Mag-log inข่าวไม่สู้ดีที่ได้รับรู้มาเมื่อสองวันก่อน ทำให้ทายาทคนเดียวของตระกูลพัทรโภคินเคร่งเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ รสิกา พัทรโภคิน เพิ่งจะรู้จากปากของบิดาว่าธุรกิจอันเป็นที่ภาคภูมิใจกำลังใกล้เข้าสู่ภาวะล้มละลาย เนื่องจากขาดสภาพคล่องมานานหลายเดือนแล้ว นั่นเป็นเพราะมีพนักงานภายในทำการทุจริต ยักยอกเงินทุนจำนวนหลายสิบล้านแล้วหนีหายไปอยู่ที่ต่างประเทศ พร้อมกันนั้นก็มีคนจงใจปล่อยข่าวลือด้านลบเพื่อบ่อนทำลายภาพลักษณ์จนไม่มีลูกค้ากล้าติดต่อเข้ามาซื้อขายทรัพย์สินจำพวกที่ดิน บ้านหรือคอนโดมิเนียมอีกเลย
“พ่อคงต้องปล่อยมือจากพีเคกรุ๊ปแล้ว พ่อขอโทษนะโรส ขอโทษที่ไว้ใจไอ้ดิเรกมากเกินไป” ดนัยผู้กุมบังเหียนพีเคกรุ๊ปต่อจากปู่ของรสิกามานานกว่ายี่สิบปี ปลงตกแล้วว่าคงไม่มีทางใดช่วยยื้อบริษัทเอาไว้ได้อีก ลองติดต่อไปหาเพื่อนสนิทและคนรู้จักเพื่อขอกู้เงินมาหมุนให้เกิดสภาพคล่อง หวังจะประคองธุรกิจต่อไป ทว่าทุกคนกลับพากันปฏิเสธทั้งหมด
แน่ล่ะ... ใครจะอยากเสี่ยงกับคนที่กำลังจะล้มละลายกันเล่า
“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ คุณพ่อ นายดิเรกทำงานกับเรามาเป็นสิบๆ ปี ไม่มีใครคาดคิดหรอกค่ะว่าเขาจะเลวได้ถึงขนาดนั้น” รสิกากุมมือคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยอาการตรอมใจแล้วบีบเบาๆ พีเคกรุ๊ปเป็นเสมือนชีวิตและลมหายใจของบิดา ผู้ชายคนเดียวที่เธอรักและเคารพมากที่สุด ส่วนมารดานั้นลาจากโลกนี้ไปตั้งแต่ให้กำเนิดเธอได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
“ถ้าไม่มีพีเคกรุ๊ปแล้ว พ่อจะดูแลโรสได้ยังไง” ดนัยน้ำตาร่วงริน เวทนาลูกสาววัยยี่สิบห้าปีที่ต้องมาลำบากไปด้วย
“ไม่พูดแบบนั้นสิคะ โรสไม่ได้ตัวคนเดียวนะ โรสยังมีคุณพ่อ แล้วก็ยังมีพี่กันอยู่ด้วย โรสจะสู้ค่ะ”
“แต่พ่อไม่ชอบนายกันตพลเลย หมอนั่นดูแปลกๆ ลุกลี้ลุกลนเหลือเกิน เหมือนพวกมีชนักติดหลัง”
“ไม่หรอกค่ะ โรสคบกับเขามาตั้งสองปีแล้ว คุณพ่อเลิกระแวงได้แล้ว” หญิงสาวยิ้มแล้วจุมพิตมือบิดาเบาๆ
“พ่อเป็นห่วงโรสจริงๆ นะลูก ห่วงมาก ห่วงจนไม่รู้จะบรรยายยังไง”
“โธ่ โรสดูแลตัวเองได้ค่ะ แล้วโรสก็จะดูแลคุณพ่อด้วย คุณพ่อบอกโรสเองไม่ใช่เหรอคะว่ายังมีอีกคนนึงที่ติดต่อคุณพ่อมา เขาบอกว่าเขาเต็มใจช่วยเรา คุณพ่อบอกโรสมาสิคะว่าเขาเป็นใคร โรสจะเป็นคนไปขอความช่วยเหลือจากเขาแทนคุณพ่อเองค่ะ” หญิงสาวหมายถึงประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในตอนนี้
รสิกาไม่ได้รู้จักเขามากนัก ไม่เคยพบหน้ากันด้วยซ้ำ รู้จากบิดาแค่ว่าเขาเข้ามานั่งเก้าอี้ประธานบริษัทวีเอ็นเอสดีเวลลอปเมนท์แทนผู้เป็นพ่อตั้งแต่อายุสี่ยิบห้าปี และพาทุกอย่างให้รุ่งโรจน์เฟื่องฟูจนไต่ระดับขึ้นมาเป็นนักธุรกิจมือฉมังได้ในเวลาเพียงไม่นาน เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพราะถือเป็นไฮโซหนุ่มที่ร่ำรวยมหาศาลและยังมีรูปร่างหน้าตาโดดเด่นจนเป็นที่เลื่องลืออีกด้วย
“คุณอัคนี ผู้บริหารวีเอ็นเอสดีเวลลอปเมนท์น่ะเหรอ ความจริงพ่อก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันนะ แต่พ่อก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงอยากช่วยเรา”
“เขาอาจจะเห็นเราเป็นคนที่ทำธุรกิจแบบเดียวกันมั้งคะ อีกอย่าง... คุณพ่อเองก็เคยสนิทกับคุณพ่อของเขาด้วยนี่นา บางทีเขาอาจเป็นคนดีที่อยากช่วยเราไม่ให้ล้ม คงไม่มีอะไรแอบแฝงหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณพ่อกังวล โรสจะไปคุยกับเขาเอง อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะมีข้อเสนอยังไงบ้าง”
“เขาอาจจะอยากได้หุ้นของพีเคกรุ๊ปก็ได้นะ จำไว้นะโรส เราจะไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น ในวงการธุรกิจ เรื่องที่เล่นไม่ซื่อ มันมีกันมานักต่อนักแล้วลูก พ่อห่วงกลัวว่าโรสจะไม่รู้เท่าทันเกมของคนพวกนั้น แต่กับคุณอัคนี พอได้ยินว่าเขาใสซื่อมือสะอาด ทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา พ่อคิดว่าเขาไว้ใจได้แน่นอน” ความหวังที่กำลังดับสูญเริ่มก่อเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้างั้นโรสจะไปพบเขาวันนี้เลยค่ะ คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ โรสจะหาเงินมาประคองพีเคกรุ๊ปต่อไปให้ได้” ดวงตากลมโตและบริสุทธิ์ยามนี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น หวังใจว่าผู้ชายที่ชื่ออัคนีคงจะยอมช่วยเหลือครอบครัวของเธอด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ นาทีนี้เพื่อรักษาสิ่งที่บิดารักและหวงแหน เธอยินยอมพร้อมทำได้ทุกอย่าง
ลางสังหรณ์บอกว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ แต่รสิกากลับเลือกที่จะไม่เชื่อมัน...
เมื่อดนัยพยักหน้าตอบรับ รสิกาก็เรียกสาวใช้ให้ขึ้นมาคอยดูแลปรนนิบัติบิดาที่กำลังเจ็บป่วย เธอไม่ได้สั่งให้ศรเทพขับรถให้เหมือนทุกวัน แต่เลือกที่จะไปขอพบผู้ชายที่ชื่ออัคนีเพียงลำพัง หญิงสาวใช้เวลาฝ่าฟันกับรถที่ติดแน่นถนัดนานเป็นชั่วโมงกว่าจะไปถึงจุดหมาย เธอขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นผู้บริหาร แจ้งต่อเลขานุการหน้าห้องว่าตัวเองคือลูกสาวของดนัย และต้องการขอเข้าพบอัคนีเป็นการด่วนเพื่อพูดคุยธุระสำคัญ
“เชิญค่ะ คุณอัคนีแจ้งว่าให้เข้าพบได้เลยค่ะ” เลขาฯ วัยสี่สิบปีบอกหลังจากวางหูโทรศัพท์ลงบนแป้น
“ขอบคุณมากนะคะ” รสิกายิ้มรับ ก่อนจะเดินไปที่ประตู เคาะเบาๆ ตามมารยาทจนกระทั่งได้ยินเสียงห้าวทุ้มเชื้อเชิญให้เข้าไปได้ มือขาวบางจึงแตะลงบนลูกบิดประตู ก่อนจะเปิดเข้าไปโดยไม่ลังเลใจอีก
ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที สัญญากู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลก็วางพร้อมอยู่บนโต๊ะทำงานของอัคนี เขาให้เลขานุการระบุเอาไว้ด้วยว่า หากรสิกาไม่ทำตามข้อตกลงตามที่ได้พูดคุยกันไว้ให้ครบทุกประการ เธอจะต้องยินยอมยกทรัพย์สินทุกชิ้นของตระกูลเพื่อชดใช้หนี้แทน นั่นเป็นช่องโหว่เล็กๆ ที่เธอไม่ทันได้ใส่ใจ เพราะคำพูดของแฟนหนุ่มทำให้มั่นใจจนเกินความพอดี‘เงินแค่ยี่สิบล้าน สองเดือนพี่จะหามาให้โรสเอง ถือว่าเป็นค่าสินสอดของเรา’กันตพล คบหากับรสิกามานานถึงสองปีแล้ว ทั้งคู่วางแผนว่าอีกไม่กี่เดือนจะใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เพราะช่วงนี้หญิงสาวมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่มาก อีกทั้งบิดายังป่วยหนักด้วย เขาจึงยังไม่ได้พูดถึงเรื่องแต่งงาน ทว่าอันที่จริงเหตุผลเหล่านั้นก็แค่ข้ออ้าง ที่กันตพลยังไม่พร้อม เป็นเพราะเขามีแค่เปลือกต่างหาก ไม่ใช่ทายาทมหาเศรษฐีอย่างที่คุยโวโอ้อวดไว้“ฉันคิดว่าคงใช้หนี้คุณได้ในอีกสองเดือนค่ะ แฟนฉันจะจัดการให้เอง” เธอยืนยันให้เขามั่นใจ“แฟนคุณคงไม่ธรรมดา เขาดูร่ำรวยดีนะ ทำไมไม่ขอให้เขาช่วยล่ะ” อัคนียิ้มบาง“คือ... ธุรกิจของเขามีปัญหาเหมือนกันค่ะ อีกสองเดือนหลังโพรเจ็กต์ใหญ่สำเร็จ เขาถึงจะฟื้นตัวได้” รสิกาพูดตามที่กั
สิ่งแรกที่เห็นคือผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอุ้มลูกน้อยอยู่บนตัก อีกฝ่ายเป็นคนที่มีใบหน้ารูปไข่ เครื่องหน้าจิ้มลิ้มนั้นควรเรียกว่าน่ารัก คงเหมาะกว่าใช้คำว่าสวย ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนม้วนเป็นลอนทิ้งตัวอยู่บนบ่า เด็กน้อยหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ส่งเสียงอ้อแอ้ กำลังใช้นิ้วอวบป้อมเกี่ยวพันปอยผมของมารดา แล้วหัวเราะชอบใจยกใหญ่“ดึงผมแม่อีกแล้วนะคะ” แม้แต่เสียงของเจ้าตัวก็ยังฟังดูหวานจับใจอัคนีที่นั่งอยู่บนโซฟาเคียงข้างกัน เลื่อนสายตาจากสองแม่ลูกมองไปยังผู้มาเยือน เขาชะงักเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีกระแสบางอย่างแล่นปลาบไปทั้งตัว ก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความเรียบเย็น ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าไปหาร่างน้อยในอ้อมแขนมารดา กดปลายจมูกโด่งสวยลงบนแก้มขาวนุ่มเบาๆ“ให้ศิระพาอ้อกับลูกกลับไปรอที่บ้านก่อนนะ ถ้าพี่คุยธุระเสร็จแล้วจะรีบกลับ” อัคนีบอกเสียงนุ่ม ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนออกมาเพื่อส่งข้อความเรียกให้คนขับรถมาพา เอมอร และลูกสาวตัวน้อยกลับบ้านไปก่อน ส่วนตัวเขาหลังคุยธุระกับลูกสาวของดนัยเสร็จ ค่อยตามกลับไปทีหลัง“ค่ะ อ้อกับน้ำอิงจะรอทานข้าวกับคุณพ่อนะคะ” ผู้หญิงที่ดูแล้วอายุน่าจะอ่อนกว่ารสิกา
ข่าวไม่สู้ดีที่ได้รับรู้มาเมื่อสองวันก่อน ทำให้ทายาทคนเดียวของตระกูลพัทรโภคินเคร่งเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ รสิกา พัทรโภคิน เพิ่งจะรู้จากปากของบิดาว่าธุรกิจอันเป็นที่ภาคภูมิใจกำลังใกล้เข้าสู่ภาวะล้มละลาย เนื่องจากขาดสภาพคล่องมานานหลายเดือนแล้ว นั่นเป็นเพราะมีพนักงานภายในทำการทุจริต ยักยอกเงินทุนจำนวนหลายสิบล้านแล้วหนีหายไปอยู่ที่ต่างประเทศ พร้อมกันนั้นก็มีคนจงใจปล่อยข่าวลือด้านลบเพื่อบ่อนทำลายภาพลักษณ์จนไม่มีลูกค้ากล้าติดต่อเข้ามาซื้อขายทรัพย์สินจำพวกที่ดิน บ้านหรือคอนโดมิเนียมอีกเลย“พ่อคงต้องปล่อยมือจากพีเคกรุ๊ปแล้ว พ่อขอโทษนะโรส ขอโทษที่ไว้ใจไอ้ดิเรกมากเกินไป” ดนัยผู้กุมบังเหียนพีเคกรุ๊ปต่อจากปู่ของรสิกามานานกว่ายี่สิบปี ปลงตกแล้วว่าคงไม่มีทางใดช่วยยื้อบริษัทเอาไว้ได้อีก ลองติดต่อไปหาเพื่อนสนิทและคนรู้จักเพื่อขอกู้เงินมาหมุนให้เกิดสภาพคล่อง หวังจะประคองธุรกิจต่อไป ทว่าทุกคนกลับพากันปฏิเสธทั้งหมดแน่ล่ะ... ใครจะอยากเสี่ยงกับคนที่กำลังจะล้มละลายกันเล่า“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ คุณพ่อ นายดิเรกทำงานกับเรามาเป็นสิบๆ ปี ไม่มีใครคาดคิดหรอกค่ะว่าเขาจะเลวได้ถึงขนาดนั้น” รสิกากุมมือคนที่นอนอยู
อัคนีก้าวเข้าไปในห้องนอนของคฤหาสน์หลังงามอย่างเชื่องช้า เขาไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนอีก เพราะลูกหนี้แสนสวยที่อาจหาญหนีไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ ได้ถูกนำตัวกลับมาในที่ที่เธอควรอยู่แล้ว เขาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง มองคนที่นอนขดตัวอยู่บนนั้นในสภาพที่ถูกมัดมือมัดเท้าแล้วยิ้มพอใจ“ปลุกลูกหนี้ของฉันหน่อย” อัคนีหันไปบอกคนข้างตัว“ครับ คุณอัค” คนสนิทรับคำ จากสายตาของเจ้านายทำให้กำจรรู้ดีว่าต้องปลุกร่างที่หมดสตินั้นอย่างไร เขาเดินไปที่โต๊ะตรงมุมห้อง หยิบเหยือกน้ำดื่มขึ้นมาจากถาดรอง แล้วเดินกลับมายืนข้างอัคนีตามเดิม แรกทีเดียวชายหนุ่มก็ตั้งใจจะปล่อยให้กำจรจัดการเอง ทว่าเขากลับเปลี่ยนใจ แย่งเหยือกไปถือไว้ แล้วสาดมันใส่ร่างที่นอนนิ่งจนเปียกโชกหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ๆ น้ำก็รบกวนการหลับใหลที่เป็นไปด้วยฤทธิ์ของยาสลบ เธอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เชือกที่มัดอยู่บนข้อมือและข้อเท้าทำให้การขยับตัวเป็นไปได้อย่างจำกัด กว่าจะกะพริบตาถี่ๆ แล้วมองเห็นว่าตัวเองถูกพาตัวมาไว้ภายในห้องนอนหรูที่ไม่คุ้นตา อีกทั้งยังมีร่างสูงใหญ่ของคนที่พยายามหนีมาตลอดปรากฏอยู่ข้างเตียง เธอก็เกือบหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ หัวใจสั่นไ







