นางถานโกรธจนดวงตาแทบจะถลนออกมา นางจ้องหรงจือจือ กัดฟันถามว่า “เพราะ…เพราะ เพราะ…”แต่บัดนี้นางเปล่งเสียงพูดได้แค่พยางค์เดียวหรงจือจือพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “อยากถามว่าเพราะเหตุใดหรือ? ที่แท้ ในวันที่เจ้าจงใจทำให้ท่านย่าของข้าสิ้นใจตาย เจ้าก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีวันนี้สินะ?”นางถานโกรธหน้าแดงก่ำ แต่แล้วเมื่อได้ยินคำพูดนี้กลับตกใจหน้าขาวซีด!หรงจือจือค่อยๆ เดินไปใกล้เตียง “อะไรกัน? ที่แท้เจ้าก็รู้จักกลัวด้วยอย่างนั้นหรือ?”นางถาน “ชั่ว…ชั่ว…”หรงจือจือรู้ว่านางอยากด่าว่าอะไร นางอยากด่าตัวเองว่าหญิงชั่วนางแสยะยิ้มว่า “หากจะว่าด้วยเรื่องความชั่วร้ายแล้ว บนโลกนี้จะมีผู้ใดเทียบเจ้าได้? สามปีแล้ว ข้าทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อสกุลฉีของเจ้า ไม่เคยทำผิดต่อพวกเจ้าทั้งครอบครัวสักครั้ง”“แต่พวกเจ้าเล่า? จะรังแกข้า ดูหมิ่นข้า หรือหักหลังข้าก็ไม่เป็นไร แต่นี่เจ้ากลับไม่ปล่อยไปแม้แต่ท่านย่าของข้า!”“ตอนนั้นเจ้าคิดว่ากำจัดบุคคลเพียงผู้เดียวที่รักข้าออกไปแล้วข้าไม่มีครอบครัวให้พึ่งพาอีกต่อไปได้ใช่หรือไม่?”“เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่ามันเหมือนกับตัวเจ้าตอนนี้หรือไม่? บนโลกนี้ไม่เหลือครอบครัวที่รักเจ้าอีกต
“หากเจ้ารู้สึกว่ามีจุดใดที่ไม่สมบูรณ์แบบก็ไปรอข้าที่ปรโลกก่อนนะ อีกร้อยปีข้าจะตามไปสอนให้ใหม่!”นางถานตัวสั่น นางไม่รู้ว่าควรเกลียดชังหรงจือจือและแสดงออกว่าต่อให้ตายเป็นผีก็จะไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไปดี หรือว่าควรจะหวาดกลัวและหวังว่าตัวเองจะไม่ต้องพบเจอปีศาจร้ายเช่นนี้ในดินแดนปรโลกอีกดี!ภายใต้ความโกรธแค้นและตื่นตระหนกลนลาน นางกุมทรวงอกตัวเอง รู้สึกหายใจไม่ออกมากขึ้นเรื่อยๆหรงจือจือพูดเสียงเบา “จุดจบของเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว! ลูกๆ ของเจ้าเกลียดเจ้ามากขนาดนี้ คิดว่าพวกเขาคงจะไม่จัดงานศพให้ดีนักหรอก”“หลังจากที่เจ้าตาย ญาติของเจ้าจะเผากระดาษเงินให้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ นางถาน เจ้านี่ช่างน่าสงสารจริงๆ เห็นด้วยหรือไม่?”นางหัวเราะเยาะนางถาน แต่ขณะเดียวกันก็กำลังหัวเราะเยาะตัวเองบัดนี้ไม่มีท่านย่าอีกต่อไปแล้ว ใต้หล้านางยังเหลือครอบครัวที่แท้จริงอีกที่ใดกัน? ผู้ใดจะเผากระดาษเงินให้นางได้?นางถานรู้ดีว่าตัวเองใกล้จะไม่ไหวแล้วนางทั้งยอมรับไม่ได้ ทั้งเคียดแค้นชิงชังในฐานะหมอ หรงจือจือรู้ดีว่าในยามที่คนเรากำลังจะตาย อวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะส่งพลังทั้งหมดมาไว้ที่เสียงเพื่อให้คนๆ ได้สั่งเสียหลัง
เจาซีโมโหเล็กน้อย จังหวะที่กำลังจะระเบิดอารมณ์หรงจือจือกลับพูดเสียงเบาอย่างยินดีปรีดา “เจาซี ไปหยิบป้ายคำสั่งดูแลบ้านมาให้อนุอวี้ ในเมื่อหลังจากนี้นางจะเป็นผู้ดูแลจวน เช่นนั้นเรือนหลันก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการในจวนอีก”ฉีจื่อฟู่อาจจะคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้นางสะอิดสะเอียนและเสียใจ หากเป็นเมื่อสามปีก่อน บางทีนางอาจจะเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ นางไม่สนใจอีกต่อไปแล้วเจาซี “เจ้าคะ?”เจาซีสับสนงุนงง แต่อวี้ม่านหวาอยู่ที่นี่ นางไม่กล้าถามโดยพลการเดินไปหยิบป้ายคำสั่งดูแลบ้านมามอบให้อวี้ม่านหวาตามที่คุณหนูสั่งอวี้ม่านหวาสับสน แม้ว่านางจะมองว่าตัวเองเป็นคนฉลาด แต่เวลานี้กลับไม่เข้าใจว่าหรงจือจือคิดจะทำอะไรหรงจือจือเอ่ยปากส่งแขกส่ง “อนุอวี้ได้ของที่ต้องการแล้ว เหตุใดยังไม่ไปอีก? กระไร รอให้ข้าแสดงความยินดีรึ?”“เจ้าอยากได้ของสิ่งนี้ แต่ข้าไม่ต้องการแม้แต่น้อย ข้าใกล้จะไปจากสกุลฉีแล้ว! เจ้าเก็บไว้จัดงานศพให้นางถานเถอะ!”อวี้ม่านหวาเห็นหรงจือจือแสดงท่าทีรังเกียจตัวเองเหมือนปกติก็คลายความสงสัยในใจลงพูดเหน็บแนมว่า “ฮูหยินน้อยช่างใจกว้างยิ่งนัก! ตำแหน่งฮูหยินตราตั้งก็ไม่อยากได้ ป้ายคำสั่
เซี่ยอวี่ “…บ่าวสมควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ”ฮูหยินน้อยมีบุญคุณต่อนาง ทั้งยังไม่ใช่แค่หนึ่งครั้ง ทว่าตัวนางกลับไม่กล้าเป็นพยานให้ฮูหยินน้อย นี่เป็นเรื่องที่นางรู้สึกผิดต่อฮูหยินน้อยมาโดยตลอดแต่ดูจากท่าทีของฮูหยินน้อยแล้วเหมือนจะไม่ถือโทษนางหรงจือจือไม่ถือโทษนางก็จริง แต่ก็จะไม่วางแผนอนาคตเพื่อนางเช่นกัน พวกนางทั้งสองไม่มีอะไรติดค้างกันอีก วันหน้าเซี่ยอวี่จะเป็นอย่างไรก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับตัวเซี่ยอวี่แทนทั้งสิ้นหลังจากที่เซี่ยอวี่จากไป เจาซีก็พูดด้วยความโมโหว่า “คุณหนู บ่าวรู้สึกว่าผู้สมรู้ร่วมคิดต้องเป็นอวี้ม่านหวาแน่นอน! แม้ว่ายามที่นางถานวางแผน อวี้ม่านหวาจะยังไม่แต่งเข้ามาในจวน แต่ไม่แน่ว่าจะหาทางติดต่อกันไว้ก่อนแล้วก็เป็นได้!”นางมองว่าอวี้ม่านหวาเป็นผู้ที่ทำร้ายคุณหนูอย่างสาหัสที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงคิดเชื่อมโยงไปถึงอวี้ม่านหวาแววตาของหรงจือจือหม่นลงเล็กน้อย “ผู้ใดจะรู้กัน! แท้จริงแล้วผู้สมรู้ร่วมคิดอาจจะไม่ได้อยู่ในสกุลฉีก็ได้ เจ้าลืมไปแล้วหรือ? สาวใช้ที่หลุดปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดจากสกุลหรงเมื่อตอนนั้นตายอย่างง่ายดายเพียงใด!”เจาซีตกใจกลัว “ท่านหมายถึงว่า…อาจจะเป็นฝีมือข
แม้หรงจือจือจะรู้อยู่แล้วว่าฉีจื่อฟู่เป็นคนที่น่ารังเกียจมาก ทว่าตอนนี้นางก็ยังรู้สึกรังเกียจอยู่ดีนางไม่ได้มีสีหน้าโกรธเคืองแต่อย่างใด เพียงแค่เลิกคิ้วว่า “ข้าใส่ร้ายนางหรือ? ใต้เท้าฉีมีหลักฐานหรือไม่?”แววตาของเฉินจื่อฟู่จมลง เขาพูดอย่างจริงจังว่า “ม่านหวาอ่อนแอถึงเพียงนี้ นอกจากข้าแล้วนางก็ไม่มีที่พึ่งในแคว้นต้าฉีอีก จะไปทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างไร?”“ผิดกับเจ้าที่มีมหาราชครูหรงหนุนหลัง เขามีทั้งตำแหน่งและอำนาจ หากจะกล่าวหาคนผู้หนึ่งก็ง่ายนิดเดียวไม่ใช่หรือไร?”หรงจือจือพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว! ในสายตาใต้เท้าฉี ขอเพียงแสดงท่าทีอ่อนแอบอบบางก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์สินะ”“เพียงแค่มีอำนาจมีอิทธิพลก็จะถือว่ามีความผิดทันที ถือเป็นพวกที่กระทำแต่เรื่องชั่วร้าย”“ยกตัวอย่างเช่นบิดาของข้า ตอนนี้ใต้เท้าฉีไม่มีหลักฐานอะไรทั้งนั้นแต่กลับปรักปรำบิดาของข้าว่าจัดฉากทำร้ายผู้อื่น”ฉีจื่อฟู่พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่ต้องมาพูดแบบนี้ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบม่านหวามาโดยตลอด”“แต่ข้ารับปากเจ้าแล้วว่าสามารถส่งนางไปอยู่ชนบท เหตุใดเจ้าต้องทำรุนแรงถึงขนาดนี้ด้วย?”อวี้ม่
สีหน้าของฉี่จื่อฟู่ซีดเซียวอวี่เหวินจ้านพูดต่อ “หากไม่ใช่เพราะเจ้าสร้างความดีความชอบชั้นหนึ่งในบรรดาสายลับทั้งหมดในภารกิจทำลายแคว้นเจา ประกอบกับก่อนหน้านี้พวกข้ารู้ว่าเจ้าถูกอวี้ม่านหวาหลอก ผู้ที่จะถูกคุมตัวไปสืบสวนด้วยการทัณฑ์ทรมานตอนนี้คงเป็นทั้งครอบครัวของเจ้าไปแล้ว!”“กระนั้น การที่เจ้าทำแผนที่แนวป้องกันเมืองหลวงสูญหาย การที่ให้อวี้ม่านหวาอยู่ข้างกายและพาซี่อวี่กลับสกุลฉี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดร้ายแรง ฝ่าบาทจะไม่ทรงให้อภัยอย่างง่ายดายแน่นอน!”ฉีจื่อฟู่คิดแล้วให้ชิวยี่ประคองตัวเองให้เดินเข้าไปคว้าแขนหรงจือจือ “จือจือ เร็วเข้า! ไปพบท่านราชเลขาธิการกับข้า!”“เจ้ามีบุญคุณกับท่านราชเลขาธิการ เจ้าช่วยพูดให้ท่านราชเลขาธิการยอมเมตตาที ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้ม่านหวาถูกพาตัวเข้าคุกเด็ดขาด! นางเป็นหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ จะมีชีวิตรอดจากในคุกได้อย่างไร?”“เจ้าก็รู้ว่าหากไม่ใช่เพราะม่านหวา ข้าคงตายอยู่ที่แคว้นเจาไปนานแล้ว แม้ข้าไม่รักนาง แต่นางก็เป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้…”หรงจือจือออกแรงดึงแขนตัวเองออกบัดนี้ฉีจื่อฟู่อ่อนแอถึงขีดสุด ทำให้นางดึงแขนออกได้อย่างง่ายดายนางถอยห่างออกมาหนึ่งก้า
หรงจือจือหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางคร้านจะทนเขาอีกต่อไป “เดือดร้อนเพราะข้าหรือ? ฉีจื่อฟู่ ท่านตรองดูให้ดีเถิด!”“ผู้ใดเป็นคนพาอวี้ม่านหวากลับกลับมา? ผู้ใดเป็นคนพาซี่อวี่กลับมา? ผู้ใดอนุญาตให้อวี้ม่านหวาเข้าไปในห้องหนังสือ?”“มันคือท่านทั้งนั้น!”“ผู้ที่แต่งงานกับท่าน บอกว่ารักท่านนักรักท่านหนาแต่ในใจมีมาตุภูมิและทำให้สกุลฉีต้องโทษคือผู้ใด? คืออวี้ม่านหวา!”“ตัวการที่ทำร้ายครอบครัวของพวกท่านคือพวกท่านสองคนที่เป็นคนโง่แต่อวดฉลาดต่างหาก!”สีหน้าของฉีจื่อฟู่ซีดขาวมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจ้องหรงจือจือ “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องพวกนั้น ข้าหมายถึงว่า…”หรงจือจือ “ท่านหมายถึงว่า เหตุใดข้าไม่บอกท่านล่วงหน้า! นั่นก็เพราะข้ากลัวว่าบอกไปแล้วท่านจะคิดว่าข้ากล่าวหาอวี้ม่านหวาอย่างไรเล่า!”หรงจือจือไม่มีทางพูดต่อหน้าคนหมู่มากขนาดนี้อยู่แล้วว่านางอยากเห็นสกุลฉีประสบเคราะห์ร้ายเรื่องแบบนี้นางรู้อยู่แก่ใจตัวเองก็พอ ไม่จำเป็นต้องพูดต่อหน้าทุกคนให้ถูกไปวิพากษ์วิจารณ์ฉีจื่อฟู่นึกได้ว่าเป็นความจริงที่เมื่อครู่นี้ตัวเองพูดว่าจือจือใส่ร้ายม่านหวา เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะหรงจือจือพูดต่อ “อวี้ม่
สีหน้าของเซิ่งเฟิงคล้ำดำเขียวไปหมดแล้วอวี้ม่านหวาเห็นว่าฆ่าหรงจือจือไม่สำเร็จ แล้วยังได้ยินพวกเขาเรียกท่านราชเลขาธิการ ก็แสยะยิ้มออกมา “ฆ่าหรงจือจือไม่ได้ ฆ่าเฉินเยี่ยนซูก็ได้เช่นกัน!”พูดพลางก็ชักกระบี่ออกมา กำลังคิดจะแทงกระบี่มาอีกครั้งทว่าเซิ่งเฟิงจะปล่อยให้นางสมปรารถนาเสียที่ไหน?ครั้นกระบี่ยาวในมือตวัดไป กระบี่ยาวของอวี้ม่านหวาก็กระเด็นออกไป อวี้ม่านหวาเองก็รู้ดีว่า ข้างกายเฉินเยี่ยนซูมีองครักษ์วรยุทธ์ขั้นสูงหลายคนครั้นเห็นท่วงท่าของเซิ่งเฟิง ก็รู้ชัดว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้หรงจือจือเห็นคนตรงหน้า ก็กล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “ท่านราชเลขาธิการ อาการบาดเจ็บของท่าน...”สีหน้าของเฉินเยี่ยนซูซีดเป็นอย่างมาก ทว่าก็ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงชืด ๆ ว่า “ไม่เป็นไร”ทว่าในตอนนี้ สิ่งที่ทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือ อวี้ม่านหวาฆ่าเฉินเยี่ยนซูไม่สำเร็จ ก็ชักปิ่นออกมาอีกจากนั้นหมุนตัวแทงไปที่ฉีจื่อฟู่ “เป็นเพราะคนเลวทรามอย่างท่าน! ขโมยความลับของแคว้นเจาไปมากมายขนาดนั้น ถึงทำให้แคว้นข้าต้องสลาย บ้านข้าต้องแตกสาแหรกขาด!”“หากข้าหลีกหนีความตายไม่พ้น ฉีจื่อฟู่ท่านก็ต้องถูกฝังไปพร้อมกับข้า!”อวี่เหวิ
เสิ่นเยี่ยนซูดวงตาเย็นยะเยือก และเดินไปตรงหน้าหรงเจียวเจียวเขามองนางด้วยสายตาที่เหนือกว่า พลางถามเสียงเย็นว่า “เจ้าว่าผู้ใดเป็นคนชั้นต่ำ?”เขามักจะมีอำนาจในฐานะผู้เหนือกว่าอยู่เสมอ ทำเอาหรงเจียวเจียวตกใจสีหน้าซีดเผือด อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าและถอยหลังไปหนึ่งก้าว น้ำตาก็คลอเบ้า จนแทบจะไหลลงมาอีกครั้งนางกล่าวด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา “ข้า ข้า ข้า...”ดวงตาที่เสิ่นเยี่ยนซูมองนาง มองราวกับเป็นของที่ตายแล้ว “วันนี้ข้าจะให้เกียรติมหาราชครูหรง”“เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่สองชั่วยาม ตบหน้าหนึ่งร้อยที ก็จะสามารถลุกขึ้นได้”“หากครั้งหน้าข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก ลิ้นของเจ้าก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป องครักษ์หลงสิงมีวิธีดึงลิ้นออกมามากมาย เข้าใจหรือไม่?”หรงเจียวเจียวตกใจมากจนฉี่จะราดอยู่แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่า ชายที่ตนเองชื่นชอบ มีด้านที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วย จึงกล่าวด้วยตัวสั่นเทิ้มว่า “เข้า เข้าใจเจ้าค่ะ!”เสิ่นเยี่ยนซูหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและจากไปหรงจือจือเห็นเช่นนี้ ยังตกตะลึงอยู่เล็กน้อยแม้ท่านย่าจะเอ็นดูนาง แต่ก็ไม่ค่อยออกไปด้านนอก ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรก ที่นางสัม
สายตาที่ประจบของฮูหยินหลี่ มองไปทางหรงจือจือ “จือจือ ได้ยินว่าเจ้าเป็นสตรีผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาตั้งนาน ไม่สู้เจ้าแต่งกวีเสียหนึ่งบท จะได้เปิดหูเปิดตาให้พวกข้าด้วย!”หรงจือจือกล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่ได้เตรียมตัว ให้คนอื่นแต่งดีกว่าเจ้าค่ะ”สีหน้าของฮูหยินหลี่ดูจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่แล้ว แต่ก็รู้ ว่าก่อนหน้านี้ตนเองประพฤติตัวไม่ดี หรงจือจือจะโกรธก็สมควร ดังนั้นจึงเดินไปตรงหน้าหรงจือจือเมื่อจับมือของนาง ขณะที่ยิ้มก็กล่าว “เจ้ามีความคิดที่ปราดเปรื่อง การแต่งบทกวีจำเป็นต้องเตรียมตัวเสียที่ใด? ตอนนี้สุ่มเขียนมาเสียหนึ่งบท คิดดูแล้วก็ดีมากแล้ว”หรงจือจือดึงมือของตนเองออกมาจากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พูดขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นป้าสะใภ้บอกว่า วันนี้ข้าไม่ได้รับเชิญไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ท่านเสนาบดี ทุกท่าน ขอให้เพลิดเพลินให้เต็มที่ ข้าขอตัวลาไปก่อนเจ้าค่ะ!”ขณะที่พูด หรงจือจือก็ลุกขึ้นเตรียมจะจากไปฮูหยินหลี่ตื่นตระหนกแล้ว จึงรีบกล่าว “นี่...จือจือ เข้าใจผิด! ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ป้าสะใภ้แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะจึงพู
แม้หรงจือจือเห็นท่าทางของเซิ่งเฟิง ล้วนยังต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดมุมปากไว้เล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าเสิ่นเยี่ยนซูไปหาคนที่มีอารมณ์ขันเช่นนี้มาจากที่ใดช่างน่าสนุกยิ่งนัก!เดิมทีหรงเจียวเจียวไม่สบายใจ ยังถูกเซิ่งเฟิงก่อเรื่องเช่นนี้อีก ก็เกิดความคิดอยากตายขึ้นมาจริง ๆ แล้ว “ข้า ข้า...”คิดว่าวันนี้ชื่อเสียงของตนเองคงเสียหายเป็นแน่ นางจึงตัดสินใจทุ่มสุดตัวไปเลย!ขณะมองหรงจือจืออย่างดุร้ายก็กล่าวว่า “หรงจือจือ เจ้าตั้งใจขโมยงานแต่งของข้าใช่หรือไม่? เจ้าก็แค่ไม่อยากให้ข้ามีชีวิตที่ดี เจ้า...”หรงจือจือยังไม่ทันได้เอ่ยปากเสิ่นเยี่ยนซูก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไร้สาระ! เดิมทีก็เป็นของของนาง เหตุใดต้องพูดถึงการขโมยด้วย? เจ้าไม่ลองดูใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องเจ้า และคิดดูอีกทีว่าควรจะพูดจาไร้สาระต่อไปหรือไม่”เพียงคำพูดเดียว ก็ทำให้หรงเจียวเจียวสั่นสะเทือนแล้วจากสีหน้าของเสิ่นเยี่ยนซู นางมองออก ว่าเขาไม่ได้กำลังล้อเล่นกับนาง หากตนเองโวยวายต่อไป มีหวังโดนตบหน้าจริง ๆ แน่เห็นนางสงบลงได้เสียทีฮูหยินหนิงกั๋วกงก็ยิ้มพลางกล่าว “ครั้งก่อนข้าไปงานเลี้ยงของสกุลฉี เห็นสกุลฉีวุ่นวายไปหมด แม่นา
เขาเอ่ยเน้นย้ำทีละคำอย่างชัดเจน “คุณหนูสามหรง เจ้าฟังให้ดี ก่อนหน้าวันนี้ แม้แต่หน้าตาของเจ้าเป็นเช่นไรข้าก็ยังไม่รู้ชัด ไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งเจ้าเป็นชายาเลยแม้แต่น้อย”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ข้าต้องการสู่ขอ ก็คือพี่สาวของเจ้ามาโดยตลอด หากเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ลองกลับไปสอบถามบิดาของเจ้าดูเถิด”หรงเจียวเจียวส่ายศีรษะไปมา ไม่อาจยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้นางยังคงคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าหาใช่ความจริงไม่ แต่เป็นเพียงฝันร้ายอันน่าสะพรึงกลัวเท่านั้น นางยิ่งร่ำไห้สะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม “ไม่จริง เป็นไปได้อย่างไร... เป็นไปไม่ได้...”ในชั่วขณะนั้นเอง บ่าวรับใช้ของจวนตระกูลหลี่ ก็ได้พาเหวินหมัวมัวเข้ามาด้านในพอเหวินหมัวมัวเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่าคงเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้วเป็นแน่เฉินเยี่ยนซูเหลือบมองเหวินหมัวมัวแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดูท่าแล้ว เจ้าคงมาเพื่อจะบอกคุณหนูสามของเจ้ากระมัง ว่าแท้จริงแล้วผู้ที่ข้าต้องการหมั้นหมายด้วยคือผู้ใดกันแน่?”เมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีเอ่ยถาม มีหรือที่เหวินหมัวมัวจะกล้าไม่ตอบ? นางรีบคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าซีดขา
ครานี้ ทุกผู้คนต่างตกตะลึงงัน สายตาตำหนิหลายคู่พลันจับจ้องไปยังฮูหยินหลี่อะไรกัน! ในเมื่อไม่ได้หมั้นหมาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาหลอกลวงพวกเรา? เช่นนั้นเมื่อครู่พวกเราก็ประจบเอาใจนางเสียเปล่าไปตั้งนานนะสิ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่พวกเราต้องสรรหาคำเยินยอหรงเจียวเจียวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเมื่อครู่นั้น มันต้องสิ้นเปลืองความคิดอ่านไปมากเพียงใด? สมองแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!ฮูหยินหลี่เองก็ตกตะลึงงันไปเช่นกัน ตามเหตุผลแล้ว นาวหวังไม่น่าจะวิปลาสถึงขั้นกุเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้! เมื่อเห็นสายตาตำหนิของผู้คนจับจ้องมา นางจึงพยายามอธิบายอย่างตะกุกตะกัก “ไม่... ไม่ใช่! ข้า... เจียวเจียว นี่มันเรื่องอันใดกันแน่!”หรงเจียวเจียวมองไปยังเฉินเยี่ยนซู ด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ “ท่านอัครมหาเสนาบดี! ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้! ท่านเห็นข้าโกรธจนเอ่ยปากขอถอนหมั้น ท่านไม่คิดจะง้อก็แล้วไปเถิด แต่ยังจะกล่าวปดว่าไม่เคยมาสู่ขอข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ประกอบกับเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของหรงเจียวเจียว ผู้คนก็เริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความกังขาจับจ้องสลับไปมาระหว่า
หรงเจียวเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง “อ๊ะ?”จ้าวหมัวมัวกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีคงต้องการจะแสดงอำนาจความเป็นสามี ทั้งยังต้องการจะดูท่าทีคุณหนูด้วยว่าจะยอมอ่อนข้อให้เขาหรือไม่ อย่างไรเสีย ฐานะฮูหยินของราชเลขาธิการผู้ทรงเกียรติ จะเป็นเพียงสตรีที่เอาแต่ใจตน พอเขาขุ่นเคืองก็เอาแต่ร้องขออภัยไปเสียทุกเรื่องไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”หรงเจียวเจียวมีสีหน้าลังเล “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”จ้าวหมัวมัวกล่าว “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ต้องเป็นเช่นนี้เป็นแน่! คุณหนู ท่านต้องรู้จักแสดงความอ่อนแอบ้าง คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งและทรงอำนาจเช่นท่านอัครมหาเสนาบดี หรือจะยอมลดตัวลงมาง้อคุณหนูได้เล่าเจ้าคะ?”หากไม่เช่นนั้นแล้ว จะอธิบายได้อย่างไรว่าเหตุใดท่านอัครมหาเสนาบดีจึงจงใจสร้างความลำบากให้คู่หมั้นของตนต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้เล่า?เมื่อสองนายบ่าวปรึกษาหารือกันเสร็จสิ้นในที่สุดหรงเจียวเจียวก็รวบรวมความกล้าได้ นางรอจนกระทั่งบัณฑิตผู้หนึ่งแต่งบทกวีเสร็จสิ้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี... ข้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ท่านจะโปรดให้ข้าลุกขึ้นได้หรือไม่เจ้าคะ เจียวเจียวปวดเข่าเหลือเกิน พื้นก็ทั้งเย็นทั้งแข็
ทุกคนย่อมเห็นแผ่นหลังของหรงเจียวเจียวที่กำลังหันหลังจากไป และพอจะเดาได้ว่านางกำลังแสดงความเอาแต่ใจออกมาบรรดาสตรีที่สนิทสนมกับหรงเจียวเจียวต่างแอบตำหนิอัครมหาอัครมหาเสนาบดีเฉินอยู่ในใจ ว่าช่างไม่รู้จักถนอมบุปผาเทิดทูนหยกล้ำค่าเอาเสียเลย เหตุใดจึงไม่รู้จักไว้หน้าคู่หมั้นของตนเองเช่นนี้?เฉินเยี่ยนซูสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของหรงเจียวเจียวอยู่แล้ว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หยุดอยู่ตรงนั้น!”ฝีเท้าของหรงเจียวเจียวพลันชะงัก นางคิดในใจ ในที่สุดเขาก็เรียกข้าแล้ว หรือว่าในใจเขายังคงเป็นห่วงข้าอยู่?นางแค่นเสียงหึเบาๆ แล้วหันไปมองเฉินเยี่ยนซู “ในใจของท่าน ไม่ใช่มีเพียงแต่พี่สาวของข้าหรอกหรือ? แล้วจะมารั้งข้าไว้อีกด้วยเหตุใด?”กล่าวจบ นางก็เช็ดน้ำตาพลางหันเสี้ยวหน้าอย่างดื้อรั้นให้เฉินเยี่ยนซูมองนางเชื่อว่าเมื่อเขาเห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของนาง จะต้องสำนึกได้แน่ว่าตนเองทำผิดไปแล้ว นางเคยส่องกระจกพิจารณาดูตนเองยามร้องไห้อย่างละเอียดแล้ว รู้อยู่แก่ใจว่าท่าทางเช่นนี้จะยิ่งขับเน้นความงดงามแววตาของเฉินเยี่ยนซูเย็นชา “ในใจของข้ามีผู้ใดอยู่ ถึงตาเจ้ามาสอดปากวิจารณ์ด้วยหรือ?”หรงเจียวเจียวฟั
ถึงจะอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่ แต่เมื่อนางทำผิด หากเฉินเยี่ยนซูไม่เอ่ยอนุญาต นางก็ไม่อาจนั่งได้เมื่อได้รับอนุญาตให้นั่งจากเฉินเยี่ยนซู หลี่เซียงเหยากลับยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางรู้สึกราวกับว่าพี่เขยสาม ผู้นี้กำลังตบหน้านางอย่างแรง แล้วค่อยยื่นขนมหวานปลอบใจ ทว่าการตบหน้านี้ช่างหนักหน่วงเหลือเกินนางร่ำไห้ออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อระคนน้อยใจ “ขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ!”เมื่อครู่หรงเจียวเจียว ไม่ได้ออกหน้าช่วยนาง ตอนนี้จึงรีบเข้ามากล่าวกลบเกลื่อน “เหยาเหยา เห็นหรือไม่ ท่านอัครมหาเสนาบดียังคงให้ความสำคัญกับเจ้านะ ถึงได้อนุญาตให้เจ้าอยู่ในงานเลี้ยงแต่งบทกวีต่อ!”เฉินเยี่ยนซูเอ่ย “ย่อมต้องให้ความสำคัญ”หรงเจียวเจียวพลันยิ้มออก นางคิดว่าอย่างไรเสียท่านอัครมหาเสนาบดีก็ต้องไว้หน้านางบ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าเฉินเยี่ยนซู จะเอ่ยประโยคถัดมาว่า “หากนางจากไปแล้ว ไม่มีนางอยู่ที่นี่เป็นข้อเปรียบเทียบ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจุดจบของการลบหลู่ท่านหญิงเป็นเช่นไร?”ทุกคน “…”เหล่าสตรีที่เมื่อครู่ร่วมวงนินทาหรงจือจือ ตอนนี้ต่างรู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะ!ส่วนหรงเจียวเจียวยิ่งหน้าเขียวคล้ำ นางเข้าใจในท
วันนี้หรงจือจือถึงได้รู้ว่า อันที่จริงเฉินเยี่ยนซูคนผู้นี้ใจดำอำมหิตเป็นอย่างมาก บางทีก่อนหน้านี้ที่เขาไม่รู้จักเจียวเจียวอาจเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้ที่บิดเบือนความหมายของหรงเจียวเจียว เขาต้องจงใจเป็นแน่สายตาของทุกคนเองก็ตกไปที่ตัวหรงจือจือที่พวกเขากระแหนะกระแหนอยู่นานสองนานนี่...เหตุใดท่านเสนาบดีจัดการเรื่อง ไม่ให้หน้าหรงเจียวเจียวแม้แต่น้อยก็ช่างมันเถอะ ยังจะถามความเห็นของหรงจือจืออีก? นี่หากไม่รู้ ยังคิดว่าคู่ที่ดูตัวหมั้นหมายกัน เป็นหรงจือจือจริง ๆ เสียอีก!หรงจือจือทำทีท่าไม่เกี่ยวกับตน ตอบกลับชืด ๆ ว่า “เรื่องนี้ท่านเสนาบดีตัดสินใจก็พอเจ้าค่ะ”เฉินเยี่ยนซูพยักหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองไปที่หรงเจียวเจียว “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะถูกตบปากไปด้วย?”จากสายตาของเขา หรงเจียวเจียวมองออกว่า เขาพูดจริง และไม่ได้ล้อเล่นกับตน สีหน้าของนางก็ยิ่งซีดเผือดเข้าไปอีกนางรีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้า...ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นเจ้าค่ะ!”หลี่เซียงเหยามองพี่หญิงสามของตนอย่างยากจะเชื่อทีหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะตนช่วยนางพูด ก็คงไม่ตกมาอยู่ในขั้นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากแยแสตนเฉินเยี่ยนซูกวาดสา