอนเมื่อผู้ชายคนนั้นทิ้งบางสิ่งเอาไว้ให้หล่อนเจ็บแค้นใจ
ช่วงเวลานั้นมีหลายครั้งที่ความคิดชั่วๆ วูบแล้ววูบเล่าผ่านเข้ามา แต่หล่อนก็มีสติพอจะผ่านมันไปได้
ลูกไม่ผิด! หล่อนคิดเสมอว่ากานต์รักคือของขวัญจากฟ้าที่ส่งลงมาให้คนหมดสิ้นความหวังมีพลังก้าวต่อ
วินาทีที่รู้ว่า ‘ท้อง’ หล่อนล้มทั้งยืน แข้งขาอ่อนแรงจนทรุดฮวบลงไปบนพื้นห้องน้ำ ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด เฝ้าถามแต่เพียงคำถามเดิมๆ ว่าทำไม ทำไม ทำไม อยู่ร่ำไป ไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงพยุงกายตนเองขึ้นจากพื้น ณ ช่วงเวลานั้นหล่อนเคยคิดว่าอยากตาย อยากไปให้พ้นๆ จากคนเลวที่เฝ้าแต่ทำลายชีวิตของหล่อน
กระทั่งเบอร์โทรคุ้นเคยของพี่ชายเพียงคนเดียวโทรเข้ามา
(“อยู่ไหน ทำอะไรอยู่ ทำไมโทรหาไม่ติดเลย พี่เป็นห่วงนะรู้ไหม”)
คำถามง่ายๆ แสนธรรมดา แต่กลับมีค่ากับคนที่หัวใจอ่อนไหว ลิลลาปล่อยน้ำตาให้ไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่ได้ สุดท้ายแล้วคนที่หล่อนเหลือก็คือเขาเพียงคนเดียว พี่ชายที่หล่อนคอยผลักไสและกล่าวหาว่าเขาใจร้ายเสมอมา
กีรติมาพบหล่อนในอีกสามเดือนต่อมา ซึ่งขณะนั้นหล่อนทำใจให้เข้มแข็งมากพอ และพร้อมจะเผชิญหน้ากับพี่ชายแล้ว แต่ทันทีที่กีรติเห็นสภาพที่เปลี่ยนไป หน้าท้องพองนูน และรูปร่างอวบอัดก็แทบคลั่ง อีกฝ่ายกล่าวหาเอ่ยว่าจาหยาบคายไปถึง ‘ปกปักษ์’ อดีตคนรักของหล่อนจนแทบฟังไม่ทัน
“ไอ้แสบชอบนักนะขี่คอลุงเนี่ยหืม” เสียงของสองลุงหลานหัวเราะสดใสยังคงดังคลอมาเรื่อยๆ ความสุขบางครั้งก็แค่เรื่องง่ายๆ ที่ทำได้ใกล้ๆ ตัว ลิลลาจึงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มบางๆ มองภาพสองลุงหลานจนทั้งคู่โอบอุ้มกันไปนั่งบนโซฟาจึงละสายตากลับมาที่ข้าวของตรงหน้าและเริ่มลงมือทำอาหารอย่างจริงจังเสียที
กีรติอุ้มหลานมานั่งบนตักขณะที่เขาทิ้งกายบนโซฟาอย่างเหนื่อยหอบ เสี้ยวหน้าของเจ้าตัวแสบพองกลมอยู่ใกล้ๆ ให้ความรู้สึกคุ้นเคยชอบกล เขาเพ่งมองเนิ่นนานจนกระทั่งสะบัดหัวแรงๆ
“หน้าตาเรานี่มันคุ้นจนน่ากลัว”
ปีนี้กานต์รักอายุขวบกว่าแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็ครบสองขวบ ความตั้งใจเดิมที่จะฉลองวันคล้ายวันเกิดให้เจ้าตัวเล็กคือการพาสองแม่ลูกไปเที่ยวเกาะล้าน เขาหาข้อมูลไว้เรียบร้อย วางโปรแกรมยาวเหยียดแต่ดันลืมถามความสมัครใจของน้องสาว ทว่าพอจะเอ่ยปากวันนี้ลิลลาก็เหมือนจะยังไม่สบายใจจากฝันร้าย
เอาไว้วันเสาร์แล้วกัน!
ชายหนุ่มบอกตัวเองก่อนก้มมองร่างเล็กจ้อยในอ้อมแขน ใบหน้ากลมกับปากเล็กกำลังบ่นงึมงำตามประสาเด็กกำลังหัดพูด เขาเอ็นดูรักใคร่ในตัวกานต์รักอย่างหมดใจ แม้จะยังคลางแคลงใจในตัวบิดาของหลาน ทว่าอย่างไรเสียเด็กที่เกิดมาไม่ว่าจะจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็เป็นดั่งผ้าขาวบริสุทธิ์ ยิ่งเป็นผ้าขาวเพียงผืนเดียวในชีวิตลิลลาเขายิ่งต้องโอบอุ้มดูแลอย่างดี แม้ลิลลาจะเป็นน้องสาวต่างสายเลือด แต่หญิงสาวก็เป็นครอบครัวคนสุดท้ายในชีวิต หลังจากบิดาและมารดาของเขาจากไปด้วยอุบัติเหตุพร้อมบิดามารดาของลิลลา สาวน้อยใสซื่อในวันนั้นก็อยู่ในการอุปการะของเขามาโดยตลอด ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี กระทั่งเมื่อสามปีก่อนเกิดเรื่องเกิดราวมากมายขึ้น และนั่นเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตทั้งของเขา ลิลลา และกานต์รัก
“วันนี้ไม่ทำขนมเหรอลิน” ร่างสูงใหญ่ที่กำลังนั่งหยอกล้อกับเจ้าตัวน้อยเปิดปากถาม หากก็ไม่ละสายตาไปจากใบหน้ากลมๆ ของเจ้าตัวแสบ
“ลินทำเสร็จตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วค่ะ ร้านมารับไปแล้ว วันนี้ร้านสั่งไม่เยอะ”
น้ำเสียงถามตอบเรียบเรื่อยอย่างเคย ก่อนร่างบอบบางซูบเซียวจะยกสำรับกับข้าวทั้งของคาวของหวานออกมาที่โต๊ะรับประทานอาหารใกล้ๆ ห้องครัว กับข้าววันนี้มีเพียงสามอย่าง ผัดผักรวมมิตร ไข่เจียวหมูสับ และแกงจืดตำลึง ลิลลาวางกับข้าวของผู้ใหญ่ลงบนโต๊ะ ก่อนเดินกลับเข้าไปเตรียมอาหารสำหรับบุตรชายอีกรอบ
ข้าวไข่ตุ๋น ซุปข้าวโพด ขนมปังชุบไข่ทอด และกล้วยหอมสุกหั่นพอดีคำครึ่งผล กานต์รักเป็นเด็กกินง่าย และกินจุ เจ้าตัวแสบกินทุกอย่างไม่มีบ่น ไม่มีติ อะไรที่เอาเข้าปากแล้วกลืนลงท้องได้เจ้าตัวจับฟาดเรียบ ช่วงหลังๆ มาของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่อาจถูกจับลงกระเพาะจึงถูกคุณลุงผู้เห่อหลานโยนทิ้งไปเสียมาก
“มาเดี๋ยวพี่ป้อนไอ้แสบเอง” กีรติกระตือรือร้นที่จะป้อนข้าวหลานจนแทบจะเป็นตื่นเต้นอยู่รอมร่อ นานทีปีหนเขาจะได้มีโอกาสดูแลหลานรักเพราะงานที่เริ่มรัดตัวจนแทบปลีกเวลามาดูแลแก้วตาดวงใจไม่ได้ แม้ปัจจุบันเจ้าตัวแสบของเขาจะเริ่มหยิบจับทานอาหารเองได้ แต่อาหารบางอย่างผู้ใหญ่ก็ยังคงต้องป้อนอยู่
“ทานเยอะๆ จะได้โตไวไว”
“กลัวจะอ้วนน่ะสิคะ รอบที่แล้วคุณหมอยังแซวว่ากานต์รักน้ำหนักใกล้เกินเกณฑ์” ลิลลาส่ายหน้ามองพี่ชายกับลูกสลับกันด้วยความอ่อนใจ
แม้จะยังไม่ได้อ้วนจ้ำม้ำเกินเกณฑ์มาตรฐานแต่ก็มีแนวโน้มจะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการตามใจของลุง
“อ้วนอะไรกัน ไอ้แสบของลุงกำลังจ้ำม้ำน่ารักต่างหาก” คนเป็นลุงผู้เห่อหลานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พยักหน้าคุยกับหลานชายอย่างอารมณ์ดี เจ้าตัวน้อยเองก็หัวเราะรับงึมงำยามที่คุณลุงของแกพูดด้วยราวกับว่าเข้าอกเข้าใจกันดี
ลิลลามองภาพนั้นแล้วสะท้านในอก วันนี้ลูกยังเล็กนักไม่รู้ความอะไรมาก แต่วันข้างหน้าล่ะ หญิงสาวนึกสะเทือนใจเมื่อถึงวันที่เธอต้องตอบคำถามของลูก
พ่อไปไหน…
หล่อนจะตอบอย่างไรได้ หากตอบว่าเขา ‘ตาย’ ไปแล้วจะดีหรือ
แต่หากตอบว่าไม่รู้จะยิ่งเลวร้ายลงไปกว่าเดิมหรือไม่
แล้วคนอื่นล่ะ คนรอบกายที่อาจกล่าวร้ายต่อหัวใจดวงน้อยที่หล่อนเฝ้าทะนุถนอม หล่อนจะทำอย่างไร จะปกป้องหัวใจของลูกได้อย่างไร
กลัว… ลิลลารู้สึกเช่นนี้เรื่อยมา และไม่แน่ใจว่าจะมีวันหมดไปหรือไม่ หล่อนกลัวทุกสิ่ง หวาดระแวงในทุกๆ วันที่หายใจ แม้ตัวหล่อนจะผ่านพ้นช่วงเวลาอันแสนทุกข์ทรมานมาได้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าบุตรชายของหล่อนจะก้าวผ่านสิ่งเหล่านั้นได้ง่ายๆ เพราะแม้กระทั่งตัวหล่อนเองก็เกือบจะก้าวไม่ผ่านมันเช่นกัน
คำครหา คำพูดส่อเสียด คำสบประมาท และวาจาร้ายกาจที่ได้ยินมาตั้งแต่ท้องจนกระทั่งคลอดมันบั่นทอนจิตใจของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงมาโดยตลอด แม้จะบอกให้ตัวเองเข้มแข็ง แต่สุดท้ายคำพูด รวมถึงการกระทำเหล่านั้นก็ยังคงฝังอยู่ในหัว และบ่อนทำลายกำลังใจได้เสมอมา
ลิลลากลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นกานต์รักอาจไม่เข้มแข็งพอ
ลูกไม่มีพ่อ! คำพูดตราหน้าที่หล่อนกลัวว่าลูกจะได้รับ
ไม่มีใครยอมรับได้หรอก หากรู้ว่าตนเองเกิดมาจากความผิดพลาดของผู้ให้กำเนิด แม้สุดท้ายแล้วหล่อนจะอุ้มชูดูแลลูกอย่างดี แต่สิ่งที่หล่อนหลีกหนีไม่ได้คือวันนั้นหล่อนพลาดจริงๆ พลาดที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือทุกอย่างจนกระทั่งมันส่งผลต่ออนาคต และทำลายทุกอย่างในชีวิตของหล่อนลง
ทว่า… ในความผิดพลาดเหล่านั้น กานต์รักไม่นับรวมอยู่ในนั้น เพราะไม่ว่าอย่างไร ลูกชายของเธอก็คือทุกๆ อย่างในชีวิต และเป็นดั่งแสงเทียนเล่มสุดท้ายที่ต่อลมหายใจของผู้หญิงคนนึงเสมอมา ดังนั้นหล่อนจึงตั้งชื่อของบุตรชายให้มีความหมายอย่างที่หัวใจหล่อนปรารถนา
กานต์รัก แปลว่า รัก และเป็นที่รัก… ตลอดไป
“ไปเอาเอกสารที่บริษัทให้พี่หน่อย”“เอกสารอะไร?”“เอกสารเรื่องสัญญาซื้อขายนักเตะของอินทรีเหล็กไงเจอแล้วเอาไปส่งให้ไอ้กี้ด้วย แท้งกิ้วมากน้องชาย อ่อ ก่อนเที่ยงของวันนี้นะ อย่าลืมล่ะ บาย”ตัดสายทันทีที่สั่งงานจบ ไม่เหลือเวลาให้น้องตั้งตัวหรือกล่าวปฏิเสธ ด้วยรู้ดีว่าหากจิณณวัตรได้ยินชื่อกีรติไม่ว่าเรื่องอะไรย่อมไม่กล้าขัดใจแน่นอนสัญญาณตัดไปแล้วเหลือทิ้งไว้แต่เพียงความมึนงงในคำพูด และคำสั่งของผู้เป็นพี่ จิณณวัตรวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะข้างตัว ใบหน้าหล่อเหลาคมสัน ดวงตาคมดุเหมือนบิดาเหลือบมองกองเอกสารงานของตัวเองแล้วถอนหายใจ ชายหนุ่มส่ายหน้า หากไม่ลืมเงยมองนาฬิกาเพื่อกะระยะเวลาให้พอเหมาะ ครั้นเห็นว่ายังพอเหลือเวลาอีกโขจึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่ออีกสักครู่ ความเงียบที่แทรกเข้ามาทำให้ชื่อของผู้เป็นหัวข้อสนทนาวนเวียนกลับมาให้เขาอึดอัดใจกีรติ… พอพูดถึงพี่ชายข้างบ้านก็พาลให้นึกถึงน้องสาวบุญธรรมของอีกฝ่าย เกือบสามปีในความเป็นจริงแต่เป็นสามสิบปีในความรู้สึกของเขา ทุกครั้งที่เห็นหลังคายังไม่ต้องเห็นบ้านหัวใจก็ร้าวรานจนแทบจะขาดรอนลิลลาจะเป็นอย่างไรบ้าง สุขสบายดีหรือไม่ มีรอยยิ้มแย้มสรวลเช่นอดีตบ้างไห
บทที่ 2 กงเกวียนกำเกวียนใบหน้าหล่อร้ายกับดวงตาสีดำสนิทเหม่อลอยจดจ้องมองเพดาน และแสงไฟสลัวที่กำลังกะพริบไปตามเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มรอบด้าน ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดส่งผ่านเข้าไปในความรู้สึกของผู้ชายที่เหมือนจะมีเพียงร่างกายแต่ไร้วิญญาณเกือบสามปีแล้วที่เขากลายเป็นคนไม่มีหัวใจ ตั้งแต่คืนนั้น คืนที่เขาปล่อยให้อารมณ์ฝ่ายต่ำทำลายทุกอย่างที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ความไว้วางใจเพียงหยิบมือจากเจ้าของดวงตาหวานโศกคู่นั้นสูญสลายกลายเป็นเพียงอากาศเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ และตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่เคยได้พบเธออีกเลย“ไอ้จิณณะ” เสียงห้าวจาก ‘อารักษ์ หรือเจท’ เพื่อนสนิทที่คบหากันมาร่วมสิบปีทำให้สติที่กำลังดำดิ่งจมปลักกับอดีตอันมืดมนหวนคืน ชายหนุ่มสะบัดศีรษะแรงๆ สองสามครั้ง ก่อนพยักหน้าตอบรับเพื่อน“ว่าไงวะ”“มึงเป็นอะไรวะ กูเห็นนั่งเหม่อมาร่วมชั่วโมงแล้ว”‘จิณณวัตร’ ทำเพียงถอนหายใจยาวเหยียดแทนการตอบคำถาม ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร รู้สึกอะไร และคิดอะไรอยู่กันแน่ท้อแท้ สิ้นหวังหรือ… คงใช่ เขากำลังหมดเรี่ยวแรงที่จะตามหาเจ้าของดวงตาหวานโศกที่อยู่ในหัวใจมาตลอด 17 ปี เธอหายไป หายไปเลยเหมือนไม่เ
(ต่อ)“ลินอยู่ที่นี่สบายดีค่ะ”สบายที่ว่าคือจิตใจ อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยหวาดระแวงว่าจะได้พบเขาโดยบังเอิญหรืออาจพบคนที่รู้จักเขา กลัว… หล่อนรู้ตัวเองดีว่าหวาดกลัวการพบกันในวันข้างหน้าอย่างที่สุด“ตามใจเรา” ในที่สุดกีรติก็พ่ายแพ้จนต้องล้มเลิกความต้องการของตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่เขาก็ไม่อาจแน่ใจ แต่ที่รู้แน่ก็คือหัวใจของน้องสาวแข็งกระด้างเย็นชาไปมากกว่าเมื่อสามปีก่อน กำแพงน้ำแข็งข้างในทั้งสูงชันทั้งหนาวเหน็บ การเป็นซิงเกิลมัมที่ต้องพบเจอคำสบประมาทของคนมากมายหล่อหลอมให้เด็กสาวใสซื่อผู้อ่อนหวานกลายเป็นคนแข็งกระด้างเย็นชาจนน่าใจหาย“แล้วเรื่องฝากไอ้แสบวันเสาร์นี้ล่ะ”“ยังเหมือนเดิมค่ะ แต่ตอนเย็นพี่กี้ต้องพารักมาส่งลินนะคะ ลินไม่สะดวกไปรับแกเอง”“สบายมาก”ใบหน้าของกีรติมีสีเลือดขึ้น ก่อนจะยิ้มกว้างด้วยเหตุว่าเขาเป็นลุงที่เห่อหลานมาก ทุกวันเสาร์ลิลลาต้องไปพบเจ้านายเพื่อพูดคุยเรื่องงาน หญิงสาวทำงานเป็นนักพิสูจน์อักษรให้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งมาเกือบสองปีแล้ว แม้จะเป็นงานแบบพาสไทม์ ทว่ารายได้ก็มากพอ เมื่อนับรวมกับรายได้จากการทำขนมไทยง่ายๆ ส่งขายให้ร้านประจำสองสามร้านมาตั้งแต่มัธยมปลาย เรื่องกา
บทที่ 1 ฝันร้ายสามปีต่อมาตึก ตึก ตึกเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินดังก้องในโสตประสาทจนร่างบอบบางที่นอนนิ่งบนเตียงสั่นเกร็ง ร่างกายแข็งค้างทว่าสั่นเทาจากความหวาดกลัว ดวงตากลมโศกหลับแน่น กัดริมฝีปากจนเลือดซิบ มือที่แนบข้างลำตัวกำเข้ากันจนเส้นเลือดปูดโปน หัวใจเต้นแรง และเร็วจนลมหายใจเข้าออกแทบขาดห้วง กลัว… ความกลัวจากสิ่งที่หล่อนไม่อาจมองเห็น หรือ… ไม่ต้องการมองเห็นมันสั่นประสาทจนร่างทั้งร่างกระตุกเกร็ง“ลิน!” เสียงเรียกดังก้อง ทว่ากระแสเสียงนั้นเกรี้ยวกราด ‘ลิลลา’ หัวใจแกร่งไกว หวาดกลัวเหลือเกินว่าจะถูกใครคนนั้นพรากบางสิ่งที่หล่อนซุกซ่อนเอาไว้ กลัวจนหัวใจเหมือนจะขาดแม้เพียงได้ยินเสียงของเขา เสียงที่หล่อนไม่มีวันลืมว่าครั้งนึงเจ้าของของมันทำร้ายเหยียบย่ำหล่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี“ลิลลา!” เขายังคงเรียกหาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกวาด ทว่าอ่อนลงเล็กน้อย ในกระแสเสียงนั้นเหมือนโหยหา ทุกข์ตรม แต่ทำไมล่ะ หล่อนร้องถามในใจทั้งที่ยังหลับตาแน่น เขาจะโหยหาหล่อนทำไม ในเมื่อวันนั้นเมื่อครั้งอดีตเขาผลักไส เหยียบย่ำ รวมไปถึงทำลายหล่อนด้วยสองมือแข็งแรงคู่นั้นอย่างเลือดเย็น“ไม่!” เสียงที่บีบเค้
บทนำ“ห้ามสิ บอกเค้าว่าไม่ให้เค้าไป พูดสิว่าอย่าไป ฮึก”น้ำตาที่ไหลรินรดสองแก้มสะท้อนความเจ็บปวดที่ฝังแน่นอยู่ในหัวใจยามทอดมองร่างสูงโปร่งของผู้ชายที่ตนมอบหัวใจให้เขาทั้งดวงอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส ถ้าหากเขาเพียงเอ่ยห้าม ไม่ต้องกอดปลอบ แค่ขยับริมฝีปากหยักรูปหัวใจรั้งเธอเอาไว้สักนิด หัวใจภักดีที่มีแต่เขาเพียงคนเดียวคงไม่เจ็บปวดทุกข์ทรมานแทบขาดใจเช่นนี้“พูดสิ พูดว่าอย่าไป พูด! ฮึก” เสียงสะอื้นไห้ที่พยายามเค้นคำขอร้องบอกเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่านไปเพียงเท่านั้น เมื่อร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทำเพียงถอนหายใจเบาๆ ก้มหน้ามองพื้นไร้เสียงตอบรับหรือคำพูดที่หัวใจภักดีอยากได้ยิน7 ปีกับการเป็นแขนขา ลมหายใจให้เขา7 ปีกับการมีหัวใจไว้เพื่อ ‘ปกน้อย’ ของเธอ ทว่าวันนี้เธอเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นแค่เศษฝุ่นไร้ค่าที่เขามีไว้เพียงเพื่อให้ตัวเองได้เดินออกไปบนเส้นทางความฝันที่ไม่มีวันที่เธอจะร่วมอยู่ในนั้น ความฝันที่เขาพยายามก้าวขึ้นไปเป็นที่หนึ่งเพื่อใครอีกคนลิลลารู้สึกเหมือนหัวใจแตกละเอียดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา เธอร้องไห้เหมือนหัวใจแตกเป็นเสี่ยง ทอดสายตามองเขาด้วยความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ และเจ็บปวดกับการถูกเขาปฏิเส







