รอเฉินเยี่ยนซูเลือกเสร็จแล้ว เซิ่งเฟิงก็ไปสวมเสื้อขนจิ้งจอกให้เจ้านายบ้านตน ยิ่งเห็นความสูงศักดิ์คั้นคนได้ชัด สูงส่งจนยากจะเอื้อมเซิ่งเฟิงเองก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ท่านเสนาบดี ท่านว่าเรื่องที่อวี้ม่านหวาแท้ง จะเป็นฝีมือของคุณหนูใหญ่สกุลหรงจริง ๆ หรือไม่?”เฉินเยี่ยนซูตอบกลับด้วยน้ำเสียงชืด ๆ “ไม่ใช่นาง”เซิ่งเฟิงเอ่ยต่อเสียงแปร๋น “เหตุใดท่านถึงมั่นใจเช่นนี้? หากเป็นนางจริง ๆ ล่ะขอรับ?”เฉินเยี่ยนซู “เช่นนั้นก็คงมีเหตุผลของนาง”เซิ่งเฟิง “...”ความรักทำให้คนตาบอดจริง ๆ ด้วย...รถม้าของเฉินเยี่ยนซูมาถึงจวนสกุลหรงมหาราชครูหรงไปรับที่หน้าประตูด้วยตนเอง หลังทั้งสองคนพบหน้ากัน ก็มุ่งไปยังห้องหนังสือทันทีหรงเจียวเจียวตื่นขึ้นมาพร้อมความตื่นเต้นนานแล้ว นางหาที่ดี ๆ แอบมองที่หนึ่ง เห็นชายหนุ่มรูปงามไร้เทียมทานข้างกายบิดาผู้นั้น ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาท่ามกลางหิมะขาวร่างสูงดุจหยก อาภรณ์ขาวดุจหิมะผมดำเช่นน้ำหมึก ทำเอาหัวใจคนโหยหาอย่างไร้ขีดจำกัดนางรู้สึกเพียงว่า ทุกย่างก้าวของอีกฝ่าย เหยียบย่ำอยู่บนหัวใจของตนทุกคราที่เห็นอีกฝ่าย นางก็จะใจเต้นนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อเฉินเยี่ยนซูผ่านระเบีย
เฉินเยี่ยนซูหน้าร้อนผ่าวโดยไม่ทันรู้ตัว “จริงหรือขอรับ?”หรงจือจือ...ก็ดีใจมากเช่นกันหรือ?มหาราชครูหรงจงใจเอ่ยว่า “แต่ไม่รู้ว่าท่านเสนาบดีจะยินดีหรือไม่!”เฉินเยี่ยนซูรีบลุกขึ้น ค้อมตัวคารวะก่อนจะกล่าวว่า “หากได้แต่งงานกับลูกสาวของท่านมหาราชครู นับเป็นเกียรติของข้าในชาตินี้จริง ๆ!”ในชีวิตนี้ของเขา ครั้งก่อนที่รู้สึกตื่นเต้นเช่นนี้ ก็ยังเป็นตอนที่ได้เป็นสมุหราชเลขาธิการผู้สำเร็จราชการแทนมหาราชครูหรงลุกขึ้นด้วยความดีอกดีใจ “เยี่ยม ๆ ๆ!”เขาตบไหล่ของเฉินเยี่ยนซู “เพียงแต่ท่านแม่เพิ่งสิ้นใจไม่นาน ลูกสาวของข้า ต้องไว้ทุกข์หนึ่งปีถึงจะพูดเรื่องแต่งงานได้ ถึงเวลานั้นสองสกุลค่อยแลกเปลี่ยนใบเทียบดวงชะตากัน ไม่รู้ว่าท่านเสนาบดีคิดเห็นเช่นไร?”เฉินเยี่ยนซู “สมควรแล้ว เฉินเยี่ยนซูจะรอขอรับ”มหาราชครูหรงรู้สึกเพียงว่า ในวันที่จิตใจว้าวุ่น ก็นับว่ายังเกิดเรื่องดี ๆ ขึ้นได้และในจังหวะนี้เอง คนเฝ้าประตูก็เข้ามา “นายท่านขอรับ คนจากในวังมาขอรับ ฝ่าบาทมีเรื่องต้องการหารือกับท่านเสนาบดีขอรับ”เฉินเยี่ยนซู “ท่านมหาราชครู เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อนนะขอรับ”มหาราชครูหรงพยักหน้า “เรื่องชาติบ้านเมือ
นางอายุปูนนี้แล้ว ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมานาน ย่อมค่อนข้างรู้ข่าวสารของชายหนุ่มคุณชายของแต่ละสกุลเป็นอย่างดีรายชื่อที่ฮูหยินให้ เห็นได้ชัดว่ากำลังดูหมิ่นคุณหนูนางหวัง “เจ้าก็เลือกเองดี ๆ ล่ะ เลือกได้แล้วก็บอกข้า!”พูดจบ นางก็พาหรงเจียวเจียวออกไปสองแม่ลูกออกไปจากเรือนอี่เหมยหรงเจียวเจียวยังพูดกับนางหวังด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ ถึงเวลานั้นก็จัดงานแต่งงานของข้ากับพี่หญิงพร้อมกันเลยเถอะ”“ไม่ว่านางจะเลือกผู้ใด ก็ไม่มีทางมีหน้ามีตาเท่าข้าที่เป็นฮูหยินสมุหราชเลขาธิการอยู่แล้ว”“ในงานแต่งงาน ข้าอยากเทียบชั้นอย่างดุเดือดกับนาง ดูสิว่าต่อไปนางยังจะทำตัวสูงส่งอะไรต่อหน้าข้าอีก!”นางหวังหัวเราะอย่างพะเน้าพะนอ พลางตบมือของนาง “ดี ๆ ๆ เอาอย่างเจ้าว่า เอาอย่างเจ้าว่าเลย!”ภายในเรือนอี่เหมยเจาซีเดือดดาลจนใกล้ใบหน้าจะกลายเป็นปลาปักเป้าไปแล้ว ต่อให้ฝันนางก็คิดไม่ถึงว่า ดวงตาหงส์แสนดูดีคู่นั้นของท่านเสนาบดี กลับบอกว่าบอดก็บอด!อวี้หมัวมัวยิ่งเดือดดาลยิ่งกว่านาง เปิดภาพเหมือนพลางกล่าวว่า “คุณหนู บุตรชายคนโตสกุลเฉินผู้นี้เคยสูญเสียภรรยาไป ทำภรรยาตายไปสองคนแล้ว อายุอานามก็ปาไปสี่สิบกว่
อวี้หมัวมัวอดไม่ได้ที่จะเบ้าตาแดงก่ำ “คุณหนู แม้ตอนนี้คุณหนูจะผ่านการหย่ามาแล้ว แต่ก็ยังเป็นท่านหญิงขั้นสองแสนสง่าผ่าเผย เป็นบุตรสาวสายตรงคนโตของมหาราชครู คนพวกนี้คู่ควรกับคุณหนูเสียที่ไหน?”“หากฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ก็ดีสิ หากท่านผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ ไหนเลยคุณหนูจะต้องมารับความลำบากนี้?”ตอนนี้ดูเหมือนว่า เมื่อเทียบกับคนเหล่านี้แล้ว ฉีจื่อฟู่กลับนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างนั้นในจังหวะนี้เองคนเฝ้าประตูก็เข้ามา “คุณหนูขอรับ ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนเชิญให้คุณหนูไปพบที่จวนขอรับ”เมื่อหรงจือจือได้ยินดังนั้น ก็ลุกขึ้นโดยไม่ลังเลใด ๆ “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เรื่องนั้นที่ตกลงกับจงเจิ้งอวี๋ไปก่อนหน้านี้อีกอย่างชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนให้ความสำคัญกับนางเช่นนี้ นางเองก็ควรปฏิเสธเรื่องนี้กับอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการต่อหน้าอวี้หมัวมัวเอ่ยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นคุณหนู เรื่องที่ฮูหยินเลือกลูกเขยให้คุณหนู รอคุณหนูกลับมาแล้วค่อยว่ากันหรือเจ้าคะ?”หรงจือจือตอบกลับชืด ๆ “เขียนปัญหาของคนพวกนี้ เรียงไว้ตรงขอบภาพเหมือนให้หมด แล้วส่งไปให้ท่านพ่อเลยก็พอ”นางหวังไม่อยากให้นางมีชีวิตดี ๆ ถึงหาพวกคนเช่นนี้มาใ
“เมื่อก่อนข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร ต่อไปภายหน้าก็ยังคงเป็นเช่นเดิม”“เจ้าไม่เต็มใจแต่งกับอู๋เหิง นั่นเป็นเพราะเขาไร้วาสนา หาใช่ความผิดของเจ้าไม่ เจ้าวางใจเถิด”หรงจือจือพลันรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุฮูหยินผู้เฒ่าที่ทั้งเมตตาปรานีและมีเหตุมีผลถึงเพียงนี้ ช่างเหมือนกับท่านย่าของนางยิ่งนัก แม้นางไม่เคยรู้สึกอะไรกับจีอู๋เหิงเลยสักนิด แต่การจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับฮูหยินผู้เฒ่าที่ประเสริฐเช่นนี้ ก็นับเป็นเรื่องน่าเสียดายอยู่บ้าง เพียงแต่นางรีบสะกดความคิดนั้นลงอย่างรวดเร็ว เพียงเพราะคิดถึงท่านย่าของตน แล้วจะบังอาจไปใฝ่ฝันถึงท่านย่าที่ดีพร้อมของผู้อื่นได้อย่างไรกัน?“ขอบคุณพระชายาที่เข้าใจเจ้าค่ะ!”พระชายาอ๋องเฉียนสนทนากับหรงจือจือต่ออีกสองสามประโยค จากนั้นจึงเรียกนางเซี่ยเข้ามาพลางสั่งว่า “ข้ารู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย เจ้าช่วยไปส่งจือจือแทนข้าเถอะ” นางเซี่ยรับคำ “เจ้าค่ะ”หลังจากพวกนางจากไปแล้วพระชายาอ๋องเฉียนเหลือบมองไปยังฉากกั้นห้องคราหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ออกมาเถิด เจ้าก็ได้ยินเองทั้งหมดแล้วนี่”จีอู๋เหิงก้าวออกมาจากด้านหลังฉากกั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาซีด
เป็นดังคาด เมื่อนางเซี่ยได้ฟัง แววตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมาทันที “เรื่องนี้ข้าจะพิจารณาให้ถี่ถ้วน ขอบคุณเจ้ามากที่ใส่ใจ”กล่าวจบ นางก็ตบมือหรงจือจือเบาๆ “ตระกูลเดิมของข้ายังมีหลานชายอีกหลายคน ที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ละคนก็เป็นจวี่เหริน ทั้งยังไม่มีนิสัยเสียอะไร หากเจ้าถูกใจใคร ก็บอกข้าได้เลย ข้าจะเป็นแม่สื่อให้เจ้าเอง!”ในสายตาของนางเซี่ย หรงจือจือไม่คู่ควรกับบุตรชายคนโตของนาง แต่ตระกูลเซี่ยมีทายาทมากมาย จะจับคู่ให้สักคนก็ไม่เป็นไรหากบุตรชายคนเล็กของนางได้แต่งงานกับจงเจิ้งอวี๋ หรงจือจือก็ถือว่าทำคุณงามความดีให้นางอย่างใหญ่หลวง อีกทั้งวันนี้หรงจือจือก็แสดงออกได้ดีมาก นางก็เป็นคนที่มีน้ำใจตอบแทนผู้อื่นเช่นกันหรงจือจือยิ้ม “พระชายาซื่อจื่อเกรงใจเกินไปแล้ว”นางเซี่ย “ข้าพูดจริงนะ! เจ้าลองคิดดูให้ดี”นางเซี่ยก็มีเจตนาส่วนตัวเช่นกัน หากหรงจือจือแต่งงานออกเรือนไปเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เลือกจีอู๋เหิง บางทีบุตรชายของนางอาจจะไม่คิดถึงนางอีกหรงจือจือ “ข้าจะจดจำไว้ ขอบคุณพระชายาซื่อจื่อ ข้าขอตัวกลับก่อน”ฟังดูน่าขันยิ่งนัก แม้แต่นางเซี่ยที่ดูถูกนางเช่นนี้ มองว่านางไม่คู่ควรกั
หยางหมัวมัวมองสีหน้าของนายหญิงของตน ก็เข้าใจทุกอย่างในทันทีในใจนางถอนหายใจ นางรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงในที่สุดนางเซี่ยก็กัดฟัน นางเชื่อว่าบุตรชายของนางจะผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ ตราบใดที่ผ่านพ้นไปได้ ก็ถือว่าผ่านพ้นเคราะห์กรรมรักนี้ไปได้แม้นางจะเสียใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำผิด!ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น......เมื่อหรงจือจือเพิ่งกลับมาถึงหน้าประตูจวนหรง นางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น “จือจือ”นางขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ หันไปมองกลับกลายเป็นฉีจื่อฟู่เขากลับมาด้วยความมุ่งมั่น แม้จะลุกจากเตียงไม่ได้ ก็ยังนั่งรถเข็นมาถึงหน้าประตูจวนตระกูลหรงฉีจื่อฟู่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าว “จือจือ ข้าขอคุยกับเจ้าตามลำพังได้หรือไม่”หรงจือจือรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น นางกำลังจะเบนสายตาหนีฉีจื่อฟู่ก็กล่าว “เป็นเรื่องของม่านหวา! ข้าอยากจะคุยกับเจ้าเรื่องของม่านหวา”หรงจือจือลังเลไปชั่วขณะ คิดในใจ หรือว่าฉีจื่อฟู่จะรู้เรื่องราวเบื้องลึกอะไรบางอย่าง นางจึงกล่าวเสียงเรียบ “คุยกันตามลำพังไม่จำเป็นหรอก ท่านมีอะไรก็พูดตรงนี้เถอะ”ฉีจื่อฟู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมอ
“ตอนนี้ข้าไม่ใช่สะใภ้ตระกูลฉี ไม่มีอำนาจจัดการเด็กในท้องของอวี้ม่านหวา หากข้าทำจริง ย่อมต้องถูกลงโทษ”ฉีจื่อฟู่รีบกล่าวว่า “ข้าก็กลัวเจ้าจะถูกลงโทษ อยากจะช่วยเจ้า ถึงได้มานี่! ถ้าไม่ไหวจริงๆ เจ้าก็บอกว่า ข้าเป็นคนสั่งให้เจ้าไปทำแท้ง นั่นลูกของข้า ข้ามีสิทธิ์ที่จะไม่เอา อย่างนี้เจ้าก็จะพ้นผิดไปได้!”หรงจือจือหมดแรงจะต่อว่าเขาจริงๆ “ต่อไปนี้ท่านอย่าคิดจะช่วยข้าเลย การที่ท่านไม่ปรากฏตัวต่อหน้าข้า ก็คือการช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับข้าแล้ว”“จำไว้ ข้าหรงจือจือไม่คิดจะลดตัวไปจัดการกับเด็กที่ยังไม่เกิด ท่านเอาแต่พูดว่ารักข้า แต่ท่านไม่เคยเข้าใจข้าอย่างแท้จริงเลย”เมื่อกล่าวจบแล้ว นางไม่มองฉีจื่อฟู่อีกแม้แต่แวบเดียว ก้าวเร็วๆ เข้าจวนตระกูลหรงไปฉีจื่อฟู่ “จือจือ…”แต่ก็ไม่ได้รับแม้แต่การเหลียวหลังกลับมามอง ประตูใหญ่ของจวนตระกูลหรงปิดลงต่อหน้าเขาชิวยี่กระซิบเสียงเบาอย่างกระอักกระอ่วน “คุณชาย บ่าวก็บอกแล้วว่า ท่านควรจะถามก่อนว่าใช่ท่านหญิงทำหรือไม่…”นี่พอมาถึงก็ตัดสินว่าท่านหญิงผิดเลย ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ท่านหญิงโกรธแล้วฉีจื่อฟู่ขมวดคิ้วกล่าว “มีอะไรต้องถามอีก? เรื่องนี้มันไม่ชั
เสิ่นเยี่ยนซูดวงตาเย็นยะเยือก และเดินไปตรงหน้าหรงเจียวเจียวเขามองนางด้วยสายตาที่เหนือกว่า พลางถามเสียงเย็นว่า “เจ้าว่าผู้ใดเป็นคนชั้นต่ำ?”เขามักจะมีอำนาจในฐานะผู้เหนือกว่าอยู่เสมอ ทำเอาหรงเจียวเจียวตกใจสีหน้าซีดเผือด อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าและถอยหลังไปหนึ่งก้าว น้ำตาก็คลอเบ้า จนแทบจะไหลลงมาอีกครั้งนางกล่าวด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา “ข้า ข้า ข้า...”ดวงตาที่เสิ่นเยี่ยนซูมองนาง มองราวกับเป็นของที่ตายแล้ว “วันนี้ข้าจะให้เกียรติมหาราชครูหรง”“เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่สองชั่วยาม ตบหน้าหนึ่งร้อยที ก็จะสามารถลุกขึ้นได้”“หากครั้งหน้าข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก ลิ้นของเจ้าก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป องครักษ์หลงสิงมีวิธีดึงลิ้นออกมามากมาย เข้าใจหรือไม่?”หรงเจียวเจียวตกใจมากจนฉี่จะราดอยู่แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่า ชายที่ตนเองชื่นชอบ มีด้านที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วย จึงกล่าวด้วยตัวสั่นเทิ้มว่า “เข้า เข้าใจเจ้าค่ะ!”เสิ่นเยี่ยนซูหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและจากไปหรงจือจือเห็นเช่นนี้ ยังตกตะลึงอยู่เล็กน้อยแม้ท่านย่าจะเอ็นดูนาง แต่ก็ไม่ค่อยออกไปด้านนอก ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรก ที่นางสัม
สายตาที่ประจบของฮูหยินหลี่ มองไปทางหรงจือจือ “จือจือ ได้ยินว่าเจ้าเป็นสตรีผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาตั้งนาน ไม่สู้เจ้าแต่งกวีเสียหนึ่งบท จะได้เปิดหูเปิดตาให้พวกข้าด้วย!”หรงจือจือกล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่ได้เตรียมตัว ให้คนอื่นแต่งดีกว่าเจ้าค่ะ”สีหน้าของฮูหยินหลี่ดูจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่แล้ว แต่ก็รู้ ว่าก่อนหน้านี้ตนเองประพฤติตัวไม่ดี หรงจือจือจะโกรธก็สมควร ดังนั้นจึงเดินไปตรงหน้าหรงจือจือเมื่อจับมือของนาง ขณะที่ยิ้มก็กล่าว “เจ้ามีความคิดที่ปราดเปรื่อง การแต่งบทกวีจำเป็นต้องเตรียมตัวเสียที่ใด? ตอนนี้สุ่มเขียนมาเสียหนึ่งบท คิดดูแล้วก็ดีมากแล้ว”หรงจือจือดึงมือของตนเองออกมาจากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พูดขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นป้าสะใภ้บอกว่า วันนี้ข้าไม่ได้รับเชิญไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ท่านเสนาบดี ทุกท่าน ขอให้เพลิดเพลินให้เต็มที่ ข้าขอตัวลาไปก่อนเจ้าค่ะ!”ขณะที่พูด หรงจือจือก็ลุกขึ้นเตรียมจะจากไปฮูหยินหลี่ตื่นตระหนกแล้ว จึงรีบกล่าว “นี่...จือจือ เข้าใจผิด! ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ป้าสะใภ้แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะจึงพู
แม้หรงจือจือเห็นท่าทางของเซิ่งเฟิง ล้วนยังต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดมุมปากไว้เล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าเสิ่นเยี่ยนซูไปหาคนที่มีอารมณ์ขันเช่นนี้มาจากที่ใดช่างน่าสนุกยิ่งนัก!เดิมทีหรงเจียวเจียวไม่สบายใจ ยังถูกเซิ่งเฟิงก่อเรื่องเช่นนี้อีก ก็เกิดความคิดอยากตายขึ้นมาจริง ๆ แล้ว “ข้า ข้า...”คิดว่าวันนี้ชื่อเสียงของตนเองคงเสียหายเป็นแน่ นางจึงตัดสินใจทุ่มสุดตัวไปเลย!ขณะมองหรงจือจืออย่างดุร้ายก็กล่าวว่า “หรงจือจือ เจ้าตั้งใจขโมยงานแต่งของข้าใช่หรือไม่? เจ้าก็แค่ไม่อยากให้ข้ามีชีวิตที่ดี เจ้า...”หรงจือจือยังไม่ทันได้เอ่ยปากเสิ่นเยี่ยนซูก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไร้สาระ! เดิมทีก็เป็นของของนาง เหตุใดต้องพูดถึงการขโมยด้วย? เจ้าไม่ลองดูใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องเจ้า และคิดดูอีกทีว่าควรจะพูดจาไร้สาระต่อไปหรือไม่”เพียงคำพูดเดียว ก็ทำให้หรงเจียวเจียวสั่นสะเทือนแล้วจากสีหน้าของเสิ่นเยี่ยนซู นางมองออก ว่าเขาไม่ได้กำลังล้อเล่นกับนาง หากตนเองโวยวายต่อไป มีหวังโดนตบหน้าจริง ๆ แน่เห็นนางสงบลงได้เสียทีฮูหยินหนิงกั๋วกงก็ยิ้มพลางกล่าว “ครั้งก่อนข้าไปงานเลี้ยงของสกุลฉี เห็นสกุลฉีวุ่นวายไปหมด แม่นา
เขาเอ่ยเน้นย้ำทีละคำอย่างชัดเจน “คุณหนูสามหรง เจ้าฟังให้ดี ก่อนหน้าวันนี้ แม้แต่หน้าตาของเจ้าเป็นเช่นไรข้าก็ยังไม่รู้ชัด ไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งเจ้าเป็นชายาเลยแม้แต่น้อย”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ข้าต้องการสู่ขอ ก็คือพี่สาวของเจ้ามาโดยตลอด หากเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ลองกลับไปสอบถามบิดาของเจ้าดูเถิด”หรงเจียวเจียวส่ายศีรษะไปมา ไม่อาจยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้นางยังคงคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าหาใช่ความจริงไม่ แต่เป็นเพียงฝันร้ายอันน่าสะพรึงกลัวเท่านั้น นางยิ่งร่ำไห้สะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม “ไม่จริง เป็นไปได้อย่างไร... เป็นไปไม่ได้...”ในชั่วขณะนั้นเอง บ่าวรับใช้ของจวนตระกูลหลี่ ก็ได้พาเหวินหมัวมัวเข้ามาด้านในพอเหวินหมัวมัวเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่าคงเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้วเป็นแน่เฉินเยี่ยนซูเหลือบมองเหวินหมัวมัวแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดูท่าแล้ว เจ้าคงมาเพื่อจะบอกคุณหนูสามของเจ้ากระมัง ว่าแท้จริงแล้วผู้ที่ข้าต้องการหมั้นหมายด้วยคือผู้ใดกันแน่?”เมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีเอ่ยถาม มีหรือที่เหวินหมัวมัวจะกล้าไม่ตอบ? นางรีบคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าซีดขา
ครานี้ ทุกผู้คนต่างตกตะลึงงัน สายตาตำหนิหลายคู่พลันจับจ้องไปยังฮูหยินหลี่อะไรกัน! ในเมื่อไม่ได้หมั้นหมาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาหลอกลวงพวกเรา? เช่นนั้นเมื่อครู่พวกเราก็ประจบเอาใจนางเสียเปล่าไปตั้งนานนะสิ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่พวกเราต้องสรรหาคำเยินยอหรงเจียวเจียวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเมื่อครู่นั้น มันต้องสิ้นเปลืองความคิดอ่านไปมากเพียงใด? สมองแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!ฮูหยินหลี่เองก็ตกตะลึงงันไปเช่นกัน ตามเหตุผลแล้ว นาวหวังไม่น่าจะวิปลาสถึงขั้นกุเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้! เมื่อเห็นสายตาตำหนิของผู้คนจับจ้องมา นางจึงพยายามอธิบายอย่างตะกุกตะกัก “ไม่... ไม่ใช่! ข้า... เจียวเจียว นี่มันเรื่องอันใดกันแน่!”หรงเจียวเจียวมองไปยังเฉินเยี่ยนซู ด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ “ท่านอัครมหาเสนาบดี! ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้! ท่านเห็นข้าโกรธจนเอ่ยปากขอถอนหมั้น ท่านไม่คิดจะง้อก็แล้วไปเถิด แต่ยังจะกล่าวปดว่าไม่เคยมาสู่ขอข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ประกอบกับเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของหรงเจียวเจียว ผู้คนก็เริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความกังขาจับจ้องสลับไปมาระหว่า
หรงเจียวเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง “อ๊ะ?”จ้าวหมัวมัวกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีคงต้องการจะแสดงอำนาจความเป็นสามี ทั้งยังต้องการจะดูท่าทีคุณหนูด้วยว่าจะยอมอ่อนข้อให้เขาหรือไม่ อย่างไรเสีย ฐานะฮูหยินของราชเลขาธิการผู้ทรงเกียรติ จะเป็นเพียงสตรีที่เอาแต่ใจตน พอเขาขุ่นเคืองก็เอาแต่ร้องขออภัยไปเสียทุกเรื่องไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”หรงเจียวเจียวมีสีหน้าลังเล “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”จ้าวหมัวมัวกล่าว “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ต้องเป็นเช่นนี้เป็นแน่! คุณหนู ท่านต้องรู้จักแสดงความอ่อนแอบ้าง คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งและทรงอำนาจเช่นท่านอัครมหาเสนาบดี หรือจะยอมลดตัวลงมาง้อคุณหนูได้เล่าเจ้าคะ?”หากไม่เช่นนั้นแล้ว จะอธิบายได้อย่างไรว่าเหตุใดท่านอัครมหาเสนาบดีจึงจงใจสร้างความลำบากให้คู่หมั้นของตนต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้เล่า?เมื่อสองนายบ่าวปรึกษาหารือกันเสร็จสิ้นในที่สุดหรงเจียวเจียวก็รวบรวมความกล้าได้ นางรอจนกระทั่งบัณฑิตผู้หนึ่งแต่งบทกวีเสร็จสิ้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี... ข้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ท่านจะโปรดให้ข้าลุกขึ้นได้หรือไม่เจ้าคะ เจียวเจียวปวดเข่าเหลือเกิน พื้นก็ทั้งเย็นทั้งแข็
ทุกคนย่อมเห็นแผ่นหลังของหรงเจียวเจียวที่กำลังหันหลังจากไป และพอจะเดาได้ว่านางกำลังแสดงความเอาแต่ใจออกมาบรรดาสตรีที่สนิทสนมกับหรงเจียวเจียวต่างแอบตำหนิอัครมหาอัครมหาเสนาบดีเฉินอยู่ในใจ ว่าช่างไม่รู้จักถนอมบุปผาเทิดทูนหยกล้ำค่าเอาเสียเลย เหตุใดจึงไม่รู้จักไว้หน้าคู่หมั้นของตนเองเช่นนี้?เฉินเยี่ยนซูสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของหรงเจียวเจียวอยู่แล้ว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หยุดอยู่ตรงนั้น!”ฝีเท้าของหรงเจียวเจียวพลันชะงัก นางคิดในใจ ในที่สุดเขาก็เรียกข้าแล้ว หรือว่าในใจเขายังคงเป็นห่วงข้าอยู่?นางแค่นเสียงหึเบาๆ แล้วหันไปมองเฉินเยี่ยนซู “ในใจของท่าน ไม่ใช่มีเพียงแต่พี่สาวของข้าหรอกหรือ? แล้วจะมารั้งข้าไว้อีกด้วยเหตุใด?”กล่าวจบ นางก็เช็ดน้ำตาพลางหันเสี้ยวหน้าอย่างดื้อรั้นให้เฉินเยี่ยนซูมองนางเชื่อว่าเมื่อเขาเห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของนาง จะต้องสำนึกได้แน่ว่าตนเองทำผิดไปแล้ว นางเคยส่องกระจกพิจารณาดูตนเองยามร้องไห้อย่างละเอียดแล้ว รู้อยู่แก่ใจว่าท่าทางเช่นนี้จะยิ่งขับเน้นความงดงามแววตาของเฉินเยี่ยนซูเย็นชา “ในใจของข้ามีผู้ใดอยู่ ถึงตาเจ้ามาสอดปากวิจารณ์ด้วยหรือ?”หรงเจียวเจียวฟั
ถึงจะอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่ แต่เมื่อนางทำผิด หากเฉินเยี่ยนซูไม่เอ่ยอนุญาต นางก็ไม่อาจนั่งได้เมื่อได้รับอนุญาตให้นั่งจากเฉินเยี่ยนซู หลี่เซียงเหยากลับยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางรู้สึกราวกับว่าพี่เขยสาม ผู้นี้กำลังตบหน้านางอย่างแรง แล้วค่อยยื่นขนมหวานปลอบใจ ทว่าการตบหน้านี้ช่างหนักหน่วงเหลือเกินนางร่ำไห้ออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อระคนน้อยใจ “ขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ!”เมื่อครู่หรงเจียวเจียว ไม่ได้ออกหน้าช่วยนาง ตอนนี้จึงรีบเข้ามากล่าวกลบเกลื่อน “เหยาเหยา เห็นหรือไม่ ท่านอัครมหาเสนาบดียังคงให้ความสำคัญกับเจ้านะ ถึงได้อนุญาตให้เจ้าอยู่ในงานเลี้ยงแต่งบทกวีต่อ!”เฉินเยี่ยนซูเอ่ย “ย่อมต้องให้ความสำคัญ”หรงเจียวเจียวพลันยิ้มออก นางคิดว่าอย่างไรเสียท่านอัครมหาเสนาบดีก็ต้องไว้หน้านางบ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าเฉินเยี่ยนซู จะเอ่ยประโยคถัดมาว่า “หากนางจากไปแล้ว ไม่มีนางอยู่ที่นี่เป็นข้อเปรียบเทียบ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจุดจบของการลบหลู่ท่านหญิงเป็นเช่นไร?”ทุกคน “…”เหล่าสตรีที่เมื่อครู่ร่วมวงนินทาหรงจือจือ ตอนนี้ต่างรู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะ!ส่วนหรงเจียวเจียวยิ่งหน้าเขียวคล้ำ นางเข้าใจในท
วันนี้หรงจือจือถึงได้รู้ว่า อันที่จริงเฉินเยี่ยนซูคนผู้นี้ใจดำอำมหิตเป็นอย่างมาก บางทีก่อนหน้านี้ที่เขาไม่รู้จักเจียวเจียวอาจเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้ที่บิดเบือนความหมายของหรงเจียวเจียว เขาต้องจงใจเป็นแน่สายตาของทุกคนเองก็ตกไปที่ตัวหรงจือจือที่พวกเขากระแหนะกระแหนอยู่นานสองนานนี่...เหตุใดท่านเสนาบดีจัดการเรื่อง ไม่ให้หน้าหรงเจียวเจียวแม้แต่น้อยก็ช่างมันเถอะ ยังจะถามความเห็นของหรงจือจืออีก? นี่หากไม่รู้ ยังคิดว่าคู่ที่ดูตัวหมั้นหมายกัน เป็นหรงจือจือจริง ๆ เสียอีก!หรงจือจือทำทีท่าไม่เกี่ยวกับตน ตอบกลับชืด ๆ ว่า “เรื่องนี้ท่านเสนาบดีตัดสินใจก็พอเจ้าค่ะ”เฉินเยี่ยนซูพยักหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองไปที่หรงเจียวเจียว “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะถูกตบปากไปด้วย?”จากสายตาของเขา หรงเจียวเจียวมองออกว่า เขาพูดจริง และไม่ได้ล้อเล่นกับตน สีหน้าของนางก็ยิ่งซีดเผือดเข้าไปอีกนางรีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้า...ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นเจ้าค่ะ!”หลี่เซียงเหยามองพี่หญิงสามของตนอย่างยากจะเชื่อทีหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะตนช่วยนางพูด ก็คงไม่ตกมาอยู่ในขั้นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากแยแสตนเฉินเยี่ยนซูกวาดสา